เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ อันนี้ฟังธรรมแล้ว สัจธรรมเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรามาวัดมาวากันอยู่นี่เราก็มาแสวงหาสิ่งนี้ ถ้าเราแสวงหาสิ่งนี้ สิ่งนี้มันอยู่ที่ไหน สิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจของเรานะ
ในหัวใจของเรามันเจ็บปวดแสบร้อน ในหัวใจเรามันทุกข์มันยากไง เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น ท่านศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดแล้วท่านจะประพฤติปฏิบัติของท่านไง มันก็สงสัยไปหมด เพราะอะไร
เพราะมันเกิดจากความสงสัยของเรา มันเกิดจากกิเลสของเรามันก็สงสัยไปทั่ว เวลามันสงสัยไปทั่วขึ้นมา แล้วใครจะชี้นำเรา ใครจะชี้นำเราไง
เวลาไปหาหลวงปู่มั่นใช่ไหม หลวงปู่มั่นท่านพูดเลย “ท่านมาหาอะไร หานิพพานหรือ นิพพานมันอยู่ที่ไหน มันอยู่บนภูเขาเลากาใช่ไหม มันอยู่ในตำรับตำราใช่ไหม มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกไง มันอยู่ในหัวใจของเรา มันอยู่ในหัวใจของเราน่ะ”
มันอยู่ในหัวใจของเรา ถ้ามันอยู่ในหัวใจของเราแต่หัวใจของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีแต่กิเลสมันบีบคั้นในหัวใจไง เวลามีกิเลสมันบีบคั้นในหัวใจ มันอยู่ที่คนมีอำนาจวาสนา
คนที่มีอำนาจวาสนานะ อย่างเช่นเวลาครูบาอาจารย์ของเราส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกชาวนาอยู่ตามชนบท
เป็นลูกชาวนาอยู่ตามชนบท ในมุมมองของเรานะ เราบอก นั่นท่านมีวาสนา มีวาสนาเพราะอะไร เพราะว่าท่านอยู่ในชนบท คนชนบทเขาใกล้ชิดพระพุทธศาสนา เวลาเขาจะบวชเขาจะเรียนเขามีโอกาสมาก แต่มีโอกาสมากแต่ชีวิตตรากตรำมา
ครูบาอาจารย์ของเราเกือบทุกองค์เลย ชีวิตคือชาวนามาดั้งเดิม ช่วยพ่อช่วยแม่ทำนามาทั้งนั้นน่ะ ถ้าช่วยพ่อช่วยแม่ทำนา สิ่งที่เวลามาบวชแล้วไง เวลาบวชแล้วมาศึกษาพระพุทธศาสนา เวลาบวชมาศึกษาพระพุทธศาสนา ศึกษามาทำไม
การศึกษาทางโลกเขาบอก ศึกษามาเพื่อเป็นความรู้ โลกนี้จะเจริญด้วยปัญญา ปัญญาจะส่งเสริมให้โลกนี้เจริญ
แต่ปัญญาที่เจริญ เวลาใครไปเที่ยวเมืองนอกกลับมา เวลาไปเยี่ยมหลวงตา ไปประเทศนั้นประเทศนี้กลับมา
ท่านบอก อย่ามาคุย อย่ามาโม้ มันเจริญทางวัตถุ แต่มันมีแต่ฟืนแต่ไฟแผดเผา คอนโดมิเนียมหลังหนึ่งเหมือนกับเล้าไก่ เล้าไก่ดูสิ เวลาแม่ไก่มันไข่มาเขาก็ไปเก็บไข่ คอนโดมิเนียมหลังหนึ่งก็เหมือนกับเล้าไก่ พวกที่อยู่ในเล้าไก่ไง มีความเจริญๆ
นั่นมันเจริญนะ ตึกมันสูง ไอ้เราอยู่กระท่อมห้องหอ เรารักษาของเรา ดูแลหัวใจของเรา
เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เวลาใครลาไปวิเวกกลับมานะ ท่านจะถามเลย ได้อะไรกลับมา ได้คุณธรรมอะไรกลับมาบ้าง วิเวกกลับมามันมีความสงบระงับเข้ามาบ้างหรือเปล่า มันมีปัญญามาบ้างหรือไม่ ถ้าไม่มี ไปเอายาฝิ่นมา ไปเอาติรัจฉานวิชา บ้านนั้นก็เจริญ บ้านนี้ก็เจริญ อู๋ย! ที่นามันที่ลุ่ม น้ำดีไง...ติรัจฉานวิชา ติรัจฉานวิชาคือวิชาทำให้เนิ่นช้า ไอ้นั่นเป็นวิชาทางโลก
ทางโลกเขา เขาต้องมีสัมมาอาชีพของเขาใช่ไหม ทางโลกเขาสัมมาอาชีวะไง ชาวนาเป็นสัมมาอาชีวะเพราะเขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาทำอาหารเลี้ยงประชากรโลก นี่ไง สัมมาอาชีวะ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก
