เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ มี.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ นะ ฟังธรรมคือสัจธรรม สัจธรรมเพื่อหัวใจดวงนี้ เพื่อชีวิตนี้ เห็นไหม เราขวนขวายกันมาๆ ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ความสุขที่เราอยู่สุขอยู่สบายนั่นก็เป็นความสุขของเรา แต่ความสุขของโลกๆ ไง

ดูสิ ดูสัตว์สิ สัตว์มันก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน มันก็รักฝูงของมันเหมือนกัน แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์ ต่างจากสัตว์เพราะมีสติมีปัญญาๆ นี่เป็นครอบครัว มีการปกป้อง มีการคุ้มครอง มีการดูแล มีการรักษา มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม

ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ประเสริฐเพราะได้ชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันมีแต่ขี้ในหัวใจของสัตว์โลกไง

ดูสิ เวลาโลก โลกที่มันมีภัยพิบัติ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มันมาจากไหนๆ มันมาจากแมกมา จากอุณภูมิใต้พิภพ มันขับดันออกมา มันขับไสออกมา

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเกิดภัยพิบัติๆ ขึ้นมา พอเกิดภัยพิบัติขึ้นมา ใครอยู่ใกล้แหล่งภูเขาไฟมันเป็นทรัพยากร มันเป็นสิ่งที่ปลูกพืชแล้วมันจะมีคุณสมบัติ มันมีธาตุอาหาร มีความดีไปทั้งนั้นเลย

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายของมนุษย์ไง เวลาเกิดฝีแตก เวลาเกิดมันมีแต่ความเจ็บปวดทั้งนั้นน่ะ เวลามันเกิด มันเกิดมาจากไหน มันก็เกิดมาจากในร่างกาย เกิดจากเชื้อในร่างกายของเราทั้งสิ้น ถ้ามันเกิดจากเชื้อในร่างกายของเราทั้งสิ้น แล้วในหัวใจของเราล่ะ ในหัวใจเวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกดดัน มันขับดันล่ะ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านชี้เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปไง เวลาชี้เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เรื่องโลกๆ เรื่องภายนอก แต่เรื่องภายนอกก็ปากกัดตีนถีบนะ เรื่องโลกๆ ก็อาศัยอำนาจวาสนานะ

เราไม่มีอำนาจวาสนาเราไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้ไม่เคยตายๆ ใครฆ่าความรู้สึกของตนได้ ความรู้สึกของตนใครทำลายมันได้ ใครทำความรู้สึกของเราได้...ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครทำได้เพราะมันมีธาตุรู้ สันตติๆ

โดยวิทยาศาสตร์เขายังพิสูจน์ จิตนี้คืออะไร จิตวิญญาณเป็นอย่างไร ภูตผีปีศาจมีหรือไม่ นั่นก็ค้นคว้ากันไปๆ ค้นคว้ากันไปก็ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าทางโลกไง

เวลาไอน์สไตน์ ในวิทยาศาสตร์ทุกคนยกย่องเขามากๆ ความรู้ของเขา เขายังพูดเลยว่า ถ้าเขามีโอกาสนับถือศาสนา เขาอยากนับถือศาสนาพุทธ

แล้วเวลาเราเขียนกันน่ะ ไอ้พวกบ้าบอคอแตกไง ไอน์สไตน์รู้ พระพุทธเจ้าเห็นไง มันเทียบเลย มันเทียบคนมีกิเลสว่าเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันยกย่องทางโลกไง ไอน์สไตน์รู้ พระพุทธเจ้าเห็น

พระพุทธเจ้าเห็นดีกว่ามึง มึงไม่เคยเห็น ตาบอดแล้วยังมาอวดอ้าง ไร้สาระ

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เราศึกษาๆ ขึ้นมา การเกิดเป็นมนุษย์นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเกิดมาโดยความเสมอภาคกัน การเกิดมาความเสมอภาคโดยความเป็นมนุษย์

มนุษย์ คนที่เป็นมนุษย์แล้ว มนุษย์มีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน มนุษย์ที่มีอำนาจวาสนามาก เราปากกัดตีนถีบทำบุญกุศลของเรา

