เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ธรรมะเป็นสัจธรรม สัจธรรมที่เข้าถึงหัวใจได้ยาก เพราะหัวใจของเรามีทิฏฐิมานะ คำว่า ทิฏฐิมานะ” มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำหัวใจนี้ ถ้าครอบงำหัวใจนี้ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าอนุปุพพิกถา

ถ้าพูดถึงคนที่พยายามจะหาทางออก อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านตรัสรู้ใหม่ๆ พระยสะก็มีปราสาทสามหลังเหมือนกัน แล้วพระยสะมันวุ่นวายมาก เป็นเศรษฐีมีปราสาทสามหลัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีปราสามสามหลัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละการจะได้ขึ้นครองราชย์ออกไปประพฤติปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ แล้วเดินจงกรมอยู่ไง

พระยสะเขาอยู่ในบ้านเขา เขาเป็นเศรษฐีเหมือนกัน เขามีปราสาทสามหลังนะ “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” มันบีบคั้นหัวใจน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ “ยสะมานี่ ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย”

ที่นี่คือหัวใจ ที่นี่ แต่เราไปดูกันว่ายศถาบรรดาศักดิ์ ไปดูที่ข้าวของเงินทองมันเดือดร้อนไง แต่ไม่รู้ว่าหัวใจมันเดือดร้อน หัวใจเรามันทุกข์มันยาก ถ้าหัวใจมันทุกข์มันยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย”

เวลาคนที่เขาพยายามจะหาทางออก ที่เขามีบุญ มีอำนาจวาสนา คนเรามีอำนาจวาสนานะ เป็นเศรษฐีมีปราสาทสามหลังเห็นว่าที่นี่เป็นที่วุ่นวาย ที่นี่เป็นที่เดือดร้อน

ไอ้ของเรานี่ขอให้ได้เยอะๆ ยิ่งมากยิ่งดี เดือดร้อนก็ไม่เป็นไร เหงื่อไหลไคลย้อยยิ่งยอดเยี่ยม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีระดับของทาน อนุปุพพิกถา ระดับของทานนะ ให้เสียสละทาน เสียสละทานเพื่ออะไร คนที่เสียสละทานได้บุญกุศล คนที่ทำบุญกุศลจะมีอำนาจวาสนาได้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้าเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

มันก็เหมือนกับเรา เราเกิดมา เกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พระอรหันต์ที่ดีงาม พระอรหันต์ที่พาลูกพาหลานไปทำคุณงามความดี นั่นพระอรหันต์ที่ดีงาม

พระอรหันต์ ดูสิ เวลาในข่าว พ่อแม่สอนให้ลูกไปลักของ พ่อแม่สอนอย่างนั้น นี่ไง พระอรหันต์อย่างนั้นหรือ พระอรหันต์ทำไมพาให้ลูกไปเล่นการพนัน ให้ลูกไปเสพยาบ้า พระอรหันต์เป็นอย่างนั้นหรือ ทำไมพระอรหันต์ไม่มีอำนาจคุ้มครองลูกหลานของตนให้เป็นคนดีได้ล่ะ

คุ้มครองดูแลลูกหลานของตนให้เป็นคนดีไม่ได้เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย มันมีเวรมีกรรมต่อกันมา เวลามีเวรมีกรรมต่อกันมา กรรมที่มีการกระทำมานั้นมันเป็นอดีตอนาคตนะ สิ่งที่เรามา เรามาจากอดีตนะ ถ้าไม่มีหัวใจ เอาอะไรมาเกิด นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ไม่มีๆ ไม่มี เอาอะไรมาเกิด

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันสร้างบุญกุศลมาอย่างไร มันได้สร้างบาปสร้างกรรมมาอย่างไร เวลามันสร้างบาปสร้างกรรมมา กรรมมันให้ผล

แล้วบอกว่า ทำกรรมแล้วไม่ได้กรรม ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทุกอย่างไม่ได้ดี

ไอ้การทำความดี ทำความดีเราก็ทำความดีของเรา ทำความดีของเรา ผลประโยชน์ของเรา ความดีของเราคือปฏิภาณไหวพริบของเรา คืออำนาจวาสนาของเรา คือสติปัญญาของเรา เอาตัวรอดได้

คน ดูสิ คนหาเงินหาทองไปเที่ยวแจกเขานะ ให้คนนู้นหลอก ให้คนนี้หลอก ทำไมมันเบาปัญญาอย่างนั้นน่ะ ก็เวรกรรมของเขา เวรกรรมของเขา

