เทศน์บนศาลา

จิตล้มละลาย

๑๒ พ.ย. ๒๕๕๑

 

จิตล้มละลาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรมภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการธรรมะมันเข้าถึงใจ เทวดา อินทร์ พรหมได้ยินได้ฟังนะ บรรลุธรรมตรัสรู้ธรรม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นนะ รื้อค้นตั้ง ๖ ปีนะ รื้อค้นมาด้วยบุญญาธิการทำมา ธรรมะจะได้มานี้ไม่ใช่ของง่ายๆ ได้มาด้วยความมุมานะ ความวิริยะอุตสาหะ มันถึงจะเป็นธรรมเหนือโลก

ในปัจจุบันนี้เราศึกษาธรรมะกัน เราศึกษากันด้วยสัจจะ ด้วยโลก โลกเป็นใหญ่ วิทยาศาสตร์.. เราคิดแต่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ได้ จะไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลยถ้าสิ่งนั้นพิสูจน์ไม่ได้ พอพิสูจน์ไม่ได้.. พิสูจน์ด้วยโลกไง มันก็เลยเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกคือเรื่องอำนาจวาสนาเรื่องบารมีของเรา แต่ถ้าเรื่องธรรมะ มันลึกซึ้งกว่านั้น

“ธรรมะเหนือโลก” คำว่าธรรมะเหนือโลก ไม่ใช่ธรรมะเป็นธรรมชาติ

ธรรมะในเรื่องวิทยาศาสตร์ก็ธรรมะในโลกไง เพราะเราเอาโลกไปจับธรรมะ เราก็ศึกษาธรรมะด้วยความเห็นของเรา ด้วยความเห็นของเราเพราะถือตัวถือตนว่าเราเป็นผู้มีปัญญา ในสมัยโบราณนี่การศึกษายังล้าหลัง การศึกษาทางอเมริกามีการศึกษามีมหาวิทยาลัยก่อนเขา คนของเขามีการศึกษา เรื่องเทคโนโลยีทั้งหมด เรื่องการเดินเรือ เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ เขาถึงครองโลกไง เขาครองโลกด้วยเทคโนโลยีด้วยความเห็นของเขา เขาครองโลก แต่เขาไม่ได้ครองธรรม!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครองธรรมนะ “แพ้เป็นพระชนะเป็นมารนะ” คำว่าแพ้เป็นพระ.. การครองโลกครองด้วยอาวุธ ครองด้วยอำนาจ สิ่งต่างๆ มีอาวุธที่เหนือกว่า ครองโลกทรัพยากรดูดไปใช้หมดเลย แล้วสิ่งต่างๆ กฎกติกาก็คนเป็นผู้วางไว้ เห็นไหม โลกไม่ใช่ธรรมนะ ถ้าเราคิดด้วยโลก เราคิดด้วยปัญญาของเรา เราก็คิดสิ่งที่เป็นโลก จิตของเรามันล้มละลาย.. มันล้มละลายนะ !

ทางโลกเห็นไหม ถ้าคนล้มละลายไม่สามารถทำนิติกรรมได้ แต่การล้มละลายของทางโลกเขา เขาต้องมีศาลตัดสิน ต้องศาลตัดสินนะ เราจะล้มละลายด้วยการค้ำประกันเขา เราจะล้มละลายด้วยเอกสารของเราที่เขาลักขโมยเอาไปใช้ แล้วเราเป็นหนี้เป็นสิน ศาลตัดสินให้เราล้มละลาย

สิ่งที่ล้มละลายมันเป็นล้มละลายด้วยทางโลก ถ้าพอล้มละลายแล้วเขาจะประกอบนิติกรรมต่างๆ ไม่ได้ สมบัติที่เขามีเขาต้องชดใช้ ศาลตัดสินก็ต้องพิทักษ์ทรัพย์

นี่ก็เหมือนกันจิตเราล้มละลายนะ จิตโลกๆ นี่ล้มละลาย... ล้มละลายจากอะไร ล้มละลายจากธรรมไง ล้มละลายจากธรรมที่เหนือโลก เรามีสิทธิเสรีภาพที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ใช่! เราไม่ได้ล้มละลาย เราไม่ได้ตายจากมนุษย์นี้ไป แต่เราล้มละลายจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะเราเข้าใจด้วยสัจจะ เข้าใจด้วยโลก เอาโลกเข้าไปจับธรรมะ เราเลยล้มละลายจากความจริง

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ศึกษาธรรมแล้วเรารู้สัจธรรม เราว่าเรามีความรู้ เรามีความสามารถ เรามีสิ่งต่างๆ เราเข้าใจไปหมดเลย คิดว่าเป็นธรรมะไง คิดว่าเป็นธรรมะนะ กิเลส อุปกิเลส กิเลสอย่างหยาบๆ ตัณหาความทะยานอยาก ใช่.. โมโหโกรธานี่เป็นกิเลส สิ่งที่เราแสดงออกที่เป็นกิริยามารยาทอันฉุนเฉียวนี่เป็นกิเลส คนที่นิ่มนวลคนที่อ่อนโยน นี่มันก็กิเลสเหมือนกัน สิ่งที่เป็นกิริยาฉุนเฉียว สิ่งที่แสดงออก ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ออกมาโดยทางโลกเขาเห็นกันอยู่ได้นี่ หน้าแดงก่ำเลย นี้ว่าสิ่งนี้เป็นกิเลสใช่ไหม ใช่ ! มันก็กิเลส

มันเป็นกิเลส เป็นโทสะ โมหะ มันกิเลสทั้งนั้นล่ะ แต่เวลาเราสำรวมระวังขึ้นมาแล้ว เราศึกษาธรรมะ เรามีความเข้าใจ มีความเบิกบาน “อุปกิเลส” โอภาสแสงสว่างไสว ความรู้แจ้งต่างๆ อุปกิเลสทั้งนั้น ! มันก็คือกิเลส ในเมื่อเราเข้าใจ เราเห็นว่ากิเลสคือโทสะ โมหะ กิเลสคือการแสดงออกด้วยกิริยามารยาทเท่านั้น แต่เราไม่รู้หรอกว่ากิเลสอันละเอียด... กิเลสอันละเอียดมันก็มีอยู่กับเรา

แล้วเวลาเราศึกษาขึ้นแล้ว มันปล่อยวางมันมีความเข้าใจ เราก็คิดว่ามันเป็นธรรมเห็นไหม มันเป็นโลกๆ ไง กิเลส-อุปกิเลส อุปกิเลส ๑๖ ความว่างความปล่อยวางก็เป็นกิเลส มันเป็นความว่าง โอภาสความสว่างไสวก็เป็นกิเลส อุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียด แต่เราไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจเราก็คิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรมะ เนี่ยล้มละลาย ล้มละลายจากความเป็นจริง ล้มละลายจากจิตที่เราจะพัฒนาขึ้นไป ล้มละลายมาอยู่ในเรื่องโลกๆ นี่เรื่องโลกนะ

จะบอกว่าความล้มละลายนี่มันเป็นสมมุติ มันเป็นสมมุติกฎหมาย มันเป็นนิติกรรม มันเป็นพฤติกรรมที่ทางโลกเขาบัญญัติขึ้นมา เขียนเป็นกฎหมายบังคับใช้ในโลกกัน เป็นสังคม แต่ความจริงความล้มละลายของเรานี่ล้มละลายของหัวใจ เห็นไหม ถ้ามันจะไม่ล้มละลาย มันต้องมีการกระทำ ต้องมีการกระทำให้โลกียปัญญาเป็นโลกุตตรปัญญา

โลกียธรรม โลกุตตรธรรม โลกียธรรม สิ่งที่เป็นนี่มันเป็นโลกียธรรม มันเป็นเรื่องของโลก เราล้มละลายจากธรรมะที่เป็นโลกุตตรธรรม แต่ในปัจจุบันนี่เราไม่ได้ล้มละลาย เพราะสิ่งที่ล้มละลายนี่เป็นสมมุติ พอคนเราล้มละลายขึ้นมานี่ พอเขาชดใช้หรือเขาประนอมหนี้เสร็จแล้ว เขาก็ขึ้นมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาได้ แต่เราเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม “มนุษย์สมบัติ” มนุษย์สมบัตินี้ได้มาด้วยยากมาก

การเกิดและการตาย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเคยเป็น เคยเป็นกระต่าย เคยเสวยชาติ เคยตกนรกอเวจี เคยหมดเลยเห็นไหม ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เวียนว่ายตายเกิด

จิตเราก็เหมือนกัน ! การเวียนตายเวียนเกิด เราเคยเป็นสัตว์ เคยเป็นสิ่งต่างๆ มา เคยเป็นมาทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเคยเป็นมาเลย ดูสิ ดูอย่างเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอยู่ป่าเลไลยก์ ช้างกับลิงที่อุปัฏฐาก นั่นน่ะพระโพธิสัตว์นะ ช้างนั่นเป็นพระโพธิสัตว์ มาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเพื่อจะเป็นพระโพธิสัตว์

สิ่งที่เป็นพระโพธิสัตว์เห็นไหม นี่การเสวยชาติ แล้วการเกิด การตาย แม้แต่จิตหนึ่งมันยังเกิดตาย เกิดตายในวัฏฏะ เกิดตายในลุ่มๆ ดอนๆ ในวัฏฏะ แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์นี่มันแสนยาก สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วการเกิดเป็นมนุษย์ต้องประกอบไปด้วยสิ่งใด ต้องมีศีล ๕ ไง

“มนุษย์สมบัติ” ศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดครอบครัวเขา ไม่กล่าวมุสา ไม่ดื่มสุราน้ำเมา สิ่งนี้คือมนุษย์สมบัติ ศีล ๕ นี่แหละมนุษย์สมบัติ

สิ่งที่มนุษย์สมบัติขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่มันเป็นโอกาสนะ สิ่งที่เป็นโอกาส เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราพบพุทธศาสนา พุทธศาสนานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นนะ มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์นี่สิ่งที่ใครจะรื้อค้น ใครจะรู้จริงสิ่งนี้ขึ้นมานี่มันเป็นเหมือนกับสุดวิสัย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วทอดธุระเลย “มันจะทำได้อย่างไร” ทั้งๆ ที่เตรียมพร้อมมาแล้ว “จะสอนเขาได้อย่างไร”

แต่สหชาติ เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์เห็นไหม นางพิมพาปรารถนาเป็นคู่ นี่ก็พาสร้างบุญด้วยกัน เทวทัตก็ปรารถนาเป็นสิ่งที่คู่บารมีมา ก็สร้างบารมีมาด้วยกันเหมือนกัน สิ่งที่สร้างขึ้นมา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ก็ปรารถนาเป็นพระอัครสาวก นี่ไงคือว่ามันสร้างมาเป็นทีมเลย ไม่ใช่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ผู้ที่สร้างมาเขาสร้างมาพร้อมกัน เขาสร้างมาต่างๆ กันมานี่

แต่สร้างมากสร้างน้อย สร้างมาต่างๆ การสร้างมา “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เหตุที่สร้างมาไง เหตุที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่งตั้ง พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา เนี่ยพระภิกษุติเตียน ติเตียนมากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ลำเอียง ถ้าจะตั้ง ตั้งโดยทางโลก ..นี่วิทยาศาสตร์ไง สิ่งที่เป็นโลกไง ล้มเหลว ล้มละลายทางธรรมเพราะไม่รู้ไม่เห็น บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ลำเอียง ถ้าจะตั้งอัครสาวกต้องตั้งผู้ที่เข้ามาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน คือพระปัญจวัคคีย์ ถ้าตั้งต้องตั้งปัญจวัคคีย์สิเพราะเป็นผู้ที่อาวุโส บวชก่อนแล้วตรัสรู้บรรลุธรรมก่อน บรรลุธรรมก่อนทั้งนั้น นี่โลกคิดกันไป เห็นไหม

แต่องค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่” เพราะพระติเตียนมาก เพราะพระนี่วุฒิภาวะสูงต่ำต่างกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่ เราตั้งตามเป็นข้อเท็จจริงของเขา เป็นสมบัติของเขา พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเขาปรารถนาของเขามา แล้วเขาสร้างของเขามา เขาสร้างบุญญาธิการของเขามา ปรารถนาเป็นอัครสาวก”

การสร้างมา เห็นไหม เพราะสร้างมา ดูสิเวลาทำบุญ ถ้าบุญกุศลที่ได้สูงที่สุดก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา พระอรหันต์ สาวก สาวกะ แล้วก็พระอนาคาลงมาเรื่อยๆ นี่บุญญาธิการมันต่างกัน วุฒิภาวะสูงต่ำต่างกัน นี่ตามข้อเท็จจริง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนามันก็เป็นบุญญาธิการของเรา ฉะนั้นเราเกิดมานี่อันนี้อริยทรัพย์ ทรัพย์ของมนุษย์นี่สำคัญมากนะ ชีวิต.. ชีวิตความเป็นอยู่ ชีวะ.. ชีวะที่สืบต่อ

