เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา คนเกิดมามีกายกับใจๆ ร่างกายนี้ดูแลรักษามันก็เติบโตไปธรรมชาติของมัน เว้นไว้แต่คนพิการ คนพิการเขาฟื้นฟูขึ้นมาให้เป็นปกติขึ้นมาให้ได้ แต่จิตใจ จิตใจของคนเวลามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมามันบีบคั้นหัวใจนะ เวลาคนมันทุกข์ใจๆ ทุกข์ใจมันสะสม ดูเด็กๆ สิ เด็กๆ เวลามันมีสิ่งใดฝังใจไว้ มันจะฝังใจไว้จนชั่วชีวิต แต่ร่างกาย ร่างกายนี้เวลามันมีสิ่งใดขึ้นมามันแก้ไขของมันได้

สิ่งที่มันสะสมมาทั้งชีวิตๆ ถ้าเกิดได้ฟังธรรมะ เกิดได้ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันไปเห็นแจ้ง คำว่า เห็นแจ้ง” เห็นแจ้งด้วยปัญญานะ ปัญญาโลกียปัญญา มันจะเห็นว่าสิ่งที่เราฝังใจมาทั้งชีวิตมันเป็นเรื่องที่ว่าทิฏฐิมานะของตน มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของตน

แต่ถ้าเป็นเรื่องเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ความจริงขึ้นมา สิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง มันมีการกระทบกระเทือนกันมาทั้งนั้นน่ะ มันมีการกระทบกระทั่งกันมาทั้งนั้น

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านฝึกฝนขึ้นมาแล้วท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เหมือนเสาหลักปักอยู่ในดิน ๔ ศอก อยู่บนพื้นดิน ๔ ศอก ลมจะพัดอย่างไรมันไม่หวั่นไม่ไหวไปทั้งสิ้นไง ถ้าหัวใจที่ฝึกดีแล้วๆ หัวใจที่ฝึกดีแล้ว สิ่งใดที่กระทบกระเทือน สิ่งใดที่มันมีการกระทบกระทั่งกัน มันผ่านไป ผ่านไปทั้งนั้นน่ะ ผ่านไปเพราะอะไร ผ่านไปเพราะการฝึกฝนของมันดีแล้ว แต่ถ้าการฝึกฝนของมันไม่ดีไง มันสะสมของมันนะ เชื้อโรค

เชื้อโรค ถ้าร่างกายอ่อนแอขึ้นมา เชื้อโรคมันจะทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยทันที ถ้าร่างกายเราแข็งแรง เชื้อโรคนั้นมันก็สะสมไว้ในใจทั้งนั้นน่ะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรามันอยู่ที่จริตนิสัยของเรา ถ้าเรามีการศึกษา เราฟังธรรมะๆ จิตใจเราแข็งแรง แข็งแรงขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บนั้นมันไม่แสดงตัวออกมา แต่มันมี ถ้ามันไม่มีมันไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้หรอก เพราะมีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะมันมีเชื้อมีไขของมัน

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ในหัวใจของตน เพราะความไม่รู้ในหัวใจของตน ด้วยบุญด้วยอำนาจวาสนานะ การเกิดเป็นคน การเกิดเป็นคนทั้งๆ ที่ว่าเกิดมาแสนทุกข์แสนยากนี่แหละ มีอำนาจวาสนามาก เพราะอะไร

เพราะว่าเกิดเป็นสัตว์ เป็นสัตว์นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาควายมันจะตาย มันโดนฆ่า มันไปเข้าฝันพระอรหันต์ “พรุ่งนี้ชาวบ้านที่นั่นเขาจะเอาเนื้อมาถวายนะ ขอให้ฉันให้หน่อย ขอให้ฉันให้หน่อย” เพราะอะไร

เพราะเกิดมาในชีวิตนี้มันแสนทุกข์แสนยาก นี่ไง เวลาเจ้าของเขาจะให้ทำไร่ไถนาก็พยายามทำเต็มที่ของเรา จะหิวกระหายขนาดไหน ถ้าเขาไม่ผ่อนเชือกไว้ก็ไม่ได้กินน้ำกินหญ้า เวลาเอาอกเอาใจเขาขนาดไหนเขาก็ตี เขาก็ตี เขาก็ตี เพราะเขาจะเอาใจของเขา