มันมาฝึกมาหัดกันไง ถ้ามาฝึกมาหัด ระดับของทาน ระดับของศีล ศีลคือความปกติของใจ ระดับของภาวนาก็หัดภาวนากัน

ฉะนั้น มาวัดมาวา มาวัดมาวา พระกรรมฐาน ประพฤติปฏิบัติ เรื่องอย่างนี้นะ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาสิ่งปลูกสร้างมันก็แค่เหล็กหินทราย แค่เหล็กแค่หินแค่ทราย ไปตื่นเต้นอะไรกับมัน เวลาพระปฏิบัติก็เรื่องอาหาร เราไปตื่นเต้นอะไรกับมัน พอตื่นเต้นนะ มันเป็นการฝึกหัด พอมันเป็นการฝึกหัด เราจะไม่ให้สิ่งนี้เป็นความยิ่งใหญ่

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ยิ่งใหญ่ในหัวใจของคน ในเจตนาของคน ในเจตนาที่เป็นผู้ที่แสวงหาอาหาร แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาถวายพระต่างหาก หัวใจนั้นยิ่งใหญ่ หัวใจผู้ถวายนั้นยิ่งใหญ่ เพราะหัวใจนั้นมันมีเจตนา มีความเชื่อของมัน ถ้ามีความเชื่อของมัน ทำคุณงามความดี เราไม่มาติดแค่ไอ้ปลายเหตุ

พอติดที่ปลายเหตุแล้ว เวลาว่าพระพุทธรูปบังธรรม เวลาไหว้พระก็ลูกชาวบ้าน

ก็ลูกชาวบ้านจริงๆ แต่ลูกชาวบ้านเขามีสติปัญญาของเขา เขาแสวงหาของเขา มีการกระทำของเขา แล้วมีการกระทำของเขา มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ฝึกมา

เราเคยอยู่กับหลวงตานะ หลวงตาท่านพูดประจำ ใครจะมาติฉินนินทาท่าน ท่านไม่สนใจเลย ท่านบอกท่านไม่ได้คิดเอง ท่านบอกว่าท่านฝึกหัดมาจากหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ดูสิ เวลาหลวงตาท่านถามเลย ถามหลวงปู่มั่นว่า พระสมัยพุทธกาลห่มผ้าสีอะไร พระเขาทำกันอย่างไร

เวลาหลวงปู่มั่นนะ ศาสนามันมีแต่ความเชื่อ มีแต่ความเชื่อเท่านั้นน่ะ พระก็อยู่กันไปเป็นแค่ละคร สมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์มันก็อยู่ด้วยความอย่างนั้นนะ

หลวงปู่มั่นท่านพยายามประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านศึกษาในพระไตรปิฎกของท่าน แล้วสมัยพุทธกาลทำอย่างไร พระห่มผ้าสีอะไร ซักผ้ากันอย่างไร ทำกันอย่างไร นี่ต้องฟื้นฟูขึ้นมา ฟื้นฟูขึ้นมาด้วยตำรับตำราก่อน แล้วตำรับตำราบอกว่าทำอย่างไร หลวงตาท่านคุยกับหลวงปู่มั่นท่านถามไปหมด

เพราะหลวงตาท่านเป็นมหา แล้วเขาทำกันอย่างไรๆ แล้วก็ฟื้นฟูมา ฟื้นฟูมา มีกปฺปิยํ กโรหิ มีผ้านิสีทนะ มีหมด เมื่อก่อนไม่มีนะ เมื่อก่อนทำอย่างไรก็ได้ แต่เวลาวินัย ภิกษุพรากของเขียวเป็นอาบัติปาจิตตีย์ พืชที่มันเกิดได้ พืชคาม ภูตคาม

พืชคามคือของเขียว ภูตคามคือสิ่งที่มันเกิดได้ สิ่งที่เกิดได้ เราไปกำจัดสิทธิ์ของมัน ฉะนั้น พระเขารังเกียจ พอพระรังเกียจขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่าให้กปฺปิยํ กโรหิ

คำว่า ประเคนแล้ว” ถ้าของเราประเคนแล้ว เราให้แล้ว ถ้าไม่ให้ ภิกษุจะไปจับต้องเองไม่ได้ สิ่งที่เวลาให้แล้ว ให้แล้วรังเกียจว่ามันจะเกิดได้ ถ้ารังเกียจว่ามันจะเกิดได้ กปฺปิยํ กโรหิ สิ่งนี้สมควรแก่ภิกษุหรือไม่

