เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานคือเราฝึกฝนให้คนฉลาด
พ่อแม่เวลาส่งเสียลูกหลานให้เรียนหนังสือ ให้ธรรมเป็นทาน การให้ธรรมเป็นทานนี่นะ ให้ข้อมูลข่าวสาร ให้ความถูกต้องดีงามกับหัวใจของเรา ให้ธรรมเป็นทาน พอให้ธรรมเป็นทานขึ้นมา ทุกคนหัวใจที่ฉลาดแล้วใครจะมาหลอกมาลวงได้
สิ่งที่เขามาหลอกมาลวงเพราะอะไร เพราะว่าจิตใจอ่อนแอ ความโลภ อยากได้ของเขา ไอ้ที่โดนหลอกๆ ส่วนใหญ่แล้วเพราะความอยากได้ แล้วทำไมต้องไปอยากได้ล่ะ ความอยากได้ เพราะความอยากได้อยากดีอันนั้นน่ะมันจะให้เราเข้าไปเป็นเหยื่อของสังคม
เรามีสติปัญญาของเราสิ เรามีสติปัญญา ใกล้วันปีใหม่ เวลาปีใหม่ วันหยุดยาวเขาจะไปพักผ่อนกัน เขาจะหาที่สงบสงัด เขาจะไปเพื่อความพักผ่อนดีงาม แต่เวลาไปแล้วมันก็เกิดอุบัติเหตุ มันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา
เขาปรารถนาความดีทั้งนั้นน่ะ ทำไมเขาไปประสบอุบัติเหตุล่ะ
แต่เวลาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็พักผ่อนของเรา ถ้าเราจะไปเที่ยวตากอากาศก็เรื่องหนึ่ง เวลาเราจะไปวัดไปวาขึ้นมา ไปวัดไปวาขึ้นมาเราต้องการสงบสงัด
เวลาเราไปที่ที่อากาศดีงาม ไปที่ที่ทิวทัศน์ดี เราก็ชื่นใจ
หัวใจของเราก็เหมือนกัน หัวใจของเรามันอยู่แต่ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงมันหมักหมมหัวใจเราอยู่ เวลามาวัดมาวาขึ้นมาแล้วเราทำให้มันปลอดโปร่ง
เวลาปลอดโปร่งขึ้นมา เห็นไหม เวลาทำบุญกุศลขึ้นมา สิ่งที่ทำหมด ทำแล้ว เราถวายทานแล้ว สิ่งนี้มันเป็นวัตถุที่เราได้เสียสละไป เวลาเสียสละไป เสียสละไปเพื่ออะไร
เสียสละไปเพราะเราเป็นคนอ่อนแอ เราเป็นคนอ่อนแอเพราะว่าเราเสียสละความทุกข์ไม่ได้ เวลาความทุกข์ความยากความเครียดในหัวใจเราสละไม่เป็นสละ เวลาสละไม่เป็น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นอุบายให้เราเสียสละทานๆ
เราก็เห็นได้ใช่ไหม ของทุกอย่างที่หลุดจากมือเราไป ให้ผู้ที่อ่อนด้อย ให้ผู้ที่ทุกข์ที่ยากเขาได้ดำรงชีพของเขา เราเห็น ได้ความสุขความสงบของเขา เราก็พอใจใช่ไหม นี่เหมือนกัน เราเสียสละอย่างนี้มันเป็นวัตถุ บางคนยังเสียสละไม่ได้เลย เพราะว่าของกูๆ ของกูขึ้นมาแล้วก็เก็บไว้ให้มันเน่าให้มันเสีย ไม่เป็นของใครสักคนหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นของเรา เราใช้ประโยชน์ของเราพอสมควรแล้ว สิ่งที่เหลือจากที่เราจะสงวนรักษา เราให้คนอื่นขึ้นไป มันเป็นประโยชน์ทั้งเราทั้งเขา สิ่งที่เป็นวัตถุนั้นเราเสียสละออกไป คนที่ได้รับสิ่งนั้นมาแล้วเขามีความสุข เขาได้บรรเทาทุกข์ในหัวใจของเขา ไอ้เราเห็นเขามีความสุขขึ้นมาเราก็ชื่นใจ เวลาเป็นบุญกุศลขึ้นมา มันเป็นบุญกุศลไปทั้งนั้นเลยถ้าจิตใจมันเป็นธรรมนะ