ดูสิ กรรมกรแบกหามเขาได้เงินเดือนห้าร้อย ไอ้คนที่ทำหน้าที่การงานอยู่ในห้องแอร์มันได้เงินห้าแสน มันเท่ากันไหม มันไม่เท่ากันเพราะด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบุญญาธิการ ด้วยปัญญาของคน

นี่ก็เหมือนกัน เราอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมา เราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ เราขวนขวายของเรา ขวนขวายของเรามันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง

ในทางกลับกันนะ เศรษฐี กลางคืนเขานอนไม่หลับเลยน่ะ เขาคำนวณเลยว่าเงินเขา เขาจะต่อยอดไปอย่างไร ไอ้พวกสามล้อถีบมันถีบสามล้อเสร็จตกเย็นมันกินเหล้ามันร้องเพลง มันมีความสุข

เศรษฐีเขาเอาเงินให้มันเลยล้านหนึ่ง แล้วมึงคิดนะ คืนนั้นน่ะเพลงหายหมดเลย มันวิตกของมัน เห็นไหม นี่มันกลับกัน กลับกันเพราะเกิดความวิตกกังวล เกิดการแสวงหา เกิดตัณหาความทะยานอยาก

แต่ถ้าเป็นตามความจริงๆ ดูสิ สามล้อมันถีบสามล้อ ถึงเวลาแล้วมันก็กินเหล้าเมายามันก็มีความสุขของมันๆ

คนจนผู้ยิ่งใหญ่ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในการประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่สุดเพราะอะไร

เวลาหลวงตาท่านพูดไง กระดาษ สิ่งนั้นมันเป็นกระดาษ มันเป็นสมมุติทั้งสิ้น ความที่เป็นสมมุติๆ แต่ถ้าเป็นทางโลก สิ่งนั้นมันจริงตามสมมุติไง มันวิตกกังวล เสื่อมค่าด้อยค่าไปตลอดเวลา เขาจะแสวงหาอย่างไรเพิ่มค่าขึ้นมาให้สมการลงทุนของเขาไง นี่เรื่องของโลกๆ นะ

ถ้าคนที่มีสติมีปัญญาขึ้นมาเขาเริ่มหยุดนิ่ง การหยุดนิ่ง เราทำหน้าที่การงานมากน้อยขนาดไหน เวลาเราอยากจะพักผ่อนของเรา เราสวดมนต์แล้วเรานั่งสมาธิภาวนา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา สิ่งที่มีความสุข มีความสุขที่สุดคือหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเราถ้ามันจะมีความสุขได้ เห็นไหม

คนเรามีแต่ความเครียด มีแต่ความวิตกกังวล มันจะนั่งสมาธิได้อย่างไร เวลานั่งสมาธิขึ้นมา ยิ่งไปนั่ง อกจะแตก เวลาที่อกจะแตก กว่ามันฟุ้งมันซ่าน กว่าจะเอาหัวใจนี้มันอยู่ไง ถ้าหัวใจที่มันอยู่ขึ้นมา นี่มันเกิดจากอะไร เกิดจากอำนาจวาสนาของคนที่หยาบละเอียดไง

คนที่หยาบละเอียด เวลาคนมองเขามองแต่ผลงานทางโลกไง จะมีชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ไง จะมีชื่อเสียง มีอำนาจวาสนาไง แล้วทำขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ทุกคนแย่งกันเข้าไปกอดแท่งเหล็กกองไฟร้อนๆ อำนาจ อำนาจช่วงชิงกันมาไง

แต่อำนาจโดยธรรมๆ เวลาพระโพธิ์สัตว์ พระโพธิ์สัตว์เป็นกษัตริย์ เป็นต่างๆ เป็นจักรพรรดิ เขาทำประโยชน์เพื่อโลกๆ ไง เพื่อโลกเพื่ออะไร เพื่ออำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ธรรมไง สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาเต็มแล้ว ขนาดว่ามาเต็มแล้วไง สุดท้ายเวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังต้องขวนขวายต้องมีการกระทำขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นจริงๆ ขึ้นมามันเกิดจากการกระทำ เกิดจากการขวนขวาย เกิดจากการตัดแต่ง มันต้องมีอำนาจวาสนาบารมี ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา มันคิดแต่เรื่องดีๆ