ถ้าสมควรแก่ภิกษุค่ะ สมควรแก่ภิกษุ ทั้งๆ เป็นสิทธิ์ของเขาแล้ว ให้ทำพืชคาม ภูตคามต่างๆ นี่มันฟื้นฟูมา ฟื้นฟูมาไง ถ้าฟื้นฟูมาแล้ว เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ใครจะมาจับผิดติฉินนินทาท่านไม่สนใจ ไม่สนใจเพราะเราไม่ได้คิดเอง เราไม่อุตตริมาด้นเดาขึ้นมากันเอง สิ่งที่มันมีมาอยู่แล้วในตำรับตำรา แต่ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ปล่อยปละละเลยกันมาตลอด

เวลาครูบาอาจารย์ท่านมาฟื้นฟูของท่านๆ แล้วฟื้นฟูของท่าน ฟื้นฟูด้วยเจตนาที่เป็นธรรมนะ ไม่ใช่ฟื้นฟูจากความเป็นตัวตนของตน

ถ้าเป็นตัวตนของตนมันว่าอย่างนี้ๆๆ เอ็งว่าอย่างไร แล้วเวลาจะว่าจะบอกเลย “พุทธพจน์อย่างนั้นๆ”...ว่าอะไร

แต่ถ้าคนที่เขาเป็นคุณธรรมนะ ทำให้เข้าไปในเจตนาของพุทธพจน์นั้น เราทำให้เข้ากับสิ่งสิ่งนั้น ไม่ใช่ว่า “อู๋ย! สิ่งนั้นเป็นผิด สิ่งนั้นเป็นถูก”

เราเห็นแล้วเรารับไม่ได้ แล้วมันก็เรื่องกรรมของสัตว์นะ เดี๋ยวนี้มีผู้ที่อวดดีอวดเก่งเขาจะบอกว่าเขาว่าอย่างนั้นๆ...แต่ไม่ใช่

หลวงตาท่านบอก บอกว่าพระเรานี่นะ จะทำให้สมบูรณ์แบบในธรรมวินัยทำได้ยาก แต่เราก็จะพยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด

นี่เพราะว่าอะไร เพราะกิริยาอย่างนั้นเป็นกิริยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนสีหไสยาสน์ เวลาเขียนธรรมวินัยมันก็เริ่มต้นพระทั้งหมด โยมทั้งหมด ทุกอย่างทั้งหมด ไม่มีการยกเว้นใดใดทั้งสิ้น แต่มันเป็นที่อำนาจวาสนา เวลาคนที่เขาทำได้ เขาทำได้ด้วยความรื่นเริงความชุ่มชื่นของเขา ไอ้เราเป็นลิง เวลาลิงทำอะไรมันติดขัดไปหมด ลิงมันโดนมัด มันอึดอัด แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุด เราทำให้ดีที่สุดเพื่ออะไร

ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่ผิดศีล ผิดศีลคืออะไร ผิดศีลคือความเป็นอาบัติ เป็นความชั่วหยาบ เป็นการทำพลั้งเผลอ เป็นการทำให้สติมันฟั่นเฟือนไป

เวลาเราฝึกหัด ฝึกหัดมีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเพื่อฝึกหัดสติปัญญา เวลาการประพฤติปฏิบัติ ถ้าใครมีสติสมบูรณ์นะ อันนั้นจะเป็นสัมมาทิฏฐิความปฏิบัติที่ถูกต้องดีงาม

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน เราเดินจงกรมเหมือนกัน นั่งสมาธิเหมือนกัน แต่สติเราขาด เราเลื่อนลอยไป หลวงตาบอกว่า สุนัขมันก็เดินได้ สุนัขมันวิ่งไปวิ่งมาน่ะ มันดีกว่าคนอีก เดินจงกรม เดินจงกรมถ้าขาดสติไง

แล้วสิ่งที่การกระทำ การกระทำมันฝึกหัดทั้งนั้น พอมันฝึกหัดทั้งนั้น การฝึกหัดการพยายามดูแลรักษาหัวใจของตน รักษาหัวใจของตน เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาศีล สมาธิขึ้นมา ถ้ามันมีศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติขึ้นมาก็ฝึกหัดของมันขึ้นมา มีสติมีปัญญาขึ้นมา มันคัดมันเลือกมันแยกของมัน ไอ้สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยไทยทานของญาติโยม ภิกษุทำให้ไทยทานนี้ตกล่วง ภิกษุทำให้หัวใจของคนที่ศรัทธาแล้วไม่ศรัทธา เป็นอาบัติปาจิตตีย์นะ ในพระไตรปิฎก

