เทศน์เช้า วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ สิ่งที่สำคัญคือสัจธรรม สัจธรรมคือความดีงาม ความดีงามมันเกิดมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาจากหัวใจของคน ถ้าหัวใจของคนมันดีงามนะ มันแสดงออกมาด้วยความดีงามทั้งนั้นน่ะ
โดยทางโลก ตาเป็นหน้าต่างของใจ ตาเป็นหน้าต่างของใจ เวลาสายตาที่อ่อนโยน สายตาที่เมตตา สายตาที่ดีงาม โอ๋ย! มันอบอุ่นนะ ดูมันจะฆ่ากันสิ สายตามันจะจิกมันจะฉีกเนื้อกัน นั่นเวลาออกมาจากสายตา
แต่ถ้าใจมันเป็นธรรมๆ นะ ถ้าใจเป็นธรรม สัจธรรมๆ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
เวลาไฟไหม้บ้านไหม้เรือน สร้างเนื้อสร้างตัวมาทั้งชีวิตนะ เวลาไฟไหม้นี่หมดเกลี้ยงเลย เวลาคนไปเที่ยวเล่น ยิ่งหน้าแล้งเขาเป็นห่วงมาก เด็กเล็กเด็กน้อยระวังให้ดี เด็กจมน้ำตายๆ เห็นไหม
เวลามีชีวิต ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คือหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เราสร้างคุณงามความดีมา เรามาวัดมาวา ผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติมาด้วยหัวใจของเรา แค่ที่เราตั้งใจมาวัดมาปฏิบัตินี้มันก็มีคุณค่ากับชีวิตของเราแล้ว
ถ้ามีคุณค่ากับชีวิต เขาตรากตรำบากบั่นกันมา มาทำบุญกุศล เราสละทั้งชีวิตเลย เราเอาร่างกายของเรามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปสนุกครึกครื้นกันทั่วโลกทั่วสงสาร เวลากลับมาบ้านก็กระหืดกระหอบใช้หนี้บัตรเครดิตๆ
เรามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเรา เราค้นคว้าหาหัวใจของเราด้วยเจตนา ด้วยความเป็นจริงของเรา เราเป็นชาวพุทธแท้ ชาวพุทธแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นถึงหัวใจไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลกนี้ หัวใจของสัตว์โลกที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลามันทุกข์มันยากไม่เคยเห็นว่าหัวใจมันทุกข์มันยากเลย เห็นแต่อารมณ์ของตน นั่นก็ไม่พอ นี่ก็ไม่พอ นู่นก็ไม่ได้ แสวงหามา แสวงหามาให้กิเลสลากไป
เวลากิเลสลากไป กิเลสลากมาเพื่อหัวใจของมันนะ สุดท้ายแล้วไม่มีใครใหญ่กว่าโลงศพ สุดท้ายแล้วตายหมด เวลาตาย ตายไปด้วยความว่างเปล่า ตายไปด้วยความกังวล ตายไปด้วยความเร่าร้อน ตายไปด้วยความกระวนกระวาย
ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ของเราเลย ลาวัฏฏะๆ ตายไปด้วยความนุ่มนวล เข็ดหลาบกับการเกิดแล้ว เข็ดหลาบกับชีวิตนี้ เข็ดหลาบๆ ไม่ต้องการมาเกิดอีกแล้ว
แต่ถ้าไม่ต้องการมาเกิดอีกแล้ว คนต้องมีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันจะเชื่ออะไร เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปเห็นนิมิตอย่างนั้นเห็นนิมิตอย่างนี้ มันก็เหมือนหมอดูไง หมอดูมันก็ไม่ต่างกัน เวลาเป็นหมอดู หมอมันดูแล้วมันทายหมดเลย นั่นมันอาชีพของเขา มันงานของเขา นั่นโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ
แล้วมันก็เป็นความจริงๆ นะ ผลส้ม ถ้าจะหยิบผลส้มนั้นจับผลส้ม ถ้าจะเข้าหัวใจมันต้องผ่านโลกียะ ผ่านอำนาจวาสนา ผ่านจริตนิสัยของตน มันต้องผ่านเข้าไป
