เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะนี้เข้าสู่หัวใจของคน หัวใจของคนที่ดีงามเขาจะมีมารยาท มารยาทสังคม มารยาทที่ดีงาม ไม่ใช่มารยาททราม ถ้ามารยาททรามมันเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ถ้ามารยาทสังคมเขารู้จักเกรงใจคน
ถ้ามีความเกรงใจคน ถ้าหัวใจที่มันดีงาม หัวใจที่ดีงาม เพราะหัวใจที่ดีงาม หัวใจที่คิดดีงามมันถึงได้มาวัดมาวามาเสียสละเพื่อคุณงามความดีของเรา
แต่ถ้าหัวใจที่มันทราม มันเห็นแก่ตัว มันจะเหยียบย่ำคนอื่น มันจะเอารัดเอาเปรียบ นี่ไง นี่เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะอะไร
เพราะคนเราเกิดมามันมีขั้วบวกขั้วลบ ถ้าขั้วบวกขั้วลบ สิ่งที่ว่าความลบ อวิชชาคือความชั่วร้าย ความเลวทราม ถ้าขั้วดี ขั้วดีเป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นคนที่มีน้ำใจ เป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์ เป็นคนที่เห็นแก่หัวใจของตน ถ้าเห็นแก่หัวใจของตนใช่ไหม นี่ไง ทำดีๆ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง
มันไม่ต้องบอกใครหรอก แค่มารยาทมันก็รู้แล้วว่าดีงาม จะดีจะชั่วใครก็รู้ ทำไมต้องคอยบอกคอยจี้ ถ้ามันดีงาม มันดีงามโดยหัวใจของมัน
แต่ถ้ามันชั่วร้าย ชั่วร้ายมันเอารัดเอาเปรียบเขาน่ะ เหยียบย่ำทำลายเขาไปสิ้น ถ้าเหยียบย่ำทำลายมันมีประโยชน์อะไร ถ้าเหยียบย่ำทำลายคนอื่นมันก็เหยียบย่ำทำลายหัวใจของมัน
เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ไปกว้านฟืนกว้านไฟมาใส่ตน เอาชนะคะคานเขา กรรมทั้งนั้นน่ะ มันมีใครพอใจ
คนที่เขาพอใจ พอใจคนที่มีน้ำใจ ไม่มีใครพอใจหรอกที่คนมากีดมาขวางน่ะ ไม่พอใจหรอกที่คนมาเหยียบย่ำทำลาย มันไม่มีใครพอใจหรอก ถ้ามันไม่พอใจ แล้วเราทำทำไม เพราะใจมันดื้อด้าน
ถ้าใจมันเป็นความจริงๆ ไปวัดไปวาไปทำไม ก็ไปเพื่อบุญเพื่อกุศล บุญกุศลมันคืออะไร บุญกุศลคือความดีงาม ไม่ใช่ความชั่วร้าย ถ้าความดีงาม ใครมีมารยาทเขาก็รักษาคุ้มครองดูแลของเขา
ถ้ารักษาคุ้มครองดูแลของเขา นี่ไง อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คนชั่ว อย่าไปคบมัน คนพาล อย่าไปคบมัน เขาคบบัณฑิต
คนที่เป็นบัณฑิต คนที่มีมารยาท มีความคิดที่ดีงาม ถ้าความคิดที่ดีงามก็เพื่อประโยชน์สังคมไง
ความสามัคคีนะ ถ้าสามัคคีโดยปัญญา ไม่ใช่สามัคคีแบบหมู่โจร ถ้าสามัคคีแบบหมู่โจรมันช่วยกันคอร์รัปชัน ช่วยกันลักช่วยกันขโมย ช่วยกันเอารัดเอาเปรียบคนอื่น
แต่สามัคคีโดยธรรมๆ สามัคคีโดยธรรม คนทุกข์คนยาก นี่วันเด็ก วันเด็กเวลาหน่วยราชการ ถ้าเขาทำงานเลือกตั้งล่วงหน้า เขาให้ไปก่อนวันหนึ่ง เพราะว่ารุ่งขึ้นเขาต้องคอยบริการประชาชน แต่เด็กหลายๆ คนมากพ่อแม่หยุดงานไม่ได้ เพราะพ่อแม่ต้องทำมาหากิน เขาไม่มีโอกาสได้เหมือนเด็กคนอื่นหรอก เด็กที่ไม่มีโอกาสเยอะแยะไปหมด
