เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลาผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันไปตื่นในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าที่มันจะตื่นเข้ามาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามากน้อยขนาดไหน
เวลาสร้างมามหาศาลขนาดนั้นนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตื่นในอะไร ตื่นในสัจจะในความจริงไง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งที่แสวงหานี้ของชั่วครั้งชั่วคราวทั้งสิ้น แต่ขณะที่ว่าเป็นของชั่วครั้งชั่วคราว เรายังปากกัดตีนถีบ ยังแสวงหากันขนาดนั้น การแสวงหาขนาดนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรมๆ กรรมคือการกระทำ
เวลาการกระทำ สิ่งที่ทำคือจังหวะและโอกาส จังหวะและโอกาสของใคร ถ้าจังหวะและโอกาสของเขา ถ้ามันจังหวะโอกาสของเขาพอดีของเขาก็ได้ประโยชน์ของเขา คนมีปัญญามากมายมหาศาลในโลกนี้เขาคิดสินค้า เขาคิดสิ่งต่างๆ ที่เป็นความมหัศจรรย์ แต่ทางโลกไม่เข้าใจ ทางโลกพร้อมไม่ได้ที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างนั้น เขาก็ขายสินค้าเขาไม่ได้
แต่ถ้าใครมาคิดได้ทีหลัง แต่มาคิดได้พอดีกับสังคมที่เขาต้องการเขายอมรับ สิ่งนั้นเขาได้เป็นประโยชน์กับเขา นั่นคืออะไรน่ะ อำนาจวาสนาคือกรรม อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาจังหวะและโอกาสของคน ถ้าจังหวะและโอกาสของคนที่มันเกิดขึ้นมา สิ่งคุณงามความดี สิ่งที่เป็นของชั่วคราวๆ
ขนาดของชั่วคราวนะ มันยังต้องมีการแข่งขันกันขนาดนั้น แต่ความแข่งขันขนาดนั้น เห็นไหม โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้ไม่เคยเต็ม สิ่งที่การแสวงหาการขวนขวายกันอยู่อย่างนี้ ถ้าการแสวงหาการขวนขวายกันอยู่อย่างนี้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระมาบวชแล้วๆ ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ จีวรเป็นเครื่องนุ่งห่มของเธอ บาตรนี้เอาไว้บิณฑบาตอาหาร ที่อยู่ อยู่ในเรือนว่าง ยาก็น้ำดองมูตรเน่า
ตอนนี้กำลังเห่อเลย สมุนไพรๆ กำลังเห่อขึ้นมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธสิ่งตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นความเป็นจริงๆ ชีวิตเรามันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม ชีวิตนี้มันมีปัจจัยเครื่องอาศัยถึงดำรงชีพได้ ดำรงชีพไว้ทำไม ดำรงชีพไว้ทุกข์ไว้ยากไง ดำรงชีพไว้เป็นเหยื่อไง ดำรงชีพไว้ให้เขาหลอก
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพไว้ให้ฉลาด ไว้ให้ฉลาด บิณฑบาตแล้ว ทำภัตกิจของเธอแล้ว เข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่โคนไม้ ใครทำความสงบของใจได้ก็ทำความสงบของใจขึ้นมา ให้พักให้สงบขึ้นมา ใครใช้สติปัญญาขึ้นมาได้แค่ไหนก็ขวนขวายของมัน เห็นไหม
สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ชั่วคราวทั้งสิ้น สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะไม่ความสมความปรารถนา ไม่มีความสมปรารถนาของใคร ใครจะมีความต้องการมีความปรารถนามากน้อยแค่ไหน มันไม่สมความปรารถนาทั้งสิ้น ถ้าใครแสวงหาได้มากน้อยแค่ไหน
ดูสิ อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นเศรษฐีนะ เอาเงินปูซื้อที่เชตวันถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถึงเวลาแล้วเป็นเวรเป็นกรรม สมบัติที่ซ่อนไว้ๆ สมบัติที่ฝังไว้ๆ น้ำมันท่วม มันกัดเซาะไปหมดเลย ทุกข์จนเข็ญใจจนไปกินข้าวกับน้ำผักดอง นี่เวลาเป็นจริงๆ
นี่พูดถึงว่า สมบัติเราแสวงหามามากน้อยขนาดไหน ถ้าเราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็พลัดพรากจากเรา ในสมัยปัจจุบันนี้คนจะมีเงินมากน้อยขนาดไหนถ้าเล่นการพนันเดี๋ยวก็หมด ทำสิ่งใดที่มันผิดพลาดขึ้นไป เดี๋ยวมันก็หมด
เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็พลัดพรากจากเราอยู่แล้ว สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์นะ ทุกข์จนเกือบเป็นเกือบตายเลยนะ ถ้ามีใครตั้งสติยับยั้งเข้าได้นะ เดี๋ยวทุกข์ก็หาย
เวลาคนทุกข์มากนะ “ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจะไม่ทำอีกแล้ว” เดี๋ยวมันก็ทำอีก เห็นไหม ทุกข์มันเป็นอนัตตา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกข์จนเกือบเป็นเกือบตายน่ะ มันจะทำร้ายตัวมันเองเลยล่ะ นี่มันเป็นอนัตตา แต่มันเป็นอนัตตาด้วยความเผอเรอ มันเป็นอนัตตาโดยความเป็นจริงในสัจจะความจริง
ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติก็เป็นแบบนี้ นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่มันไม่เป็นจริงไง มันไม่เป็นจริงในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้ามันเป็นจริงในใจของผู้ที่ปฏิบัตินั้น เห็นไหม มันอยู่ข้างนอก เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วจิตใจนี้เป็นธรรมๆ ธรรมทั้งแท่งนะ เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก หนึ่งไม่มีสอง ถ้าหนึ่งไม่มีสองแล้วนะ ไม่มีความทุกข์ความยากนะ
มันทุกข์ยากเพราะอะไรล่ะ มึงจนกว่ากู กูรวยกว่ามึง มึงรู้จักไหมว่าพ่อกูชื่ออะไร เห็นไหม มันมีเขามีเรา ถ้าเป็นสอง ทุกข์ตลอด ถ้าออกมา มีกำไร มีขาดทุน มีแพ้ มีชนะ อ้าว! มึงแพ้กูชนะ เออ! เสมอกันเดี๋ยวก็กลับไปแพ้ชนะไง
แต่หนึ่งไม่มีสอง หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้ ไม่มีสิ่งใดเข้ามาแปดเปื้อนได้ ไม่มีสิ่งใดเข้าไปทำให้สิ่งนั้นเศร้าหมองได้
ดูสิ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง สิ่งที่มีอยู่ก็อาลัยอาวรณ์ ถ้าสิ่งใดมีอยู่มันต้องแปรสภาพ ถ้ามันสิ่งที่มีอยู่ แล้วหนึ่งไม่มีสอง หนึ่งมันมีอยู่หรือไม่มีอยู่ล่ะ ถ้ามันมีอยู่ มีอยู่ก็เป็นตอ มีอยู่ก็เป็นภวาสวะ มีอยู่เป็นภพ มันไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น มีแต่คุณธรรม