แต่มันผ่านเข้าไปไม่ได้ มันผ่านเข้าไปสู่เนื้อส้มไม่ได้ มันทำความสงบของใจไม่ได้ มันทำสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น แต่มันทำแล้วมันก็ทำแบบหมอดู หมอดูไปสิ นั่งหลับตาปั๊บมันทายผัวะๆๆ เลย โอ้โฮ! หมอนี้ทายแม่น
แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราจะเอาหัวใจของเรา เราไม่ใช่มาเรียนอาชีพหมอดูนะ เราต้องการค้นคว้าหาหัวใจของเรา ต้องค้นคว้าหาหัวใจของเราตามความเป็นจริง
ถ้าค้นคว้าหัวใจของเราตามความเป็นจริง แค่เราตั้งใจเจตนามาประพฤติปฏิบัติ อันนี้มีคุณค่าแล้วล่ะ เพราะไม่มีใครมองเห็นไง เพราะทุกคนกลัวความทุกข์ความยากไง เพราะทุกคนกลัวกิเลสมันบีบคั้นหัวใจไง แต่ไปนอนชายทะเล ไปปีนภูเขา โอ้โฮ! ปลื้มๆ แต่ถ้ามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันจะทุกข์มันจะยาก
ถ้ามันจะทุกข์มันจะยาก แค่เรามีเจตนา เราคิดต่างกับเขาแล้ว การคิดต่างกับเขาต้องมีวาสนา เวลาจะไปขึ้นมา เพื่อนมากันสองคน เฮ้ย! จริงหรือ เอ็งกล้าหรือ เอ็งเอาจริงหรือ อู๋ย! กูไม่ไหวว่ะ นั่นก็เรื่องของเขา แต่ถ้าของเราๆ นะ เราปรารถนาของเรา
เกิดมาเป็นคนต้องมีสัจจะมีความจริงนะ ชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไม เกิดแล้วมันได้อะไร มองไปในโลก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง เขาแสวงหาอำนาจ เขาแสวงหาเข้าไปกอดแท่งไฟแดงๆ กัน แย่งชิงกันด้วยเล่ห์ด้วยเหลี่ยม ด้วยความซับซ้อนของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยเล่ห์ด้วยกล วิ่งเข้าไปเพื่อหาอำนาจนั้น
แต่ของเรา เราก็เกิดเป็นคนเหมือนกัน ผู้ที่มีอำนาจจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหนเขาก็ต้องใช้ปัจจัย ๔ กินอยู่เหมือนเรา
เราก็เหมือนกัน เราเกิดมาเราก็มีอำนาจวาสนา เรามีชีวิต แล้วเรามีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ เราจะเสียสละสิ่งนั้น เราจะไม่แย่งชิงกับใครทั้งสิ้น เวลามาบวชเป็นพระๆ ขึ้นมาแล้ว ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมา จะมาจากชนชั้นใดก็แล้วแต่ มาบวชเป็นพระแล้วต้องเคารพกันตามธรรมวินัยอาวุโส ภันเต พออาวุโส ภันเตขึ้นมาแล้ว เราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา
ถ้าไปอยู่ในสำนักที่เขาเรียนเขาก็บังคับให้เล่าไปให้เรียน ให้เล่าให้เรียนพวกมีปัญญา ไอ้พวกพระปฏิบัติ ไอ้พวกพระป่า พวกพระโง่เขลา หลับหูหลับตามันจะไปรู้อะไร
หลับหูหลับตามันจะไปค้นหัวใจของมันนะ หลับหูหลับตาแต่มันเป็นผู้ที่ฉลาดนะ ผู้ที่ฉลาดเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หลับหูหลับตามันทุกข์มันยากนะ
สิ่งที่มีชีวิต แม้แต่สัตว์ที่มันมีชีวิตมันก็รู้จักสุขรู้จักทุกข์ นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นคนเราก็รู้จักสุขรู้จักทุกข์เหมือนกัน เห็นคนเขาไปเที่ยวกัน เห็นเขาไปทัศนศึกษา เห็นเขาไปเที่ยวกันรอบโลก เราเห็นเราก็อยากไปในประสาของความเป็นโลกมนุษย์
แต่ถ้าความจริงๆ เราจะค้นคว้าหาหัวใจของเราไง สิ่งที่เขาจะค้นคว้าหาหัวใจของเรา เวลาจิตสงบแล้วมันไปเที่ยวสามโลกธาตุ ผลของวัฏฏะ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมมา เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะหาสิ่งที่มนุษย์หาไม่ได้ เราไม่ต้องการหาแบบพวกหมอดู พวกฤๅษีชีไพรที่คอยทายโชคชะตา เราจะเข้าไปสู่จิตใจของเราเพื่อค้นหาสัจจะความจริงในใจของเรา
