เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อความฉลาด ฟังธรรมเพื่อหัวใจที่มั่นคง ฟังธรรมเพื่อหัวใจที่มีคุณธรรม หัวใจที่มันมีความสุขไง ถ้าหัวใจที่มีความสุข เรามาวัดมาวากัน มาวัดมาวาก็เพื่อปรารถนาความสุข
วันนี้วันพระ วันพระ ผู้ประเสริฐ ประเสริฐในหัวใจนั้น ถ้าประเสิริฐในหัวใจนั้นนะ สิ่งที่มันจะประเสริฐได้มันต้องมีการฝึกหัดฝึกฝนมา ถ้าฝึกหัดฝึกฝนมา มันเข้มแข็งขึ้นมาแล้วมันเห็นสิ่งต่างๆ มันเป็นแค่ประเพณีวัฒนธรรม เป็นแค่ประเพณีวัฒนธรรมนะ
เราดูข่าวสาร ดูร้านกาแฟมันไปทำโลงศพให้คนไปนอนน่ะ เดี๋ยวนี้โยมทำเหรียญกัน ทำทุกอย่างพร้อมหมด ไม่ต้องมีให้พระทำ เหรียญใครก็ทำได้ ทำที่โรงงานน่ะ เหรียญหนึ่งหกสลึง เวลาขายยี่สิบ ไปขายร้อยหนึ่ง นี่มันเป็นธุรกิจทั้งนั้นน่ะ
แต่สมัยโบราณมันเป็นเพราะว่าครูบาอาจารย์ เกจิอาจารย์ที่รุ่นโบราณมันเป็นวัฒนธรรมของไทย ไปวัดไปวา เขามีของชำร่วย เขาให้ ให้เป็นของชำร่วยไง แล้วให้เป็นของชำร่วย อย่างเช่นสมเด็จโต ที่มีพระดังๆ เมื่อก่อนเขาให้เป็นของชำร่วยกัน ของมันเป็นของที่ระลึก ระลึกด้วยคุณงามความดีนะ
เรามีครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านอยู่ป่าอยู่เขา ท่านลอง ไอ้เรื่องพระนี่เขาจะทดสอบ ท่านลองนะ ลองเพ่ง เพ่งจนตะกรุดมันหมุนเลย หมุนในบาตร แล้วท่านก็ทดสอบเอาไปแขวนคอหมาไว้ เวลาคนเข้าไปในป่านะ ไปยิง ยิงไม่ออก แล้วเวลาคนอยากได้ต้องไปจับหมาตัวนั้นแล้วแกะเอาจากหมา
ท่านทำของท่านอย่างนั้น ไอ้เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรมให้เรามาวัดมาวากัน มาวัดมาวามาทำไม มาถือศีล มาประพฤติปฏิบัติ มานั่งสมาธิภาวนา นั่งสมาธิภาวนาเพื่อหัวใจไง
บอก “ไปวัดแล้วไม่เห็นมีอะไรทำเลย โอ้โฮ! ไม่เห็นทำอะไรเลย ไปถึงพระ พระก็ตักเอาๆ แล้วก็ฉันแล้วก็กลับกุฏิ ปล่อยให้เราเคว้งคว้างไม่มีอะไรทำเลย”
ทางจงกรมไปไหน นั่งสมาธิไปไหน
อยู่ในบ้านในเรือนเรานะ ถ้าในบ้านในเรือนของเราอบอุ่น ในบ้านในเรือนของเรานะ มีแต่คนที่เจรจากัน คนคุยกันเข้าใจได้ ในบ้านในเรือนเราอยากกลับบ้านนะ เราอยากกลับบ้านกลับเรือนของเรา เพราะบ้านเรือนของเรามันอบอุ่น มันที่พึ่งอาศัย
ถ้าบ้านเรือนของใครมีแต่ความขัดแย้ง ในบ้านในเรือนของใครมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ในบ้านเรือนของเรานะ กลับไปแล้วมีแต่คนมีการกระทบกระทั่งกัน มันน่าเบื่อหน่าย ทำงานเสร็จแล้วไม่อยากหันหน้ากลับบ้าน มันอยากหันหน้าไปที่อื่นเลย ไม่อยากกลับบ้าน ไปอยู่สวนสาธารณะ ไปนั่งที่ไหนก็ได้ขอให้มันพ้นไปวันวันหนึ่ง ไม่อยากกลับบ้าน เพราะในบ้านมีแต่ความขัดแย้ง ในบ้านมีแต่ความทุกข์ความยากไง