เห็นคนเขาไปวัดไปวากัน เห็นเขาทำบุญกุศลกันมันปลื้มใจ มันอยากให้เป็นอย่างนั้นไง แล้วเกิดมาเป็นสัตว์ เกิดมาเป็นสัตว์มันไม่มีสิ่งใดจะเป็นสมบัติของตน มันก็มีเนื้อนี่แหละ ถ้าเขาฆ่าตายไปแล้ว สิ่งนี้ถ้าเขาเอาไปถวายพระ ขอให้พระได้ฉันหน่อยหนึ่ง ขอให้พระได้ฉันหน่อยหนึ่งเพื่อว่าเอาเนื้อนี้เพื่อเป็นบุญกุศลนั้นขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดให้มันมีคุณค่าขึ้นมา ไม่ต้องเกิดทุกข์เกิดยากอย่างนี้ นี่ควายมันคิดนะ ควายมันคิดได้ มันคิดของมันแต่มันทำอะไรไม่ได้ มันมีแต่ความคิด มันพูดไม่ได้ แต่มันมาเข้าในนิมิตนั้น ถ้าเข้าในนิมิตนั้น เขาพยายามขวนขวายของเขาเพื่อความเกิดเป็นมนุษย์ไง

เราเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนทุกข์แสนยาก เราว่าเป็นความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากมันทุกข์มันยากจริงๆ ความทุกข์ความยากเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันบีบคั้น ความทุกข์ความยากเพราะเกิดมาในสังคม เกิดมาในชาติตระกูล ถ้ามันมีสิ่งใดบีบคั้นขึ้นมานั่นก็เป็นความทุกข์ความยากอันหนึ่ง เพราะเป็นสายบุญสายกรรม

แต่กรรมแท้ๆ กรรมคือหัวใจของเรา กรรมคือการกระทำของเรา กรรมคือสิ่งที่ทิฏฐิมานะในใจของเรา นี่มันบีบคั้น บีบคั้นข้างในมันสำคัญกว่า ศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเหตุนี้ไง ฟังธรรมๆ ก็เพื่อเหตุนี้ไง

สิ่งที่เราทำมา เราเกิดมาเรามีสองเท้า มีสองมือ มีสมองเหมือนกัน เราเกิดมามีคุณค่า มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ด้วยอำนาจวาสนาของเราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ขวนขวายของเรา เราขวนขวายของเรา คนเรามันเกิดมาไม่เท่ากันหรอก โอกาสของคนมันก็ไม่เท่ากันใช่ไหม ด้วยสติด้วยปัญญาของคน ด้วยจริตด้วยนิสัยของคนมันไม่เท่ากัน ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูหัวใจของเรา ฟื้นฟูให้มั่นคงขึ้นมา

ต้นไม้ถ้ามันแข็งแรง ดูลมพัดขนาดไหนมันก็ยืนต้นของมันได้ ต้นไม้ที่มันอ่อนแอ มันผุพังขึ้นมา ลมเบาๆ มันก็ล้มแล้ว หัวใจของเรา เราไม่มีสติไม่มีปัญญาเลย เราไม่สามารถสร้างคุณประโยชน์กับใจของเราได้เลย เราไม่สามารถมีสติปัญญารักษาหัวใจของเราได้เลย

หัวใจของเรา เราคิดเองได้ เราทำเองได้ เรามีสติปัญญาได้ ใครจะเป่าหูขนาดไหนมันเรื่องของเขา

หลวงตาบอกว่า “ใครจะดี ใครจะชั่ว เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ”

เราทำคุณงามความดีเพราะเรามีสติมีปัญญาไง แล้วทำคุณงามความดีในพระพุทธศาสนา ทำคุณงามความดีทิ้งเหว ปิดทองหลังพระ ทำไม่ให้ใครรู้ ทำเพื่อของเราไง ไม่ต้องให้ใครยกย่องสรรเสริญ เพราะเรามีสติมีปัญญาพอ คนอื่นพูดร้อยคำพันคำก็ไม่เท่ากับเราคิดเองหนเดียว คนอื่นจะสั่งสอนขนาดไหน ไม่ใช่ปัญญาเราคนเดียว ไร้สาระ เรื่องภายนอกไร้สาระทั้งสิ้น ถ้าจิตใจเราพอ จิตใจเรามีกำลังขึ้นมา แต่นี่จิตใจเราอ่อนแอไง จิตใจเราอ่อนแอ ลมพัดใบไม้ไหว ไหวไปทั่ว อยากไปเข้ากระแสสังคม