ไม่ใช่ทายโชคชะตา จะกำจัดมึงน่ะ จะกำจัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนน่ะ แล้วไม่มีใครกำจัดได้ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่กำจัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากแล้ว ได้ฆ่าพญามารมาแล้วถึงได้ปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระอรหันต์
พอความเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ใครจะมีปัญญามากน้อยขนาดไหน ชฎิล ๓ พี่น้องเขาเป็นพราหมณ์ เป็นฮินดู เขาบูชาไฟ ลูกศิษย์ของเขาเป็นพระเจ้าพิมพิสาร เขามีกษัตริย์เป็นลูกศิษย์ลูกหา เขามีอำนาจวาสนาทั้งทางโลก ทั้งการเมือง ทั้งศักดิ์ศรี ทั้งดีงามทั้งหมด แต่เขาบูชาไฟๆ อยู่น่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรมแล้ว ประกาศตน เวลาแสดงธัมมจักฯ “เราเป็นพระอรหันต์ๆ ปัญจวัคคีย์เงี่ยหูลงฟังๆ”
เวลาปัญจวัคคีย์อยู่ด้วยกันมาก็ไม่เคยสั่งเคยสอน เวลาอยู่ด้วยกันมา เวลาไปฉันอาหารของนางสุชาดา เห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักมากในเรื่องปัจจัยแล้ว จะบรรุลธรรมไม่ได้ ทิ้งหนีไปเลย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาชำระล้างกิเลสแล้ว ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ จะเอาใครก่อน จะเอาอาฬารดาบส อุทกดาบส เขาได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘
สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยไปศึกษากับเขา ถ้าได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มันส่งออก เรื่องหมอดู เรื่องการทายโชคทายชะตา รู้อดีตอนาคต นี่มันเป็นเปลือก
ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไปสั่งสอนเขาได้นะ จะให้เขาย้อนแทงกระแสกลับเข้ามา กลับเข้ามาในหัวใจ กลับมาหาภพหาชาติ หาภวาสวะไง ถ้าไปสั่งสอนอาฬารดาบส อุทกดาบสได้ แต่อาฬารดาบส อุทกดาบสก็ตายเสียแล้ว จะเอาใครดีๆ จะเอาปัญจวัคคีย์ไง
พอปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ก็เห็นว่าออกมาฉันอาหาร ฉันข้าวของนางสุชาดา เป็นผู้มักมากไง ถึงนัดกันเลย ไม่ต้อนรับ ไม่ต้อนรับไอ้คนมักง่าย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยวาสนา มันต้อนรับโดยสัญชาตญาณไง ผู้ที่ให้นั่ง เวลาจะเทศน์ก็กระด้างกระเดื่อง อวดอีโก้ เก่ง ยอด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราอยู่กันมา ๖ ปีก็รู้นิสัยกันใช่ไหม ตอนนั้นถามเท่าไรก็ไม่บอก ถามเท่าไรก็ไม่รู้ก็ไม่พูด เพราะมันไม่รู้จริงๆ เพราะมีความสัตย์ แต่ตอนนี้ถามมา นี่ไง ตอนนี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สำเร็จแล้ว บรรลุธรรมแล้ว เข้าใจทั้งหมด ถามมา
พอถามมา จิตใจควรแก่การงาน จะเทศน์ธัมมจักฯ พอเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมๆ ดวงตาเห็นธรรมโดยใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัญญาโกณฑัญญะฟังแล้วใช้สติปัญญาใคร่ครวญ ใช้สติปัญญาแทงตลอด มันต้องเกิดมรรคในใจของตน เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดมรรคในใจของตน เกิดปัญญาของตน แล้วแทงของตนเอง ทำลายของตนเอง ทวนกระแสกลับเข้าไปเอง