ถ้ามีคุณธรรม อันนั้นเกิดมาจากที่ไหน เกิดมาจากนี่ไง วันพระๆ ผู้ประเสริฐ พุทธะ พุทธะนี่เป็นหนึ่ง แต่พุทธะแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาขึ้นไปมันจะสู่โลกุตตรปัญญา ถ้ามันสู่โลกุตตรปัญญา ความที่มหัศจรรย์อย่างนั้น ความที่มหัศจรรย์เกิดจากหัวใจของเราไง ความมหัศจรรย์ที่จิตมันหมุนขึ้นไป เวลามรรคมันหมุน ปัญญามันหมุนขึ้นไป เวลาปัญญามันหมุนขึ้นไปเป็นโลกุตตรปัญญา ไม่ใช่โลกียปัญญา
สิ่งที่เราแสวงหา เราศึกษากันนี้เป็นโลกียปัญญา เป็นโลกียปัญญาเพราะอะไร เพราะเรามีเราไง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ พยายามจำให้ดีเลยนะ เพราะอะไร เพราะกลัวเดี๋ยวลุกไปแล้วตอบไม่ถูก
นักปฏิบัติมันมีกระดาษเล่มหนึ่ง มันจะจดเลย โอ้โฮ! วันนี้เห็นไอ้นั่น วันนู้นรู้ไอ้นี่ มันกลัว กลัวจำไม่ได้ ปัญญาอย่างนั้นหรือ นี่ไง โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากความจำ ปัญญาเกิดจากการกลัวมันลืม ปัญญาจากการรู้ไม่เท่าทัน นี่ปัญญาๆ ปัญญาอะไร นี่ปัญญาโลกๆ ไง โลกเพราะมีเรา โลกทัศน์ เพราะมีเรา มีการสะสม มีความต้องการเป็นสมบัติของเรา
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันไม่เป็นแบบนั้น ถ้าโลกุตตรปัญญา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา พอจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้นะ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันรู้เท่าทันนะ รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนนะ มึงโง่ มึงโง่ๆๆ มันจะบอกว่าเราโง่ๆๆ เลย มันไม่บอกเราฉลาดๆๆ เลย ถ้าบอกว่าฉลาดๆ น่ะมันโง่
ถ้าบอกว่ามันโง่ๆ มันโง่เพราะอะไร
ทำไมมันเกิดจากเรา ทำไมเราไม่รู้ ทำไมมันเกิดจากหัวใจของเรา ทำไมเราไม่รู้ ของที่มันอยู่กับเราทำไมเราไม่รู้ไม่เห็น ทำไมของเกิดมาสามโลกธาตุรู้ไปหมด เข้าใจไปหมดนะ สามโลกธาตุ ในจักรวาลในดวงดาวรู้ไปหมด แต่ในเรื่องของตนไม่รู้
นี่ไง มันโง่ไง เวลามันไปรู้ไปเห็นเข้า โอ้โฮ! กูฉลาดๆ...โง่ทุกคนน่ะ โง่ทั้งนั้นน่ะ
ไอ้ที่ว่า โอ้โฮ! ทำไมกูโง่นัก โอ้โฮ! ทำไมเราโง่ขนาดนี้ ทำไมโง่ขนาดนี้
ทำไมล่ะ ของของเราต้องไปถามใคร สมบัติของเรา นับเงินร้อยบาทสิบบาท ต้องไปถามว่านี่ร้อยบาทใช่ไหม นี่สิบบาทหรือ เงินของมึง มึงต้องไปถามเขาหรือ นี่ไง มันโง่ขนาดนั้นน่ะ
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมานะ สิ่งที่จะเกิดปัญญา เกิดภาวนามยปัญญาที่เราศึกษา ที่เรามาวัดมาวา วันพระๆ วันพระ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันตื่นตัวขึ้นมา แม้แต่ข้าวเปล่าๆ มันก็มีคุณค่านะ
ข้าวเปล่าๆ เราอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ฉันแล้ว อยู่แล้ว แล้วมันสะดวกสบาย มันไม่ไปเป็นภาระรุงรัง มันไม่เป็นความแบกรับแบกหาม มันดีงามไปทั้งสิ้น
แต่ของที่มันจะให้คนล้อมหน้าล้อมหลัง อู๋ย! จะมีคนพัดคนวีเลยนะ เวลาจะฉันนี่ อู๋ย! ฉันด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณเลยนะ ฉันเสร็จแล้วนะ ต้องไปนั่งใช้หนี้เขา มันไม่เป็นความจริงไง
ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าหัวใจที่มันเป็นจริงขึ้นมาๆ นะ มันจะต่ำต้อยไร้ค่า
เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นไง ถ้าพูดถึงทางโลก ทางโลกเหมือนคนโง่ ทางโลกเหมือนคนโง่ไง เพราะโลกเขาแข่งขันชิงดีชิงชั่ว อยากดังอยากใหญ่ อยากให้คนรู้จัก
หลวงปู่มั่นท่านเข้าป่าเข้าเขา ถ้าพูดถึงยศถาบรรดาศักดิ์เหมือนคนโง่ ไม่ต้องการสิ่งใด เวลาไปอยู่ในป่าในเขา อยู่หนองผือ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเข้าป่าลึกเข้าไปอีก
เราเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าโรงพยาบาล เวลาหลวงปู่มั่นท่านเจ็บป่วยท่านไปรักษาหัวใจของท่าน ท่านใช้ธรรมโอสถของท่าน เวลาท่านนั่งของท่านนะ ท่านทำความสงบของใจของท่าน เอาหัวใจดวงนั้นชำระล้างเป็นธรรมโอสถ รักษาโรคภัยไข้เจ็บในใจของท่าน ท่านทำของท่าน เห็นไหม
นี่ไง ถ้าเป็นทางโลกๆ เขาบอกคนโง่ แต่ถ้าทางธรรม หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าเป็นทางธรรม นั่นน่ะเอกบุรุษ ผู้ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ผู้ยิ่งใหญ่ในสังคม สังคมทั้งหมดเขาเดือดร้อนทุกข์ยาก ของเรามีความสุข
ยิ่งใหญ่มาก เทวดา อินทร์ พรหมที่เสวยทิพย์สมบัติยังจะต้องมาฟังเทศน์จากท่าน สิ่งที่เป็นทิพย์สมบัติ
ดูละครทีวีสิ สามภพสี่ภพนั่นน่ะ โอ้โฮ! เป็นทิพย์ๆ เสกเงินเสกทอง เสกอะไรก็ได้หมดเลย ยังเป็นความทุกข์ในใจ เสกแล้วไม่ได้มากเท่าคนอื่น เสกแล้วไม่มีใครยอมรับนับถือ เสกแล้วไม่มีใครเชื่อถือศรัทธา ยังมีความทุกข์อมขมขื่นในหัวใจ
มาเฝ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มาเพื่อฟังธรรมๆ เพื่อสำรอกคายความทุกข์อันนี้ออกไป นี่เวลาท่านยิ่งใหญ่ ท่านไม่ได้ยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ท่านยิ่งใหญ่ในสามโลกธาตุ
เทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม เวลาท่านธุดงค์ไป พวกอยู่ในนรกในภพชาติที่ทุกข์ยากมาเข้าสู่นิมิตของท่าน มาอ้อนวอน มาอ้อนวอนขอให้ท่านได้ช่วยแผ่เมตตา อ้อนวอนให้เอาคุณธรรมท่านช่วยเหลือเขา นี่เวลาผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ในใจหลวงปู่มั่น มีใครรู้ด้วย มีใครเห็นความยิ่งใหญ่อย่างนี้บ้าง ถ้าหลวงปู่มั่นท่านไม่เล่าให้หลวงตาฟัง ใครจะรู้ถึงคุณธรรมในใจของท่านที่ท่านได้สร้างประโยชน์กับสามแดนโลกธาตุ
เราเป็นมนุษย์ อย่างมากก็สร้างได้แต่คุณงามความดีในโลกนี้เท่านั้นน่ะ อย่างมากเราก็ทำ ถ้าจิตใจเราเป็นธรรมๆ เราก็มีใจเป็นธรรมที่จะเผื่อแผ่เจือจานกับสังคม ถ้าใจเราเป็นธรรม
เราก็ทำได้แต่โลกนี้ เวลาเทวดา อินทร์ พรหมอ้อนวอนขอเอา ว่ามันจะเป็นจริงๆ หรือไม่ ยังไม่เข้าใจ