“ชีวิตนี้คืออะไร” พราหมณ์ถามพระสารีบุตร

พระสารีบุตรตอบ “ชีวิตนี้คือไออุ่น ชีวิตนี้คือพลังงาน”

ไออุ่นสมมุติสมัยพุทธกาล ไออุ่นคือพลังงาน ถ้าภาษาคือพลังงาน ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา ตั้งอยู่บนอายุสืบต่อ นี่ชีวิตคือแค่นี้ เราถามว่าชีวิตคืออะไร แต่เราไม่รู้หรอก ไม่เห็นชีวิตนี้คืออะไร สิ่งต่างๆ ชีวิตนี้คืออะไร

นี่สิ่งที่เป็นมนุษย์สมบัติ ชีวิตนี้คือจิต ปฏิสนธิจิตที่เกิดในไข่ของมารดา เกิดแล้วเติบโตมาในครรภ์ ๙ เดือนแล้วคลอดออกมาเป็นเรา เป็นเราขึ้นมานี่ ดูสิ เรามีความศรัทธาความเชื่อในศาสนา เราออกประพฤติปฏิบัติ

“ภิกษุ” ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร บวชโดยอุปัชฌาย์ บวชโดยธรรมวินัย นี่คือสมมุติ ธรรมวินัยสมมุติเห็นไหม สมมุติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งธรรมวินัย บวชครั้งแรก “เอหิภิกขุ” บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็บวชไตรสรณาคมน์แล้วก็มาญัตติจตุตถกรรม เวลาวางสงฆ์หมู่ใหญ่ขึ้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางเป็นระบบขึ้นมา

เราบวชโดยสมมุติ จริงตามสมมุติ จะบอกว่า ถ้าล้มละลาย เราก็ต้องไม่มีสิทธิอะไรเลยสิ มันไม่ได้ล้มละลายในมนุษย์สมบัติ แต่มันล้มละลายในธรรมะไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยทรัพย์นี่ เราล้มละลายเพราะอะไร เพราะจิตใจเราไม่มีความมั่นคง เมื่อจิตใจเรามันล้มละลายขึ้นมา ศึกษาธรรมกัน เห็นไหม

“ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งก็เป็นธรรมชาติ ความรู้สึกก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ศึกษาธรรมแล้วซึ้งใจมาก ซึ้ง.. มันมีความซาบซึ้ง”

มันก็ชั่วคราว.. มันเป็นอนิจจังหมด.. มันไม่ใช่โลกุตตรธรรม! มันไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นธรรมที่เราสร้างขึ้นมา เนี่ยล้มละลาย ! จิตนี่ล้มละลาย !

ถ้าจิตไม่ล้มละลายทำอย่างไร จิตไม่ล้มละลายคือเราเห็นคุณค่าของเราก่อน เราต้องเห็นคุณค่าของชีวิตเราก่อน ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเรา ไม่เห็นคุณค่าของความรู้สึกอันนี้ เราจะไปปฏิบัติกันที่ไหน แล้วเวลาปฏิบัตินะมรรคผลของใคร มรรคผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมวินัยให้เราประพฤติปฏิบัติ แล้วเราไปศึกษาธรรม อ่านพระไตรปิฎกมันก็เป็นมรรคผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาไว้พระสารีบุตรเทศน์ไว้ในไตรปิฎกก็มีของพระสารีบุตร ยิ่งธรรมบทมีของพระปุณณมันตานีบุตร เทศนาว่าการกันมา แล้วเราไปศึกษานี่ธรรมของใคร ? เหมือนเราไปซื้อเทคโนโลยีมา ใช้เป็นหรือไม่เป็น ใช้เป็นก็เป็นประโยชน์ ใช้ไม่เป็นนะ เวลามันชำรุดหรือมันเสียหายขึ้นมา ใช้งานไม่ได้เลย เป็นทุกข์หมด

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เข้าใจหมดล่ะ มรรคเป็นอย่างไรเข้าใจ เข้าใจเห็นไหม เข้าใจในโลกๆ เข้าใจ คือสิ่งที่เราศึกษาเป็นปริยัติ เราไม่มีภาคปฏิบัติ แล้วถ้าภาคปฏิบัติเกิดขึ้นมา ถ้ามันเป็นผู้ล้มละลาย เพราะเอาจิตที่ล้มละลายไปประพฤติปฏิบัติธรรมกัน

“ธรรมะ... นิพพานคือความว่าง นิพพานคือความสงบเย็น มันมีความเย็นกับความสงบเย็น”

เราเข้าห้องแอร์มันก็เย็น... ไปอยู่บนขั้วโลกเหนือมันก็เย็น... แล้วมันเย็นจริงไหมล่ะ

มันเย็นโดยอากาศอย่างหนึ่งนะ เย็นโดยอุณหภูมิในร่างกายเราก็อย่างหนึ่ง ในอุณหภูมิของร่างกายเราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย อุณหภูมิในร่างกายถ้าปรอทวัดขึ้นสูงมาก แล้วเวลาไปอยู่ในห้องแอร์ ข้างนอกมันเย็น แต่การเจ็บไข้ได้ป่วยมันเย็นด้วยไหม นี่ก็เหมือนกันในเมื่ออุณหภูมิจากข้างนอกกับข้างใน ความเย็น.. เย็นที่ไหน เย็นจริงหรือเปล่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. สัจธรรม...” พยายามจะเคลมๆ นี่ไงล้มละลาย ล้มละลายหมดเลย

“เพราะสัจธรรม.. วิปัสสนา.. สัจจะวิปัสสนาให้ใช้ปัญญาใคร่ครวญ..” มันปัญญาโลกๆ ปัญญาของเราที่ใช้ใคร่ครวญมันปัญญาโลกทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะคิดมาจากโลก คิดมาจากเรา ปัญญาเกิดจากเรา เกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากสัตตะผู้ข้อง จิตเป็นผู้ข้อง

ล้มละลายหมด! มันล้มละลายจากสัจจะความจริงนะ แต่ถ้าไม่ล้มละลาย.. ทางโลกเวลาเขาล้มละลาย เขาหมดอายุความแล้ว เครดิตเขาก็หมดไปเป็นธรรมดา แต่ถ้าเขาทำขึ้นมาเขาจะเจริญเติบโตขึ้นมาก็ได้ นี่มันเป็นเรื่องโลก สมมุติมันเปลี่ยนแปลงได้

แต่สำหรับเรา ชีวิตในปัจจุบันนี้เราจะไม่ได้ล้มละลายจากมนุษย์หรอก มนุษย์มีช่วงอายุขัยของมันไป แต่เราล้มละลายจากสัจจะความจริง ล้มละลายจากอริยทรัพย์ ล้มละลายจากสัจธรรม เพราะเราไปมีมุมมองผิด เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาทิฏฐิมานะเราไปเป็นใหญ่ แต่มันไม่เป็นความจริง !

เอาทิฏฐิมานะ เอาความเห็นของเราไปศึกษาธรรม แล้วก็ยึดมั่นว่าธรรมะต้องเป็นอย่างที่เราคาดหมาย ธรรมะต้องเป็นอย่างที่เราเห็น นี่ไง เป็นอย่างที่เราเห็น มันก็เป็นโลกไง นี่ล้มละลายมาเพราะอะไร เพราะมันไม่มีเอกัคคตารมณ์ จิตมันไม่ตั้งมั่น มันไม่มีสมาธิ ตัวสมาธินี่คือตัวที่ทำให้จิตมั่นคง ถ้าจิตมั่นคงขึ้นมานี่ มันไม่ล้มละลายขึ้นมาเห็นไหม

เพราะมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในสัจธรรม ทุกข์ สมุทัย เห็นทุกข์ไหม เห็น ! ทุกคนทุกข์ ทุกคนร้องไห้ก็เห็นความทุกข์ขึ้นมา เขาถึงพยายามจะหาความสุขกัน พยายามจะผ่อนคลายมัน นี่ทุกข์จริงหรือ ? นั่นอาการของทุกข์ไม่ใช่ตัวทุกข์

ถ้าเป็นตัวทุกข์... ตัวทุกข์คืออะไร ทุกข์ คือ ชาติ ความเกิด ทุกข์คืออะไร ชาติปิ ทุกขา ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง สิ่งอื่นตามมาหมดเลย การเกิดและการดับนี่คือทุกข์ ! แล้วการเกิดตัวนี้คือตัวทุกข์ ตัวการเกิดและการตาย การเปลี่ยนแปรสภาพ นี่คือตัวทุกข์

แล้วอารมณ์ความรู้สึกทุกข์มันจรมา ความโสกะ ปริเวทะ ต่างๆ มันจรมาทั้งนั้น เราไปเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความทุกข์ เราก็ไปเห็นแต่อารมณ์ความรู้สึกเราเป็นความทุกข์ แต่อารมณ์ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงนะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็พอใจ เดี๋ยวก็ไม่พอใจ นี่คืออารมณ์ความรู้สึก ! แล้วสิ่งใดเป็นที่รองรับมันล่ะ สิ่งที่รองรับความรู้สึกมันอยู่ที่ไหน

นี่ไง ไม่เห็นทุกข์ เห็นแต่อาการของทุกข์

เห็นแต่สิ่งต่างๆ เห็นแต่ความเจ็บปวดแสบร้อน แล้วระลึกได้ตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้วนั้น แต่ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เป็นเด็กมาสิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งที่มีอำนาจวาสนาทุกข์ยากต่างๆ นี่มันมาจากไหน ก็มันมาจากกรรม มันมาจากสิ่งที่เราสร้างมา สิ่งที่เราสร้างมาทั้งนั้น ดูสิเวลาพระเขาปฏิบัติในสมัยพุทธกาล เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ทำไมไม่เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์ก็ยังมีคุณภาพสิ่งต่างๆ อำนาจวาสนาก็ต่างกัน

แม้แต่พระอรหันต์ ความสะอาดบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ต้องเท่ากันนะ แล้วถึงที่สุดแล้ว โสดาบัน สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์ ขณะจิตเหมือนกัน ! เหมือนกันเลย !

พระอัครสาวกใช่ไหม พระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา สาวก สาวกะ แล้วก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ความสะอาดบริสุทธิ์เท่ากันนะ แต่อำนาจวาสนาบารมีที่สร้างมาต่างๆ กัน เพราะเหตุที่สร้างมันต่างกัน มันเป็นจริตเป็นนิสัยใช่ไหม สิ่งที่เป็นจริตเป็นนิสัยเป็นเรื่องของใจนี้มันแตกต่างกัน

มันแตกต่างกัน เพราะมันเห็นชัดเจนในเรื่องของกรรม นี้เราสร้างบุญญาธิการมา สร้างบุญมานะ.. ถ้าไม่สร้างบุญมามันจะไม่มีศรัทธาความเชื่อ มันเหมือนกับสุดวิสัย เหมือนของเรานี่ ดูสิพอพูดถึงมรรคผลนิพพานนี่ทุกคนหัวเราะเยาะนะ แม้แต่นรก สวรรค์ เขาก็ไม่เชื่อกันแล้วนะว่ามีนรก มีสวรรค์ การเกิดก็มีชาตินี้ เกิดมาเป็นเราแล้วนี่ก็เสพสุข เรามีความสุขเราต้องแสวงหาสิ นี่คือความสุขของเรา เกิดมาแล้วต้องแสวงหา...