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราๆ ที่ไปวัดไปวาขึ้นมา หัวใจของเรามันคิดดีคิดชั่ว หัวใจของเรามันทุกข์มันยาก หัวใจของเรามันมีความกดดัน หัวใจเรามันทุกข์มันยาก มันไม่มีที่พึ่งอาศัย
ดูคนไร้บ้านๆ สิ คนไร้บ้านมันนอนอยู่ตามข้างถนน มันไปนอนอยู่น่ะ มันทำไมถึงคนไร้บ้านล่ะ
คนไร้บ้านบางคนเขาเป็นเศรษฐีเก่านะ เขาประกอบธุรกิจของเขา เขาทำสิ่งใดของเขาแล้วเขามีความผิดพลาด มีความผิดพลาดขึ้นมา เขามีความซื่อสัตย์ เขาไม่ไปคดไปโกงใคร เขาใช้ชีวิตของเขาตามยถากรรมของเขา
มีคนไร้บ้านมากมายมหาศาลที่เคยทำธุรกิจ เวลาเขาบอกว่า “ผมเคยมีทั้งนั้นน่ะ รถเก๋งผมก็เคยมี ผมเคยมีบริษัททั้งนั้นน่ะ แต่ผมไปเล่นหุ้น ผมหมดตัว” นี่เยอะแยะไปหมด
คนไร้บ้าน เวลาคนไร้บ้านเหมือนหัวใจของเรา หัวใจของเรามันว้าเหว่ หัวใจของเรามันทุกข์ยาก หัวใจของเราหาที่พึ่งพาอาศัย
วันนี้วันพระๆ พระผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน
เขาไปอินเดียกันไง สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แต่ครูบาอาจารย์ของเราให้เราหลับตาลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามทำบ้านเรือนของเราให้สงบเข้ามา
บ้านเรือนของเรามีแต่ความฟุ้งซ่าน บ้านเรือนของเรามีแต่ไฟไหม้ บ้านเรือนของเรามีแต่คนเล่นการพนัน บ้านเรือนของเรามีแต่เหล้ายาปลาปิ้ง บ้านเรือนของเรามีแต่ความทุกข์ความยาก แล้วมันจะไปเจอพุทธะที่ไหนล่ะ นี่ถ้ามันมีสติมีปัญญา พยายามบังคับ
เวลาคนเริ่มต้นมา ไปวัด วัดป่า วัดกรรมฐาน ไปแล้วทิ้งๆ ขว้างๆ ไปแล้วไม่มีอะไรเลย
ไอ้วัดที่เขามีกิจกรรม วัดหลอกเอาตังค์ จะบอกว่าหลอกแดกเลยล่ะ นั่นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของคนที่เขาไปวัดไปวากัน
แต่พระกรรมฐานๆ ที่สงบสงัดเขาเคารพสถานที่ เคารพความสงัดวิเวกนั้น สัปปายะ ๔ สัปปายะ ๔ เขาแสวงหา เวลาแสวงหา ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านเข้าป่าเข้าเขาของท่านไป
แล้วทำไมพระไม่ไปอยู่ในป่าในเขา มาอยู่ในเมืองทำไม มาอยู่ในเมืองทำไม
อยู่ก็อยู่ป่าน่ะ อยู่ก็อยู่ในธุดงควัตร ธุดงควัตร สิ่งที่เครื่องขัดเกลากิเลส เราไปวัดไปวาไปวัด ไปวัดไปวาเราก็ทำตามเขาสิ
เวลาคนมาวัดเขาจะมาถามเลยว่า “หลวงพ่ออนุญาตหรือยัง หลวงพ่ออนุญาตหรือยัง”
อนุญาตก็อนุญาตทำตามที่คนที่เขาอยู่เขาทำ ห้ามทำเกินกว่านั้น ห้ามแซงหน้าแซงหลัง ถ้าแซงหน้าแซงหลังมันแค่นั้นน่ะ ต่างคนต่างอวดชั่ว ไม่ใช่อวดดี ไม่มีอะไรดีให้อวดหรอก มีแต่อวดชั่ว
ถ้าอวดดี อวดดี อวดดีที่ไหน อวดดีคือความสงบระงับในหัวใจนั้น เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธมันแสนยาก หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