สิ่งที่เราทำงานที่ละเอียดไง ทำงานที่ละเอียด นั่งสมาธิภาวนา เรานั่งเฉยๆ ว่าไม่ใช่การทำงานๆ เวลาเขานั่งบริหารในห้องแอร์นั่นก็เป็นการทำงาน นั่นเขาก็คิดงานๆ

แต่เวลาเราจะทำความสงบของใจของเราเข้ามา เราจะดึงหัวใจของเราให้มันหยุดนิ่งให้ได้ เอาหัวใจของเราให้พ้นจากการครอบงำของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ของขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงให้จิตใจของเราสะอาดจากขี้ ให้มันผ่องแผ้ว ถ้าให้มันผ่องแผ้วขึ้นมา นี่มันมีการกระทำ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านสิ้นกิเลสไป วางข้อวัตรปฏิบัติ วางธรรมวินัยๆ เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านสอน เวลาเราไปหยิบจับสิ่งใดที่เป็นของร้อนๆ น่ะ มันจะเกิดโทษเกิดภัยทั้งสิ้น เวลาจิตของเรามันจะไปหยิบจับอะไร ศีลมันขีดไว้ๆๆ ข้อวัตรปฏิบัติที่มาวัดมาวาแล้วมันวุ่นมันวายอย่างนี้ มันวุ่นมันวายขึ้นมาเพราะมันขีดไว้ๆๆ ไง ขีดให้มันไม่ล้ำเส้นไง ความไม่ล้ำเส้นมันก็ไม่ล้ำเส้นจากภายใน

ถ้าจิตใจมันเห็นคุณค่าๆ คนที่เห็นคุณค่า เห็นคุณค่าเพราะเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วเขาเห็นคุณค่าของเขา เห็นคุณค่าของเขานะ สัปปายะ กายวิเวก จิตวิเวก สิ่งที่มันวิเวก วิเวกอย่างไร

ถ้าจิตมันไม่วิเวกขึ้นมา มันจะวิเวกจากภายในขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามันไม่วิเวกขึ้นมาจากภายใน เห็นไหม สิ่งที่ภายในขึ้นมาแล้วมันเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าเพราะอะไร

เพราะดูสิ ชาวนาๆ คนชาวนาเขาชำนาญมากในเรื่องสภาวะแวดล้อม เขาไขน้ำเข้านา เขาดูแลแมลงต่างๆ เขาทำเพื่ออะไร เขาทำเพื่อต้นข้าว ถ้าทำเพื่อต้นข้าวขึ้นมา ต้นข้าวมันสวยงามใช่ไหม ต้นข้าวมันให้ผลตอบแทนใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่ขีดไว้ๆๆ ขีดไว้เพื่อหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของคนที่เขาแสวงหานั่นน่ะ ไม่ใช่ว่าขี้หมูราขี้หมาแห้งก็จะเป็นพระอรหันต์ ไม่มีสิ่งใดเลยก็ว่าตรัสรู้...ตรัสรู้ในอะไร ในสภาวะแวดล้อมที่มันใช้ไม่ได้มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ในปัจจุบันนี้ ดูสิ ดูภัยพิบัติๆ สิ ภัยพิบัติที่มันเกิดขึ้นๆ มันเกิดขึ้น เห็นไหม คนที่จิตใจดีงาม เราเป็นพลเมืองโลก เราพยายามใช้สอยสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ อย่าไปทำลายสภาวะแวดล้อม

คนที่เขามีน้ำใจนะ จะหนึ่งจะสองก็แล้วแต่ คนละเล็กคนละน้อยเราก็ทำของเราด้วยหัวใจของเรา คนที่หัวใจของเราทำเพื่อความดีของเรา ทำความดีทิ้งเหว ทำความดีไม่ต้องให้ใครเห็น ทำความดีไม่ต้องเรียกร้องให้ใครมานับหน้าถือตา ทำความดีเท่าไรไม่ต้องให้ใครมายกย่องสรรเสริญ

การยกย่องสรรเสริญนั่นมารยาสาไถยทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นคุณงามความดี คุณงามความดีเพื่อธรรมๆ