แต่หลวงปู่มั่นเทศน์สอนเลย อยากรู้เรื่องอะไร ทุกข์เรื่องอะไร สิ่งใดที่มันเป็นปมคาใจ ท่านแยกแยะแจกแจงด้วยสัจธรรม ด้วยสัจธรรม ด้วยสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเข้าไปแยกไปแยะไปแก้ไปไขในจิตใจของเทวดา อินทร์ พรหมที่มีความทุกข์ความยากมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น นี่ถ้าเวลายิ่งใหญ่ไง
แต่ไม่มีใครเห็นความยิ่งใหญ่อย่างนี้ ไม่เห็นเพราะมันตาบอด ตามันบอด มันเห็นแต่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เห็นแต่ว่าคนเยอะๆ เห็นแต่คนล้อมหน้าล้อมหลัง จะอยู่จะกินพัดวีกันเลยนะ แหม! มีรถล้อมหน้าล้อมหลัง โอ้โฮ! ยิ่งใหญ่...ตายเปล่า ตายสูญเปล่า
วันนี้วันพระ วันพระ วันพระ พุทธะ พุทธะคือหัวใจของเราไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ท่านพูดถึงคนยังไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ เวลาพระอานนท์เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เวลาชาวพุทธระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธควรจะไปเคารพบูชาที่ไหน”
“ก็ให้ไปที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเกิด ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธัมมจักฯ ที่ปรินิพพาน”
เวลาใครไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ กลับมาจะมาเล่าให้เราฟังนะ อู้ฮู! เหมือนพระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้าเลย แหม! มันปลื้มๆ มันปลื้มใจมากเลย มันปลื้มใจ
เราก็เห็นดีเห็นงามด้วยนะ แต่พวกพราหมณ์ พวกทุคตะเข็ญใจที่บ้านเรือนอยู่รอบๆ นั่นน่ะ เวลาคนไทยไป “ขอบาทๆ” เขาปลื้มใจอย่างเราไหม ไอ้คนที่อยู่ในที่นั้นน่ะ ไอ้ที่มันทุกข์ยากนั่นน่ะ พระเราเวลาไป ย่ามก็หาย สมัยก่อนนะ ย่ามหาย ของหาย เผลอไม่ได้ เผลอ หายหมด
ถ้าเราไปแล้วเรามีความสุข เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเพราะเราเป็นชาวพุทธ เพราะจิตใจเรา เรามีรัตนตรัย เรามีพื้นฐาน เรามีความรู้อย่างนี้
คนที่เขาอยู่ที่นั่นถ้าเขาไม่เข้าใจ เขาไม่สนใจ เขาก็ทุกข์ยากอยู่ที่นั่นน่ะ อินเดียคนจนเยอะนะ แล้วคนที่ล้อมรอบอยู่ ที่ไปเผยแผ่ธรรมๆ ก็ไปเผยแผ่กับคนทุกข์คนยาก ให้ความเสมอภาคไง ให้ศาสนาเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์นี่ไง
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาพุทโธกับคำบริกรรมกับความรู้สึกมันกลมกลืนกัน มันก็มีความสุขแล้วแหละ
แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ นั่นล่ะพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ ตัวเป็นๆ เลยแหละ จับต้องได้เลย พุทธะๆ
เพราะเราไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ก็เพื่อระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราสงบเข้าไปเราก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาเราสงบเข้าไปเราได้ความจริงด้วย
แล้วถ้าใครจิตสงบขึ้นมา จิตตั้งมั่นขึ้นมา ที่ว่า “ศาสนาจะมีหรือไม่มี มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี นรกสวรรค์มีหรือไม่มี”...จบ มันเป็นขึ้นมาในใจชัดเจน นั่นน่ะอจลศรัทธา ความมั่นคงอันนี้ มั่นคงอันนี้มั่นคงในหัวใจเราไง