แต่ถ้าจิตใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก บอกของกูๆ จะสะสมไว้ๆ สะสมไว้ทำไม สะสมให้กิเลสมันกินใช่ไหม สะสมให้ความโลภความหลงมันพอใจใช่ไหม เวลามันพอใจมันก็ครอบงำหัวใจเรา ถ้าเราเสียสละไป มันหวงมันแหน ถ้ามันหวงมันแหนมันก็ไม่ยอม กิเลสมันไม่ยอมไง นี่การเสียสละทานๆ การฝึกหัด ฝึกหัดมาจากข้างนอก
เวลาฝึกหัดข้างใน มาวัดมาวาขึ้นมา เราหาความสงบสงัดเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ที่เขาไปเที่ยวไปแสวงหากัน เขาว่าจะเป็นความสุขของเขาๆ มันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง มันเป็นเรื่องประเพณีวัฒนธรรมนะ ใครที่มีวัฒนธรรมประเพณี คนได้เห็น เห็นไหม เดี๋ยวนี้การศึกษา เด็กๆ เราต้องพาไปทัศนศึกษาให้หูตาเขากว้างไกล ให้เขาทันโลกไง ทันโลกมันทันโลกจากข้างนอกใช่ไหม เวลาไปไหนมา ที่นั่นเจริญๆ แต่หัวใจเรามันแฟบ หัวใจเรามันทุกข์มันยากไง
เรามาวัดมาวาขึ้นมา เราพยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หาหลักเกาะไว้ เพราะหัวใจมันเร่ร่อน หัวใจมันไม่มีหลักเกาะใช่ไหม เราต้องมีคำบริกรรมของเราเพื่อเกาะไว้ สิ่งที่เกาะไว้ คนจะดีได้มันต้องมีหลักมีเกณฑ์
ไม่ใช่คนเร่ร่อนขึ้นมา แล้วก็บอกว่าปล่อยวางๆ...ปล่อยวางก็ขี้ลอยน้ำไง พอขี้ลอยน้ำขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น
แต่เวลาฝึกหัดของเรา เรามีสติปัญญาของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เกาะหลักอันนี้ไว้ เกาะหลักอันนี้ไว้ ถ้ามันเกาะหลักอันนี้ไว้ เวลามันสงบระงับเข้ามามันมีหลักยืน มันเกาะหลักนั้นแล้วมันสงบ มันมีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมามันฉลาดขึ้นไง
เพราะว่ามันไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ทั้งสิ้น ด้วยน้ำใจเมตตาของโลกมันก็ช่วยเหลือกันได้แค่วัตถุเท่านั้นน่ะ งานทางโลก งานทางโลกถ้าเรายังทำไม่เสร็จก็ให้คนอื่นทำให้ได้
แต่การภาวนาของเรา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันกำลังจะสงบขึ้นมา เราลุกขึ้นมาเสียก็จบแล้ว แล้วจะให้ใครมาภาวนาต่อล่ะ ถ้าคนมาภาวนาต่อมันก็เป็นสมบัติของเขา มันไม่ใช่สมบัติของเราไง เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากในหัวใจของเราใช่ไหม เราก็ต้องเป็นคนรื้อคนถอนความทุกข์ความยากในใจของเรา นี่คนอื่นทำให้เราไม่ได้ไง แต่อย่างอื่นเราไหว้วานกันได้ ถ้าไหว้วานกันได้ เราแสวงหาสิ่งนี้
ถ้าแสวงหาสิ่งนี้ จิตคนที่มันละเอียดขึ้นๆ แล้วเรื่องของทานมันเป็นเรื่องธรรมดาเลย เวลาเขาทำบุญกุศลของเขานะ เขาปิดทองหลังพระๆ เขาไม่มายึดติดเรื่องอย่างนี้หรอก เพราะอะไร เพราะหัวใจเรายิ่งใหญ่กว่านี้ ถ้าหัวใจเราไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้ สิ่งนั้นเราสละไปไม่ได้ไง
เวลาหลวงตาทำโครงการช่วยชาติฯ เวลาท่านพูดท่านบอกว่า ท่านทำให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านบอบช้ำ