มันสุขจริงหรือเปล่า ? มันสุขเพราะว่าถ้าเราอายุยังน้อยอยู่ ชีวิตเราคิดว่ายังยาวไกล เรายังเสพสุขได้ แล้วอายุมากขึ้นมาสิ มันวิตกกังวลว่าเราตายแล้วไปไหน มันจะตายจริงหรือเปล่า มันจะสุขจริงไหม คนเราบอกว่าเขาจะเอาเข้าหลักประหาร มันมีความสุขไหม ? จะเอาเข้าหลักประหาร จะเที่ยวอย่างไรก็ได้ จะเสพสุขอย่างไรก็ได้ เดี๋ยวเย็นนี้ต้องประหารทิ้ง คนนี้ต้องประหารเย็นนี้ ข้าวยังกินไม่ได้เลย.. เวลามันจะตายมันกลัวตายทั้งนั้นแหละ

แต่นี่เพราะมันคิดว่าความตายยังอยู่อีกหลายร้อยชาติไง มันจะอยู่ค้ำฟ้าไง มันก็เลยคิด มันเพลิดเพลินไป นี่กิเลสมันหลอกนะ กิเลสมันหลอกให้เราเพลิดเพลินกับชีวิตให้มันล่วงไปวันๆ หนึ่ง วันคืนล่วงไปๆ มันหลอกไปอย่างนี้ แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ความจริงขึ้นมา เราต้องตั้งเป็นปัจจุบันเดี๋ยวนี้ อะไรมันสุข อะไรมันทุกข์ สิ่งที่มันสุขมันทุกข์ มันทุกข์มาจากไหน ! เรื่องการแสวงหาหน้าที่การงานมันเป็นสิ่งที่เป็นภาระหน้าที่เท่านั้น

ความสุขจริงๆ ความทุกข์จริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันอยู่ที่ใจ มันอยู่ที่สิ่งที่แบกรับภาระ เพราะมีเรา.. มีเราแล้วก็ต้องมีชีวิต มีชีวิตที่มีคุณค่า มีเรามีชีวิตขึ้นมา ชีวิตนี้มันต้องดำรงสืบต่อไป.. “พลังงานตั้งอยู่บนไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา” มันสืบต่ออยู่ สืบต่ออยู่จนหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกนี่ตายนะ หายใจเข้ามันช็อกตายเลย เวลาคนที่ช็อกทีเดียวตาย ตายแล้วไปไหนล่ะ ตายแล้วก็ไปตามบุญตามกรรม ตามบุญตามกรรม มันไปแล้วมันจะพบสิ่งที่เราสมปรารถนาไหม

นี่เหมือนกันในปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เราถึงต้องเห็นคุณประโยชน์ตรงนี้ ถ้าเราเห็นคุณประโยชน์แล้วเรามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมานี่ เราประพฤติปฏิบัติกัน นั่งสมาธิภาวนา เราน้อมกายถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่เรานั่งสมาธิ เขาทำบุญตักบาตรกันนั่นเป็นอาหารนะ เพื่อดำรงหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ของเรานี่เป็น “บุญกิริยาวัตถุ” กิริยาของเราถ้าเราอยู่ในที่รโหฐานของเรา เราจะดำรงชีวิตยังก็ได้ แต่ในปัจจุบันนี้เรานั่งสมาธิภาวนา เราเอากายของเรานี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันสงบขึ้นมามันก็ยิ่งผลบุญมากขึ้นไป

ถ้ามันไม่สงบขึ้นมา ดูสิ เวลาเขาเอาดอกไม้ธูปเทียนถวายพระทำไมเขาได้บุญล่ะ แล้วเราเอาตัวเราทั้งตัวถวายพระ มันจะได้บุญไหม ? ในการประพฤติปฏิบัติเขาไปเที่ยวเตร่กัน หาความสุขของเขานั่นมันเรื่องของเขา แต่ของเรา เราหาบุญกุศลของเรา เพราะเรามีปัญญาของเรา

ถ้าจิตเริ่มมีหลัก มีความมั่นคงขึ้นมา แล้วมันตั้งสติ ตั้งสติกำหนดพุทโธให้ได้ พุทโธๆๆ กำหนดให้จิตสงบขึ้นมา ทำไมมันถึงไม่สงบ.. จิตไม่สงบเพราะอะไร จิตไม่สงบมันอยู่ที่คนนะ อำนาจวาสนามากหรือน้อย ทำได้ง่ายหรือทำได้ยาก แล้วถ้ามันสงบคราวนี้คราวหน้าสงบอีกไหม ถ้าคราวหน้าไม่สงบมันมีเหตุโต้แย้งอย่างไร

เราต้องหาเหตุหาผล ภาคปฏิบัตินี่ต้องหาเหตุหาผลนะ ไม่ใช่ว่านั่งปฏิบัติ.. เราไม่ใช่หุ่นยนต์นะ หุ่นยนต์นะเสียบปลั๊กมันก็ทำงานทันที จิตก็เหมือนกัน จะเอาสมาธิ.. เป็นหุ่นยนต์ นั่นความคิดไง วิทยาศาสตร์ นี่ไงสิ่งที่มันล้มละลาย ล้มละลายจากธรรมะ

คิดเป็นเรื่องโลก โลกเป็นอนิจจัง วิทยาศาสตร์เป็นอนิจจัง สสารต่างๆ มันแปรสภาพตลอด พลังงานที่เกิดขึ้นมานี่เราแสวงหาขึ้นมา ดูสิเรามีไดร์ เราปั่นพลังงานออกมาใช้ มันต้องเก็บไว้ มันต้องรักษาไว้ โซล่าเซลล์ดึงพลังงานมาจากแสงแดด มันต้องเก็บเอาไว้ได้ มันก็ต้องใช้ไปเป็นธรรมดา มันไม่มีอะไรคงที่ซักอย่างหนึ่ง

นี่ไง “ธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ” มันก็เป็นธรรมชาติ พลังงานมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันก็เป็นธรรมชาติ การเกิดการตายมันก็ธรรมชาติ ธรรมะก็เป็นธรรมชาติ มันก็เวียนตายเวียนเกิดกันอยู่นั่น นี่ไง นี่เพราะอะไร เพราะจิตมันล้มละลาย มันเลยไปเห็น ไปเข้าใจธรรมะเป็นสภาวะ สภาวะเป็นอย่างที่เห็น เป็นสภาวะธรรมะของโลก มันแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าธรรมเหนือโลก มันเหนือสัจธรรม สัจธรรม... ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นอริยสัจ แล้วจิตนี้มีกลั่นออกมาจากสัจธรรม แล้วสัจธรรมมันจะเกิดขึ้นมาจากจิตที่มันมีวุฒิภาวะ จิตที่มีวุฒิภาวะนี่พยายามตั้งขึ้นมาให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นสิ่งที่มันพยายามทำความสงบ แต่มันไม่สงบเพราะอะไร มันไม่สงบเพราะมันล้มละลาย ล้มละลายจากสมาธิ ล้มละลายจากสัจธรรม เพราะมันเป็นมรรค ๘ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ สมาธิชอบ สติชอบ นี่คนมันจะมีจุดยืนที่มันจะเริ่มก้าวเดินไป จากสิ่งที่มันล้มละลาย คนล้มละลายนี่มีทรัพย์สินไม่ได้นะเขายึดหมดนะ

นี่ก็เหมือนกันคนล้มละลาย จิตมันล้มละลาย มันจะรู้สึกธรรมะได้อย่างไร มันก็อาศัยธรรมะพระพุทธเจ้าเกาะไว้ไง พระพุทธเจ้าบอกว่านิพพาน.. สิ่งที่นิพพานเห็นไหม “นิพพานๆ เป็นความว่าง นิพพานเป็นเมืองแก้ว” มันก็คาดหมายกันไป...

เมืองแก้วมันใสมันก็คู่กับขุ่นทั้งนั้น สิ่งต่างๆ มันมีของคู่หมด มันเป็นไปไม่ได้ ! สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ !

แล้วสิ่งที่เป็นไปได้มันอยู่ที่ไหน… สิ่งที่เป็นไปได้มันอยู่ที่ใจที่จะไปรู้นี่ไง ธรรมะแท้ๆ นี่มันสัมผัสด้วยใจนะ สัมผัสด้วยความรู้สึกอันนี้ พระไตรปิฎกเป็นกระดาษนะ กระดาษเปื้อนหมึก !โรงพิมพ์เรียงพิมพ์ผิด ความหมายผิดหมด ! กระดาษเปื้อนหมึก ในตู้พระไตรปิฎกไม่มีชีวิต ! ไม่มีตัวธรรมะ เป็นตัวอักษรสื่อธรรมะให้มนุษย์ ให้สัตว์โลกเข้าไปศึกษา ศึกษาแล้วค้นคว้าเป็นปริยัติ ! เป็นปริยัติถ้าไม่ปฏิบัติไม่มีโลกุตตรธรรม ไม่มีปฏิเวธ ! ไม่มีความรู้แจ้ง ความรู้อย่างนี้เป็นความรู้โลกๆ รู้แบบคนล้มละลาย

จิตมันล้มละลายแล้วมันก็ไปศึกษาธรรมมา อาศัยเกาะสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นสัจธรรมอันนั้น มันถึงบอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติเพราะมันคาดหมาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกในธรรมนั้น ในพระไตรปิฎกนั้นว่าเป็นปูนหมายป้ายทางให้รื้อค้น ให้สัจธรรมเกิดขึ้นมาจากหัวใจ ให้ความสัมผัสเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา แต่เราไปศึกษาแล้วก็ไปยึดกรอบยึดระเบียบนั้นว่าเป็นเป้าหมาย เราไปศึกษาธรรมในพระไตรปิฎกใช่ไหม.. “ต้องเป็นอย่างนั้น ! เป็นพุทธพจน์ ! ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพุทธพจน์นั่นแหละ บอกว่า “ธรรมที่เราแสดงไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี่มันเหมือนใบไม้ในกำมือ แต่สัจจะความจริง สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงที่เป็นธรรม โลกุตตรธรรมนี่มันเหมือนใบไม้ในป่า”

ถ้าใบไม้ในป่า ในเมื่อใจของเรามันเป็น ใจเราสัมผัสความจริงที่มันรู้จริงขึ้นมานี่ มันเป็นเหมือนธรรมที่เป็นอยู่ในป่า ใบไม้ในป่าที่มันหลากหลายกว่าพระไตรปิฎกเยอะแยะนัก ! แต่ให้มันเป็นความจริงเถิด เราจะรู้เลยว่าความจริงของเราที่มันเป็นขึ้นมานี่มันเป็นความจริง

แต่ถ้าจิตเรามันไม่มีหลักนะ มันล้มละลาย ล้มละลายนี่มันไม่เป็นความจริงของเรา สิทธิของผู้ล้มละลายจะถือครองทรัพย์สมบัติไม่ได้ สิทธิของจิตที่มันไม่มีวุฒิภาวะ มันจะรู้จักความจริงไปได้อย่างไร มันก็อาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยว่าธรรมนั้นเป็นความว่าง ว่างก็สร้างความว่าง ก็คือเป็นอุปกิเลส โอภาส.. สว่างไสว.. ความว่างต่างๆ มันก็เป็นกิเลส มันเป็นอุปกิเลส กิเลสอันละเอียด แต่เราไม่เข้าใจเพราะเราวุฒิภาวะไม่มี ในเมื่อจิตมันล้มละลายนี่มันทรงตัวเองไม่ได้เพราะเป็นผู้ล้มละลาย มันก็ต้องอาศัยธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

แต่ถ้าเราพยายามจะทำจิตของเราให้มีหลักมีเกณฑ์ ทำความสงบเข้ามาก่อน “สมถวิปัสสนา” ถ้าเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ความเป็นศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นมรรค ๘ แต่ถ้าในกรรมฐานของครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ เทศน์ตั้งแต่สมาธิขึ้นไปเลย เพราะศีลนี่เป็นพื้นฐาน ในเมื่อเราเป็นชาวพุทธ เรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราหวังมรรคหวังผล หวังพ้นจากทุกข์ ในเมื่อคนหวังพ้นจากทุกข์มันต้องเตรียมตัวเตรียมตน

การเตรียมตัวเตรียมตน จิตที่มันคิดสิ่งที่ไม่ดี คิดออกนอกลู่นอกทาง มันเป็นมโนกรรม มันเป็นกรรม เป็นสิ่งที่เป็นมโนกรรม เป็นพระไม่ทำอาบัติ ไม่สิ่งต่างๆ อาบัติจิตไม่มี จิตไม่มีอาบัติ แต่อาบัติการกระทำมี สิ่งที่ทำผิดนี่เป็นอาบัติหมด ปาณาติปาตา.. พรากของเขียวเป็นอาบัติทั้งนั้นแหละ อาวุโสภันเตทำสิ่งต่างๆ วัตรต่างๆ ข้อวัตรปฏิบัติถ้าไม่ทำอาบัติทุกกฎ นี่อาบัติเกิดจากการกระทำ

แต่ความคิดมีอาบัติไหม ถ้าเป็นความคิดไม่มีอาบัติ มันไม่มีอาบัตินะ ถ้ายังไม่ได้ทำ คิดแล้วไม่ได้ทำไม่เป็นอาบัติ สิ่งที่ไม่เป็นอาบัติเพราะอะไร เพราะความคิดกิเลสในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดของศาสดา เพราะรู้ว่าไม่มีใครควบคุมความคิดของตัวเองได้หรอก ถ้ามันไม่เริ่มต้นปฏิบัติ ไม่มีใครควบคุมความคิดของตัวเองได้ มันถึงเป็นผู้ล้มละลาย ! เพราะมันจินตนาการ มันคาดมันหมาย มันปฏิบัติธรรมด้นเดาธรรมไปตลอด มันล้มละลายมันถึงต้องอิง อิงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ในเมื่อเรากำหนดพุทโธๆ ขึ้นไป หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ “รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร” ความคิดมันมีตัณหาความทะยานอยาก กระตุ้น แล้วเวลากระตุ้นขึ้นมานี่มันไปบูชาใคร มันไปบูชาอวิชชา บูชามาร บูชาที่ไหน บูชามารที่กลางหัวใจของเรา