ถ้าใจเราเป็นจริงๆ นะ เราทำเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อความจริงอันนี้ ถ้าความจริงอันนี้มันเป็นความจริงขึ้นมา ทำเพื่อเราไง
พระพุทธศาสนาเวลาสอน เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ รื้อหัวใจของสัตว์โลกไง จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้ด้วยอำนาจวาสนานะ ด้วยมนุษย์สมบัตินะ เราถึงได้มาเกิดเป็นคน
จิตที่ไม่มีอำนาจวาสนาไปเกิดเป็นไก่ อยู่ในฟาร์มไก่ ๔๕ วันก็เชือด ถ้ามันมีบาปมากขึ้นไปมันก็ไปเป็นแม่ไก่ แม่ไก่มันก็ไปยืนกรงคอยไข่ๆๆ ให้คนเก็บมากิน นั่นก็สิ่งมีชีวิตเหมือนกันแต่เขามีเวรมีกรรมของเขาอย่างนั้น
แต่ของเรา เรามีอำนาจวาสนาขึ้นมาเราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดขึ้นมา มนุษย์ที่มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน
ถ้ามีอำนาจวาสนา พื้นเพเราก็เป็นชาวพุทธในทะเบียนบ้าน ถ้านับถือศาสนาพุทธ นับถือศาสนาพุทธก็เป็นชาวพุทธทะเบียนบ้าน แล้วก็บอกว่า “เราไม่มีเวล่ำเวลา เราต้องแสวงหา เราต้องหาทรัพย์สมบัติ เราต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตเรามันทุกข์มันยากนัก ชีวิตเราไม่มีความสุขเลย เราก็ต้องแสวงหาของเรา”
แต่ถ้าชาวพุทธที่เขามีอำนาจวสาสนาของเขา เขาก็ทำหน้าที่การงานของเขา ถึงเวลาของเขา เขาก็หาเวลาของเขาไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่ออะไร เพื่อเตือนสติของตน เพื่อให้สติในหัวใจของตน ให้ใจของตนมันมีสติสัมปชัญญะ ให้มันรู้ถึงสัจจะความจริง
สัจจจะความจริงว่า เราเกิดมาทำไม ชีวิตนี้มีความสุขมีความทุกข์มากน้อยขนาดไหน เราเกิดมา เกิดมาเพื่อดำรงชีพ ถ้าดำรงชีพสูญเปล่าๆ ถ้าทำชั่วก็กลับไปเกิด กลับไปเกิด ทำชั่ว
จิตนี้ไม่มีวันตาย จิตนี้ความรู้สึกของเรา เราทำลายความรู้สึกเราไม่ได้ ความรู้สึกเราเกิดดับๆ ตลอดเวลา เวลาเราตายไปความรู้สึกของเราก็อยู่อย่างนี้ แล้วความรู้สึกที่มันทำสิ่งใดไว้มันรู้ของมันทั้งสิ้น รู้ของมันทั้งสิ้นมันก็ไปเสวยภพชาติตามความรู้สึกอันนั้น ตามความรู้สึกอันนั้นก็เพราะนี่ไง
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ชีวิตนี้เป็นไปตามกรรมๆ ตามกรรมที่เคยได้สร้างได้สมไว้ แต่คนที่ทำคุณงามความดี เวลาคนที่เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระ ถ้าเราไม่ทำผิดศีล เราไม่ออกนอกลู่นอกทาง เราพยายามรักษาหัวใจของเรา เราพยายามปฏิบัติของเรา เราจะสร้างแต่คุณงามความดีของเราๆ นี่เสริมสร้างบารมี
พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตมันได้ตัดได้แต่งของมัน ถ้ามันมีคุณงามความดีในใจ คนที่เกิดมาแล้วรู้จักผิดชอบชั่วดี ดูคนดีๆ เขาทำความชั่วไม่ได้ คนดีๆ เขาเห็นคนทำชั่วเขาไม่ยอมทำกับเขา ไอ้คนทำชั่วมันไม่ต้องให้คนมาบอกมันหรอก มันแสวงหา มันเสาะแสวงหาเอง