นี่ไง จะไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้อง เขามีฤทธิ์มีเดช เขามีวาสนา นี่ฤๅษีชีไพร พวกหมอดู พวกโชคชะตา แล้วเราก็จะทำอย่างนั้นๆ
มันเป็นเรื่องธรรมดานะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทุกคนมีความรู้สึกไหม ทุกคนคิดดีคิดชั่วไหม มีทุกคนน่ะ ถ้ามีทุกคนขึ้นมา ไอ้การคิดดีคิดชั่วนั่นน่ะสัญญาอารมณ์ นั่นน่ะเปลือก ขันธ์ ๕ นี่เปลือก
คนมีความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้น เวลาจิตถ้ามันสงบเข้าไปมันก็ไปรู้ตามความรู้สึกนึกคิดอันนั้น ไปเห็นนิมิต ไปรู้นั่นรู้นี่ แหม! สุดยอดๆ โมฆบุรุษ ไม่มีความเป็นจริง
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ถ้ามันแทงทะลุเข้าไป ถ้าจิตสงบคือจิตไม่พาดพิงอารมณ์ ไม่พาดพิงอารมณ์มันก็เป็นอิสระโดยตัวมันเอง ถ้ามันพาดพิงอารมณ์ก็พาดพิงสัญญา พาดพิงสังขาร พาดพิงสิ่งที่มันมีมาแต่ดั้งเดิม พาดพิงสิ่งที่มันสะสมมา โกรธแค้นใจ เจ็บแค้นใจ เจ็บปวดใจ มันก็พาดพิงกับอารมณ์นั้นไง
แต่ถ้ามันเป็นอิสระมันไม่พาดพิงใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าไม่พาดพิงสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นต้องอาศัยอะไร อาศัยพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
ไอ้คนที่ดูถูกเหยียดหยามก็นั่นน่ะ ไอ้พุทโธ ไอ้สมถะ ไอ้ไม่มีปัญญานั่นน่ะ
ไอ้พุทโธนั้นน่ะ ถ้าเอ็งทำพุทโธได้เอ็งจะเป็นเอกบุรุษ เอ็งจะเป็นจริง
แต่เอ็งทำไม่ได้ เอ็งทำไม่ได้ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเอ็งต่างหาก เอ็งก็ไปเอาสิ่งสภาวะแวดล้อม สิ่งที่เคยทำมาเป็นความชอบและไม่ชอบ เป็นความฝังใจ เป็นความเคยพบเคยเห็น เป็นจินตนาการ แล้วก็ว่านี่เป็นการปฏิบัติธรรมๆ ไง
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอนอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นสิ่งที่มันเป็นจริตนิสัยต่างๆ อันนั้นก็เป็นวาสนา ถ้าเป็นวาสนา ดูสิ นางวิสาขา อนาถบิณฑิกเศรษฐี ดูอย่างเทวทัตต่างๆ นั่นก็อยู่อำนาจวาสนาของเขา เขาคิดของเขาอย่างนั้น เขาทำของเขาอย่างนั้น มันไม่เข้าสู่ความจริงอันนั้นได้
ถ้าเข้าสู่ความจริงได้ ท่านพยายามจะให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ละวางให้ได้
คนเรามันมีเวรมีกรรมทั้งสิ้น คนเรามันมีอำนาจวาสนามามากน้อยแค่ไหน มันเป็นอำนาจวาสนาของตน วางสิ่งนั้นไว้ วางสิ่งนั้นไว้แล้วเข้าสู่หนทาง เข้าสู่หนทางทำความสงบของใจเข้ามา
ถ้าใจสงบระงับแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ การฝึกหัดใช้ปัญญาคือฝึกหัดใช้ปัญญาในธรรมจักร ฝึกหัดใช้ปัญญาในมรรคในผลในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ฝึกหัดใช้ปัญญาแบบที่เราใช้กันนี้
ถ้าเราใช้ปัญญาอย่างนี้ เราไม่ต้องใช้ปัญญามันก็เป็นเอง คิดทั้งวัน ทุกข์ทั้งวัน แม่งเกิดทั้งวันเลยปัญญานี้ แต่ปัญญาพากูไปทุกข์ไปยาก ไม่ใช่ปัญญาให้กูหลุดพ้นเลย ถ้าปัญญาอย่างนี้เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณ ปัญญาแบบโลกๆ