หมู่สงฆ์บังคับให้ภิกษุที่เป็นก้างขวางคอที่ทำลายศรัทธาเขา ให้ไปขอโทษกับคฤหัสถ์ ในพระไตรปิฎกก็มี

ถ้ามันเป็นความจริงๆ เขาทำความจริงเพื่อความดีงาม ทำสิ่งใดที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา แล้วศาสดาของเรานะ

“โอ๋ย! นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด นู่นก็ไม่ถูกไปหมดเลย กูถูกคนเดียว”...ผิด

เวลาถ้ามันถูกนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะถูก เราน่ะผิด เราผิดเพราะอะไรเพราะมันทิฏฐิมานะ อีโก้ อยากดัง อยากใหญ่ อยากมีตัวตน อยากให้เขามองเห็น กูนี่ไบรต์ ความคิดยอด...แต่ความจริงไม่ใช่

เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมท่านซาบซึ้งถึงปัญญา ซาบซึ้งถึงเมตตา ซาบซึ้งถึงเมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่าๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร

ใครที่ประพฤติปฏิบัติเวลามันมีคุณธรรมในหัวใจนะ จะลงใจในพุทธคุณ ในธรรมคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความซาบซึ้ง ด้วยความซาบซึ้ง แล้วจะบอกว่า เราแน่ เราดี เราเก่ง มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ไอ้ที่มันเป็นไปแล้วมันเพราะตัวตนของมันยิ่งใหญ่ ถ้าตัวตนมันไม่ยิ่งใหญ่ มันจะบอกนู่นผิดนี่ผิดได้อย่างไร

พุทธพจน์ก็พุทธพจน์สิ พุทธพจน์ก็เป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่บัญญัติมาสองพันกว่าปี ถ้ามีสิ่งใด สิ่งนั้นเราก็ยกเชิดชูบูชาไว้ แล้วถ้าสมัยปัจจุบันเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเราให้ได้จริงขึ้นสิ เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามชี้นำให้เราปฏิบัติธรรมขึ้นมาในหัวใจใช่ไหม ให้หัวใจเราดีงามขึ้นมาใช่ไหม ถ้าเราหัวใจดีงามขึ้นมามันอยู่ที่ตรงนี้ไง

แล้วอยู่ที่ตรงนี้แล้ว ร่องรอยของเรา เห็นไหม พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราเคารพบูชาทั้งสิ้น แม้แต่กษัตริย์ลงมาถึงคนทุกข์คนจนเข็ญใจก็เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมีคุณค่าแค่ไหน แต่พวกเรามองข้ามกันหมดไง

พวกเรามองข้ามไปหมดเลย “สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยๆ”

มึงจะตายอยู่แล้วยังประชาธิปไตย มีกินหรือเปล่า รู้จักบาปบุญคุณโทษหรือไม่ ถ้ารู้จักบาปบุญคุณโทษ ประชาธิปไตยมันมาทีหลัง เพราะรู้จักบาปบุญคุณโทษแล้ว ในสภาใดก็แล้วแต่ถ้าเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีเหตุมีผล นั้นถึงจะเป็นสภา ถ้าสภาใดเอาสีข้างเข้าถู มีแต่เห็นแก่ตัว มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ นั่นมันเป็นสภาได้อย่างไร

นี่ไง “ประชาธิปไตยๆ” เอ็งจะตายอยู่แล้ว กิเลสมันเหยียบหัวมึงอยู่ยังจะประธิปไตยอีกหรือ

ธรรมาธิปไตย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ประเสริฐมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ปู่ก็มีหน้าที่ของปู่ ปู่ก็ทำสถานะของปู่ให้ด้วยความเคารพบูชา พ่อแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้สมบูรณ์แบบ ให้เป็นที่เคารพบูชา ลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้สมบูรณ์แบบ ให้เป็นที่น่าเคารพบูชา อาจารย์ก็เป็นอาจารย์ที่สมบูรณ์แบบ เป็นที่น่าเคารพบูชา ลูกศิษย์ก็เป็นลูกศิษย์ที่สมบูรณ์แบบ ที่พยายามศึกษาพยายามค้นคว้าเพื่อหาสัจจะความจริงของเราด้วยความสมบูรณ์แบบ เป็นที่น่าเลื่อมใส นี่ไง ธรรมาธิปไตยๆ