พันธุกรรมของจิตๆ อำนาจวาสนามันเกิดจากตรงนี้ ถ้าตรงนี้ขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีสติปัญญาขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็ด้วยอำนาจวสาสนาของคน คนทำขิปปาภิญญาๆ ทำที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายเพราะเขาได้สร้างสมบุญญาธิการของเขามา เขาปฏิบัติสละตาย สละตายมาตั้งแต่อดีตชาติมา เวลามาชาตินี้ขึ้นมาเขาถึงปฏิบัติของเขาได้
ไอ้ของเรา เราจะเอาแต่ความสะดวกของเรา เอาแต่ความเอารัดเอาเปรียบของเรา เราจะคิดของเรา นี่คือความคิด แต่ความคิดนี้มันมีพื้นฐานจากพันธุกรรมของจิต มันมีพื้นฐานจากพันธุกรรม จากมุมมองของจิตไง นี่ไง สันดานๆ ไง เวลาเกิดจากสันดานของคน สันดานของคนที่มันแตกต่างกัน นี่ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เป็นข้อเท็จจริงๆ ข้อเท็จจริงจากใจดวงนั้นไง
นี่ไง ที่เขาว่าไม่รู้ไง ก็ไม่รู้น่ะ รู้ไปทุกเรื่องเลย แต่เรื่องของกูไม่รู้ ทุกเรื่องกูรู้หมดเลย แต่ใจกูเองกูไม่รู้
ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติก็อวกาศไง ธรรมชาติน่ะ ธรรมชาติก็ข้างนอกไง แล้วใจเป็นธรรมชาติหรือเปล่า ใจมันอยากได้อยากดีอยากเด่นอยู่นั่นไง
แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันทะลุปลุโปร่งหมด มันเห็นหมดน่ะ นี่ผลของวัฏฏะๆ ผลของวัฏฏะคือผลของเวรของกรรมที่ได้สร้างกันมา แล้วสร้างมาแล้วในชาติปัจจุบันนี้ก็เป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันธรรมที่มีสติปัญญาหรือไม่
ถ้ามีสติปัญญามันก็ขวนขวายในสิ่งที่ดีงามของมัน ใครจะเยาะเย้ยถากถางว่าโง่เขลาเต่าตุ่นนั่นมันปากของคน แต่เรามีสติปัญญาที่พยายามดำรงชีวิตของเราให้มั่นคงขึ้นไป
คนที่สังคมโลก คนชั่วมากกว่าคนดีแน่นอน คนชั่ว คนชั่วมันทิ่มมันแทงมันทำลายทั้งสิ้น แล้วคนโง่มันติมันเตียน จะไปเชื่อฟังมันทำไม
ถ้าความดีๆ ปากที่บริสุทธิ์ที่สุดคือปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเกิดจากศาสดา เกิดจากพระอรหันต์ แล้วเราจะดำรงชีพของเรา ชีวิตของเรา เราจะไปเชื่อใคร ถ้าเราไม่เชื่อเขา เราพยายามสะสมสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าสร้างคุณงามความดีของเราก็กลับมาตรงจริตนิสัยนี้ กลับมาตรงจุดยืนนี้
วาสนาของคนที่ดีนะ ใครจะติจะเตียน ใครจะชักนำมันไม่ไปหรอก แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สรุปเลย กาลามสูตร อย่าเชื่อ ต้องพิสูจน์
แล้วคนที่อย่าเชื่อ ต้องพิสูจน์ มันต้องมีปัญญา มีพื้นฐาน มันถึงจะพิสูจน์ได้
ถ้าไม่มีสติปัญญา ไม่มีพื้นฐาน ก็โดนเขาหลอกเข้าอีกน่ะ อย่าเชื่อ มันพูดอะไรเชื่อแม่งหมดเลย อู้ฮู! คนมันเยอะ มันอลังการ เข้าไปแล้วอึ้งเลย
อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ แต่เอ็งมีจุดยืนหรือเปล่า ถ้ามีจุดยืน นี่ไง นี่อำนาจวาสนาบารมี พันธุกรรมของจิตที่ดีมันจะเข้มแข็งของมัน แล้วพยายามทรงตัวของมัน เอาตัวรอดของมันด้วยการประพฤติปฏิบัติ เอวัง