ภวาสวะคือ ภพ คือ ฐานะ ไม่ใช่ความคิดนะ ภพ คือ ปฏิสนธิวิญญาณ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส” จิตเดิมแท้นี้ คือ ตัวภพ ! จิตเดิมแท้นี้ คือ ตัวที่ตั้ง เห็นไหม จิตเดิมแท้นี่ ตัวภพนี่

ความคิดนี้มาจากไหน นี่ความคิดมาจากที่นั่น แล้วมารบูชาใคร.. บูชาอะไร นี่ไง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร... นี้ความคิดมันควบคุมไม่ได้ไง แต่ถ้าเราพุทโธๆ ด้วยสติสัมปชัญญะ พุทโธๆ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานี่ มันปล่อยหมด มันปล่อยความคิดหมด ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิมันจะลึกซึ้งต่างกันขึ้นไป มันเป็นสมาธิลึกซึ้งต่างกัน แต่รักษาไม่เป็นก็ล้มละลายอยู่วันยังค่ำ

แม้แต่มีเงินมีทองใช้ไม่เป็นรักษาไม่เป็น มันก็ล้มละลาย แต่ถ้าไม่ล้มละลาย ถ้ามันมีสติสัมปัชชัญญะ เราใคร่ครวญของเราบ่อยครั้งเข้าๆ นี่ทำไมเป็นสมาธิ.. แล้วทำไมมันเสื่อม.. สมาธิขึ้นมานี่เดี๋ยวทำง่าย เดี๋ยวทำยาก มันมีเหตุผลอะไร “เหตุผล” เราแสวงหาเหตุผลของเรา ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมานี่เราดำรงความคิดอย่างไร เราใช้ชีวิตของเราอย่างไร แล้วในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วางไว้อย่างไร แล้วจริตนิสัยการกระทำเป็นอย่างไร เราเทียบเข้ามาสิ เราเทียบเข้ามาของเรา แล้วเราหาเหตุหาผล มันจะเห็นเหตุเห็นผล

ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เรากำหนดพุทโธนี่มีเหตุมีผลของมัน ถ้าเรากำหนดอย่างนี้ด้วยความมั่นคงของเรา กิเลสมันจะสอดมาไม่ได้ ถ้าคนทำสมาธิจนคล่องแคล่วแล้วชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าการออก กิเลสจะสอดเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อกิเลสสอดเข้ามาไม่ได้ นี่ไง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันจะเสียบเข้ามาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเราเห็นคุณเห็นโทษของมัน ถ้ามันสอดเข้ามา ถ้าเราเชื่อมันเราก็ภาวนาได้ยาก แต่ถ้าปัญญามันทัน มันไล่ต้อนทัน มันก็เข้าได้ง่าย

การเข้าได้ง่ายมันอยู่ที่การกระทำของเรา นี่ไง ถ้าชำนาญในวสี ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน ถ้าชำนาญในวสีสมาธิมันอยู่กับเรา วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ “จิตตั้งมั่น” พอจิตตั้งมั่นนี่มันพ้นจากการล้มละลาย ถ้าพ้นจากการล้มละลาย ผู้ที่ไม่ล้มละลายนี่สิทธิของมนุษย์ เราในความเป็นมนุษย์ไม่ล้มละลาย เพราะเราเป็นมนุษย์จริงๆ เราตายเท่านั้นเราถึงจะแปรสภาพ

แต่ธรรมะ เราเกิดมาชาติหนึ่งเราศึกษาธรรม เราต้องการธรรมะ นี่เราต้องการธรรมะต้องการหลุดพ้น ถ้าไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเกิดและการตายจะมีกับเราตลอดไป เพราะการเกิดการตายจากความคิด ความคิดเกิดขึ้นมาความคิดหนึ่งนั่นก็ภพชาติหนึ่ง ความคิดขึ้นนั่นมโนกรรม กรรมตอกย้ำ คิดแล้วคิดซ้ำ คิดบ่อยครั้ง คิดจนเป็นจริตเป็นนิสัย ตอกย้ำความคิดตัวเอง

แต่เวลาเราเกิดมาตายไป ความคิดตกผลึกมา ไปเกิดตามอำนาจวาสนาบุญกุศลที่สร้างขึ้น คิดดีไปเกิดดี คิดชั่วไปเกิดชั่ว นั่นมันสืบต่อ ต่อเนื่องเป็นวัฏฏะไปแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้เราย้อนกลับมาในปัจจุบัน เราจะแก้กันที่นี่ เราจะแก้กันที่ภวาสวะ แก้กันที่ภพนี้ ถ้าแก้กันที่ภพนี้ ถ้าเรารักษาด้วยความมั่นคงของเราขึ้นมาได้ จิตตั้งมั่น จิตภวาสวะ ตัวภพนี่มันจะตั้งมั่นขึ้นมา มันจะมีเหตุมีผลของมัน มันไม่ใช่ล้มละลาย

จิตล้มละลาย หมายถึงว่า มันไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีวุฒิภาวะมันจะเข้าถึงธรรมไม่ได้ ในเมื่อเกิดปัญญาขึ้นมามันก็ปัญญาโลกียปัญญา แต่โลกียธรรม โลกียธรรม คือ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ที่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาตินี่ไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. มันก็แปรปรวน มันก็เป็นไป นี่โดยธรรมชาติ ธรรมชาติมีอะไรคงที่ ชีวิตยังไม่คงที่ ทุกอย่างไม่คงที่

แต่อกุปปธรรมมันคงที่ อกุปปธรรม... โสดาบันคงที่ สกิทาคาคงที่ อนาคาคงที่ พระอรหันต์คงที่ คงที่ในวุฒิภาวะที่มันเจริญเติบโต เจริญเติบโตเห็นไหม ดูสิขณะจิตที่มันเปลี่ยน มันเปลี่ยนอย่างไร โสดาบัน สกิทาคา อนาคา ถ้าขณะจิตที่มันไม่มี... ขณะจิตที่มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้หรอก ดูสิเราเป็นหนี้เห็นไหม เราใช้หนี้ด้วยเงินก็ได้ ใช้หนี้ด้วยสิ่งของก็ได้ เราใช้หนี้แล้วเจ้าหนี้ได้รับมูลค่าหนี้ เพราะได้รับมูลค่าหนี้ไปมันถึงพ้นจากหนี้

ขณะจิตที่มันเปลี่ยน ดูสิ ขณะล้มละลายขึ้นมานี่ เราล้มละลายใช่ไหม เราล้มละลายเพราะสิทธิเรากระทำเสียหาย แต่พอหมดอายุของมันเราก็กลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าจิตมันไม่ตั้งมั่น จิตมันไม่มั่นคง เราจะออกแสวงหาสิ่งที่เป็นโลกุตตรธรรมได้อย่างไร จิตที่มันจะเป็นสมาธิ มันจะพ้นจากความล้มละลาย

ล้มละลายขึ้นมา พอพ้นจากการล้มละลายมันพร้อม ถ้ามีสมาธิเป็นพื้นฐาน แล้วเราออกใช้ปัญญามันจะเห็นผลต่าง ผลต่างจากโลกียปัญญา โลกียธรรม กับผลต่างของโลกุตตรปัญญา โลกุตตรธรรม ผลต่างเกิดจากใคร ! ผลต่างเกิดจากจิตอย่างเดียว ถ้าจิตไม่มีสมาธิ มันจะเป็นโลกียะหมด จิตเป็นสมาธิถ้าไม่มีวุฒิภาวะ.. ถ้ามีวุฒิภาวะจิตที่เป็นสมาธิ ฤๅษีชีไพรเขาเป็นสมาธิมาก่อนแล้ว แม้แต่อาฬารดาบส เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบสได้รับการประกันแล้วว่าได้สมาบัติ ๘ นี่มีสมาธิอยู่แล้ว

สมาบัตินี้เป็นสมาธิเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิที่มันมีกำลัง ที่มันมีฤทธิ์มีเดชมีพลังงานของมัน ที่มันขับเคลื่อน มันเป็นฌานโลกีย์ แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเพราะเป็นฌานสมาบัติของอาฬารดาบส พอมันคลายออกมามันก็เป็นเรื่องปกติ พอปกติก็ล้มละลายไง ไม่เข้าถึงธรรม พ้นเข้าถึงโลกุตตรธรรมไม่ได้ เพราะเป็นผู้ล้มละลาย ไม่มีสิทธิ !

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาเอง ตั้งแต่คืนเดือนเพ็ญเห็นไหม กลับมาฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วเริ่มเข้าอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้า และลมหายใจออกต่างๆ เข้ามาจนจิตนี้พ้นจากโลก พ้นจากความล้มละลาย เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ ย้อนข้อมูลเข้าถึงฐานข้อมูลของใจของตัวเอง แล้วเข้าถึงแรงขับ แรงขับถ้าไม่ได้ทำฐานข้อมูลอันนี้ มันจะเป็นจุตูปปาตญาณ จิตมันจะเกิด ยังมีแรงขับยังต้องไปอีก จนเข้าถึงอาสวักขยญาณ

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปชำระกิเลส ชำระกิเลสให้หมด นี่ไง ถึงธรรมทั้งแท่ง เอโกธัมโม สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว สิ่งที่เป็นนิพพาน หนึ่งไม่มีสอง นี่จิตที่หนึ่งไม่มีสอง หนึ่งไม่มีสองมาจากไหน แล้ววางธรรมอย่างนี้ไว้ แล้วถ้าปัญญาเราจะเกิดขึ้นมา ถ้ามันสงบเข้ามา แต่ถ้าไม่มีวุฒิภาวะ มันไม่ออกแสวงหา เพราะอะไร เพราะขณะที่มันทำเป็นปัญญาอบรมสมาธิ หรือกำหนดพุทโธๆ ขึ้นมา

ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานี่ มันเห็นการกระทำอย่างนั้นว่าเป็นวิปัสสนา นี่ผู้ที่ล้มละลาย เวลาเขาสอนกัน เขาสอนว่าสิ่งที่เราใช้ปัญญาใคร่ครวญนามรูป ใคร่ครวญสัจธรรม ว่าสิ่งนี้เป็นวิปัสสนาไง มันเป็นวิปัสสนาเพราะจิตมันล้มละลายอยู่แล้ว วิปัสสนามันก็วิปัสสนาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีวุฒิภาวะที่มันจะครองทรัพย์ได้ มันไม่มีวุฒิภาวะที่มันจะเข้าถึงธรรมได้ แต่ความเข้าใจของผู้ล้มละลายของจิตที่มันล้มละลาย มันถึงเป็นภาวะแบบนั้น

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยล้มละลายนะ ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ดูสิ ดูเจ้าชายสิทธัตถะสิ ได้สมาธิจากอาฬารดาบสเห็นไหม การันตีแล้วก็ไม่ใช่ แล้วจะไปทางไหนดีเพราะไปทดสอบมาหมดแล้ว สุดท้ายก็คิดถึงที่โคนต้นหว้า คิดถึงอำนาจวาสนาของตัว กลับมาฉันอาหาร กลับมาทำอานาปานสติ แล้วกลับมาใช้บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เป็นวิชา ๓

วิชา ๓ นี่พ้นจากกิเลสไป พ้นจากกิเลส ชำระกิเลส ฆ่ากิเลสหมดนี่ไม่ใช่ล้มละลาย แล้วเข้าถึงมันเป็นความจริง ถึงมีโลกียธรรม โลกุตตรธรรม ถึงแบ่งแยกได้ว่าสิ่งใดเป็นโลก สิ่งใดเป็นธรรม ถึงมาเทศน์ปัญจวัคคีย์ “เทวเม ภิกขะเว ทางสองส่วนไม่ควรเสพ”

กามสุขัลลิกานุโยค คือเสพสุขอยู่ในฌานสมาบัติ อยู่ในสมาธิ มันมีความสุข เสพสุขอย่างนั้นก็ผิด

อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนต่างๆ มันก็ผิด

มัชฌิมาปฏิปทา นี้มัชฌิมาปฏิปทาของใคร นี่ทางสายกลาง ทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” มันไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทาของผู้ล้มละลาย ล้มละลายมันล้มละลายอยู่แล้วไม่มีทรัพย์สมบัติสิ่งใดอยู่แล้ว มัชฌิมาปฏิปทาของมันก็คือไม่ต้องทำอะไรเลยไง

“นิพพานเป็นความว่าง.. นิพพานเป็นความว่าง.. ว่างกันหมดเลย..”