วันเด็ก เด็กที่มีโอกาสเขาได้รับการเชิดชูบูชา เขาได้รับการเอาอกเอาใจ เด็กที่ขาดพ่อขาดแม่ เด็กที่ทุกข์จนเข็ญใจ เด็กที่ไม่มีใครดูแล เราเห็นภาพภาพเดียวไง เราเห็นแต่ภาพวันเด็กเป็นวันของเด็ก เด็กก็คือเด็ก เราก็เป็นเด็กมาก่อน
แต่ถ้าเป็นวันของผู้ใหญ่ล่ะ วันของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เราก็มีสติปัญญา มีสติสัมปชัญญะไง ถ้าผู้ใหญ่หลอกเด็ก ถ้าเด็กมันไร้เดียงสา วุฒิภาวะมันไม่เท่าทันคนอื่นหรอก
แต่ถ้าผู้ใหญ่ๆ ล่ะ ผู้ใหญ่มันต้องมีสติปัญญาสิ ผู้ใหญ่ทำผิด ไว้ไม่ได้ ผู้ใหญ่มันทำผิด มันบรรลุนิติภาวะ มันรู้จักมารยาทสังคม มันรู้จักความดีงาม มันรู้จักเอารัดเอาเปรียบ มันรู้จักการล่อลวง มันรู้จักพาคนไปหยำเป นี่ไง ผู้ใหญ่ทำผิดเอาไว้ไม่ได้ กฎหมายต้องลงโทษ
แต่เด็ก เด็กถ้าอายุน้อยกฎหมายยกเว้นนะ ทำความผิดก็ไม่เป็นความผิด เพราะมันไร้เดียงสา มันไม่มีวุฒิภาวะพอ แต่ผู้ใหญ่สำคัญ
นี่ไง ไปวัดไปวาก็เพื่อเหตุใดล่ะ ไปวัดไปวา ไปวัดใหม่ๆ ถ้าไปวัดใหม่ๆ ต้องถวายสังฆทาน ต้องพิธีกรรมมากๆ เพราะอะไร เพราะตอกย้ำความมั่นใจของตน
แต่วัดกรรมฐานไม่มี วัดกรรมฐานมันเป็นผู้ใหญ่ เราตั้งใจมาตั้งแต่บ้านแล้ว เรามีสติปัญญาของเราแล้ว เราจะทำคุณงามความดีของเราแล้ว
ถ้าเราทำความดี ความดี เวลาในหลวงท่านสอนนะ ปิดทองหลังพระๆ
ครูบาอาจารย์เราไม่หลังพระหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วยหรอก แต่เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วสอนสามแดนโลกธาตุ
ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่านทั้งสิ้น เพราะด้วยกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม กลิ่นของคุณงามความดีของท่าน นี่กลิ่นของความดีของท่าน
ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาด้วยศักยภาพนะ มนุษย์สมบัติ ถ้าใครไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามหัศจรรย์มาก ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมเพราะอะไร
เพราะมันทำให้คนพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย นี่ไง อำนาจวาสนา แล้วแต่คนที่จะมีอำนาจวาสนาเข้าไปถึงที่นั่นไง ถ้าเข้าไปถึงที่นั่น จิตใจของเขาเปิดกว้าง จิตใจของเขามีคุณธรรม จิตใจของเขามีหลักเกณฑ์ของเขา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาฬารดาบส อุทกดาบสสั่งสอน “มีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเหมือนเรา สอนได้เลย”
เจ้าชายสิทธัตถะไม่รับ
“มีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเหมือนเรา” ก็วิชาการเรียนมาไง รู้ทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้เรื่องกิเลส รู้ทุกเรื่อง ไม่รู้เรื่องใจของตน รู้ทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับทางโลก เป็นประโยชน์กับสิ่งที่เราดีงาม รู้ทุกเรื่องที่จะมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ แต่ไม่รู้การละ ไม่รู้การวาง ไม่รู้การเท่าทันกิเลส รู้ทุกเรื่อง ไม่ได้อะไรสักเรื่อง