แต่ถ้าเป็นเรื่องของพระ ติรัจฉานวิชา เพราะวิชาของเอ็งต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาในหัวใจ เราไปวิเวกขึ้นมา วิเวกเพื่อความสงบระงับขึ้นมาเพื่อคุณธรรมในหัวใจของเรา ไม่ใช่ไปฝึกทำนา
ทำนาๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต พราหมณ์เขาไม่ใส่บาตรไง “สมณะ สมณะก็ไถนาหากินเองสิ สมณะมาเที่ยวขอเขาทำไม”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เราไถทุกวินาทีเลย ปัญญาของเราเป็นแอก สติของเราเป็นผาล สิ่งต่างๆ เราผลาญกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจอยู่ทุกวินาทีเลย
นี่เวลางานของพระๆ ไง ไม่ใช่ติรัจฉานวิชา วิชาจากภายนอก วิชาจากในหัวใจวิชาจากภายในไง ถ้าวิชาจากภายใน เราทำของเราทุกวินาที เราทำทุกวินาทีทุกลมหายใจเข้าออก เราไถกิเลสทั้งวันทั้งคืน นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัทมพุทธเจ้าตอบเขาไง
ไม่ใช่ติรัจฉานวิชา วิชาภายนอก วิชาของโลก วิชาการดำรงชีพ วิชาคือปัจจัย ๔ ของชั่วคราวปัจจัยเครื่องอาศัย ไม่ใช่ความจริงๆ ไง ความจริงคือความทุกข์ความยากในหัวใจดวงนี้ไง
ถ้าความทุกข์ความยากในหัวใจดวงนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนา ชีวิตของเราแค่ชีวิตหนึ่ง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายไปทั้งหมด แล้วชีวิตนี้เอามาทำไม เกิดมาทำไม
ถามตัวเอง เกิดมาทำไม เกิดมาแข่งขัน เกิดมาเพื่อทำหน้าที่การงานใช่ไหม เกิดมาเพื่อโลกใช่ไหม เกิดมาเพื่อสังคมใช่ไหม แล้วเรามีความสุขความทุกข์ในหัวใจหรือไม่ ชีวิตทั้งชีวิตนี้ปล่อยให้มันสูญเปล่าไปใช่ไหม
เวลามาวัดมาวาไง มาวัดมาวาขึ้นมาเวลาจะมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติ พระออกไปวิเวกกลับมา หลวงตาจะถามว่า “ได้อะไรมา ได้อะไรมา”
นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวาเรามาจำศีล เรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราหวังอะไร เราหวังสัจธรรมความจริงในใจของเรา
พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส พุทโธมีความสุขในหัวใจของเรานี้ หาให้เจอสิ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา เดิน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตน หน้าที่การงานเราเสร็จหรือไม่
เวลาสมัยอยู่กับหลวงตานะ ครูบาอาจารย์ของเรายิ่งใหญ่มีคนนับหน้าถือตา จะลาไปเมืองนอกไง จะมาลาท่าน บอกว่าจะไปเผยแผ่ธรรมะ
ท่านถามสวนกลับเลย “งานของท่านเสร็จหรือยัง งานของท่านน่ะเสร็จหรือยัง”
งานในหัวใจนี้มึงมืดบอดมึงจะเอาอะไรไปเผยแผ่ หัวใจมืดบอด หัวใจไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ประสบสิ่งใดเลย
ถ้าหัวใจมันไม่มืดบอด มันประสบความสำเร็จ
หน้าที่การงานของตนๆ หน้าที่การงานของตนไม่ทำ จะไปเผยแผ่ธรรม หน้าที่การงานของตนไม่รู้ จะไปเผยแผ่ธรรม หน้าที่การงานของเราไม่เห็น จะไปเผยแผ่ธรรม
นี่ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัทมพุทธเจ้า เวลาศึกษามาแล้วศึกษามาเป็นปริยัติ ปริยัติศึกษามาทรงจำธรรมวินัยๆ นกแก้วนกขุนทองไง ๙ ประโยคไม่รู้จักสมาธินะ ๙ ประโยค สติก็จินตนาการเอา ถ้าปัญญา ปัญญาก็เทียบเคียงเอาเป็นตรรกะ ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิยิ่งไม่รู้เรื่องเลย เอาอะไรไปเผยแผ่