ว่างคู่กับไม่ว่าง ความว่างนี่มันเป็นสมมุติ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ความว่าง” แต่ความว่างของครูบาอาจารย์เรา มันได้ทำ ได้เห็นเท็จจริงมาแล้ว พ้นจากการเป็นผู้ล้มละลายแล้วสืบต่อ โสดาบัน สกิทาคา อนาคา จนถึงที่สุด มีเหตุมีผลนะ เพราะอะไร เพราะเป็นความจริง มันเป็นความว่าง ความว่างเพราะจิตมันว่าง ว่างจากนอกว่างจากใน

แต่ความจริงของเรามันไม่ว่าง เรารู้ว่าว่าง มันมีผู้รู้อยู่ มันมีความจริงอยู่ ความว่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความว่างของครูบาอาจารย์ “สุญญตา” สูญจากกิเลสก็ได้ สูญเป็นหนึ่ง สูญเป็นความว่างก็ได้

แต่เพราะผู้ที่มีทรัพย์สมบัติไม่ใช่ผู้ล้มละลายพูดสิ่งใดมาก็ถูกหมด เพราะเขามีสมบัติของเขา แต่เราเป็นผู้ล้มละลาย เราไม่มีสมบัติอะไรของเราเลย แต่เราอ้างอิงสมบัติของเขา แล้วเป็นผู้ล้มละลายนี่มันสิทธิการครอบครองไม่มี สิทธิการครอบครองสมบัติไม่มี สิทธิการกระทำไม่รู้ เพราะเป็นผู้ไม่มีสิทธิการกระทำ แล้วมันจะมีสิทธิได้สมบัตินั้นมาได้อย่างไร

แต่ถ้ามันเข้าใจสัจธรรมเหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านทำจริง มันต้องก้าวเดิน.. ก้าวเดินด้วยการตั้งสติ แล้วทำจิตให้สงบเข้ามา ถ้าสงบเข้ามามันจะว่างขนาดไหน ว่างออกมาแล้วมันก็เสื่อม มันเป็นเรื่องธรรมดา คนที่ประพฤติปฏิบัติมันเป็นธรรมดานะ เราโตขึ้นมานี่ทุกคนเป็นเด็กมาก่อนแล้วก็เป็นวัยรุ่น แล้วถึงเป็นวัยทำงาน สุดท้ายเป็นวัยแก่เฒ่า วัยชรา ทุกคนผ่านหมด ทุกคนต้องผ่าน ชีวิตมันเติบโตมานี่มันผ่านวัยเด็กมาทั้งนั้น ใครไม่เกิดจากท้องแม่ ใครไม่เป็นเด็กมาก่อน ใครไม่เติบโตมา แล้วใครไม่แก่ชราภาพไปมันเป็นไปได้ไหม

เหมือนกัน ! จิตที่เป็นโลกุตตรธรรมมันก็เกิดมา มันต้องพัฒนาการของมันขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำมาอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ทุกองค์ก็ทำมาอย่างนี้ ในเมื่อทำมามันเจริญเติบโตมา มันผ่านวัยมา เราเป็นเด็กมานี่มันปฏิเสธความเป็นเด็กได้ไหม แต่เวลามันผ่านมาแล้ว มันผ่านมาแล้วนี่เราถวิลหาความเป็นเด็กไหม มันผ่านมาแล้วนี่เป็นผลของวัฏฏะไง แต่จิตมันเคยแก่เคยเฒ่าไหม จิตนี่มันเคยพอไหม มันต้องการสิ่งใด มันต้องการเสพสุข มันต้องการแสวงสิ่งใดมันเคยอิ่มเคยพอไหม มันไม่เคยอิ่มไม่เคยพอเลย มันเป็นไปไม่ได้ “โลกนี่พร่องอยู่เป็นนิจ”

จิตใจมันเป็นสภาพเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เราถึงต้องใช้คุณธรรม “คุณธรรม” นี่ไง กามคุณ คุณของโลกเขา กามคุณ ๕ เป็นคุณของโลกนะ โลกของเขาครอบครัวเขามีความสุข ครอบครัวเขาประสบความสำเร็จ ภายในครอบครัวเขามีความอบอุ่น นี่เป็นคุณของเขา แต่มันเป็นโทษของนักบวช มันเป็นโทษของธรรม เพราะธรรมนี่มันเป็นพรหมจรรย์ สิ่งที่เป็นพรหมจรรย์ สิ่งที่แยกมาเพราะเราจะฆ่ามันนะ

ถ้าข้างนอกเป็นกามคุณ เรายังเห็นสิ่งนี้เป็นคุณนะ แล้วเราจะไปฆ่าสิ่งที่จิตใจเป็นกามได้อย่างไร โอฆะสิ่งที่กามเป็นคุณของเขา เพราะกามคุณ ๕ ของเขาเป็นเรื่องของโลก เรื่องของสมมุติ เรื่องของวัฏฏะ เรื่องของการเวียนตายเวียนเกิดด้วยบุญกุศล ด้วยบาปอกุศล แต่ด้วยธรรมะนี่มันจะฆ่านะ

“สักกายทิฏฐิความเห็นผิด” จิตนี้มันเห็นผิด เห็นผิดว่าสรรพสิ่งนี้เป็นเรา มันถึงแสวงหา สิ่งที่แสวงหาแสวงหามาเพื่อเรา มันจะมาปรนเปรอเพื่อเรา เพื่อความมั่นคงของเรา แต่สิ่งต่างๆไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลย มันแสวงหาด้วยความผิด เห็นไหม

ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันแยกแยะ มันใคร่ครวญของมันขึ้นมา มันใคร่ครวญของมัน มันใช้กาย เวทนา จิต ธรรม ในเมื่อมันพ้นจากความล้มละลายแล้วมันมีสิทธิ มีสิทธิที่จะครองทรัพย์สิน มีสิทธิที่จะแสวงหาธรรมะ ถ้ามีสิทธิแสวงหาธรรมะ นี่วุฒิภาวะของผู้ที่มีสมาธิ กับผู้ที่ไม่มีสมาธิ หรือมีมิจฉาสมาธิแตกต่างกันมาก แตกต่างกันมากเพราะอะไร เพราะเริ่มต้นมันผิด เป้าหมายมันก็ผิด ต้นทางมันผิดมันจะไปปลายทางได้อย่างไร ในเมื่อต้นทางมันผิด ในเมื่อเป็นผู้ล้มละลาย เป็นผู้ไม่มีสิทธิครองทรัพย์สิน แต่ครองทรัพย์สินนี้เป็นเรื่องสิทธิตามกฎหมายนะ

แต่ถ้ามันเป็นสิทธิครองทรัพย์สินทางธรรม อริยทรัพย์ เอาอะไรไปครอง สิ่งที่ไปครอง สิ่งที่ไปเห็น ใครเป็นคนไปเห็นมัน สิ่งที่จะไปเห็นมัน จิตต้องมีวุฒิภาวะ เพราะมันมั่นคงมา จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นขึ้นมา มันเห็นความแตกต่าง เห็นโทษของกามคุณ ๕ “รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร” มันชำนาญในวสีจนเห็นโทษว่า สิ่งที่เป็นเสียง เสียงก็คือเสียง เพียงแต่ว่าเราให้ค่ามันเท่านั้น รูปก็คือรูป กลิ่นก็คือกลิ่น กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น ก็คือกลิ่น เพียงแต่เราให้ค่ามันเท่านั้นเอง ดูสิกลิ่นหอมของแมลงวัน กลิ่นหอมของแมลงผึ้งมันก็ต่างกัน หอมของใคร หอมของโลกกับหอมของธรรม

สิ่งที่มันเห็น มันเห็นโทษของมัน มันวางของมัน ย้อนกลับๆ ทวนกระแส ทวนกระแสเข้ามา ถ้าจิตมันตั้งมั่นแล้วย้อนออกไป ย้อนออกไปเห็นไหม จิตสงบแล้วนี่จิตมันเสวยอารมณ์อย่างไร จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นภพเป็นสถานที่ตั้งนี่ แล้วความคิดนี้มันเกิดจากจิตมันเกิดอย่างไร

นี่ไง ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา จิตเห็นอาการของจิตถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ แต่ถ้าเป็นเจโตวิมุตติ จิตที่สงบนี่เห็นกายก็ได้ ถ้าเห็นกายโดยเจโตวิมุตติ เห็นกายเป็นนิมิต เห็นกายเป็นภาพ หรือใคร่ครวญกายด้วยปัญญา แม้แต่จะเป็นเจโตวิมุตติก็เห็นกายโดยการใคร่ครวญโดยการแยกแยะได้ แยกแยะได้โดยใช้ปัญญา เพราะไม่ใช่ผู้ล้มละลาย เพราะมีสมาธิ เพราะมีวุฒิภาวะ เพราะมีสิทธิที่จะครองทรัพย์สิน มีสิทธิบริหารจัดการ

แต่ถ้าเป็นผู้ล้มละลายเราแอบทำของเรา เรามีทรัพย์สินเราก็ต้องซ่อนเร้น แล้วทรัพย์สินที่ได้มานี่มันผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายขึ้นมานี่มันจะมีสิทธิครองได้อย่างไร ในเมื่อจิตมันล้มละลาย ถ้าจิตไม่ล้มละลาย..

“อ้าว.. ฉันทำสมาธิได้ สมาธิคือสมบัติของฉัน ฉันจะล้มละลายได้อย่างไร จิตของฉันตั้งมั่น จิตของฉันมีประโยชน์ขึ้นมา”

สิทธิของเรามี นี่ไง สิทธิในการกระทำ มันเป็นธรรมก็มีเท่ากันนะ

เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่สิทธิเสรีภาพ โลกเรานี่ประชาธิปไตยเสียงเท่ากัน ไม่จริงหรอก เสียงเท่ากันทำไมมีหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้ามุ้ง ทำไมมีคนชักนำล่ะ แล้วพูดถึงไม่มีสัจจะความจริงด้วย เห็นแต่ผลประโยชน์ เห็นแต่สิ่งที่เป็นกลโกง

แต่ถ้าเป็นธรรมะ “ธรรมาธิปไตย” ทุกคนมีสิทธิ แต่สิทธิของคน สิทธิของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันมีอำนาจวาสนา มีจุดยืน มีความเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความเข้มแข็งนี่อินทรีย์ สิ่งที่สร้างมาอินทรีย์มันไม่เข้มแข็งเจอสิ่งใดก็ล้มไปกับเขา แต่ถ้าเรามีความเข้มแข็งนะ ในทฤษฎี ในลัทธิ ในคำสอนมันมีทั่วไปหมด เขาสอนกันก็เหมือนคนตาบอดสอนคนตาบอดไง ผู้ล้มละลายสอนคนล้มละลายไง นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ไง ธรรมะก็ลูบๆ คลำๆ กันอย่างนี้ ยิ่งถ้าประพฤติปฏิบัติแบบครูบาอาจารย์สายพระป่ายิ่งทุกข์ทรมาน

“เนี่ยเป็นอัตตกิลมถานุโยค... ทรมานตนให้ลำบากเปล่า ไม่ควรทำตนให้ลำบากขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอนให้คนลำบากหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้คนสะดวกสบาย ธรรมะนี่เก็บเอาบนยอดไม้นี่หักเก็บเอาได้สบายๆ เลย นี่ตามป่า ดอกไม้ในป่าในเขามันมีเยอะแยะ หยิบเก็บเอาตามสบาย...”