เวลาไฟไหม้บ้านเขาต้องแจ้งบรรเทาสาธารณภัยมาดับไฟ นี่ก็เหมือนกัน เวลาบ้านใครของหาย บ้านใครมีคดีความ ต้องไปแจ้งตำรวจให้ตำรวจมาจับ ให้ตำรวจมาพิจารณา แต่หัวใจของเราล่ะ จะไปแจ้งใคร
นี่ไง เป็นชาวพุทธไง แล้วก็ตีโพยตีพาย “เป็นชาวพุทธ ทำบุญแล้วได้บุญมากๆ ทำบุญกุศลมาทั้งชีวิต ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ยาก ชีวิตมีแต่ความดิ้นรน ไม่เห็นมีความสุขตรงไหนเลย”
แล้วทำบุญอะไรล่ะ
เวลาทำบุญขึ้นมา ดับไฟสิ ดับไฟในหัวใจของตน ถ้าดับไฟในหัวใจของตน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
เวลาเขาฉีดน้ำไปที่ไฟนะ ที่มันมีเชื้อเพลิงนะ เป็นสิ่งที่พลังงานมันจะปะทุไฟทันทีเลย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะมาดับไฟ “ไปวัดคราวนี้ภาวนาจะให้เป็นสมาธิ ไปวัดคราวนี้ภาวนาจะให้เป็นพระอรหันต์เลย” มันมีแต่ไฟปะทุกับไฟ มันยิ่งเดือดร้อนขึ้นไปใหญ่
เรามีสติปัญญาของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามบังคับของเรา
งานอย่างอื่นเราก็ทำได้ เวลาบอกเลยนะ เราเป็นคนทุกข์คนยาก เราเป็นคนที่ไม่มีเวลา งานอาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามทุกอย่างอะไรก็ทำมาแล้ว แต่เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธทำไมทำไม่ได้
งานอย่างอื่นน่ะ ภาษานักเลงนะ จะให้ไปฆ่าใครยังฆ่าได้เลย แล้วเวลาให้ฆ่ากิเลสมันฆ่าไม่ได้ เวลากิเลสในใจของเอ็ง เวลาความเครียด เวลาความทุกข์ความยากในใจของเอ็ง เอ็งทำไมไม่ฆ่ามันล่ะ เอ็งจะไปฆ่าใคร เอ็งจะไปทำลายใคร นี่ทำลายใคร เห็นไหม
หลวงตาท่านสอนประจำ เวลาพรหมวิหาร ๔ เรามีความเมตตา มีความกรุณา มีความช่วยเหลือเขาเต็มที่ทั้งสิ้น แต่ถึงที่สุดแล้วถ้าทำไม่ได้ก็อุเบกขา เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมของเขาอย่างนั้น เขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น พันธุกรรมของจิตเขาเป็นอย่างนั้น เขามีความดื้อด้านอย่างนั้น
เวลาคนพันธุกรรมเขาดี เกิดมาดีนะ เกิดมาดี เขาจะทุกข์เขาจะยากขนาดไหน เขาจะสร้างคุณงามความดีของเขา เขาจะทำคุณงามความดีของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์ของเขา
เวลาหลวงตาท่านสอน “ใครจะดีใครจะชั่วมันเรื่องของเขา เราจะทำความดีของเราว่ะ เราจะทำความดีของเราว่ะ”
แล้วพอทำความดีแล้ว คนนี้เป็นคนโง่ ดูสิ โลกเขา เขามีการแข่งขัน มีการช่วงชิงกัน ไอ้เรามาเสียสละ เสียสละอยู่นี่เป็นคนโง่เขลา เวลาโลกมันเหยียดหยามไง
แต่ถ้าเป็นทางธรรม ทางธรรมเป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร เพราะมันไม่สร้างเวรสร้างกรรมต่อไปไง