เราอยู่กับโลกนะ เราเกิดมามีพ่อมีแม่ เราเกิดมากับสังคม เราเกิดมาเราอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เพราะเรามีสังคม เวลาทำธุรกิจเขาต้องหาตลาด เขาต้องกระจายสินค้าของเขา ไอ้นั่นมันเรื่องของสังคม เราต้องอยู่กับโลก เราอยู่กับสังคม แต่อยู่ด้วยมีคุณธรรมในหัวใจเว้ย ไม่ได้อยู่แบบเหยื่อ

อยู่ด้วยมีคุณธรรมในหัวใจ เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา เราก็แสวงหาเพื่อประโยชน์กับเรา แสวงหาด้วยความสุจริต แสวงหาด้วยความเป็นธรรม แล้วเป็นธรรมของเราแล้ว อยู่ไหนเราก็รื่นเริงของเรา นี่ถ้าหัวใจเป็นธรรม ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมขึ้นมาให้หัวใจมั่นคง หัวใจเรามีสติปัญญา แล้วไม่ใช่ทิฏฐิมานะจนไม่ยอมรับฟังเสียงของใครทั้งสิ้น ไม่รับฟังเสียงของใครทั้งสิ้น

ดูเวลาลมพัดมันเย็นสบาย เวลาแดดมันร้อน ร้อนมาก คุณธรรมนะ คุณคนที่ดีๆ คนที่เขาพูดแล้วมีเหตุมีผลน่ะมันอยากฟัง มันอยากหาเหตุหาผล คนที่เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาพยายามตรวจสอบว่าเราทำอะไรผิดพลาดบ้าง เราทำอะไรมีความเสียหายบ้าง ถ้าใครชี้ความผิดของเราได้ คนนั้นสุดยอด เขาให้อริยทรัพย์เรา ทำไมมันจะไม่ฟัง มันฟัง

แต่ขนโคกับเขาโค มันมีแต่ลมปาก มันมีแต่ติฉินนินทา มันมีแต่เสียงร่ำเสียงลือ เขาเล่าว่า เขาเล่าว่า ไม่มีความจริงสักนิดหนึ่งเลย ถ้าความจริงๆ เราก็ทำความจริงของเรานี่ไง ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา มันมีอะไรจริงบ้าง มันไม่มีอะไรจริงสักอย่างหนึ่งเลย แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจริง เราเกิดมาก็จริง จริงตามสมมุติด้วย ยังไม่เป็นความจริงแท้เลย

ถ้าความจริงแท้ ความจริงแท้ เรามาวัดมาวาเพื่อทำบุญกุศลของเรา เพื่อสร้างอำนาจวาสนา คำว่า สร้างอำนาจวาสนา” นะ หัวใจมันผ่องแผ้ว หัวใจเราสนิมมันไม่ได้เคาะ สนิมมันไม่ได้เคาะ ทุกอย่างมันบริหารจัดการของมันได้

แต่ถ้าสนิมมันเกาะนะ เกาะจนมันขยับไม่ได้เลย นี่ไง ทิฏฐิมานะของเรา ทำไมต้องมาทุกข์มายากของเรา ทุกข์ยากที่ไหน มันพอใจไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาพอใจขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเต็มที่เลย เวลามันเต็มที่ เวลากิเลสมันจะตาย กิเลสมันจะตายมันโดนศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปไล่ต้อนกับมัน มันจะบอกว่า เราต้องตาย เราต้องตาย ถ้าคนมีสติปัญญา อะไรตายก่อนขอดู อะไรตายก่อน ผมหรือตาย ขนหรือตาย เลือดเนื้อเชื้อไขอะไรมันตาย จิตหรือมันตาย อะไรมันตายก่อน ไม่เห็นมีอะไรตาย