นี่คือความเห็นของผู้ล้มละลาย

แต่ถ้าเป็นผู้ที่เป็นความจริงล่ะ สิ่งใดทำแม้แต่งานทางโลก เขายังต้องมีความวิริยะ อุตสาหะ เขาต้องมีเชาวน์ปัญญา การบริหารจัดการ ธุรกิจข้ามชาติเขาบริการ เขาทำการวิจัยต่างๆ เขาจะทำของเขา กว่าจะได้ผลประโยชน์ของเขาแต่ละชิ้นแต่ละอัน กว่าจะเกิดขึ้นมาได้ แต่อันนี้มันหักนะ “วัฏฏะ วิวัฏฏะ” มันหักถึงกามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตที่มันพ้นไปนี่มันเวิ้งว้าง มันปล่อย มันครอบคลุมสามโลกธาตุ เราสงสัยไปหมดเลย นรก สวรรค์นี่เป็นอย่างไร

แต่เวลาจิตที่มันพ้น กามภพ รูปภพ มันก็ตั้งแต่เทวดาขึ้นไป เทวดา อินทร์ พรหม กามภพรูปภพ สิ่งต่างๆ นี่มันสามโลกธาตุ แล้วถ้าจิตมันพิจารณาของมัน มันปล่อยวางของมัน มันเวิ้งว้างหมดเพราะอะไร เพราะจิตมันเคยเกิดเคยตายในสามโลกธาตุนี้ มันก็มีข้อมูลในใจทั้งหมด แล้วมันเข้าใจ มันเห็นสภาวะนั้นทั้งหมด จิตนี้มันเวิ้งว้างมันกว้างครอบคลุมถึงสามโลกธาตุ นี่แล้วการกระทำมันจะง่ายดายแบบโลกมันเป็นไปได้อย่างไร มันก็ต้องต่อสู้ เห็นไหม

ความเห็นผิด ผิดเพราะอะไร เพราะสักกายทิฏฐิความเห็นผิด ผิดนี่มันผิดเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ปักเสียบมาคือเป็นอุปาทาน เป็นอวิชชาที่ฝังมากับใจ ในเมื่อจิตมันมีวุฒิภาวะ มีจุดยืนของมันแล้วนี่มันใคร่ครวญของมัน ให้เห็นสัจจะความจริง นี่วิปัสสนาญาณมันเกิดอย่างนี้ เกิดจากจิตที่มันมีหลักมีฐานของมัน มีหลักมีฐานของมันแล้วใคร่ครวญใช้บริหารจัดการสิ่งต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นธรรมจักร จักรที่มันหมุนออกไป

ปัญญาที่ว่ากันๆ มันเป็นปัญญาที่ไหน มันเป็นปัญญาความคิด ! มันเป็นปัญญาสังขาร ! แต่ถ้าจิตมันมีสมาธิขึ้นมานี่ ปัญญาที่เป็นธรรมมันเกิดจากใจ เกิดจากใจเพราะอะไร

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส... ผ่องใสกับความคิด พอมันผ่องใสมันมีความคิด มันมีความผ่องใสมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เวลาวิปัสสนามันเกิดกำลังขึ้นมา เกิดสมาธิที่เป็นฐาน พอเป็นฐานขึ้นมานี่ปัญญามันเกิด พอปัญญามันเกิดขึ้นมา เกิดเพราะอะไร เกิดเพราะสิ่งที่มันเป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นมาร สิทธิที่มันไม่มีสิทธิครองทรัพย์สินนี่มันเติมเต็มขึ้นมา มันมีโอกาสของมันขึ้นมา มันทำของมันขึ้นมา มันรู้ขึ้นมา นี่รู้จำเพาะตน ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ! สันทิฏฐิโกมันไม่มีอะไรปิดกั้นได้เลย นี่ธรรมจักรมันหมุนอย่างนี้

ทำไมเวลามันเป็นสมาธิขึ้นมานี่ พระอยู่ในป่าในเขานะ ทำจิตสงบขึ้นมานี่เทวดามาอนุโมทนา มาคุ้มครอง คุ้มครองผู้ประพฤติปฏิบัติ แล้วขณะที่ใช้ปัญญาขึ้นมา ดูสิ พระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ในป่า นี่ความคิดนะ ทำไมเทวดารู้ ความคิดว่า “เราเป็นพระ เราเป็นผู้ทุกข์ผู้ยาก เดินจงกรมอยู่ในป่า ประชาชนเขามีนักขัตฤกษ์ เขาไปเที่ยวเตร่กัน เขามีความสุข...”

เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย “สิ่งที่เขาไปเที่ยวเตร่กันเขามีความสุข ความสุขในโลกของเขา เขาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เขาไม่มีอำนาจวาสนาเหมือนท่านนะ ท่านต่างหากที่เดินจงกรมนั่งวิปัสสนาอยู่ ประพฤติปฏิบัติธรรมมันจะพ้นออกจากกิเลส”

มันได้สติ ได้สติกลับมาเลย นี่ไง เห็นไหมเทวดายังเข้าใจความรู้ความคิด เพราะเทวดานี่มีแต่นามธรรม แล้วความคิดเรามันเกิดจากนามธรรม พอจิตเราสะอาด เราละเอียดลึกซึ้งเข้ามา ลึกซึ้งเข้ามานี่มันเป็นปัญญาญาณเข้ามา หมุนเข้ามาจากภายใน มันไม่ใช่ความคิดอย่างเราที่เป็นผู้ล้มละลาย แล้วไปยึดเกาะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “สิ่งนั้นคือความว่าง.. สิ่งนั้นเป็น...” นั่นมันเป็นเรื่องไร้สาระ ! มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก !

เดี๋ยวนี้วงการปฏิบัติเป็นอย่างนั้นหมดเลย เป็นผู้ที่ล้มละลายแล้วประพฤติปฏิบัติธรรมกัน คนล้มละลายทำ มันจะได้อะไร ! มันก็ได้สิ่งที่ล้มละลายไง มันน่าเศร้า.. แล้วเวลาผู้ที่เอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ว่าว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค..

เหมือนเด็กนะ เด็กทำงาน เด็กๆ มันจะเอาแต่สะดวกสบาย เวลาเห็นผู้ใหญ่ทำงานนี่ไม่กล้าสู้ ผู้ใหญ่ทำงานมันทำงานตามข้อเท็จจริงใช่ไหม หน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้น ผู้มีวิชาชีพสิ่งใดก็ทำตามวิชาชีพของตัว เพื่อผลประโยชน์ของตัว นี่เลี้ยงชีพของตัว

แต่เด็กมันทำอะไร มันเล่นกัน สมมุติขึ้นมาให้เป็น อยากเป็นหมอเป็นอะไร มันก็ว่ากันไป.. หน้าที่ของใครก็เล่นกันไป.. นี่ความเป็นเด็ก

นี่ก็เหมือนกัน จิต ในเมื่อไม่มีวุฒิภาวะ มันก็เป็นเรื่องเด็กๆ การประพฤติปฏิบัติกันก็เหมือนเด็กเล่นขายของ แล้วเราก็เชื่อกัน.. นี่มันล้มละลายหมดนะ ล้มละลายตั้งแต่ตามข้อเท็จจริงของวุฒิภาวะของใจที่มันล้มละลาย โดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะไม่มีกรรมการ ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีคนคอยบอกกล่าวคอยชี้นำ แต่พอมีครูบาอาจารย์ขึ้นมามันก็เป็นธรรมะเหนือโลก

“ธรรมเหนือโลก” ที่สื่อความหมายโลกไม่เข้าใจ พอโลกไม่เข้าใจเวลาพูดออกมา “กิน” , “รับประทาน” ก็เหมือนกัน เหมือนกันนี่มันเป็นสมมุติกิริยา แต่ได้เปิบได้หยิบอาหารใส่ปากไหม? หยิบอาหารใส่ปากนั่นคือกิน!

คำว่า “กิน” ,“รับประทาน” มันเป็นสมมุติ มันเป็นสิ่งที่ล้มละลาย ไม่มีเนื้อหาสาระ มันเป็นคำกิริยาที่พูดเป็นสมมุติเพื่อสื่อความหมายกัน แต่เราได้เอามือนี่หยิบอาหารใส่ปาก นั่นน่ะของจริง!

..การเอามือหยิบอาหารก็เสียมารยาทน่ะ กินก็นึกเอา.. นึกว่ากิน นั่งเฉยๆ เราก็ได้กินแล้ว..

มันเป็นคำสอนที่น่าสังเวชมาก น่าสังเวชว่าการประพฤติปฏิบัติที่จริงจังขึ้นไป ก็ว่าสิ่งนั้นมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค แต่ถ้าเราทำจริงของเรานะ มันจะรู้จริงเห็นจริง นี้มีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ท่านทำมาแล้ว ได้ผ่านวัยเด็ก ผ่านวัยทำงาน ผ่านวัยชราภาพ ผ่านวัยมาหมดเลย วัยถ้ายังเป็นสมมุติยังเป็นกิเลสอยู่ มันก็จะมีอยู่ มันต้องจัดการใช่ไหม แต่ถ้าเวลามันสิ้นสุดกระบวนการของมันแล้ว จบ ! ไม่มีวัย

จิตใจนี้ไม่มีวัยนะ แล้วนิพพานคงที่ วัยไม่มี ก่อนที่มันจะไม่มีวัยมันต้องคายสำรอกออก ในการคายสำรอกออก จิตมันมีหลักมีเกณฑ์วิปัสสนาเข้ามา สักกายทิฏฐิความเห็นผิดของกาย “ความเห็นผิด” พระโสดาบันมันแค่เปลี่ยนทิฏฐิเห็นผิดเป็นเห็นถูกเท่านั้น

เห็นผิดใช่ไหม “ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕” นี่สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขาด ! พอสักกายทิฏฐิ ๒๐ มันขาด สิ่งที่มันตามมาคือความลังเลสงสัย วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

คำว่า วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ในเมื่อมันขาดออกไปจากใจเราจะสงสัยไหม เราสงสัยสิ่งใดอยู่ เราเปิดขึ้นมา เราเห็นชัดเจน เราจะสงสัยไหม สิ่งที่เราสงสัยว่านี่มีรสชาติอย่างไร เราได้เอาเข้ามาในปากในลิ้นของเรา มันรู้รสแล้วนี่ เราจะสงสัยรสนั้นอีกไหม จิตที่มันมีความลังเลสงสัย ในความคิด คำว่า สงสัย เราอ่านศึกษาแล้วเหมือนผู้ล้มละลาย มันบอกมันก็รู้แล้วเพราะมันมีคนบอก นี่ธรรมะก็บอกแล้ว ก็ไม่สงสัยแล้ว ไม่สงสัยเพราะบอกเป็นการบอกเล่า

แต่ถ้าเป็นความเห็นจริง มันเกิดจากการกระทำ เพราะมันล้มละลาย มันรู้ไม่ได้ ! คนล้มละลายรู้ไม่ได้ ! รู้ด้วยการบอกเล่าของธรรมะ รู้ด้วยการบอกเล่าจากศึกษาธรรม การบอกเล่ามาจากพระไตรปิฎก แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เห็นไหม นี่มันรู้จริงขึ้นมาจากเรา ไม่ใช่การบอกเล่า ! เห็นจริงเห็นจัง ทำจริงทำจังขึ้นมานี่ เพราะจิตมันสงบมีพื้นฐานขึ้นมา มันวิปัสสนาของมัน มันก็ปล่อยวาง ปล่อยวางนี่เป็นการฝึกซ้อม

เพราะสิ่งที่มันปักเสียบที่ใจ พูดกันเป็นนกแก้วนกขุนทองนะ “กายไม่ใช่เรา.. เราไม่ใช่กาย.. คนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย..” เพราะอะไร เพราะนี่มันเป็นนิทาน นี่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ ในเมื่อเป็นชาวพุทธเห็นไหม ไปส่งกันที่เชิงตะกอน คนเราจะไปส่งกันไม่ได้.. มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีจากแก่นของศาสนา ทำเป็นประเพณีวัฒนธรรมเพื่อจะเตือนเรา

อย่างเช่น พระเราบังสุกุล บังสุกุลสมัยพุทธกาลพระไปบังสุกุลไปชักศพ ไปชักผ้านี่เป็นพระอรหันต์เลยนะ เพราะไปแล้วไปเห็นซากศพเห็นเป็นอสุภะ แล้วมันย้อนกลับ

เพราะในพระไตรปิฎกมีพระที่ไปสำเร็จขณะไปชักศพ ก็เลยเป็นคติธรรมให้เป็นประเพณีวัฒนธรรม แล้วเดี๋ยวนี้ผู้ที่ล้มละลายก็ไปชักผ้าเป็นพิธี แล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธ เป็นชาวพุทธเวลาเผาศพต้องมีการชักผ้า มีการทอดผ้า มันเล่นละครกัน ! จะว่ามันมีบุญไหม มันก็มีบุญวาสนาจากการทำทาน แต่มันเล่นละคร เพราะอะไร เพราะมันเป็นผู้ล้มละลาย ล้มละลายทำจริงไม่ได้ สิทธิไม่มี ก็เอาการชักผ้ากันมาเป็นพิธี นี่โลกเห็นไหม เนี่ยโลกเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาเราปฏิบัติก็ปฏิบัติแบบโลกๆ โลกเขาให้ผู้ล้มละลายปฏิบัติมันก็เป็นพิธีอย่างนั้น มันเข้าไม่ถึงหรอก

ถ้ามันเข้าถึงขึ้นมานี่ เห็นไหมมันไม่เป็นอย่างที่ว่า มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ! แล้วมันพูดได้ถูกต้อง คนรู้จริงพูดไม่ได้มันจะรู้จริงได้อย่างไร คนรู้จริงสรุปผลงานนั้นไม่ได้ มันไม่ใช่เป็นการรู้จริง ! มันเป็นผู้ล้มละลาย !