แต่เวลากรรมฐานของเราศึกษามาแล้ววางไว้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ คนเรามันจะดีจะงามก็อยู่ที่การแสดงออกนี่แหละ ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่อพระอยู่ด้วยกัน ๒๐ ปีจะรู้เลยว่ามีศีลหรือไม่มีศีล ถ้าฉลาดหรือโง่เวลาพูดนี่ ถ้าพูดออกไป พูดโง่ๆ มันก็ไอ้คนโง่พูดไง ถ้าพูดไปฉลาด ก็ฉลาดใครล่ะ
หลวงตาท่านสอน ไม่ติดเราและไม่ติดคนอื่น ไม่ติดเราคือไม่ติดกิเลส กิเลสมันอยากดัง อยากใหญ่ อยากให้คนนับหน้าถือตา อยากให้คนมองหน้า นี่กิเลส ถ้ามันติดมันแล้วพูดเอาใจเขา พูดยกย่องเขา เจริญพรๆๆ แต่ถ้ามันรู้เท่าทันมันนะ ไม่ติดตน ไร้สาระ
พระบิณฑบาตมาแล้ว พระเช้าขึ้นมาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เขาบิณฑบาตมาแล้ว เต็มบาตรมาแล้ว ในบาตรเขาพอฉัน สิ่งดีงามๆ เขาไปวัดไปวาก็ไปเพื่อบุญกุศลของเขา เขามานี่มันเป็นสิทธิของเขานะ มันเป็นสิทธิของคนทำ จะมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ ไม่ต้องมาก็ได้ แต่สิทธิของผู้ที่บิณฑบาตเขาพอแล้ว เอ็งไม่ต้องมาก็ได้ เขาเหลือเฟือ
แต่พระภิกษุเขาบิณฑบาตแล้วนะ เขาบิณฑบาตแล้ว ทำภัตกิจแล้วเข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่ที่สมาธิภาวนา เขาเลี้ยงชีพไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติและค้นคว้าหาสัจจะความจริง
นี่ไง เพราะกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ประชาชนที่เขามีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาเขาดั้นด้นค้นคว้าเข้าไปหาท่าน ดั้นด้นค้นคว้าไปหาของจริง ไม่ได้ไปหาของตอแหล “ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น” หลวงปู่มั่นสอนอะไร
หลวงปู่มั่นท่านสอนอยู่ในสัปปายะ ๔ ในที่สงัดในที่วิเวก ท่านไม่สอนหรอกให้ไปอยู่คอนโดมิเนียม ไม่เคยสอน ไม่สอนให้คลุกเคล้ากัน ไม่สอนให้คลุกคลีกัน ไม่สอนให้สุมหัวกัน ให้ต่างคนต่างแยกย้ายออกจากกันไปค้นคว้าหาใจของตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อที่ไหน รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของสัตว์โลก
สัตว์โลก หัวใจนี้มันเกาะเกี่ยว หัวใจนี้มันทุกข์มันยาก หัวใจนี้มันเป็นสิ่งที่ซับบุญกุศลหรือบาปอกุศลของคน แล้วเพราะบุญเพราะบาปอันนั้นน่ะมันถึงขับเคลื่อนให้จิตดวงนั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีแรงขับของมัน
ถ้าแรงขับของคนที่มีบุญกุศล เจ้าชายสิทธัตถะแรงขับที่ดีงาม เกิดเป็นพระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์เสียสละชีวิต เสียสละทุกๆ อย่างเพื่อสังคม เพื่อความสงบร่มเย็นของโลก นี่ท่านทำของท่านเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีของท่าน
เวลาท่านทำของท่านเต็มที่แล้ว พอชาติสุดท้ายเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาท่านจะตรัสรู้ธรรมท่านต้องตรัสรู้ธรรมด้วยมรรคด้วยผลในหัวใจของท่าน ท่านต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริงขึ้นมาเกิดในใจของท่าน ถ้าเกิดในใจของท่าน เสวยวิมุตติสุขๆ ด้วยการกระทำของท่าน