กิเลสมันยังพลิกไปเลยนะ กูเลวขนาดไหนกูว่ากูเป็นคนดี เอ็งเห็นไหมหน้าฉากกูแจ๋วเลย แต่พฤติกรรมๆ พฤติกรรมที่มันทำนั่นน่ะมันเป็นความดีขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าเป็นความดีๆ ความดีมันเกิดจากใจ นี่ไง มันมีสติมีปัญญานะ มันมีความละอาย

ดูสิ เวลาพระเราไม่เอื้อเฟื้อในวินัยๆ พระที่ไม่เอื้อเฟื้อ “นั่นก็ของเล็กน้อย นี่ก็ของไม่เป็นไร” นั่นน่ะไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ไม่เอื้อเฟื้อในวินัยเป็นอาบัติปาจิตตีย์

มันเอื้อเฟื้อคือเราเคารพตามนั้น ทำตามนั้น เห็นตามนั้น มันสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าไม่เอื้อเฟื้อในวินัยปรับอาบัติปาจิตตีย์ทันทีเลย

แต่มันก็ไม่รู้เรื่อง พอไม่รู้เรื่องก็สะสมกันไป เหมือนเรามีเชื้อโรคในหัวใจมากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้เรื่อง ไปหาหมอ หมอบอกเลย เป็นเพราะไอ้นั่นๆๆ

นี่ก็เหมือนกัน ทำไมจิตใจมันไม่สงบ ทำไมจิตใจเราไม่ดีงาม เราไม่เคยเห็นของดีเป็นของดีไง เราเห็นแต่ขี้ไง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง อยากดัง อยากใหญ่ อยากนั่งบนหัวคนไง อยากมีอีโก้ไง อยากนั่งคับศาลาเลย ศาลานี้ไม่มีใครเลย มีกูคนเดียว

อีโก้จากข้างในมันมี ถ้ามีมากมันก็แผ่ขยายไปมาก ถ้าอีโก้ข้างในมันดีงามนะ เขาเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เวลาเขาไปไหนนะ เขาไปสงบเสงี่ยม

ดูสิ ในสมัยพุทธกาลนะ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร เวลาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องมีที่ถอดเครื่องประดับออกทั้งหมด เศรษฐีที่เป็นเศรษฐีเขาไม่เอาความยิ่งใหญ่ของเขาไปอวด เขาจะทำตัวของเขาให้ถือศีล ๘ คนถือศีล ๘ เขาไม่ใส่เครื่องประดับต่างๆ เขาถอดๆๆ

เขาเป็นกษัตริย์นะ กษัตริย์สั่งฆ่าใครก็ได้ แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ในหัวใจของเขา เขาจะเข้าไปหาพระ เขาถอดเครื่องประดับออกหมดเลย เขาไปในฐานะอุบาสก เพราะอะไร

จะเป็นกษัตริย์นะ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ในเมื่อมีการเกิด มีความไม่รู้จักตนเองคืออวิชชา คนที่ไม่รู้จักหัวใจของตน คนที่ไม่รู้จักความรู้สึกของตนทำไมมันจะไม่ทุกข์

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีความทุกข์ ในคนที่เกิดมาๆ ทุกคนที่เกิดมามีความทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร เพียงแต่ด้วยมารยาท โดยมารยาสาไถย โดยการกระทำเท่านั้น

แต่ถ้าคนที่มีสติปัญญา นี่ไง เวลากษัตริย์สมัยพุทธกาลออกบวช ออกบวชเพราะเหตุนี้ไง เวลาเขาออกบวช ออกบวชเพราะอะไร เพราะเขาปกครอง ปกครองต้องบริหารบ้านเมืองใช่ไหม เวลาออกบวชแล้วเป็นพระอรหันต์ “ที่นี่สุขหนอๆ”

จนพระไม่เชื่อ ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอก กษัตริย์คงคิดถึงราชบัลลัง เพราะราชบัลลังมีคนล้อมหน้าล้อมหลังหมดเลย ไอ้นี่ไปอยู่โคนไม้อยู่คนเดียวน่ะ แล้วบอกว่าสุขหนอๆ สุขหนออย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมาเลย ถามว่าเธอพูดอย่างนั้นจริงหรือ