ประชาธิปไตยๆ อ้างทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันขี่หัว กิเลสมันจะยกตนข่มท่าน มันจะตีตัวเสมอคนอื่น มันไม่ได้คิดดูตัวมันเองเลย เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาที่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่จิตดวงนี้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง จิตที่เขาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นั่นน่ะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เวลาเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์คือหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสิ่งมีชีวิตนี้ไง สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ วิญญาณในวัฏฏะนี้ไง นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาตรงนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำอย่างนั้น พระพุทธศาสนามันยอดเยี่ยมอย่างนั้น

พอยอดเยี่ยมอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ของเราฟื้นฟูมาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นแบบอย่าง นี่ถ้าพระปฏิบัติเขาเข้มงวดของเขา เข้มงวด เริ่มต้นจากเข้มงวด ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเราเต็มหัวใจ มันเข้มงวดมันก็เข้มงวดแบบโดยกรอบ โดยพิธีกรรม มันก็อึดอัดขัดข้องของมัน

แต่เวลามันทำไป มันทำไปแล้วมันเห็นผลของมันนะ ไม่ใช่กรอบแล้ว เป็นเนื้อแท้ เนื้อแท้มันภูมิใจ เนื้อแท้มันเห็นคุณค่า เนื้อแท้ไง

แต่เริ่มต้นขึ้นมา ทุกคนมามันก็มาโดยสมมุติ มาโดยสามัญสำนึก มันมาโดยกรอบทั้งนั้นน่ะ กรอบคือธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง คือศาสดาของเรานี่ไง แต่หัวใจของเรากิเลสมันวิ่งเต้น กิเลสมันยุมันแหย่ มันยุแยงตะแคงรั่วในใจนี้ไง

มันก็เหมือนมาโดยกรอบ มาโดยกรอบคือมาโดยกรอบธรรมวินัย มันก็ต้องมาฝึกหัดกัน เวลาฝึกหัดกันมันก็อึดอัดขัดข้องเป็นเรื่องธรรมดา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลย ภิกษุใหม่ทนคำสอนได้ยาก เพราะอะไร ประชาธิปไตยไง สิทธิมนุษยชนไง เราก็เป็นคนคนหนึ่งไง พอบวชเป็นพระแล้วจะมาให้ครูบาอาจารย์โขกสับๆๆ มันเรื่องอะไร มันไม่ยอมหรอก มันไม่ยอม นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันติดนิสัยฆราวาสมา นิสัยฆราวาสคือนิสัยเห็นแก่ตัวตัวเอง ถือตัวถือถือตนมาตลอด เวลาบวชขึ้นมาแล้ว เพราะธรรมวินัยมีอาวุโส ภันเต

พออาวุโส ภันเต คำว่า อาวุโส ภันเต” ผู้ที่เขาศึกษามาก่อน ผู้ที่ปฏิบัติมาก่อน

ไอ้เรามาถึงชี้พ่อแม่ อู้ฮู! ผิดไปหมดเลย ลูกดีไปหมด แล้วไอ้พ่อแม่ก็ว่ากูอาบน้ำร้อนมาก่อนมึงนะ มันว่ามันไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะมันมีเวรมีกรรมต่อกัน นี่มันเป็นไปโดยวัย

พระก็เหมือนกัน เวลามาบวชใหม่ บวชใหม่ขึ้นมา อื้อหืม! ขยับไม่ได้เลย ศีล ๒๒๗ ขยับไม่ได้เลย ในพระไตรปิฎกมีพระไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกขอสึก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ทำไมถึงสึกล่ะ” “อู้ฮู! ศีล ๒๒๗ ขยับอะไรก็ผิดไปหมดเลย” “ถือศีลข้อหนึ่งได้ไหม” “ได้ ถือศีลอะไร”

“ถือศีลคือเจตนาคือหัวใจไว้” ถือศีลข้อเดียวเท่านั้นน่ะเป็นพระอรหันต์ได้เลย

นี่ไง คนเรามันผิดพลาดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่สิ่งที่ทำมาๆ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคนทำผิดมาๆ พอมีคนทำผิดมา มาฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติๆ ไว้ ภิกษุไม่ควรทำอย่างนั้น ภิกษุไม่ควรทำอย่างนั้น