คำว่า “บอบช้ำ” เราต้องแสวงหามาเพื่อท่าน เราแสวงหามาเพื่อประเทศ เราแสวงหามาเพื่อบุญกุศลไง แล้วท่านพูดอยู่นี่ ท่านพูดเพื่อคนที่มันไม่ทำ คนที่มันไม่ทำต่างหากที่ท่านเทศนาว่าการพยายามบอกพยายามกล่าวให้คนที่มันตระหนี่ถี่เหนียว ไอ้คนที่มันมีของมันแล้วไม่ช่วยเหลือสังคม ท่านพูดถึงคนคนนั้น
แต่ถ้าเวลาคนที่พวกลูกศิษย์ลูกหาจิตใจมันกว้างขวางอยู่แล้ว เราแสวงหามา เราบูชา เราทำบูชาแทนคุณท่าน ท่านบอกว่า เราทำให้ลูกศิษย์เราบอบช้ำๆ
บอบช้ำเพราะใจมันเป็นธรรมไง แต่ถ้าใจมันตระหนี่ถี่เหนียว ท่านบอกเลย เงินบาท เงินแบงก์บาทมันกำไว้จนมันเปื่อย มันไม่ให้สักทีให้ ให้ไม่ได้
นี่เวลาท่านพูด ท่านพูดถึงคนที่มันไม่ให้ ท่านพูดถึงคนไม่ให้เพราะอะไร เพราะปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลกไง ให้มันเปิดขึ้นมา ไอ้ที่กำไว้จนแบงก์มันเปื่อยนั่นน่ะ แบมือมันออก แล้วถ้ามันสละไป เขาก็ได้ เราก็ได้
เขาก็ได้นะ ประเทศชาติที่มันล่มจมอยู่แล้ว ประเทศชาติที่มันคลอนแคลนอยู่แล้ว ตอนนี้ระบบเศรษฐกิจ เขาชมเมืองไทยมาก เงินคงคลังมีอยู่มาก เงินเขาจะแปรปรวน เงินเขาจะอย่างไร เมืองไทยเงินคงคลังมีอยู่มาก เพราะอะไร เพราะฝรั่งเขาดูกันตัวเลข เขารู้หมด แต่คนไทยไม่รู้นะ คนไทยไม่รู้เรื่องอะไร แต่ฝรั่งมันรู้
เมืองไทยได้รับการชื่นชมจากระบบเศรษฐกิจนะว่าเงินการคลังของเราแข็งแรง มันแข็งแรงเพราะอะไรล่ะ มันแข็งแรงเพราะน้ำจิตน้ำใจของพวกเรานี่ไง น้ำจิตน้ำใจของเราที่เราเชื่อมั่นผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีท่านทำประโยชน์สาธารณะไง ถ้าเป็นประโยชน์สาธารณะ นี่ระบบเศรษฐกิจไง แล้วกลับไปบ้านก็ไปอมทุกข์
เวลาไปอมทุกข์ขึ้นมา ทำบุญก็ทำแล้ว เราได้ทำบุญกับครูบาอาจารย์แล้ว ระดับของทาน ระดับของทานนะ ระดับของทาน เราต้องอาศัยวัตถุนั้นเป็นเครื่องดำเนิน เราต้องมีครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้นำ แล้วเวลาของเราล่ะ หัวใจเอาใครไปนำล่ะ
เวลาเราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก ถ้าแก้วสารพัดนึกของเรา เราพยายามระลึกขึ้นมาให้มันเป็นรูปธรรมเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา พอเป็นจริงเป็นจัง สัมมาสมาธิ ว่างๆ ว่างๆ มีหลักเกณฑ์ สติสมบูรณ์ สติสมบูรณ์แล้วมีความสุขสมบูรณ์
ไอ้นี่ดูสิ เวลาว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ อะไรกัน
การภาวนา การภาวนามันต้องมีสติสัมปชัญญะ พอมีสติสัมปชัญญะแล้วมันมีปัญญา มันไม่วุ่นวายหรอก ใครเขาจะแซงหน้าแซงหลัง ไปเลย ไปเลย เราให้เขาไปก่อนแล้วเราได้บุญด้วย เราสละให้ทานเขาไง ให้ทานเขา นี่บุญกุศลไง
เวลาบุญกุศลแล้วก็ต้องให้ตังค์ๆ...ไม่ใช่
ให้หัวใจ ให้หัวใจคือน้ำใจ เห็นเด็กน้อยเขามาก่อน เรามีเมตตาช่วยเหลือเจือจานเขา น้ำใจน่ะ บุญน่ะ บุญมันคืออะไร บุญมันคือกระดาษใช่ไหม มันคือแบงก์หรือ...ไม่ใช่ บุญคือน้ำใจ อันนั้นเขาให้ฝึกหัด ฝึกหัดเท่านั้น