จริงครับ

ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ

โอ้โฮ! มันสุขจริงๆ นั่งอยู่โคนไม้มันว่าง มันมีความสงบ มีความระงับ มีความสุขทั้งสิ้น เวลาปกครองมันต้องบริหารจัดการเรื่องปัญหาร้อยแปดไม่มีเวลาหลับเวลานอน ไม่มีเวลาวางใจเลย ในหัวใจมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกันว่าเป็นความจริง เป็นความจริงเพราะเขาเป็นกษัตริย์ แล้วเขาบวช แล้วเขาประพฤติปฏิบัติถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์เขาถึงมีความสุขไง สุขหนอๆ ไง สุขหนอๆ ในพระพุทธศาสนามันมีคุณค่าที่นี่

ถ้ามันมีคุณค่าที่นี่ มันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เราต้องเห็นคุณธรรมนี้ยิ่งใหญ่ สิ่งอื่นไม่มีอะไรยิ่งใหญ่

หลวงตาบอกเลย ไอ้กระดาษ ไอ้หลังลาย

กระดาษ แบงก์กับแบงก์กาโม่เด็กเล่นน่ะ แล้วไอ้หนังสือพิมพ์ที่มันเปื้อนหมึก มันก็กระดาษเปื้อนหมึกเหมือนกันหมดเลย ทำไมกระดาษที่มันพิมพ์เป็นแบงก์ทำไมมีค่า กระดาษที่มันพิมพ์เป็นอย่างอื่นทำไมไม่มีค่า นี่ถ้าเราคิดได้อย่างนี้นะ เราจะย้อนกลับมาดูที่ใจเราแล้ว

เราอย่าไปตื่นมัน อย่าไปตามกระแสโลก ถ้าอย่าไปตามกระแสโลก แต่เราก็ยังเป็นคนอยู่นะ ไม่ใช่บอกว่ากระดาษเปื้อนหมึกแล้วฉีกแบงก์ทิ้ง ไม่ใช่

ฉีกทิฏฐิมานะในหัวใจเราทิ้ง ฉีกความเห็นผิดที่มันไปกว้านมาเป็นทุกข์ในใจของเราทิ้ง แต่แบงก์มันก็คือเป็นแบงก์วันยังค่ำ สมบัติของเรามันก็จะเป็นสมบัติของเราอยู่อย่างนั้น แต่สมบัติของเราที่เราไปแบกไปหาม เราเกิดความทุกข์ความยาก

สมบัติมันก็เป็นสมบัติ แต่ถ้าเป็นธรรมๆ สิ่งที่รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหาก แล้วสิ่งที่แสดงออกนี้มันแสดงออกโดยตัณหาความทะยานอยาก มันแสดงออกโดยการตะเกียกตะกาย มันแสดงออกโดยการยึดมั่น การอยากได้อยากดี

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเป็นความอยากหรือไม่

เป็นความอยาก อยากหยุด อยากหยุดก็เกือบตาย อยากหยุดมันก็ไม่หยุดไง

เราก็มีความอยาก แต่ความอยากอย่างนี้หลวงตาท่านสอนว่ามันเป็นมรรค ความอยากอย่างนี้ อยากความสงบระงับ อยากเอาชนะตนเอง อยากบังคับตนเอง อยากมีสติปัญญาในหัวใจของตน ไม่ไปทำความเดือนร้อนให้ใคร ไม่ไปทำความกระทบกระเทือนให้ใคร เราพยายามจะเอาหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วถ้าเอาดวงใจของเราไว้ในอำนาจของเรา เราจะเห็นคุณค่าของคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ใครทำความสงบของใจได้นะ มันจะเชื่อมั่นในพุทธะ เพราะจิตสงบนั้นคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ว้าเหว่เพราะมันไม่รู้จักมัน ว้าเหว่เพราะมันหาใจมันไม่ได้ ถ้ามันเห็นดวงใจของมันแล้ว ความว้าเหว่มันจะเบาบางลง ความว้าเหว่เราจะวางไว้สิ้น มันจะเป็นอิสระขึ้นมา