ท่านสร้างของท่านมานะ มีคนยกย่องสรรเสริญเชิดชูท่านมากมาย ท่านไม่ต้องการ ท่านไม่ต้องการ ท่านต้องการความเป็นจริงในใจของท่าน เวลาเป็นความจริงในใจของท่าน เวลามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว สัจจะความจริงอันนั้นวิมุตติสุขๆ มันเกิดความจริงขึ้นมาอย่างไร ใครจะมายกย่องสรรเสริญขนาดไหนมันเรื่องไร้สาระ
เวลาคนชมเชยถึงท่านว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดา ถึงได้มีลาภสักการะมากมายมหาศาลขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอกอย่างนั้นเลย ไม่ใช่ๆๆ
ของเราทำมาทั้งนั้น ท่านเสียสละแม้กระทั่งชีวิต ท่านเสียสละ เสียสละให้เป็นทาน เกิดเป็นสัตว์ นายพรานหลงป่ากำลังผิงไฟอยู่ ท่านกระโดดเข้ากองไฟสละร่างของท่านเพื่อดำรงชีพคนอื่นต่อเนื่องไป
ท่านสละแม้กระทั่งชีวิตขึ้นมาเพื่อให้คนดำรงชีพอยู่ได้ แล้วท่านทำแล้วทำซ้ำๆ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านทำมามากมายมหาศาลขนาดนั้น กับไอ้แค่ปัจจัย ๔ ที่คนมาถวาย ไร้สาระ
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ๆ นี่เวลาเขาทุกข์เขายากมา เขาโดนกิเลสบีบคั้นมา เขามีปัญหาในครอบครัวเขามา เขามีความทุกข์ยากในหัวใจเขามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงสัจธรรมๆ มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงมันเป็นอย่างนั้น
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น มีสติเท่าทันกับความจริงอย่างนั้นแล้ว ปล่อยวางอันนั้นไว้ วางอันนั้นไว้เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนเลือกดำเนินชีวิตมาทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากการกระทำของเราทั้งสิ้น เพราะเราขาดสติ เราไม่มีปัญญาของเรา เราถึงได้ดำรงชีพของเราอย่างนี้ ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เห็นไหม
ดูสิ ดูพระสิ พระไม่ใช่คนหรือ พระมีพ่อมีแม่ไหม มีพ่อมีแม่ทั้งนั้นน่ะ พ่อแม่ก็อยากให้เหมือนพวกโยมนี่แหละ อยากให้ประสบความสำเร็จในชีวิต อยากให้รุ่งเรืองเจริญ ทำไมพระสละแล้วมาบวชล่ะ
นี่ไง เขาเลือกเดินทางชีวิตนี้ เขาเลือกเดินทางเลือกอยากประพฤติปฏิบัติ เลือกทางที่กว้างขวางเพื่อจะพ้นจากทุกข์ ถ้าทางกว้างขวางเพื่อจะพ้นจากทุกข์ เขามีโอกาสเขาจะปฏิบัติของเขา เขาแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ของเขา
ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่เอาแต่ลูกศิษย์ลูกหามาเป็นเหยื่อ หลอกลวงชาวบ้าน มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มประเทศไทย
แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าของท่าน เวลาพระท่านจะมาอยู่กับท่านนะ ท่านบอกให้ไปอยู่รอบๆ นอก ให้ไปอยู่ข้างนอก ให้ฝึกหัด ให้ค้นคว้า ให้มีการกระทำของท่านขึ้นมา แล้วถ้ามีปัญหาขึ้นมาให้เข้าไปหาท่าน ท่านจะแก้ไขให้