เวลาบ้านข้างในไฟมันก็ปะทุ มันก็เผาลนอยู่แล้ว ทำไมต้องให้บ้านข้างนอกมันปะทุเผาลนอีกล่ะ เวลาจะเอาชนะคะคานใคร ชนะได้ทั้งนั้นน่ะ สุดท้ายแล้วก็ไปติดคุก ไปติดคุกนั่นเป็นเรื่องปลายเหตุ ไอ้ที่ไปฆ่าเขาไปทำลายเขานั่นน่ะเวรกรรมทั้งนั้น
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
“เวลาทำบุญกุศลไม่เห็นได้บุญกุศลเลย ชาวพุทธทำบุญแล้วไม่เห็นได้บุญเลย”
บุญคืออะไร บุญคือรางวัลที่หนึ่งหรือ
บุญคือความสุขของใจ เห็นไหม มาวัดมาวา คนที่สูงส่งมีกิตติศัพท์มาก เวลาเขามีคุณธรรมในใจของเขานะ เขามาวัดมาวาเขาสงบเสงี่ยมของเขา เขานิ่งของเขา นั่นน่ะบุญของเขา ไอ้คนที่มาแล้วแจ๊ดๆๆๆ อยากให้คนมองหน้า อยากให้มีคนรู้จัก แหม! มีคนเยอะๆ แล้วชอบ
มาเจอเรากระเด็นหมดน่ะ เพราะอะไร
นี่ไง อย่าเอากิเลสมาอวด เอาคุณงามความดีมาอวดกันสิ เอาคุณงามความดี เอาสัจธรรมมา ถ้าเอาสัจธรรมมา
ไอ้เรื่องประเพณีวัฒนธรรมนะ มันเป็นเรื่องของท้องถิ่น มันเป็นตำนาน เวลาตำนานที่ไหนขึ้นมาเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยนะ เพราะมีตำนานอย่างนั้นทำให้ชุมชนนั้นเขามีอุดมการณ์ของเขา เขาภูมิใจในอุดมการณ์ของเขา ตำนานของเขา นั่นมันเป็นตำนานท้องถิ่น นั่นท้องถิ่น มันเป็นเรื่องของคนหรือเปล่า มันเรื่องหัวใจหรือเปล่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อหัวใจที่มันทุกข์มันยากนี้
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เวลามาเกิดเป็นเราๆ นี่เป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์เพราะอะไร เพราะสิทธิความเป็นมนุษย์ พอสิทธิความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกฎหมายคุ้มครองๆ
องค์สมเด็จพระสัมมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ”
เป็น คนเกิดมาเป็นหมด “เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ ถ้ามันเป็นเช่นนี้มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย”
เวลาไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย จิ๋นซีฮ่องเต้พอมันไม่อยากตายก็ไปหายาอายุวัฒนะ ทุกคนไปหากันหมดเลย หาในโลกนี้เลย บอกว่ากินแล้วไม่ตายๆ...ไม่มี
เกิดมาต้องตายทั้งหมด เพราะเกิดมา ผลของวัฏฏะ เป็นเรื่องสสาร เรื่องธรรมะเป็นธรรมชาติไง มันแปรปรวนเป็นธรรมดา โลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด ไม่มีอะไรคงที่หรอก เว้นไว้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามันเกิด เกิดไตรลักษณ์ คำว่า “เกิดไตรลักษณ์” นะ เวลาเกิดไตรลักษณ์ ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเกิดเป็นภาวนามยปัญญา