พอเป็นอิสระขึ้นมานะ อ๋อ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้หนอ แล้วมันมีสัจจะมีความจริงอย่างนี้หนอ แล้วมันรู้จริงขึ้นมา เพราะจิตดวงนี้ ขณะที่มันสงบมันก็มีความสุขขนาดนี้ แล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้สติปัญญาของมันไป มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ

ในวงกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ธรรมในใจของท่านยิ่งใหญ่ สิ่งของมีค่าในโลกนี้ โลกธรรม ๘ ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ของเล่น จะบอกว่ามันไม่มีไม่ได้

เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำดีทั้งชีวิตของท่านทำไมสังคมเขาไม่เชื่อถือ แต่ความเชื่อถือนั้นก็เป็นความเชื่อถือของสังคมไง ท่านไม่เอามาเป็นสิ่งมีคุณค่าในใจของท่านไง ท่านไม่สนใจเลย เพราะท่านต้องการให้พวกเรามีดวงตาเห็นธรรม ให้พวกเราเห็นคุณค่าของธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราขวนขวายไง

แต่เราก็ต้องอาศัยใช่ไหม เราอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยๆ เราอาศัยสิ่งนี้ไป แต่อาศัยไปด้วยนักปราชญ์ อาศัยไปด้วยมีสติปัญญา อย่าเป็นเหยื่อมัน อย่าไปอยู่ใต้เบี้ยล่างของมัน

เวลาโลกนี้ โลกมีภัยพิบัติ โลกมีภัยพิบัติ สิ่งที่มีชีวิตมันมีภัยพิบัติ เราก็เห็นชัดเจนใช่ไหม แต่เวลาร่างกายของเรามีภัยพิบัติ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็เรื่องหนึ่งใช่ไหม แต่ในหัวใจของเรามันมีภัยพิบัติ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันขับไสในใจอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม

ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะละเอียดเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามา เวลาชั้นๆ เข้ามานะ มันไม่มีอะไรมีคุณค่าเท่ากับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่นิ่งๆ ท่านอยู่ด้วยความสงบสุขของท่าน นั่นความยิ่งใหญ่ของท่าน

แต่ความยิ่งใหญ่ที่มันจะนิ่งอยู่ได้เพราะท่านได้ขวนขวายท่านได้กระทำมาแล้ว มันต้องมีการขวนขวายมีการกระทำจนถึงที่สุดแล้วมันถึงจะนิ่งได้ ถ้าไม่มีการขวนขวายไม่มีการกระทำถึงที่สุดแล้วนิ่งไม่ได้

โลกของเราเวลาเปลือกโลกมันซ้อนกัน เวลามันซ้อนกันมันทำอย่างไร แผ่นดินไหวๆ นิ่งอยู่ไม่ได้หรอก มันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โลกของเราขยับตลอด เคลื่อนไหวอยู่ตลอด แต่มันต้องเคลื่อนไหวไปโดยธรรมชาติของมัน เพราะอุณหภูมิใต้โลกมันขับเคลื่อนของมันโดยธรรมชาติของมัน นี่พูดถึงมันมีอยู่ของมัน มันยังแสดงออกของมัน

แล้วใจของเราล่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ แล้วพฤติกรรมของเราล่ะ แล้วการกระทำเราล่ะ เราจะนั่งงอมืองอเท้าแล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธต้องได้บุญๆ

เอาบุญมาจากไหน เดินจงกรมหรือเปล่า นั่งสมาธิภาวนาหรือไม่ ได้เห็นหัวใจของตนหรือไม่ เกิดมรรคเกิดผลหรือไม่

นี่ไง การอ้อนวอนขอ การถือฤกษ์ถือยาม มันไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเลย ไม่มี ปีชงปีอะไรไม่มี เราบวชมา ๔๐ ปีไม่ถือสิ่งใดเป็นมงคลเลย ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แล้วถ้าใจเป็นมงคลขึ้นมานะ เรานี่มีสติมีปัญญา เราสามารถรักษาใจเราได้ เราสามารถดูแลสิ่งใดได้ แล้วเราจะมีความสุข ความสุขที่ว่าไม่ต้องเสียอะไรเลย ไม่ต้องไปเสียอะไร

จะต้องไปต้องแสวงหา ไร้สาระ

นั่งลง ที่ไหนก็ได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ตั้งสติไว้ ถ้าจิตสงบนั้น นั่นของจริง ถ้าจิตสงบ