นี่ไง เวลาเต็มที่ กิเลสมันจะตาย มันพลิกแพลงเอาตัวรอดก่อน “ต้องตายแล้ว ต้องตายแล้ว” แล้วอะไรตายล่ะ มึงน่ะจะตาย ถ้ามรรคผลนิพพาน ถ้าศีล สมาธิ ปัญญามันเข้มแข็งขึ้นมามันจะเชือดเฉือนมันจะทำลาย มึงตาย มึงจะต้องตาย แต่มันพลิกขึ้นมาไง เราจะตาย “อู๋ย! ตายแล้วแหละๆ” นี่คนที่มีสติปัญญาเขามีสติปัญญาแค่นั้น

อะไรตาย โดดเข้าสู่ความตาย โดดเข้าไปสู่ความตาย ความตายก็สมมุติทั้งนั้นน่ะ สมมุติว่าตาย เวลาโดดเข้าไปสู่ความตาย ไม่มีอะไรตายเลย มันกลับแวววาวกลับแจ่มแจ้งขึ้นมาถ้ามันเป็นความจริงนะ แต่ใครจะมีสติปัญญาขนาดนี้ ใครจะมีสติปัญญา สติปัญญาถึงเวลาจะเข้าไปเผชิญกับมรณภัย เผชิญกับความจริง มรณภัยมันมีภัยมาจากไหน ไม่มีภัยมาจากไหนเลย มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ความจริงคืออะไร

จิตมันไม่เคยตาย แล้วมันตายไม่ได้ด้วย มันตายไม่ได้ แต่ภพชาติมันตาย มันเสวยภพเสวยชาติ หมดอายุขัยของมัน มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นผลของมัน แต่ถ้าเป็นความจริงๆ อะไรมันตาย

ถ้าตัวมันตายแล้ว ตายแล้วไม่ต้องมาเกิดสิ ถ้าตายแล้วก็ไม่มีอะไรมาเกิดอีกแล้ว แต่ตายแล้วทำไมมันมาเกิดอีกล่ะ พอมันมาเกิดเพราะมันมีเชื้อไขของมันไง มันมีภวาสวะ มันมีภพ มีสถานที่ของมันไง มันไปตามเวรตามกรรมของมันไง พอตามเวรตามกรรม กรรมคืออะไร กรรมคืออยากได้ อยากได้อยากดี

ดูสิ ธุรกิจตอนนี้หลอกล่อมาน่ะได้หมดเลย จะให้ผลประโยชน์เท่านั้นๆ อู้ฮู! ไหลกันมาทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะทุกคนอยากมีผลประโยชน์ ทุกคนอยากเลี้ยงชีพ แต่ความเลี้ยงชีพอย่างนั้นเลี้ยงชีพด้วยอย่างไร แล้วเวลาจะล่อกันก็ล่อด้วยผลประโยชน์ ล่อกันนั่นน่ะ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะตายๆ อะไรมันตาย นี่ไง สิ่งที่มีเวรมีกรรมของมัน มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นของมัน แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ากิเลสตาย กิเลสที่มันยั่วยุอยู่นี่ไง กิเลสที่อวิชชาที่มันไม่รู้เท่าคนอื่นไง ถ้ามันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงนี้ไง แล้วถ้าไม่เป็นความจริง เราจะหาได้มาจากไหน เราหาจากตำราก็ได้แต่ความจำ

เวลาความจำขึ้นมา ความจำยังดีนะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต เคยทำวัตรทำวากันหรือไม่ ศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นหน้าที่ของพระ ศีลอะไร ศีลก็ไว้ให้คนอื่น เราไม่ต้อง เวลาเรา เรามีความจำเป็นทั้งสิ้น ความจำเป็นๆ จำเป็นแค่ไหน ถ้าคนมีสติปัญญามากขึ้นมา ความจำเป็นเขาก็แก้ไขของเขาเป็นชั้นเป็นตอนไปได้ แล้วทำได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลส

แต่ถ้าทำอะไรก็ได้ถ้าเป็นเรื่องของธรรม เป็นเรื่องของธรรมนะ ทำอะไรก็ได้ ถ้ามันมีสติมีปัญญา คำว่า มีสติมีปัญญา” นะ น่าเห็นใจมาก คนที่อยากจะประพฤติปฏิบัติเขาหาที่ หาหนทางของเขา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ทุกๆ คน ทุกๆ ดวงจิตมันมีทิฏฐิมานะในใจของตนเป็นธรรมดา มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งสิ้น

แล้วความเห็น ความเห็น แก้จิตนี้แก้ยาก แก้จิตนี้แก้ยาก แก้จิตคือความเห็นของเรา เวลาปฏิบัติไปเห็นนิมิต เห็นนิมิตจริงไหม จริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง

เราลองคิด ลองนึก ลองมีเวรมีกรรมสิ่งใดสิ มันเป็นไปหมด มันขึ้นมาทั้งสิ้น เวลามันขึ้นมามันขึ้นมาจากใจของเรา ถ้ามันขึ้นมาจากใจของเรา เราจะเชื่อใคร ก็กูเห็นเองน่ะ ก็กูเห็น กูรู้เองน่ะ ก็บอกปัจจัตตังไง นี่ก็ปัจจัตตังไง แต่มันปัจจัตตังโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก โดยอุปาทานน่ะ มันไม่ใช่ปัจจัตตังโดยข้อเท็จจริงไง

เวลาปัจจัตตังโดยข้อเท็จจริงนะ จะพลิกจะแพลงขนาดไหน จะค้นคว้าขนาดไหน มันก็จริง ถ้ามันสิ้นไปแล้วมันก็สิ้นจริงๆ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปไม่มีเหตุมีผล เห็นไหม นี่ไง “ว่าง ว่าง” มันมีอยู่จริง แต่เอ็งไม่รู้ เอ็งไม่ขวนขวายจริง เอ็งไม่ทำจริง เอ็งไม่ขุดคุ้ยจริง เอ็งก็ไม่เห็นความจริง เพราะกิเลสมันจัดฉากให้ กิเลสมันจัดฉากให้เลยนะ “ว่างเลย อ๋อ! ธรรมะเป็นเช่นนี้เอง”

มีเหตุมีผลอะไร เวลาไปฟังครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ งงนะ “เอ๊อะ! มีอย่างนั้นด้วยหรือ มีอย่างนั้นด้วยหรือ” แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านเป็นความจริงท่านเทศนาว่าการนะ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติรู้จริงนะ ใช่ๆๆ มันเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นเทศน์ ท่านบอกเหมือนเครื่องบินเลย ตั้งแต่เหินขึ้นไปเลยนะ เหินขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลย ตั้งแต่เริ่มทำความสงบของใจเข้ามา จิตสงบอย่างไร สงบแล้วขุดคุ้ยหามันอย่างไร ถ้าไม่ขุดคุ้ยไม่หา มันเจอได้อย่างไร นี่บอกกิเลสๆ คนไม่รู้จักกิเลส ฆ่ากิเลสได้อย่างไร

แต่นักปฏิบัตินะ “โอ๋ย! กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสไม่ต้องไปเห็นมันหรอก” บางสำนักก็ว่า “โอ๋ย! เราแค่พอทำว่างๆ ก็ใช้ได้แล้วแหละ สมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหานต้องฆ่ามันเป็นการทารุณโหดร้าย”

พอมันเป็นการทารุณโหดร้ายมันก็เลยไปเข้าทางกิเลสหมดเลย “พวกเรามานี่ พวกเราคนมีมารยาท พวกเราเป็นคนหวังดี พวกเราเป็นคนที่มีคุณธรรม ไอ้พวกที่โหดร้าย ไอ้พวกที่สมุจเฉทปหาน ให้เขาไปอยู่กับพวกเขาเถอะ”

เราได้ยินมาอย่างนี้เยอะแยะไปหมด นี่ไง แสดงว่าที่พูดออกมาแสดงว่าไม่มีคุณธรรมแม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย ไม่มีความรู้จริงแม้แต่นิดเดียวเลย