ปัญญาที่เกิดว่าเป็นอนัตตาๆ น่ะ เป็นอนิจจัง เป็นเรื่องสสาร เป็นเรื่องของโลกไง เวลาเป็นอนัตตาๆ ทำไมมันถึงเป็นอนัตตาล่ะ อนัตตาๆ ในหนังสือมันก็เป็นชื่อ อนัตตาที่ความคิดก็เป็นความคิด
เวลาอนัตตามันเกิด มันเกิดจากจิต เวลาจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ตัวตน สิ่งที่มีอยู่นี่ สสารที่มันมีอยู่นี่ เวลาทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจมันสงบระงับขึ้นมาแล้ว ใจมันสงบระงับแล้ว ตัวตนๆ สิ่งที่ทำลายตัวตนๆ ใครทำลายได้
ทำลายเรา เราก็เปลี่ยนชื่อไง เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนที่อยู่ โอนสัญชาติเลย เปลี่ยนได้หมดเลย แล้วมันไปไหนล่ะ มันพ้นไหม มันไม่มีสิทธิ์พ้นหรอก
แต่เวลานั่งลง หายใจเข้านึก พุทหายใจออกนึกโธ พยายามเข้าสู่บ้านเรา เข้าไปสู่จิตของเรา ถ้าจิตของเรา จิตของเราจิตที่มันสงบแล้วนะ จิตที่สงบแล้ว ถ้าจิตมันมีสัมมาสมาธิ มีสติสัมปชัญญะนะ มันจะมหัศจรรย์กับสิ่งที่มีคุณค่า ว่าสิ่งที่ประเสริฐๆ น่ะ ชีวิตนี้มีค่ามาก
เพราะสิ่งที่มีชีวิต คนจะชั่วร้ายขนาดไหนมันก็แก้ไขได้ สิ่งที่มีชีวิต คนจะดีงามขนาดไหน สูงส่งขนาดไหน มันทำให้มันเจริญงอกงามขึ้นมาได้ มันทำให้จิตนี้เป็นอริยบุคคลได้ มันทำให้จิตนี้ทำลายตัวตน ทำลายตัวมันเองได้
พอเวลามันทำลายตัวมันเองแล้วนี่ไง สิ่งที่ว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อะไรไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วเวลามันเป็นธรรมธาตุ สิ้นกิเลสไปแล้วมันเหลืออะไรไว้
นี่ไง “จิตนี้ไม่เคยตายๆ” เห็นพระท่องบ่นกันนัก “จิตนี้ไม่เคยตายๆ” แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ “จิตนี้ไม่เคยตายๆ” ก็นกแก้วนกขุนทองไง เอ็งก็จำขี้ปากหลวงตามาพูดน่ะสิ เอ็งเคยเห็นจิตเอ็งไหม
ถ้าคนเคยเห็นจิตนะ เหมือนคน คนเราสร้างสถานะขึ้นมาจนมั่นคงขึ้นมา ถ้ามั่นคงขึ้นมา เขามั่นคงขึ้นมาได้เพราะอะไร คนเราทำหน้าที่การงานร่ำรวยมหาศาลมากมายนัก แล้วไปเที่ยวเล่นการพนัน ไปเที่ยวให้พรรคพวกหลอกลวง ไปหมดน่ะ
คนที่เขาจะร่ำรวยได้ หนึ่ง เขาต้องทำมาหากินก่อน เขารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เขารู้จักเก็บรักษา เขาดูแลทรัพย์ของเขา นี่ไง ถ้ามันเป็นจริง คนที่มีสติปัญญาเขารักษาของเขา
นี่ก็เหมือนกัน จิตเป็นอย่างไร ถ้าจิตทำสัมมาสมาธิได้ มันก็เหมือนคนไร้บ้านๆ คนไร้บ้านเขาเคยเป็นเศรษฐีมาก่อนนะ เขาหมดเนื้อหมดตัว ด้วยความซื่อสัตย์ของเขา เขาไม่ปล้นไม่ชิงใคร เขาใช้ชีวิตที่เหลือของเขาด้วยเวรด้วยกรรมของเขา
นี่ก็เหมือนกัน พอจิตสงบแล้ว จิตมันเป็นอย่างไร ถ้าจิตสงบแล้วมันก็มีบ้านมีเรือนของมัน ถ้ามีบ้านมีเรือนแล้วใช้ไม่เป็นมันก็เผาเรือนของมัน นี่ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นวิปัสสนา