ถ้าเป็นความรู้จริงขึ้นมามันจะพัฒนา เรารู้จริงขึ้นมา มีสัจธรรมขึ้นมาในหัวใจ เป็นผู้รู้จริงในเหตุผลอันหนึ่ง แต่ธรรมะที่ละเอียดขึ้นไป มันยังล้มละลายอยู่เพราะอะไร เพราะกิเลสอย่างละเอียดมันก็พลิกแพลง

กิเลสอย่างละเอียดมันพลิกแพลงนะ มันจะทำง่ายๆ อย่างที่เราคิด ถ้ามันเป็นผู้ล้มละลาย.. สร้างภาพ ! พิจารณาไปก็เป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคานี่... มีความคิดความเห็นอันหนึ่ง ขบปัญหาในหัวใจคือความคิดเราได้หนหนึ่ง ก็คิดว่าเป็นขั้นตอนหนึ่ง นี่ไง ผู้ล้มละลายมันไม่รู้ว่าตัวมันเองล้มละลาย มันไม่มีสิทธิอะไร มันไม่มีกำลังของมันขึ้นมา มันจะจับต้องสิ่งใดไม่ได้ มันล้มละลายตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย แต่มันบอกว่ามันมีมรรคผลเต็มหัวใจนะ.. เพราะมรรคผลเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ว่างๆ ว่างๆ ไง แล้วว่างจริงหรือเปล่า ?...

ถ้าว่างจริง... สิ่งที่มันว่างจริง มันบอกถึงกิริยามารยาท มันบอกถึงความจริง ครูบาอาจารย์ท่านพูดเห็นไหม

“คนมีคุณธรรมนะให้ปิดไว้ เพราะคุณธรรมมันสูงมาก สูงส่ง มันเป็นธรรมเหนือโลกที่โลกคาดการณ์ไม่ได้ ผู้ใดติเตียนกล่าวร้ายพระอริยเจ้ามันจะมีบุญมีกรรม มันจะเกิดกรรมเกิดเวรกับเขา”

เราถึงต้องเก็บไว้ในใจเพราะพูดไปเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่รู้ แต่ถ้าพูดถึงวงใน วงที่ประพฤติปฏิบัติ เขาต้องการของเขา เขาแสวงหาของเขา นี่เราสื่อความหมายกันเพื่อตรงนั้น

ฉะนั้น เก็บเป็นกิริยามารยาทจากภายใน เพราะเรารู้ เราทำมา สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่แสนยาก เราจะให้เขาดูถูกเหยียดหยาม มันเป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันมีความลึกซึ้ง.. จิตลึกซึ้งมาก.. ถ้าไม่มีสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ ขณะที่มีสติ มหาสติ แต่ทำไมใคร่ครวญเรื่องอย่างนี้ไม่เป็น เรื่องสิ่งที่ควรหรือไม่ควรนี่มันยังใคร่ครวญไม่เป็น ใคร่ครวญไม่ถูก มันจะเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างไร ! นี่ไงมันถึงล้มละลายมาแต่ต้น

ถ้าไม่ล้มละลายขึ้นมานี่ คนมีสติสัมปชัญญะ การก้าวเดิน การเหยียดคู้ มันจะมีกิริยามารยาทของมัน จะเดินเร็วเดินช้านี่สติพร้อมตลอด ล้มก็คือล้มด้วยกัน ล้มเห็นไหม เวลาชักกันไปล้ม แต่คนหนึ่งล้มลงไปโดยที่ตกอกตกใจ ล้มลงไปด้วยความทุกข์ใจ อีกคนหนึ่งล้มไป ล้มคือกรรม มันสุดวิสัย ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ การหกล้มก้มกราบเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นเรื่องธรรมดาของสิ่งที่มีการเคลื่อนไหว มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาเพราะอะไร เพราะใจมันไม่มีสิ่งใดผูกมัด ไม่มีความกังวลใจ สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เป็นความเป็นจริง มันจะเป็นความจริงไปหมด

สิ่งที่เกิดขึ้นจากความปลอม ! ความปลอม ผู้ล้มละลายมันปลอมอยู่แล้ว ใจมันถึงปลอมตั้งแต่ต้น สิ่งที่ได้มามันก็ได้มาด้วยความปลอมๆ ปลอมไปตลอด เราถึงจะต้องทวนกระแส ทุกคนมีจริงมีปลอมในหัวใจ เพราะทุกคนเกิดมามีอวิชชาครอบงำมาตลอด ทุกคนมีกรรมมาในหัวใจ มีกรรม มีสิ่งต่างๆ ที่เกิดมา กรรมดี กรรมชั่ว เราพยายามสร้างสร้างกรรมดีกัน สร้างกรรมดีขึ้นมา พอเราพิจารณาของเราจนถึงที่สุดมันถอน.. ถอนความเห็นผิด นี่เป็นพระโสดาบัน

แล้วเริ่มต้นต่อไป ก้าวเดินต่อไป เพราะสิ่งที่มันมีพื้นฐาน.. พระโสดาบันเป็นอกุปปธรรม เป็นสิ่งที่คงที่ไม่ล้มละลาย ไม่ล้มละลายในภพๆ หนึ่ง ในสถานะหนึ่ง แต่มันยังล้มละลายในสถานะที่สูงกว่า เพราะกิเลสที่ละเอียดกว่ามันก็ยังล่อหลอก การเปลี่ยนแปลง มันถึงต้องทำความสงบเข้ามาให้ละเอียดขึ้นไป ความสงบเข้ามา นี่ฐานของความสงบ ฐานของความสิ่งที่มีวุฒิภาวะ ที่จะเข้าไปต่อสู้กับกิเลสที่อันละเอียดกว่า กิเลสที่หยาบกว่า นี่เล่ห์เหลี่ยมของมัน กลโกงของมัน มันก็ใช้กลโกงของมัน ด้วยความสุดความสามารถของมัน

เรามีพื้นมีฐาน พ้นจากการล้มละลายให้มันมีสถานะ มีเอกัคคตารมณ์ มีความตั้งมั่นของจิต มีกำลัง มีป้อม มีสถานที่ มีกองทัพ มีกองทัพธรรมเข้าไปชำระกับกองทัพของกิเลสในหัวใจ ความคิดหนึ่งเป็นความคิดของกิเลส เป็นกองทัพกิเลส แต่ความคิดหนึ่งเป็นความคิดของกองทัพธรรม ความคิดของกองทัพธรรมมันมีสมาธิเป็นที่รองรับที่เข้าไปต่อสู้

ระหว่างการต่อสู้ สงครามระหว่างความคิด ระหว่างขันธ์ ๕ ขันธ์ที่เป็นธรรมกับขันธ์ที่เป็นกิเลสมันจะต่อสู้กัน ต่อสู้กันเป็นครั้งเป็นคราว การแพ้การชนะ เดี๋ยวธรรมะชนะ.. เดี๋ยวกิเลสชนะ.. มันจะเปลี่ยนแปลงกัน หาที่ยึด ! ยึดภวาสวะ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส...” ยึดชัยภูมิ ยึดสถานที่

การต่อสู้.. ธรรมะมันเกิดที่ใจ การบดขยี้ระหว่างธรรมกับกิเลส มันบดขยี้กันอยู่บนหัวใจของเรา มันเห็นภาพชัดเจนว่าเวลาธรรมจักรที่มันหมุน “กงจักร” จักรของกิเลสมันเป็นกงจักร มันหมุนของมัน มันก็ทำลายธรรมะ ทำลายธรรมจักร ทำลายปัญญา ทำลายสิ่งที่จะเข้าไปชำระล้างมัน แต่ถ้ามันเป็นธรรมะเห็นไหม “ธรรมจักร” สิ่งที่เป็นธรรมจักร จักรเคลื่อน ล้อเคลื่อน เคลื่อนหมุนบดบี้มัน บดบี้กิเลสในหัวใจ !

ถ้ามันบดบี้กิเลส มันปล่อยวางขนาดไหน บดบี้มันมันเห็นชัดเจนมาก ! คนที่ปฏิบัตินี่เวลามันหมุนมันเห็นชัดเจนมาก แต่เวลาเราพูดกันเป็นนามธรรม เราจะบอกว่าเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้นะ แต่เวลาธรรมจักรมันหมุนขึ้นมาในหัวใจ มันไม่ใช่นามธรรมนะ ! มันเป็นของจริงๆ ! มันจับต้องเห็นจริงๆ รู้จริงๆ ! แล้วมันบดบี้กันจริงๆ ในกลางหัวใจ มันเป็นความเท็จจริงขึ้นมา มันไม่ใช่ผู้ล้มละลายที่ทำอะไรไม่ได้เลย

เราเป็นคนที่มีพื้นมีฐานพร้อมด้วยสติ ด้วยปัญญา มันหมุนต่อสู้กันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ชำระเข้าไป แล้วมันปล่อยวาง.. ปล่อยวาง.. ถึงที่สุดมันขาดนะ ! “กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์” แล้วย้อนต่อไป ถ้ามันพิจารณากายอีก พิจารณากายเข้าไปถึงที่สุดแล้วนี่กายมันจะปล่อย กายกับจิตแยกออกจากกันเป็นธรรมชาติของมัน โลกนี้ราบ !

ราบอย่างไร เวลามันราบ ถ้ามันราบเห็นไหม นี่มันถอนอุปาทาน กามราคะปฏิฆะมันอ่อนลง สิ่งที่อ่อนลงคือวุฒิภาวะเกิดขึ้นมันต่อสู้กันไป เข้าถึงที่สุดเห็นไหม นี่ไง “กามคุณ ๕” โลกเขามีกามคุณ กามคุณของเขาเพราะโลกของเขาเป็นกามคุณ กามคุณคือกามที่อยู่ในศีลในธรรม

กามคุณนี่อยู่ในศีล ดูสิ ครอบครัวเห็นไหม ไม่ผิดครอบครัวเขา มันก็เป็นกามคุณเพราะสืบทอดตระกูลกันไป แต่กามเป็นโทษเพราะเป็นโอฆะ “สิ่งที่อยู่ในหัวใจของสัตว์โลก ไม่มีสิ่งใดไม่เกี่ยวเนื่องกันด้วยเรื่องกามราคะ กามราคะอย่างเดียวที่ทำให้สัตว์โลกเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้” ที่มันพ้นจากพรหมจรรย์ไปไม่ได้นี่ แล้วมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจนะ มันอยู่ที่ความปรารถนา มันอยู่ที่ความฉันทะ อยู่ที่ความพอใจ

ความพอใจเห็นไหม ดูสิ คนโกรธเคืองกัน คนที่ไม่ถูกกันมันจะมีเรื่องกามราคะต่อกันไหม แต่คนที่ต้องการ คนที่ถูกจริตมันถึงเกิดกามราคะ เกิดกามราคะนี่คือเรื่องของกามราคะของมนุษย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องกามของใจล่ะ สิ่งที่มาสัมผัสกับใจ ใจที่มันเป็นกามราคะ ใครมันเป็น ? เห็นไหม นี่ไง ! ที่เป็นโทษมันเป็นโทษตรงนี้ เป็นโทษที่มันฝังอยู่กลางหัวใจเรา มันเป็นโทษเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นอนุสัยที่นอนเนื่องมากับจิตทุกดวง จิตทุกดวงมีอย่างนี้หมด !

“โอฆะ” จิตที่เกิดตายเกิดตาย เห็นไหม ดูสิ ถ้าเป็นธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ชีวิตเราเกิดมาในวัฏฏะ เกิดมานี้ไม่มีต้นไม่มีปลายนี่ เราเกิดมานี้มานั่งบนกองกระดูกของตัว เกิดมานี้น้ำตาของเราที่ร้องไห้อยู่นี่ เกิดมามีความทุกข์ความยากน้ำตาไหล ถ้าเก็บไว้น้ำทะเลสู้ไม่ได้”

นี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ คือสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ มันเกิดอาหาร เกิดการหมุนเวียนให้ชีวิตสืบต่อได้ ทีนี้การสืบต่อ จิตมันมาเกิดในครรภ์ มันเกิดด้วยกรรม เกิดด้วยชีวิตสืบต่อชีวิต เกิดด้วยสายบุญสายกรรม แต่เวลาเกิดขึ้นมา มันก็มาใช้ดิน น้ำ ลม ไฟ มานั่งอยู่บนกองกระดูกนี่ไง

นี่ชีวิตมันเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ ถ้ามันเข้าไปเห็นกามราคะ เห็นกายจนเกิดเป็นอสุภะ สิ่งที่มันเป็นความพอใจเป็นอสุภะมันแก้ไขของมันอยู่ข้างใน สิ่งที่มันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะเป็นมหาสตินะ สติปัญญาพิจารณาอย่างนี้ไม่ได้

ที่ว่าเป็นอสุภะๆ กัน อสุภะโกหก !! มันล้มละลายมาตั้งแต่ต้น ! แล้วมันจะรู้จริงมาได้อย่างไร !