เหมือนหมอ หมอจะรอคนไข้คนเจ็บคนป่วยที่มีโรคภัยไข้เจ็บแล้วหมอจะรักษาคนนั้น ถ้าคนคนนั้นยังไม่มีโรคไม่มีภัย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็ไม่มีความจำเป็นของหมอใช่ไหม
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะแก้ไขก็แก้ไขหัวใจคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วมันมีเหตุการณ์ขัดข้องขึ้นมาในหัวใจของท่าน แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็ไม่มีสิ่งใดขัดข้องในหัวใจของเรา
เราไปวัดไปวา พระก็คือพระ พระก็คือพระ ทำไมล่ะ พระก็เรื่องของพระ เรื่องของเรา เราจะหยำเปอย่างไรก็ได้ เรื่องของเราๆ ไอ้นั่นเรื่องของพระ
แต่เวลาถ้ามันจะปฏิบัติจริงๆ มันไม่เป็นอย่างนั้น เวลามันทุกข์ มันทุกข์เรา เดินจงกรมเกือบเป็นเกือบตายมันไม่ลง จิตน่ะ
เวลาจิตมันลงไปแล้วมันมีความเห็นของมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มีความเห็นแตกต่างจากโลก แล้วจะถามใคร จะถามใคร
นี่คนป่วย เวลาคนมันป่วยแล้วไปโรงพยาบาล กลัวก่อนเลย คนป่วยไปโรงพยาบาลกลัวหมอตายก่อนแล้วจะรักษาเราไม่หาย เวลาคนป่วยไปโรงพยาบาลนะ กลัวหมอจะพลัดพรากจากไป “หมอต้องอยู่ก่อนนะ ให้หนูหายก่อนแล้วหมอค่อยเป็นอะไรก็ได้”
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันยังไม่มีอะไรขัดข้องในหัวใจ อาจารย์ไม่สำคัญ พอมันเห็นความสำคัญของอาจารย์ขึ้นมานะ “อาจารย์อย่าเพิ่งไปไหนนะ แก้หนูก่อน แก้หนูก่อน”
แล้วหนูมีอะไรให้แก้ หนูมีอะไรให้แก้ มีบ่วงที่ไหนให้แก้ ไม่มีอะไรให้แก้สักชิ้นหนึ่ง นี่รู้ทุกเรื่อง แต่ทำอะไรไม่ได้สักเรื่อง แล้วไปแก้อะไร
สัจจะความจริงมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ เราไปวัดไปวา วัดป่าเขามีกฎมีระเบียบของเขา กฎระเบียบอันนั้นก็เพื่อไม่ให้กิเลสมันเพ่นพ่าน กิเลสที่มันเพ่นพ่านในหัวใจแล้วมันก็แสดงออกมา พอแสดงออกมามันก็ไปกระทบกระเทือนคนนู้นคนนี้ กระทบกระเทือนกันไปทั่ว
แม้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ให้คลุกคลีกันเลย เวลาพระที่ฉันเสร็จแล้ว ส่วนใหญ่แล้วเขาจะให้แยกย้ายกันไป ให้อยู่ในที่สงบสงัดของตน แล้วพยายามค้นคว้าหาไอ้หน้าด้านน่ะ
โปฐิละ โปฐิละใบลานเปล่า เวลามีปัญญามาก ลูกศิษย์มหาศาล เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ใบลานเปล่ามาแล้วหรือ” มีการศึกษาเปล่าๆ มีความรู้เปล่าๆ เป็นดอกเตอร์เปล่าๆ ดอกเตอร์ก็ตายเปล่าๆ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
โปฐิละได้สติได้ปัญญา จะประพฤติปฏิบัติ ไปหาพระปฏิบัติ เจ้าอาวาสบอกว่า “เราเป็นคนรู้น้อย มีปัญญาน้อย” ไล่ไปเรื่อยจนไปถึงสามเณรน้อย