แล้วปัญญามันเกิดทุกวันๆ แล้วมันเป็นปัญญาหรือไม่ ปัญญาจะไปจี้ไปปล้น ปัญญาจะไปฉกไปชิง ปัญญาจะไปเอามรรคเอาผล ปัญญาจะให้คนนับหน้าถือตา ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาโลกๆ ปัญญาของกิเลส
นี่ไง มันถึงหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วถ้ามันทำไม่ได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิๆ ปัญญาอบรมสมาธิก็มาปอกลอกนี่แหละ
ความปอกลอกปอกเปลือก ปอกไอ้ความคิดนี้ ความคิดว่าอยากให้เขาชมเชย อยากให้เขายอมรับเรา ถ้ามีปัญญาขึ้นมานะ มึงบ้า ใครจะยอมรับมึง
ถ้าปัญญามันทันนะ พอมึงบ้ามันก็จบไง มันก็ไม่คิดส่งออกไง ใครจะมายอมรับเรา เราต้องยอมรับตัวเราเอง เราจะทุกข์จะยากจะร่มเย็นเป็นสุขก็เป็นของเราเอง เราแสวงหาของเราเอง เราก็รู้ของเราเองเป็นปัจจัตตัง ถ้าทุกข์ เราก็รู้ว่าทุกข์ ถ้าสุขเราก็รู้ว่าสุข แล้วเราต้องไปให้ใครมายกย่องสรรเสริญเรา เขารู้กับเราไม่ได้หรอก
เราอยู่กับอาจารย์ หลวงตาพระมหาบัว เวลาใครมาชื่นชมท่าน ท่านถามเลย มึงรู้ได้อย่างไร มึงมีปัญญาหรือ ปัญญามึงนี่รู้หรือ แบบโลกๆ นี่มึงรู้จักธรรมะหรือ
โอ๋ย! เงียบเลยนะ ไอ้พวกที่มายกย่องสรรเสริญก็จะมาประจบไง จะมาประจบว่า โอ๋ย! ฉันเป็นพวกเดียวกัน มีทางเดียวกัน
ท่านชี้เลย ไม่เชื่อ เราเป็นผู้ใหญ่ เด็กๆ มันมาคุยกับเรา เราจะเชื่อมันไหม มันผ่านโลกมาหรือยัง มันรู้ไหมอะไรถูกอะไรผิด มันไม่รู้อะไรเลยแหละ แต่มันจะมายกย่องสรรเสริญชมเชยเรา แล้วเราไปเชื่อมันหรือ เราคล้อยตามมันไปหรือ แสดงว่าเอ็งโง่กว่าเขา
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ ขึ้นมานะ ถ้าบอกว่า ผมเคารพนับถือ ผมเชื่อถือศรัทธา แต่ผมยังไม่รู้จริง ผมจะประพฤติปฏิบัติ ผมขอชี้ทาง ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันต้องเป็นแบบนั้น ความจริงว่าใครรู้ไม่ได้ ถ้าใครรู้ได้มันจะร่มเย็นเป็นสุขในใจของเขา ถ้าใครรู้ได้เขาจะนิ่ง เขาจะไม่ดีดดิ้นเลย
ไอ้ที่ยังดีดดิ้นปี๊ดๆๆ อยู่นี่ แหม! มีคุณธรรม...มันยิ่งกว่าไส้เดือน ไส้เดือนโดนขี้เถ้ามันดิ้นผับๆๆ เลย
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา นิ่งสงบ อยู่ในที่สงบวิเวก เพราะสิ่งในที่สงัดวิเวกนั้น ใจวิเวก จิตวิเวก สถานที่วิเวก ความวิเวกอย่างนั้นมันเป็นความสุขแท้ ความสุขแท้นะ โลกเขารู้กับเราไม่ได้หรอก
โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ทุกอย่างในโลกนี้อยู่ในใต้กฎของอนิจจัง ทุกสิ่งในโลกนี้อยู่ในใต้กฎของอนิจจัง แล้วไม่มีสิ่งใดที่จะแก้ไขได้ ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้
โลกนี้เป็นอจินไตย มันอยู่ยั่งยืนอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง ยุคหิน ยุคต่างๆ แล้วก็จะยุคต่อไปข้างหน้า โลกนี้เป็นอจินไตย มันเป็นอนิจจัง
แต่หัวใจถ้ามันมีสัจธรรมขึ้นมามันเป็นอนัตตา อนัตตามันไม่เหมือนอนิจจัง เพราะอนิจจังคือสภาวะการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าอนัตตาๆ อนัตตาตรงไหน อนัตตาที่ต้องจำใช่ไหม อนัตตาที่ได้ยินมาใช่ไหม อนัตตามันเกิดที่ไหน
ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตนี้จับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม เกิดขึ้นๆ จิตเห็นอาการของจิต จิตเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่สติปัฏฐาน ๔ เข้าสู่ทางของมรรค ถ้าเข้าสู่ทางของมรรค
มันไม่มีการเกิดขึ้น มันไม่มีหนทาง เข้าตรอกซอกซอยไม่ถูก เข้าถึงบ้านของตนไม่ได้ ทุกคนยังหาใจของตนไม่เจอ มันจะเอาอะไรไปทำ
แต่ทุกคนถ้าหาใจของตนเจอ ยกขึ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
กับอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง สิ่งที่มีอยู่นี้เป็นโลกไง สสารมันแปรปรวนตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์มันคุยกันตรงนี้ คุยธรรมะมันคุยกันตรงอนิจจัง มันไม่รู้จักอนัตตาหรอก อนัตตาเป็นอย่างไร มันเกิดขึ้นที่ไหน แล้วมันเกิดอย่างไร แล้วมันจะเกิดที่ไหน
เพราะมันรู้ไม่ได้ไงมันเลยบอกว่าไม่ต้องมีขณะไง ไม่ต้องมีขณะก็คืออริยสัจ ๓ ทุกข์ สมุทัย นิโรธไม่ต้อง
ถ้ามีขณะคือมีการกระทำ มันจะมีไตรลักษณ์ ถ้ามันมีขณะของมันนะ
แต่ถ้ามันไม่มีขณะ ไม่มีขณะคืออะไร ก็ขึ้นต้นไม่ได้ ขึ้นต้นไม่ได้ ท่ามกลางไม่มี สิ้นสุดไม่มี ของกู กูไม่มี ไม่มีก็เลยไม่ต้อง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีขณะหรอก เอาแบบอาจารย์สิงห์ทอง
แต่อาจารย์สิงห์ทองมีขณะ ปากกาเขียนจนหมึกหมด เขียนไม่ได้ มีขณะ แต่ความรุนแรงที่มันจะเป็นจริงนั่นอีกเรื่องหนึ่ง มีขณะ ขึ้นต้น ท่ามกลาง ที่สุด
มึงไม่รู้ว่ามึงทุกข์มึงสุขนี่มึงภาวนาอะไร มึงไม่รู้ว่ามึงกินข้าวกินปลามึงได้กินอย่างไร มึงไม่รู้อะไรเลยมึงเป็นธรรมะได้อย่างไร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นหรอก แต่เขาตีรวนเป็นเหมือนหมอดู เหมือนการทายโชคชะตา พ่วง! หาย พ่วง! กิเลสตาย พ่วง! กิเลสตาย แล้วพวกเรากิเลสตายหมดเลย ตายจากการหลอกลวง ตายจากการเขาให้ค่า ไม่มีความจริงใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราทำความจริง ความจริงอย่างนี้ไง
เราบอกว่าจะมาวัดมาวา เราตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติด้วยเจตนาของการกระทำ ด้วยเจตนาจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นคือทรัพย์ของเราแล้วนะ ทรัพย์สมบัติของเราที่มีเจตนาตั้งใจแสวงหาสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นเราได้
ใครเขาไปเที่ยวที่ไหนมาเขาซื้อของฝากของระลึกไปฝากเพื่อน เราไปวัดไปวา เรากลับไปบ้าน เรากลับไปเรามีแต่ความอ่อนเพลียไปฝากเพื่อน เพื่อนมันบอก “เอ็งไปไหนมา” “ไปปฏิบัติมา” “ดูสิ หน้าดำคร่ำเครียดเลย” “แล้วได้อะไรมา” “ได้บุญมาฝาก” “แล้วบุญเป็นอย่างไรล่ะ”
บุญก็ความสุขใจไง บุญมันก็ไม่รู้จัก สิ่งใดไม่รู้จัก จิตใจที่อ่อนแอ จิตใจที่หยาบกระด้าง
จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่สูงส่งเขาสาธุนะ สิ่งที่ดีงามเขาสาธุ เขาพอใจกัน
นี่พระพุทธศาสนาไง ถ้าพระพุทธศาสนาที่นี่ปั๊บ เราเป็นบัณฑิต เราไม่เป็นเหยื่อของสังคม อย่าเชื่อนะ ไอ้โทรศัพท์หลอกลวงกัน โอนเงินไปโอนเงินมา เห็นแล้วเศร้าใจมาก ทำไมมึงโง่กันได้ขนาดนี้
เรามีสติมีปัญญา อย่าเพิ่งเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้พิสูจน์ขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา เอวัง