ถ้ามันไม่ล้มละลายตั้งแต่ต้นมา มันพิจารณาของมันขึ้นมา มันมีพื้นฐานขึ้นมา พิจารณาสักกายทิฏฐิขึ้นมานี่มันมีพื้นฐาน จิตมันมีวุฒิภาวะ จากล้มละลายมันจะเป็นบุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดามีสิทธิตามกฎหมาย แล้วมันมีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันเป็นบุคคลๆ หนึ่ง

“บุคคล ๘ จำพวก” แล้วมีสกิทาคามรรค สกิทาคาผล นี่อีกพวกหนึ่ง แล้วมีอนาคามรรค สิ่งที่อนาคามรรคมันถึงเป็นอนาคาผล อนาคามรรคมันเกิดอย่างไร.. อนาคามรรคที่มันจะเกิดขึ้นมาได้ มันต้องมีมหาสติมหาปัญญาของมัน นี้มันก็เข้ามาจับสิ่งที่เป็นกามในใจ ! คือเป็นกามฉันทะ คือความพอใจในตัวมันเอง นี่คือกาม !

ดูสิ คนที่รักสวยรักงาม มันไม่พ้นไปจากเรื่องกามหรอก นี่มันพอใจ ! มันพอใจในตัวมันเอง ! มันก็พอใจที่จะเป็นกามไง ในเมื่อมันมีของมันอยู่ ในเมื่อมันพอใจ สิ่งนี้มันเป็นสุภะ เพราะมันรักสวยรักงาม มันเป็นสุภะ แต่สิ่งที่เป็นคุณธรรม คุณธรรมเป็นอสุภะ อสุภะเกิดจากอะไร เกิดจากสัจธรรม ! เกิดจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้นรื้อค้นขึ้นมา ถ้ารื้อค้นขึ้นมานี่จิตที่มันพอใจของมัน นั่นมันเป็นสุภะ

แล้วเป็นอสุภะ มันจะเป็นอสุภะอย่างไร ต้องพิจารณาของมัน มันเป็นสุภะ มันจะเข้ามาสนิท เข้ามาถึงตัวของมัน นี่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง แล้วการเข้ามานี่ไม่ได้เข้ามาได้ง่ายๆหรอก…

เวลาพูด เวลาเราศึกษากันนี่ มันง่ายๆ ทางวิชาการนี่ทำอย่างนั้นถูกต้อง ถูกต้องแล้วจบ ดูเราสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างเมืองนี่เขาสร้างกันกี่ปี สิ่งต่างๆ ดูสิวัฒนธรรมที่มันซับซ้อนกันอยู่นี่ มันเกิดมาจากอะไร เกิดจากมนุษย์เกิดตายๆ นี่วิวัฒนาการของวัฒนธรรม มันเกิดมันเปลี่ยนแปลงกันมาตลอด

แล้วจิต ! จิตที่มันละเอียดเข้ามา กว่ามันจะเข้ามาถึงตัวมันเอง จะทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายโอฆะ ทำลายสิ่งนี้ในหัวใจ มันจะเกิดมาง่ายๆ ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันถึงต้องขยันหมั่นเพียร ต้องมีความมุมานะ ต้องมีสติ.. มหาสติ มหาปัญญา มันใคร่ครวญของมันเข้ามาจากภายใน

นี่มหาสติ มหาปัญญา นี่จักร ธรรมจักรที่ละเอียดมันจะหมุนเข้ามาๆ หมุนเข้ามาด้วยมรรคญาณ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความเพียรชอบ ด้วยการกระทำของเรา ไม่ได้เกิดมาลอยมาจากฟ้า ไม่มีใครทำให้ใครได้ ! ไม่มีใครจะส่งเสบียงส่งเสริมกันได้ !

เว้นไว้แต่ให้กำลังใจกัน ครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วครูบาอาจารย์คอยกระตุ้น ครูบาอาจารย์คอยกระตุ้นนะ เพราะครูบาอาจารย์ท่านผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา ถ้าไม่ผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาเป็นครูบาอาจารย์เราไม่ได้ !

คนไม่ผ่านประสบการณ์จะทำงาน เอาอะไรมาสอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา จะเอาอะไรมาสอนพระปัญจวัคคีย์ ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอน สิ่งที่จะสอนมันต้องผ่านประสบการณ์จริงมา ประสบการณ์จริงขึ้นมามันเกิดขึ้นมาจากใจ เห็นไหม

มันเห็นความเป็นไปของใจ เห็นความเป็นไปของมันสิ หลังจากที่มันหมุนเข้ามาจากภายในแล้ว มันบดขยี้เข้ามา เป็นอสุภะ ! มันเป็นอสุภะ จนน่าเกลียดน่าชังขนาดไหนก็แล้วแต่ มันสยดสยอง มันปล่อยเข้ามาๆ การสยดสยองนี่เป็นโลกๆ นะ แต่พอถึงที่เป็นความจริง มันเอ๊อะ ! เอ๊อะ ! ข้างใน แล้วมันปล่อย.. ปล่อย.. มันปล่อยต่อเมื่อกำลังมันพอ กำลังไม่พอไม่ปล่อยหรอก กำลังไม่พอมันจะฉุดกระชากแล้วมันทำไปไม่ได้ ทำให้เราท้อถอยน้อยเนื้อต่ำใจ เราต้องกลับมาสร้างภาวะ

การล้มละลาย จากธรรมะที่ละเอียด การล้มละลายเพราะจิตมันไม่มีวุฒิภาวะพอ จิตมันไม่มีฐานที่ตั้งการงานพอ เราต้องกลับมาเสริมมัน เสริมให้มันมั่นคง มีทุนมีทุกอย่างพร้อมที่จะเข้าไปลงทุนต่อเนื่อง เป็นสายป่านให้มันต่อสู้ ต่อเนื่องเพื่อกอบกู้ กอบกู้ธรรมะที่มันต่อสู้กับกิเลส ที่กิเลสมันตัดทอน กอบกู้มันขึ้นมา พลิกแพลงต่อไป ต่อสู้กันตลอดเวลา จนถึงที่สุดมันเข้ามากลืนกันที่ใจ ครืน… ปล่อยวางหมด ! ขาดหมด !

นี่ไง ขันธ์อันละเอียดเห็นไหม ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด นี่ไง ข้อมูลของใจ ปฏิฆะทำไมไม่ใช่ขันธ์ ! ในตำราพระโสดาบันละสักกายทิฏฐิ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕... สักกายทิฏฐิ ๒๐... แล้วขันธ์ไม่มีพระโสดาบันขาดนี่ ไม่ใช่!! มันจะไปขาดที่อนาคานู่น.. ถ้าไม่ขาดที่อนาคา ข้อมูลปฏิฆะ ข้อมูลความพอใจนี่ถ้าไม่ใช่สัญญา มันคืออะไร ? สัญญาของใจละเอียดล้วนๆ เลย ! แล้วมันเข้าไปทำลายกัน แล้วมันต่อสู้กัน มันหมุนเข้าไป เก็บเศษส่วนทั้งหมด นี่อนาคา ๕ ชั้น ถึงที่สุดพ้นจากอนาคา ๕ ชั้นไป ตัวมันเอง ตัวภพ

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

นี่คือปฏิสนธิจิต นี่จิตที่ไปเกิดไปตาย นี่ไง ถ้ามันตายอยู่นี่ก็ไปเกิดบนพรหม ทำไมยังเกิดล่ะ ? ก็มันมีภพนี่ไง ก็มีปฏิสนธิจิตนี่ไง เพราะมีจิตเดิมแท้นี่ไง เพราะสิ่งที่เป็นเสนาอำมาตย์เราฆ่าตายมาหมดแล้ว อิทธิพลต่างๆ เราฆ่าตายเข้าไปถึงตัวเจ้าวัฏจักร ตัวผู้มีอิทธิพลใหญ่เห็นไหม

สิ่งที่อรหัตตมรรค อรหัตตผลมันละเอียดยิ่งไปกว่านั้น เพราะมันเป็นปัญญาญาณ ปัญญาญาณไม่ใช่ปัญญาสังขาร ! ปัญญาญาณไม่ใช่ปัญญาการต่อสู้ด้วยกองทัพ ปัญญาญาณนี่เป็นนโยบาย.. เป็นนโยบายที่วางไว้เฉยๆ เลย แล้วเข้าไปกลืนกินกัน นี่มันจะเข้าไปกลืนกินถึงที่สุดแล้วมัน ครืน... ทำลายกันในหัวใจนะ

สิ่งที่ทำลายในหัวใจ เห็นไหม นี่การกระทำอย่างนี้ นี่ไง มันจะเป็นผู้รู้จริง เป็นความจริงของเราขึ้นมา จิตที่เป็นความจริงขึ้นมานี้เป็นวิมุตติธรรม สิ่งที่เป็นวิมุตติธรรม เห็นไหม

จากสิ่งที่ล้มละลาย คลายทุกข์ ทุกข์ตรอมใจ เพราะมันยืนตนไม่ได้แล้ว แล้วศึกษากันด้วยวุฒิภาวะของผู้ล้มละลายกัน ธรรมะ.. การกระทำของชาวพุทธเราเลยลูบๆ คลำๆ ลูบๆ คลำๆ เป็นทฤษฎีแล้วก็ออกข่าว ออกสื่อสารกันว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม...

แล้วพวกเรา พวกที่ประพฤติปฏิบัติมันก็มีกิเลสในหัวใจทุกคนใช่ไหม อะไรที่มันเรียบง่าย อะไรที่มันสะดวก รีบคว้ามั้บ.. คว้ามั้บเลย แต่อะไรที่มันทุกข์มันยากต้องลงทุนลงแรง อื้ม.. อื้ม.. มันใจไม่สู้

แต่ถ้ามันใจสู้... ฟังสิ ฟังครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์ที่ท่านผ่านของท่านมานี่ ท่านได้มาง่ายๆ ที่ไหน ท่านทุกข์ยากมาทั้งนั้นนะ หลวงปู่มั่นท่านต่อสู้ของท่านมาตลอดนะ แล้วถ้าไม่มีหลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่รู้จริงขึ้นมานี่ ใครจะเอาความจริงมาพูด ! พูดออกมามันก็โกหกทั้งนั้น ! มันเป็นผู้ล้มละลาย แล้วเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาพูด พูดแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะมันไม่มี !!

แต่หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เราท่านมีของท่าน ! แล้วท่านพูดของท่าน ! แล้วท่านตรวจสอบลูกศิษย์ของท่านมา แล้วลูกศิษย์ของท่านมันพัฒนาการเข้ามาจนถึงที่สุดเห็นไหม

นี่เราถึงเกิดมากึ่งพุทธศาสนา มีครูมีอาจารย์ของเรานะ เราอย่าดูถูกตัวเอง เราต้องมั่นใจของเรา เราอย่าทำให้เราหมดหวัง ถ้าทำให้เราหมดหวัง เราก็จะล้มละลายในชีวิตนะ จิตมันล้มละลายนี่มันเป็นเรื่องของกิเลส มันเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด มันเป็นเรื่องของวุฒิภาวะที่มันไม่มีกำลัง เราก็เลยล้มละลายไป โดยคิดว่าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้มละลายเพราะโดนกิเลสมันครอบงำ

แต่มีครูมีอาจารย์ท่านชี้นำขึ้นมาแล้ว เราพยายามพัฒนาการของเราขึ้นมา ให้เรารู้จริง ถ้าเรารู้จริงขึ้นมาสักคนหนึ่ง แล้วเราจะเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นหลักชัยในศาสนาเพื่อประโยชน์โลก เพื่อประโยชน์แก่โลกนะ เราต้องได้ประโยชน์เราก่อน เห็นไหม เราต้องได้ประโยชน์ของเราก่อน เราเอาประโยชน์ของเรา เอาใจเราพ้นออกไปให้รู้จริง แล้วเราจะเป็นประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับหมู่คณะ ประโยชน์ในศาสนา เอวัง