เวลาบุญของเรา เวลาเราเกิดมาเรามีพระอรหันต์ของเรา พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ชีวิตนี้มีค่ามากนะ ชีวิตนี้มีค่ามาก คนตายแล้วนะ ซากศพไม่มีใครต้องการเลย แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้มีค่า แล้วมีค่า มันมีการดัดแปลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ หัวใจนี้มันเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เวลามันเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันต้องอบรมบ่มเพาะ
เวลาเรามีลูกมีหลาน เราเลี้ยงดูมานี่อบรมบ่มเพาะขึ้นมา ได้กอดลูกหรือยัง ได้กอดมันหรือยัง เงินให้มันเยอะๆ เงินเอาไปทำไม เอาไปซื้อยาเสพติดใช่ไหม
ให้กอดมัน กอดมันไว้นะ รักกัน ผูกพันกัน เวลามันจะทำอะไร “ไม่ได้ เดี๋ยวแม่ว่า ไม่ได้ เดี๋ยวพ่อว่า” มันยังระลึกถึงนะ ถ้ากอดมันไว้ กอดมันไว้
ถ้าไม่กอดมันเลย ให้แต่เงิน ให้แต่เงินน่ะ เงินไป “ไป เราไปซื้อยาเสพติดกัน” เพื่อนมันพาไปเลย เห็นไหม
นี่ไง เราก็อบรมบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะของเรา ลูกหลานของเราอบรมบ่มเพาะให้เป็นคนดี แล้วลูกจะเป็นอะไรก็ได้ขอให้ลูกมีความสุข ขอให้เป็นคนดีก็พอ อย่าไปเบียดเบียนคนอื่น นี่คิดสิ เวลาลูกเราเป็นผู้สืบสกุลนะ แล้วหัวใจล่ะ
เราเกิดมาจากไหน เกิดมาจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่มันสายบุญสายกรรม แต่เวลาเราเกิดมาเกิดจากกรรมของเรา กรรมของเรา กรรมกับพ่อกับแม่มันต้องมีกรรมร่วมกันมามันถึงมาเกิดร่วมกัน เพราะมีสายบุญสายกรรม แล้วตายแล้วจะไปไหน
ตายไปแล้ว เวลาเกิดมาก็เกิดจากพ่อจากแม่ แต่เวลาเกิดจริงๆ เกิดจากกรรม เกิดจากเราทั้งสิ้น เวลาตายไปแล้วเราก็ไปคนเดียวทั้งนั้นน่ะ
เวลาตายไปนะ มันเหมือนกับโบราณน่ะ เวลาเจ้านายตาย เขาต้องเอาคนใช้ฝังไปด้วย จะเอาคนใช้ไปด้วยหรือ แล้วมันก็ไม่ได้ไปด้วยหรอก เพราะคนตายมันไปก่อนแล้ว ตายไปเจ็ดวันแปดวันจะฝัง ฝังจะเอาคนเป็นไปฝังด้วย จะเอาคนเป็นตามคนตายไปเพื่อไปรับใช้ชาติหน้า นี่ไง นี่เป็นวิธีคิดไง วิธีคิด คนมันคิดถึงความมั่นคงของเขา แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมันตายต่างคนต่างวาระกัน มันจะไปทันกันที่ไหน เจ็ดแปดวันมันไปถึงโลกไหนแล้ว ไอ้นี่ยังตามหลังไปจะไปอยู่ที่ไหน นี่ฆ่าคนตายโดยทิฏฐิมานะของตน
แต่เวลาของเราของเราๆ ไง เพราะความไม่รู้ถึงได้มาเกิด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แต่ปัจจุบันนี้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาสอน สอนถึงการกระทำนะ กรรมคือการกระทำ กรรมดี กรรมชั่ว
เพราะเราได้ทำกรรมดีกรรมชั่วมา แต่เราก็ยังทำคุณงามความดีมาพอสมควรเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่มีคุณค่าคือชีวิตของเรา ทรัพย์สินสมบัติไม่มีคุณค่าเท่ากับชีวิตของมนุษย์ ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุดเลย บริษัทห้างร้านอะไรก็แล้วแต่ ถ้าได้ทรัพยากรที่ดี สิ่งที่ดี ดีงามมาก