ทางการแพทย์ ลองเข้าไปสิ หมอประจำบ้าน เริ่มต้นเขาตรวจสอบก่อน ตรวจสอบว่ามันเป็นโรคภัยไข้เจ็บสิ่งใด แล้วก็ส่งไปเฉพาะทางแล้ว ตาไปตา หูไปหู หัวใจไปหัวใจ โรคภัยไข้เจ็บเขาส่งไปแล้ว แต่เริ่มต้นหมอประจำบ้านตรวจก่อน

นี่ก็เหมือนกัน เอ็งไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรเลย กิเลสๆ กิเลสก็เป็นชื่อ เวลาบอกว่า “ไม่ต้องไปขุดคุ้ยมัน ไม่ต้องไปขุดคุ้ยมัน มันว่างๆ ว่างๆ ก็ใช้ได้แล้ว” นี่ไง เข้าทางกิเลสหมดเลย นี้มันก็เป็นที่วุฒิภาวะ เป็นที่อำนาจวาสนา

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะนะ อาฬารดาบส อุทกดาบสรับประกันค้ำประกันขนาดไหนไม่เอา ครูบาอาจารย์ยกย่องขนาดไหนท่านไม่เชื่อ เพราะอะไร เพราะเอ็งยัง งงๆ อยู่นะ

โธ่! คนที่ประพฤติปฏิบัติมามันผ่านมาหมดแหละ บอกว่า “เราตายแล้วไม่เกิด”

จริงหรือ ในใจเอ็งน่ะมันมีความสงสัย มันมีกิเลสของมันนะ เวลาคนที่สิ้นแล้วนะ ผลักให้มันไปตายมันยังไม่เห็นเลย ผลักเข้าไปมันก็ไม่กลัวเลย ผลักให้มันตายไปเลย ไม่เห็นมีอะไรตาย นี่เวลาเป็นจริงแล้ว แล้วอะไรไปเกิด ถ้าจริงก็คือความจริง ความจริงมันต้องมีเหตุมีผล มันต้องมีการกระทำ ถ้ามันทำความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นความจริงของมัน ถ้าเป็นความจริงของมัน เห็นไหม

นี่พูดถึงคนที่มีอำนาจวาสนามันก็คิด กาลามสูตรนะ ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ท่านสูงส่งขนาดไหน ท่านจะพูดขนาดไหนเรื่องของท่าน หลวงตา หูท่าน ตาสับปะรดเลยล่ะ ครูบาอาจารย์ที่ไหนถ้าพูดเป็นธรรมๆ ท่านจำแม่นเลย ถ้าไม่มีอยู่จริงพูดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าในใจไม่มีอยู่พูดอย่างนี้ไม่ได้ แล้วถ้าพูดออกมานี่เป็นความจริง

ไอ้นี่โอ้โฮ! สัพเพเหระ นู่นก็ไม่ต้อง นี่ก็ไม่เป็นไร เราเป็นพวกเราเถอะ แล้วพวกเรามันเยอะไง ขนโคกับเขาโคไง ไอ้ขนโคมันเยอะ ไอ้สุกเอาเผากินมันเยอะ ไอ้มักง่ายอยากได้อยากดี อยากได้โดยที่ไม่มีเหตุไม่มีผลน่ะเยอะ ดูแจกตังค์สิ ลองได้แจกตังค์ คนไม่พอแจกแล้วกันแหละ คนเอาไม่มีวันจบวันสิ้น

นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องมีเหตุมีผลอะไรทั้งสิ้น ได้ทำ ได้ทำไปหมดเลย แล้วพระพุทธศาสนาทิ้งไว้ให้ใครล่ะ

พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม แล้วธรรมไปไหนล่ะ แล้วถ้าไม่มีธรรม มันเกิดพระพุทธศาสนาขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ พระพุทธศาสนา รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมมันไปไหนล่ะ แล้วสัจธรรมมันเป็นอย่างไรล่ะ

แล้วถ้าเป็นความจริงๆ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ๆ เห็นไหม เขาบอกว่า “ทำไมเทวดาต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ทำไมเทวดาต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น”

ก็หลวงปู่มั่นจิตใจท่านสว่างไสว โยมกั้งมองเข้าไปในวัด โอ้โฮ! ดวงใหญ่โตครอบสามโลกธาตุ ทำไมเทวดาไม่รู้ ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมจะไม่รู้ว่าจิตใจอันไหนมันสว่างไสว จิตใจอันไหนมันเป็นธรรม จิตใจอันไหนมันมีแต่ความเห็นแก่ตัว จิตใจอันไหนมันเหม็นขี้ ถ้าจิตใจอันไหนมันแวววาว เขาก็ไปหาอันนั้นไง