สามเณรน้อยก็ลองจนกว่าจิตใจยอมรับ พอยอมรับขึ้นมา ร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอมปลวก จอมปลวกมีรูอยู่ ๕ รู มันมีเหี้ยตัวหนึ่งอยู่ในจอมปลวกนั้น ให้ปิดเสีย ๕ รู เวลาเรานั่งลงสมาธิไง หลับตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดหัวใจไว้ จับเหี้ยตัวนั้น จับเหี้ยตัวนั้นให้ได้ ถ้าจับเหี้ยตัวนั้นได้แล้วเราพิจารณาไง
ในหัวใจเรามีแต่ความหน้าด้าน มีแต่ความเอารัดเอาเปรียบ แล้วไม่ได้เอารัดเอาเปรียบใคร เอารัดเอาเปรียบตัวมันเอง มันทำลายจิตใจมันเอง มันข่มเหงใจมันเอง ทั้งๆ ที่มันเกิดมากับใจนี้ มันเป็นพญามารครอบคลุมใจนี้
ใจนี้เป็นภวาสวะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วมีพญามารครอบคลุมมันอยู่ แล้วมันก็เอารัดเอาเปรียบ บีบคั้นๆ แต่ใจไม่เคยตาย บีบคั้นเท่าไรมันก็ “ไม่เป็นไรๆ” เพราะเราคิดเอง แต่คนอื่นไม่ได้นะ คนอื่นอย่ามาแซงหน้าแซงหลัง คนอื่นอย่ามาแสดงกิริยามารยาทเก่งกว่าเรา ถ้าคนอื่นไม่ได้นะ แต่ถ้าใจของเรา เอาเลย บีบบี้สีไฟ ก็เราคิดไง กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส มันไม่เห็นมันหรอก ไอ้พวกหน้าด้าน
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ นะ คนเรานะ ถ้ามีสติปัญญา ปิดไว้ ๕ รู จอมปลวกนั้นปิดให้หมดเลย เหลือไว้รูเดียว หัวใจ แล้วจับไอ้เหี้ยตัวนั้นให้ได้ จับไอ้ความหน้าด้านอันนั้นให้ได้
ถ้าจับมันได้ เอามาพิจารณา เอามาพิจารณาแยกแยะ สิ่งที่มันปกคลุมหัวใจแล้วมันทำลายเราๆ กิเลสไม่ทำลายใครนะ กิเลสทำลายตัวเราก่อน เพราะเกิดจากภวาสวะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนดวงใจของเราไม่ได้อีกเลย” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมาร
แต่เราเคยเห็นมันไหม เราเป็นเพื่อนมัน เป็นขี้ข้ามัน เป็นเบี้ยล่างของมัน เป็นบ่าวรับใช้ของมันให้มันขี่หัวแล้วก็เหยียบย่ำ แล้วก็ทำลาย พอคิดแล้วมีการกระทำ พอคิดมีเจตนาแล้วก็แสดงออก แสดงออกไป คนอื่นเดือดร้อนแล้ว
มันบีบบี้สีไฟหัวใจมันก่อนนะ มันเหยียบย่ำใจมันก่อนนะ แล้วมันก็คิดว่าดีๆๆ อวิชชาคือความไม่รู้ เราคิดอะไรก็ว่าดี เด็กๆ นี่นะ เวลาจะไปขอเงินพ่อเงินแม่มัน มันจะไปแสดงให้พ่อแม่มันเห็น มันก็ว่ามันฉลาด แต่พ่อแม่รู้หมดน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน มันจะคิด มันจะคิด อู๋ย! แนบเนียน ไม่มีใครรู้เท่า พอแสดงออกไป แสดงออกไปมันทำลายตนแล้วก็ทำลายผู้อื่น ทำลายเขาไปทั่ว มารทำลายเขาไปทั่ว
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา ทาน ทานไม่ต้องการว่าให้คนนู้นคนนี้ ไม่ใช่
ทานคือมีน้ำใจต่อเขา ทาน ให้ธรรมเป็นทาน ให้อิสระ ให้ความคล่องตัว ให้วิชาการ ให้ความรู้ นี่การให้ทาน ให้ธรรมเป็นทานเลิศกว่าการให้ทั้งปวง ให้เขามีสติ ให้เขามีปัญญา ให้เขารู้จักผิดชอบชั่วดี เราอบรมสั่งสอนเขา ถ้าสั่งสอนเขาได้ ถ้าสั่งสอนเขาไม่ได้ก็กรรมของสัตว์
คนเรามันดื้อด้านมาตั้งแต่อดีตชาติ มันดื้อด้านมาทุกๆ ชาติ เทวทัตดื้อด้านมาตลอด ทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตลอด เพราะความดื้อด้านอย่างนั้นมันก็เป็นสมบัติของความดื้อด้านอย่างนั้น เราจะไปแก้ความดื้อด้านอย่างนั้นไม่ได้ มันก็เป็นกรรมของเขา