ว่ามันจะเป็นอนัตตา...ยัง อีกไกลนักกว่าจะเป็นอนัตตา
ความเป็นอนัตตา อนัตตาคืออะไร อนัตตาคือการทำลายอวิชชา ทำลายตัวตนอันนี้ไง ถ้าทำลายตัวตนอันนี้ พระโสดาบัน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันทำลายตัวตนเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ถ้ามันทำลายตัวตนเป็นชั้นๆ ขึ้นไป มันจะละเอียดขึ้นไป นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ผู้ประเสริฐไง
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ อยู่นี่ ตัวเป็นๆ กลางหัวใจของเรานี่ คนเกิดมามีพุทธะอยู่ทุกคน แต่เกิดมาแล้ว ประเพณีวัฒนธรรมก็อ้อนวอนขอเอา อ้อนวอนขอต่างๆ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีของชาวพุทธ วัฒนธรรมของชาวพุทธ
เราภูมิใจมากนะ ดูสิ ตอนนี้นะ ททท.เอามาขายกินทั้งนั้นน่ะ มาเที่ยววัดทั้งนั้นน่ะ มาเที่ยวสิ่งที่บรรพบุรุษของชาวไทยได้สร้างสมวัฒนธรรมประเพณีไว้ แล้วก็ล้วงเอาตังค์ฝรั่ง
แล้วพวกเรานะ เรามีพระฝรั่งมาบวชอยู่ด้วยกัน เขาเคยคุยกับเรา บอก คนไทยเหมือนกบเฝ้ากอบัว เขาเป็นฝรั่งนะ เขาจะบวชเขาต้องไปบวชที่อินเดีย บวชที่อินเดียเสร็จแล้ว ตามความเข้าใจของฝรั่ง พอบวชอินเดียเสร็จก็บอกว่าเขาอยากจะบวชเป็นพระ เป็นพระต้องมาบวชที่ลังกา แล้วอยากจะปฏิบัติ ปฏิบัติต้องมาเมืองไทย
แล้วพอเขามาเมืองไทย เขาเห็นคนไทย เฮ้ย! มันไม่เอาเลย มันไม่รู้จักหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันไม่เคยจะภาวนาเลยน่ะ เหมือนกบเฝ้ากอบัว
ฝรั่งมันเห็นคนไทยมันตกใจนะ เขาแสวงหา เขาดิ้นรน เขาขวนขวาย เขาต้องการ แล้วเขาทำของเขาเพื่อชีวิตของเขา เพราะทางโลกเขาก็ศึกษา เขามีหน้าที่การงานของเขาประสบความสำเร็จทางโลก
เพื่อนเราองค์หนึ่งเขาบอกเขานิ้ววิเศษ เขาชี้อะไรสมบัติทางโลกเขาได้หมดเลย เพราะพ่อเขาเป็นเศรษฐีรวยมาก ชี้ได้หมดเลย แล้วชี้จนไม่รู้จะเอาอะไรไง ก็เลยไปเสพยาเสพติด พอเสพยาเสพติดถึงที่สุดแล้วทำอะไรไม่ได้ก็จะชี้ฆ่าตัวตาย สุดท้ายแล้วก็มาเจอพระพุทธศาสนาก็มาบวช เห็นไหม
นี่เวลาฝรั่งเขามาเที่ยวหา เขามาเห็นคนไทย กบเฝ้ากอบัว เพราะอะไร เพราะเขาศึกษาทางโลกจนเข้าใจถึงธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์เข้าใจธรรมชาติแล้วมันจบลงไม่ได้
ไอ้ของเรา “ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ แล้วก็นิพพานว่าง ว่าง”
ว่างอะไรของมึง ว่างขี้หมา
ถ้าว่างจริงๆ ว่างจริงมันไม่มีกิเลสไง ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการเสียดสี ไม่มีการครอบงำ ไม่ทำลายใครๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะทำลายก็ทำลายกิเลสของตน
หลวงตาหรือครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านไปไหนท่านจะไม่แสดงตัวตนเลย เพราะถ้าแสดงตัวตนแล้วมันเป็นภาระของคนที่จะมาอุปัฏฐากดูแลรักษา ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านไปไหนท่านจะหลบจะหลีก ไม่ให้ตัวของท่านเป็นภาระของใคร
ครูบาอาจารย์ที่เป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริงท่านจะไม่ทำตัวของท่านให้เป็นภาระของใคร ไม่ต้องให้ใครมาแบกหาม ไม่ต้องให้ใครมาดูแล ท่านจะดูแลตัวท่านเองได้ด้วยคุณธรรมในใจของท่าน นี้เป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริง
ในปัจจุบันนี้มันแห่กันไปก็แห่กันมา กลัวจะไม่มีคนเดินตามหลัง มึงยังกลัวเลย มึงยังเหงาอยู่เลย แล้วมึงจะเอาคุณธรรมมาจากไหน
ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่า ใครจะไปทำบุญต้องซื้อทางเข้าไป จะไปหาครูบาอาจารย์ของเราต้องขวนขวายเข้าไป นั่นเป็นของจริง ไม่ต้องมาสงสาร ไม่ต้องมาดูแล ดูแลตัวมึงนั่นแหละ ดูแลหัวใจของมึงนั่นแหละ หัวใจของมึงน่ะหลอก หลอกให้เอ็งแข่งขัน แข่งขัน เสียดสี เหยียบย่ำทำลาย ธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น ถ้าเป็นทางโลกนะ ทางโลกเป็นประเพณีวัฒนธรรม ที่เราพูดเราสาธุนะ เราภูมิใจในบรรพบุรุษของชาติไทยได้สร้างสิ่งดีงามไว้กับชาติ สิ่งดีงามนี้สร้างไว้กับชาติให้เราเห็นคุณค่า เพราะเขาสร้างมาจากน้ำใจของเขา
กษัตริย์แต่ละองค์นะ สร้างวัดสร้างวาขึ้นมาเพื่อบูชา พระเจ้าตากกู้ประเทศชาติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธยอดฟ้าท่านก็ยกประเทศไทยให้เป็นพระพุทธศาสนา ท่านทำของท่านมาทั้งนั้นน่ะ เราภูมิใจนะ
แต่เพราะเราอาศัยแบบนี้เราก็อยู่กับตื่นเงา อยู่กับภายนอก ไอ้นั่นมันเป็นเรื่อง...ถ้าพระที่มีคุณธรรม พระที่ดีงาม เขาก็ทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ พระที่เห็นแก่ผลประโยชน์เขาก็เอาสิ่งนี้มาเป็นสินค้า เอาสิ่งนี้เป็นผลประโยชน์ ฉะนั้น ถ้าพระกรรมฐาน สิ่งนี้ตัดทิ้งไปเลย เพราะมันมีดีและชั่ว มันมีถูกและผิด ไม่มี
มีจริงๆ งานของเรานะ ในกรรมฐานก็ทางจงกรมไง ก็ที่กุฏิที่นั่งสมาธิไง แล้วอย่าคุยกัน อย่าเที่ยวนินทา
ให้นินทาก็ตรวจสอบกิเลสของตน นินทาก็ตรวจสอบว่าที่มันอยากพูดนี่ มันอยากเห็นว่าคนนู้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดี...มึงน่ะไม่ดี เพราะมึงกำลังสร้างความหนวกหูให้เขา มึงกำลังทำให้ในวัดวุ่นวาย ถ้าคนนู้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ก็มึงนั่นแหละตัวไม่ดีตัวแรก เอวัง