แล้วถ้ามันสงบโดยของปลอม ว่างๆ ว่างๆ คือนั่งหลับ มันจะนั่งหลับ จับผิดจับถูก แล้วจับไม่ได้เพราะอะไร

หลวงตาท่านสอนว่า แหวกจอกแหนๆ น้ำใสๆ คือจิตเดิมแท้ ไอ้จอกแหนคือสัญญาอารมณ์ทั้งสิ้น เราต้องแหวกจอกแหนเข้าไปสู่น้ำนั้น เราต้องแหวกจอกแหนเข้าไปสู่ใจนั้น ฉะนั้น เวลาเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ คือพยายามจะแหวกจอกแหนเข้าไปสู่ความชุ่มชื่นในหัวใจนั้น

แต่เวลากระโดดลงไป เวลาจอกแหน กระโดดไปค้างอยู่นั่นน่ะ ภาวนาๆ ว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ ก็มึงนอนอยู่บนจอกแหนไง นอนอยู่บนจอกแหน มึงไม่รู้จักน้ำความเป็นจริงหรอก ไม่รู้จัก

นี่พูดถึงว่า ถ้าทำความเป็นจริงแล้วเป็นสัจจะเป็นความจริง มันจะรู้จริงของมันตามความเป็นจริงในหัวใจนี้

นี่พูดถึงว่า เราไปวัดไปวาไง เราทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเราเพื่ออำนาจวาสนาบารมี แล้วได้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเก็บเอาไปคิด สัจธรรม สัจธรรมเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเอาไปคิดแล้ว ถ้ามีอำนาจวาสนานะ มันอยากลอง อยากค้นคว้า เพราะอะไร

เพราะเวลาภัยพิบัติในโลกมันถึงเวลาแล้วมันก็แสดงของมัน ร่างกายของเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตใจของเรามันมีเวรมีกรรม มโนกรรมๆ คิดดีๆ มีความสุข คิดสิ่งที่เป็นโทษ เลือดมันสูบฉีดร้อนแรงมาก คิดโดยความแค้น แค้นจนกระอักเลือด คิดถึงความสุข ความสุขที่ดีงาม นี่เวลาสิ่งที่เป็นภายใน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถชำระสะสางได้ทั้งสิ้น เราฝึกหัดของเรา ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน

หลวงตาท่านสอนไว้ว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนห้างสรรพสินค้า ชาวพุทธไปเดินตากแอร์แล้วก็ออกมา ไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าคนมีสติปัญญาเขาจะหยิบฉวยสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับเขา

ในห้างสรรพสินค้า มีสินค้าอยู่มากมาย ในพระพุทธศาสนามีคุณงามความดีอยู่หลากหลายมาก ใครจะทำมากน้อยได้ขนาดไหน ถ้าไปตากแอร์ก็ได้เป็นชาวพุทธในทะเบียนบ้าน ก็เท่านั้น

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ หลวงปู่ฝั้นท่านพูดน่าคิดมาก “หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจทิ้งเปล่าๆ”

การหายใจของเราทางวิทยาศาสตร์คือออกซิเจนเข้าไปฟอกเลือดของเรา แต่ถ้ามีสติกำหนดลมหายใจเป็นอานาปานสติ เป็นอานาปานสติเพราะจิต เพราะความกำหนดรู้ เพราะหัวใจที่ยิ่งใหญ่ แล้วถ้ามันพิจารณาของมันเข้าไปนะ เราไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ

เราเกิดมาเป็นคนนะ โดยธรรมชาติเรามีลมหายใจนะ ทั้งๆ ที่เราหายใจเพื่อดำรงชีพนี่แหละ แต่หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่า หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจแล้วไม่ได้คุณภาพ หายใจแล้วไม่เป็นประโยชน์กับเรา

ถ้าเราหายใจมีสติสัมปชัญญะ หายใจแล้วมีสติ กำหนดลมหายใจเป็นอานาปานสติ แล้วถ้าจิตสงบได้ ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ แล้วยังได้หัวใจของเราอีกด้วย เห็นทั้งกายและใจ เอวัง