เพราะจิตใจของคนมันมีสูงมีต่ำใช่ไหม คนที่หัวใจละเอียดอ่อนเขาเห็นเขาก็เคารพว่าพระของเราควรจะยอดเยี่ยม พระของเราต้องเป็นนางงาม ไอ้คนที่ปานกลาง ไม่เป็นไร อะไรก็ได้ ไอ้คนที่ไม่เชื่อถือเลยยิ่งไปใหญ่เลย เห็นไหม

นี่พูดถึงเวลาธรรมวินัยบัญญัติมาแล้ว สิ่งที่บัญญัติ

นี่กล่าวตู่พุทธพจน์ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติแล้วเราไปดัดไปแปลง ไปเปลี่ยนแปลง เห็นไหม กล่าวตู่พุทธพจน์ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เราไปบัญญัติ ผิดทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาผิดนะ ถ้ามีภิกษุมาเตือนถึงสามหน ถ้าไม่แก้ไขความเห็นของตน สังฆาทิเสสเชียวนะ สังฆาทิเสสเชียว

แต่โลกเขาก็ปล่อยปละละเลยกัน ปล่อยปละละเลยเพราะว่าเขาเห็นว่ากฎหมายไว้บังคับคนอื่น เราต้องอิสระเสรีภาพ

นี่ก็เหมือนกัน แต่พระป่าพระกรรมฐาน กฎหมายไม่บังคับเรา ศีลไม่บังคับเรา เพราะเราเป็นคนนั่งภาวนาเอง เราเป็นคนเดินจงกรมเอง เราเป็นคนบังคับหัวใจเราเอง เราอยากได้คุณธรรมในใจเราเอง ใจเรามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากขนาดไหน คนทำสมาธิไม่ได้มันแสนทุกข์แสนยากมากขึ้น

เวลาเป็นสมาธินะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาจิตสงบแล้วมันมหัศจรรย์ขนาดนั้น เวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่หมุนติ้วๆๆ หมุนติ้วคือปัญญาจากภายใน ไม่ใช่ปัญญาจากสมอง ไม่ใช่ปัญญาจากการคิด ไม่ใช่ปัญญาจากโลกๆ อย่างนี้

ปัญญาอย่างนั้นมันจะเกิดขึ้นได้มันเกิดจากความสามารถของจิตดวงนั้น เกิดจากจิตดวงนั้นที่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน มีสติที่คุ้มครองดูแล มีปัญญาสามารถยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ วิปัสสนาคือเห็นความชั่วร้าย กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่บีบคั้นหัวใจอันนั้น นี่คือภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา แล้วจิตทุกดวงมีโอกาสทำได้

เว้นไว้แต่ไม่มีอำนาจวาสนา อ่อนแอ หยิบโหย่ง จับจด ไม่ได้เรื่อง

แต่ถ้าเป็นจริงๆ มันต้องทำได้ แต่ต้องใช่ความวิริยะ ความอุตสาหะ ใช้ความรอบคอบ แล้วมีครูบาอาจารย์คอยตรวจคอยทาน คอยประพฤติปฏิบัติ

เพราะสมัยก่อนมันมีคันถธุระ วิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระคือครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติสมบูรณณ์แบบแล้วมองอะไรก็ทะลุปรุโปร่งหมด อย่างเช่นเราผ่านงานสิ่งใดมา คนมาฝึกงานกับเรา เรารู้เลยว่าถูกผิดอย่างไร

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงเขามีธรรมในหัวใจแล้ว ใครปฏิบัติขาดตกบกพร่องอย่างไรเขาจะคอยดูแลรักษา นี้เราถึงแสวงหาครูบาอาจารย์ เราถึงพยายามประพฤติปฏิบัติของเราให้มีอำนาจวาสนาให้ได้พบพระที่ท่านได้มีสติมีปัญญาสามารถคอยชี้แนะหัวใจของเรา

ยสะ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่วุ่นี่นวายหนอ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมาเลย “ยสะมาที่นี่ มานี่ๆๆ ที่นี่ไม่เดือดร้อน”

ที่นี่ไม่เดือดร้อน หัวใจของคนไม่เดือดร้อน หัวใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติสิ้นสุดแล้วไม่เดือดร้อน เอวัง