เทวดา อินทร์ พรหมเขายังต้องมาฟังธรรม ยังต้องการอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ ดับอย่างไร เพราะอะไร

ในโลกเราจะยากดีมีจน มันมีความทุกข์เผาหัวใจมันทั้งสิ้น คนเรานะ ถ้ามีอำนาจวาสนาขนาดไหนมันก็อาลัยอาวรณ์ ความอาลัยอาวรณ์เป็นทุกข์อันที่ละเอียดที่สุด คือทุกสิ่งทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ครบพร้อม แต่มันก็ไม่รู้ว่าจะใช้อะไร แล้วชีวิตคืออะไรล่ะ

แต่เวลาคนทุกข์คนยากปากกัดตีนถีบเพื่อหาอยู่หากิน คนที่กำลังขวนขวายอยู่ก็กำลังขวนขวายอยู่ ทุกข์ประจำทุกๆ หัวใจทั้งสิ้น มันมีของมันไปหมด เห็นไหม คนทุกข์คนจนต้องแสวงหาเพื่อหาอยู่หากินนี่เป็นคนทุกข์ คนร่ำคนรวย คนที่มีอำนาจวาสนาไม่ทุกข์ ไม่มี ทุกข์เหมือนกันหมดเลย แต่ทุกข์หยาบ ทุกข์ละเอียด เพราะเขามีอำนาจวาสนาไง เขามีบุญกุศลของเขาไง เขาเกิดมาแล้วเขาก็อุดมสมบูรณ์ในชีวิตเขาไง เรามันขี้ทุกข์ขี้ยากมาตั้งแต่ต้นไง เวลาปฏิบัติยังขี้ทุกข์ขี้ยากต่อเนื่องกันไปไง แล้วปฏิบัติยังเชื่อกิเลสให้กิเลสหลอกอีกไง มันไม่เป็นความจริง เห็นไหม

ถ้าเป็นความจริงๆ มันอยู่ที่วาสนาของเรา ใครมีอำนาจวาสนามันจะมีจุดยืน ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ด้วยมารยาทนะ ใครพูดอะไรฟังทั้งสิ้น ฟังทั้งนั้นน่ะ แต่ฟังแล้วมาไตร่ มาตรอง มาคิด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ อย่าเชื่อใครง่ายๆ ฟัง ฟังเพื่อเหตุเพื่อผล ทุกคนเวลาพูดออกมาเขามีประสบการณ์ของเขา ด้วยเหตุด้วยผล แต่มันจริงหรือไม่ แล้วถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงมันต้องแก้กิเลสเราได้ ถ้ามันแก้กิเลสเราไม่ได้มันไม่จริง เพราะเราศึกษาและประพฤติปฏิบัติมาจนสิ้นกระบวนการคำสอนของเขาแล้ว กิเลสมันยังยิ้มอยู่เลย

เวลาหลวงตา เวลาท่านบอกหลวงปู่มั่นเวลาแปลบาลีไง แปลตีหัวกิเลส เวลาตีหัวกิเลส ต้องตีหัวกิเลสให้กิเลสยุบยอบลงไป แล้วจับมันได้ พิจารณามันได้ จนกว่ามันจะตายต่อหน้า สมุจเฉทปหาน เวลามันสิ้นไปแล้วๆ สิ้นไปแล้วก็ต้องรู้ว่าสิ้น เกิดญาณทัสสนะ เกิดความรู้ เกิดความกระจ่างในใจของตน แล้วจบ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐอย่างนี้

เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา นี่ไง บริษัท ๔ เจ้าของศาสนา ได้สิทธิ์มาทุกคนเท่ากันหมดเลย แต่ใครจะค้นคว้าหาขึ้นมาได้ ได้พินัยกรรมมาแล้วเราจะได้ทรัพย์สมบัติจริงหรือไม่ แล้วถ้าได้จริงขึ้นมาจะได้จริงกลางหัวใจของเรา เอวัง