นี่ก็เหมือนกัน ในบ้านในเรือนของเรามีลูกหลานที่ดีงาม ทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด แล้วตัวเราล่ะ พูดถึงคนอื่นมาหมดเลย แล้วเราล่ะ ความสุขความทุกข์ในใจของเราล่ะ
จะมีมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เราได้เงินได้ทองมา เราใช้จ่ายใช้สอย มันพลัดพรากจากเราไป ถึงเวลาแล้วเราก็ต้องตายจากมันไป มันต้องเป็นการพลัดพรากทั้งสิ้น แล้วพลัดพรากไปแล้วเป็นมรดกให้กับลูกกับหลาน แล้วเราล่ะ แล้วเราล่ะ สมบัติของเราไง
เวลาบ้านของเราเวลาไฟไหม้ ใครขนทรัพย์สมบัติออกจากเรือนของเราได้เท่าไรก็สมบัติของเรา
นี่ก็เหมือนกัน เราได้เสียสละ เราได้ทำเท่าไร เป็นของเราๆ นี่คำว่า “ของเรา” ไง ของเราอยู่ที่ไหนล่ะ ทิพย์สมบัติ เวลาทิพย์สมบัตินะ สิ่งที่เป็นทิพย์สมบัติมันไปกับตัวเรา
ไอ้นี่ไม่อย่างนั้น เคาะโลงป๊อกๆๆ เคาะโลงเสร็จแล้วมันก็เอากลับ มันไม่ได้กินน่ะ
แต่ของเรา เรากินอยู่นี่ เราทำอยู่นี่ มันฝังใจอยู่นี่ เวลามันไป มันไปจากใจนี้ วิญญาณาหาร กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร อาหารของจิตวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่เป็นพรหม ผัสสาหาร เป็นเทวดา วิญญาณาหาร เป็นมนุษย์ กวฬิงการาหาร สิ่งมีชีวิตมันต้องมีอาหาร สิ่งมีชีวิตมันต้องมีอาหารเพื่อดำรงชีพของมัน
ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือไออุ่น คือพลังงาน พลังงานที่มันอยู่ในกาลเวลา มันถึงเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา แล้วสิ่งที่มีชีวิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่ไง แล้วเราจะไปไหน เราทำอะไรของเราล่ะ
เวลาของคนอื่นพูดได้หมดเลย ห่วงเขาไปหมดเลย อู๋ย! เป็นคนดี ช่วยเหลือเจือจานคนทุกข์หมดเลย แล้วตัวเองล่ะ ตัวเอง
ความดีนั้นเป็นเจตนาที่ดี ความดีนั้นเป็นอำนาจวาสนาบารมี ทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดีแล้วเราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เราจะภาวนาของเรา
เวลาภาวนาของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราค้นหาหัวใจของเราไง หัวใจที่มันทุกข์ๆ ยากๆ เวลามันทุกข์ๆ ยากๆ นะ คนเรามีความโกรธ มีคดีมา ให้มันนั่งภาวนามันนั่งไม่ได้หรอก มันวิตกกังวลไปหมด
แต่ของเรา ถ้าเรามีทุกอย่างพร้อม เราได้เคลียร์ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราจะประพฤติปฏิบัติมันยังมีโอกาสบ้าง
นี่ก็เหมือนกัน เราได้ทำบุญกุศล ได้ทำทุกสิ่งอย่างหมดแล้ว เราเป็นคนดีแล้ว เวลานั่งภาวนากันมันมีโอกาสบ้าง มีโอกาสบ้างนะ ไม่ใช่ว่ามันจะดีไปหมดหรอก
เพราะกรรมคือการกระทำ กรรมมันเป็นเรื่องภายนอกภายใน ภายนอกก็นี่ไง ดูสิ คนมีอำนาจวาสนาทำอะไรมีแต่คนค้ำชู ไอ้เราเป็นคนดีคนหนึ่ง ทำอะไรไม่มีใครเหลียวแลเลย ทำอะไรขี้ทุกข์ขี้ยาก ทำอะไรไม่มีใครช่วยเหลือเลย
อ้าว! ก็เราทำของเรามาอย่างนี้ไง นี่ภายนอกนะ แล้วเวลาภายในล่ะ เวลานั่งปั๊บ อู้ฮู!
อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ความคิดของคนนี่ เพราะอะไร เพราะถ้าทำสิ่งใดมันเป็นวัตถุ มันทำสิ่งใดต้องตอบสนอง เวลาความคิดมันจินตนาการ โอ๋ย! มันคิดได้หมด มันคิดได้ทุกเรื่องเลย แล้วคิดไปแล้วคิดอะไร คิดแต่ความทุกข์ความยากมา แล้วเราจะยับยั้งมันอย่างไร
เรามีสติสัมปชัญญะระลึกชัดๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันปล่อยวาง ปล่อยวางความคิดได้ ให้มันเป็นตัวของมันเอง ถ้าเป็นตัวของมันเองมันจะเป็นอิสระใช่ไหม พอเป็นอิสระ มันจะมีกำลังใช่ไหม มันมีกำลังขึ้นมา มันมีกำลังเหนือความคิดไง แล้วความคิดขึ้นมา เวลาความคิดผ่านมา ไม่เอาๆๆ
แต่เดิมไม่รู้จัก ความคิดมันเป็นเรา เราเป็นความคิด ความคิดมันยิ่งใหญ่
แต่ความคิดมันเกิดดับ แต่ใจไม่เคยดับ สิ่งที่เป็นจริงๆ ขึ้นมา เราฝึกหัดอย่างนี้ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ นี่พูดถึงว่า สอนให้เรามาวัดมาวา มาเพื่อเหตุนี้
จะวันปีใหม่แล้ว เขาไปเที่ยวทัศนาจร ทัศนศึกษากันเต็มไปหมดเลย เราจะมาประพฤติปฏิบัติ เราจะมาค้นคว้าหาหัวใจของเรา
ถ้าเราค้นคว้าหาหัวใจของเรานะ เขาไปอินเดียกัน ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ กลางหัวใจเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หัวใจที่มันทุกข์มันยากมันจะเบิกบานของมัน จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันใส มันสว่าง มันสะอาด มันสงบของมัน มีคุณค่ามาก มีคุณค่ามาก
เวลาพระขี้โม้ปากเปียกปากแฉะหลอกแต่คนอื่นให้ทำ แต่ตัวมันไม่ทำ ตัวมันก็ไม่เคยเห็น ผ่องใส ผ่องใสอย่างไร หลอกแต่ให้คนอื่นทำ สอนเขาทั่วไปหมด แต่ตัวเองไม่รู้จัก แล้วทำไม่ได้
ถ้ามันทำได้ ทำได้ขึ้นมา นี่สมบัติของเราไง สมบัติของเรา คุณงามความดีของเรา สมบัติของเราคืออะไร
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมาเกิดเป็นเราแล้ว มันเกิดเป็นสิ่งต่างๆ แต่อารมณ์ความคิดที่เกิดดับๆ จากใจ เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่าน ท่านบอกว่า เวลาท่านเดินจงกรมท่านอยู่ในวิหารธรรม ท่านบอกว่า พิจารณากิ่งก้านสาขาของธรรม
ดูต้นไม้สิ มันมีกิ่งมีก้าน มันมีใบของมัน แต่สิ่งที่มีคุณค่าคือรากแก้ว รากแก้วที่สารอาหารที่มันดูดขึ้นมาเลี้ยงลำต้นนั่นน่ะ รากแก้วของต้นไม้นั้น
รากของใจ ใจมันมีรากมีฐานของมันนะ ไอ้ที่มันเกิดมันดับแค่ใบไม้ ใบไม้ไหว หมาก็เห่าแล้ว หมามันเห่าใบไม้ไหว มันทุกข์มันยากไปหมดเลย นี่ผลของการปฏิบัตินะ
นี่เราเป็นชาวพุทธ เรามาวัดมาวาขึ้นมา เรามาทำบุญกุศลของเราให้จิตใจเราเข้มแข็ง ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานคือเตือน ฟังธรรมๆ ขึ้นมาแล้วก็มาเทียบเคียงกับอารมณ์ความรู้สึกความรู้สึกนึกคิด ถ้ามันเข้ากันได้ อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้ๆ
ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็ปล่อยวางของเรา เราก็วางความเครียด วางความทุกข์ วางความลังเลสงสัย แล้วเราพยายามหาหัวใจของเราให้มันละเอียดมากขึ้น เจริญมากขึ้น ดีงามมากขึ้น เพื่อพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของเรา เอวัง