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ ไม่ได้ปฏิเสธนะ การศึกษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัทมพุทธเจ้า พระอานนท์ทรงจำธรรมวินัย เวลาทรงจำธรรมไว้เป็นพระไตรปิฎก พระอุบาลีทรงจำธรรมวินัยไว้ ทรงจำธรรมวินัยๆ ทรงจำไว้ ทรงจำไว้ให้อยู่ในร่องอยู่ในรอย เป็นปูนหมายป้ายทางไว้ให้เรามีทางเดินของเรา ถ้าเรามีทางเดินของเรา เราจะเดินตามทางนั้น
แล้วมันเดินจริงหรือเปล่า ศึกษาธรรมวินัย ทรงจำธรรมวินัยไว้ทำไม เอาไว้ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ปริยัติเขาศึกษาไว้ทำไม ศึกษาไว้เผยแผ่ธรรมหรือ ศึกษาไว้ฆ่ากิเลสหรือเปล่า
คนไม่มีวาสนามันจะสอนคนอื่น มันไม่ได้สอนตัวมันเอง
แต่คนที่เขามีอำนาจวาสนาเขาจะสอนตัวเขาเอง ดูสิ โปฐิละ โปฐิละใบลานเปล่า ลูกศิษย์ลูกหามหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นถึงนิสัย ใบลานเปล่าๆ ใบลานเปล่าคือคือใบลานเปล่าๆ ใบลานเปล่าจดจารึกไว้มันก็ยังมีชื่อมีเสียง
นี่ก็เหมือนกัน ศึกษามา ศึกษามาทรงจำธรรมวินัยไว้แล้วประพฤติปฏิบัติหรือไม่ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา งานของตนๆ ไง
นี่ก็เหมือนกัน เรามีสติมีปัญญาใช่ไหม เรามาวัดมาวาใช่ไหม เราจะมาประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราจะประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติที่ไหน
ทางจงกรมพระเขาสร้างไว้ให้ กุฏิที่นั่งพระสร้างไว้ให้ เวลาเดินจงกรม เดินจงกรมเพื่อค้นคว้าหาหัวใจของเรา ไม่ต้องไปสร้างทางจงกรม ไม่ต้องไปสร้างภาพ ไม่ต้องไปจินตนาการ เอาหัวใจของตนๆ น่ะ หัวใจของตนอยู่ที่ไหน
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธไง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าพุทโธกับลมหายใจ พุทโธกับอารมณ์ความรู้สึกมันกลมกลืนกันนะ โอ้! พุทโธง่ายๆ พุทโธสะดวกสบาย
ถ้ากิเลสมันฟูขึ้นมานะ พุทโธมันเครียด พุทโธคิดไปร้อยแปด พุทโธ...พุทโธ่! เลยล่ะ ไม่ใช่พุทโธ เราพุทโธๆ พุทโธเพื่อความสงบ “พุทโธ่! ชีวิตนี้มันอาภัพนัก” มัน “พุทโธ่! สังเวช” นี่เวลากิเลสมันเหยียบย่ำไง
ถ้าเวลามันพุทโธๆ จนพุทโธกับลมหายใจมันกลมกลืนกันนะ เออ! เราก็เป็นศากยบุตรเนาะ เราเป็นบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ วางศาสนานี้ไว้เป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเรา แล้วเราจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่
เวลาจะกราบพระ กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบแล้วมันซาบซึ้งใจหรือไม่ เวลากราบลงไปแล้วมันเป็นจริงเป็นจังหรือไม่ กราบสักแต่ว่าทำกันไง ไปถึงก็ปั๊บๆๆ หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม
หลวงตาท่านเน้นย้ำประจำ ไอ้หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม ไม่อยากได้ยินนะ
แต่มันก็เป็นอุบายนะ เด็กมันไม่รู้จักหรอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าหนึ่ง สอง สาม มันรู้ บอกให้เด็กกราบหนึ่ง สอง สาม มันก็กราบหนึ่ง สอง สามไปทั้งชาติเลย
แต่ของเรา เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราจะกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หัวใจเราเป็นธรรมหรือไม่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัทมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ฝากไว้เป็นมรดกของเรา เราได้แต่พินัยกรรมกันนะ เราเป็นชาวพุทธ ทะเบียนบ้านก็บอกว่านับถือพระพุทธศาสนา เราก็ได้มรดกกันมานะ แล้วมันจริงไหม
เกลือมันมีรสชาติอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญามีรสชาติอย่างไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรสชาติอย่างไร เคยได้ลิ้มรสไหม เคยได้รู้จักไหม ถ้าคนเราไม่ได้กินอาหาร มันตาย
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัทมพุทธเจ้า สัจธรรม ธรรมทายาทๆ มันเคยเกิดขึ้นมาหรือไม่ มันมีอยู่จริงหรือไม่ ใครทรง ทรงไว้ได้หรือไม่ มันฟื้นฟูได้หรือไม่ นี่ชีวิตของเราไง
นี่ไง “งานของท่านเสร็จหรือยัง งานของท่านน่ะ”
แหม! ดัดจริตจะไปเผยแผ่ธรรมๆ
ท่านสวนกลับนะ “งานทำเสร็จหรือยัง”
นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธนะ วันนี้เรามาถวายทาน งานเราเสร็จแล้วนะ เราได้ประเคนแล้ว งานนี้เสร็จไปเรื่องหนึ่ง พระพิจารณาแล้วท่านตักของท่านใส่บาตรของท่าน ปฏิสังขาโย พิจารณาก่อนฉันของท่าน นี่ทาน ทานคือปัจจัยเครื่องอาศัย ทาน
ศีล ศีลคือจิตของเราปกติหรือไม่ จิตของเรามันปกติ ศีลคือความปกติของใจ สิ่งที่ข้อห้าม ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มันไปจากใจทั้งนั้นน่ะ มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง “โอ๋ย! ฉันเป็นคนเมตตาๆ พรุ่งนี้จะกินแกงไก่ ฉันเป็นคนเมตตา” มันคิดอย่างหนึ่ง อยากจะมีเมตตา แต่มันจะกินแกงไก่ นี่มันฆ่าเขาแล้ว
นี่ไง ถ้ามันเป็นปกติของใจ จะกินอะไรก็ได้ สิ่งใดมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยตามมีตามได้ ตามมีตามได้ตามแต่โลกเขามี ถ้าตามแต่โลกเขามี เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราอยู่ในโลกนี้ สิ่งใดที่ไม่เบียดเบียนกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่ทำลายกัน เราดำรงชีพอย่างนั้นๆ นี่ไง ความปกติของใจ
ถ้าใจปกติแล้ว ใจปกติแล้วมันเห็นคุณเห็นโทษ เห็นคุณเห็นโทษ มีศีล มีสมาธิ เราจะฝึกหัดของเราขึ้นมา ถ้าฝึกหัดขึ้นมา มันจะยืนยันขึ้นมาแล้ว
คนที่ภาวนาเป็นนะ เขาสงวนสิ่งที่เป็นความสงบสงัด เป็นสัปปายะ สัปปายะ ๔ คือสถานที่ควรแก่การงาน ที่เงียบ ที่สงัด
เวลาพระเราที่ปฏิบัติไม่ได้ไปเที่ยวป่าช้ากันน่ะ ป่าช้าเป็นที่คนเขารังเกียจ เขาไม่อยากเข้าไป พระเราไปแสวงหาที่สิ่งนั้น แล้วไปที่สิ่งนั้นแล้วไปเห็นถึงซากศพไง เขาก็ตาย เราก็ตาย เขาตายก่อน เราตายหลัง ไม่ให้มันทะเยอทะยาน ไม่ให้มันเห่อเหิมเกินไป แล้วหัดเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อหัวใจของเรา ค้นคว้าให้มันเจอ
ถ้ามันไม่เจอ เห็นไหม ไปเที่ยวป่าช้า ไปอยู่ในป่าช้า เขาก็ตาย เราก็ตาย สัปเหร่อบอกตายมา เดี๋ยวเขาจัดพิธี เขาได้ตังค์ สัปเหร่อมันคลุกคลีอยู่กับซากศพนะ ก็เป็นอาชีพหนึ่ง มันก็เป็นอาชีพของเขา ต้องขอบคุณเขานะ ไม่ได้เสียดสี ไม่ได้ประชดประชัน
แต่เราเสียดสีประชดประชันกิเลสในหัวใจของเราที่เวลามันคิดไง เวลามันคิดว่าอยู่กับซากศพแล้วมันสลดสังเวช แล้วทำไมดูคนอย่างนั้น สัปเหร่อเขาต้องเป็นคนดีทั้งหมดเลย สัปเหร่อก็ต้องเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะเขาทำของเขาอยู่ทุกวัน
ถ้าเขาทำของเขานั่นมันกิริยา แต่ถ้าใจเขาเป็นธรรมๆ นะ สัปเหร่อที่ดี สัปเหร่อที่มีคุณธรรมในใจก็มี สัปเหร่อที่เป็นอาชีวะของเขามาแข่งขันแย่งชิงกันเอาผลประโยชน์ก็มี ทุกวงการมีไปหมดน่ะ อันนี้กิเลสมันจะแลบไง นี่พูดดักคอมันไว้ก่อน