ถ้ากรรมของเขา ถ้าเกิดเขามีสติปัญญาขึ้นมา เขาสำนึกผิดขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการ เขาสำนึกผิดได้ เขาจะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เทวทัตไม่ได้เห็นหน้าเราหรอก”
เทวทัตไม่ได้เห็น เทวทัตตายอยู่นู่น แล้วก็ตายจริงๆ เพราะเขาสำนึกผิด สำนึกได้ เวลาเป็นเทวทัตนะ ทำลายล้างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลักก้อนหินนะ ให้ช้างมาฆ่า จะฆ่าๆ จะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
แต่เวลาสำนึกได้แล้ว เวลาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาหามเสลี่ยงมา พอหามเสลี่ยงมาหน้าเชตวัน “เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่สมควรหรอกที่เนื้อตัวสกปรกขนาดนี้ กลิ่นเหงื่อไหลไคลย้อย มันเป็นกลิ่นที่ไม่สมควรแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
นี่ไง เวลาคิดได้กับเวลาคิดไม่ได้มันแตกต่างกันไง เวลาคิดไม่ได้ จะทำลายล้าง จะเข่น จะฆ่า จะแย่ง จะชิง
แต่เวลามันจะคิดได้แล้ว ทั้งๆ ที่จะไปขอขมาต่อท่าน จะไปขอขมายังต้องทำร่างกายให้สะอาดก่อน ต้องทำคุณงามความดีกับท่าน เวลามันคิดได้ไง แล้วพอถึงหน้าเชตวันจะลงไปล้างเท้า ไปทำร่างกายให้สะอาด พอลงถึงแผ่นดินธรณีสูบ ผัวะ!
กรรมของเขาไง เวลามีเหตุอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรังแกใครหรอก การกระทำของเขา กรรมของเขา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีต้องได้รับความดีตอบสนองแน่นอน ใครทำความชั่วจะได้รับผลชั่วตอบสนองแน่นอน แต่มันเป็นวาระ
เพราะคนเรามีทั้งทำดีและทำชั่ว กำลังของใครยังมีกำลังอยู่ กำลังสิ่งนั้นมันก็พยุงไปก่อน แต่ถ้ากรรมสิ่งใดมันเบาบางลง ไอ้กรรมที่มันเข้มแข็งกว่ามันก็จะแสดงขึ้นมา นี่ไง กรรมเป็นอจินไตย การกระทำของพวกเราเป็นอจินไตย
เพราะทั้งชีวิตเราไม่เคยทำอะไรเลยหรือ นั่งอยู่ก็คิด มันทำมาตลอดภพตลอดชาติ แล้วไม่ได้ทำมาแต่ภพชาตินี้ มันทำมาทุกภพทุกชาติ
แต่ในชาติปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนักปราชญ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาดีกับเรา อยากให้เราได้คุณงามความดี อยากให้เราจิตใจที่เบา จิตใจที่ประเสริฐ
ถ้าเราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลากิเลสมันยุมันแหย่ กิเลสมันทำลาย เราจะฝืนกับมัน เราจะมีสติปัญญาต่อสู้กับมัน
เห็นไหม นักปฏิบัติเขาต่อสู้กับกิเลสของตน มันกระอักเลือดนะ ไอ้ความคิดที่มันเกิดในใจนั่นน่ะมันรุนแรง แล้วสติยับยั้งมัน สมาธิทำให้มันว่าง แล้วให้มีโอกาสขุดคุ้ยหาเจอมัน ไอ้เหี้ยตัวนั้นน่ะ แล้วจับมันพิจารณาด้วยภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา มรรคอริยสัจจัง สัจจะความจริงอันนี้มันจะสามารถปราบปรามชำระล้างไอ้เหี้ยตัวนั้นออกจากใจเราได้แน่นอน เอวัง