แต่ของเรา เราก็รักษาของเรา พอถ้าจิตมันสลดสังเวช เวลาคนเราภาวนาไม่ลง เขามรณานุสติไง ระลึกถึงความตายๆ ถ้าคนระลึกถึงความตายนะ ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาย ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไม่ใหญ่กว่าโลงศพ ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาย แล้วเอ็งจะยิ่งใหญ่ไปไหนล่ะ
พอยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งใหญ่อยู่ข้างนอก จิตใจมันกระด้าง จิตใจมันอหังการ มันจะไปครองโลก แล้วมึงล่ะ ตัวเองยังไม่รู้จักเลย มึงไปครองเขาได้อย่างไร มึงไปครองเขาแล้วปกครองเขาอย่างไร แล้วใจมึงล่ะ นี่ถ้ามันย้อนกลับมา มันสลดสังเวชขึ้นมา มันจะค้นคว้ามาที่นี่
พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส พุทโธครอบสามโลกธาตุ มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ในใจเรานี่ไง ถ้ามันหาเจอนะ
เส้นผมบังภูเขา ความรู้สึกนึกคิด สัญญาอารมณ์มันปิดบังไว้หมดเลย ไม่รู้ไม่เห็น ถ้ามันรู้มันเห็นนะ สมาธิเป็นสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิมันมีคุณประโยน์ขนาดไหน ถ้าสัมมาสมาธินะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
คำว่า “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” จิตๆๆ แต่เวลาพระอรหันต์เขาทำลายจิตๆ ทำลายจิตคือทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ปฏิสนธิจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
ถ้าจิตมันสว่างไสวจิตมันก็เกิดไง จิตสว่างไสว จิตผ่องใสคือตัวอวิชชา อวิชชานั่นน่ะตัวภพตัวชาติ แล้วถ้ามันเข้าไปทำลาย มันมีปัญญา มันทำลาย
“สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สงบแล้วมีความสุข”
สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ สุขแล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ ขึ้นไปสูงที่สุดก็ตก สมาธิเดี๋ยวก็เสื่อม เป็นไปไม่ได้
แต่ไม่มีสมาธินี่มันหยาบเกินไป หยาบเกินไปกับกระแสโลกไง
โลกแข่งขันกันด้วยปัญญา ปัญญาของโลกนี่โลกียปัญญา เป็นวิชาชีพ ดูทนายความสิ ทนายความว่าคดีอย่างนี้ ดูบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ปรึกษากฎหมายเขาน่ะ เขาผ่านโลกมาขนาดไหน
อาชีพทั้งนั้น ถ้าเขายอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมก็กราบเลย พระอรหันต์ เก่งมาก เก่งมากก็ตาย เก่งน้อยก็ตาย เก่งปานกลางก็ตาย เก่งขนาดไหนก็ตาย
แต่ถ้าฆ่ากิเลสตายแล้ว ฆ่าอวิชชาตายแล้ว ต้องฆ่ามันทำลายมันโดยภาวนามยปัญญา โดยมรรคโดยผล พอมันสิ้นไปแล้วนั่นน่ะธรรมธาตุ
หลวงตาท่านบอก ธรรมธาตุ ธาตุแห่งธรรม มันเป็นธรรมโดยธรรมชาติของมัน แต่เป็นธาตุแห่งธรรม
ไม่ใช่ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ...ธรรมชาติ บิกแบง ดูอวกาศสิ ตอนนี้จีนเขาไปปลูกต้นเก๊กฮวยบนดวงจันทร์นั่นน่ะ นั่นก็ธรรมชาติ เก่งกว่าธรรมชาติอีก ควบคุมธรรมชาติได้ด้วย
แต่หัวใจที่เหนือธรรม เหนือโลก เหนือวัฏฏะ นั้นมันอยู่ในหัวใจของเรา
เราเสียดายไง เราเสียดายว่าพระพุทธศาสนาเลอค่ามาก พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่พวกเราตระครุบเงากัน ทำอะไรเอาแต่อารมณ์ ทำอะไรเอาแต่ความพอใจ ไม่คิดถึงหัวใจเขาใจเรา ไม่คิดถึงหัวใจของเขา หัวใจของเรา ที่ปรารถนาความจริง ปรารถนาความสุข ปรารถนาวิธีการประพฤติปฏิบัติที่แสวงหานี้กัน เราถึงต้องเห็นใจกัน มีน้ำใจต่อกัน เอวัง