เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำ ตอกย้ำหัวตะปู ตอกย้ำหัวใจของเรา ในโลกนี้เราแค่มาพึ่งพาอาศัยแค่ชาตินี้ชาติเดียว แค่อายุขัย แต่จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ ถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราอย่าไปเสียดาย โอกาสข้างหน้าถ้าเราไปเกิดดี เราไปเกิดเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนา เราก็พยายามจะขวนขวายจะกระทำคุณงามความดีให้เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้
แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ ในมุมมองในสายตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์ที่เกิดมาร่วมโลกกันนี้ไม่เคยเป็นญาติไม่เคยเป็นพี่น้องกันมาไม่มีเลย เราเคยเป็นญาติเป็นพี่น้อง เป็นผู้ที่ทำคุณงามความดีมาร่วมกัน ทำบาปอกุศลมาร่วมกัน
ถ้าร่วมกันๆ สิ่งที่ทำร่วมกัน จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดในชาติปัจจุบันนี้ เราเกิดในชาติปัจจุบันนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ด้วยกัน คนเกิดมาร่ำรวยทรัพย์สินมากมาย เขาไม่สนใจในพระพุทธศาสนาเลย เขาไม่สนใจทำคุณงามความดีเลย เขาก็ไม่ได้มาสร้างสมคุณงามความดีของเขาต่อเนื่องไป
คนเกิดมาคนทุกข์คนเข็ญใจเป็นชาวไร่ชาวนา เขาสร้างเนื้อสร้างตัวของเขาขึ้นมา เขาพยายามทำตัวของเขาขึ้นมา เขามีจิตใจที่เป็นธรรม เขาพยายามทำแต่คุณงามความดี เขาพยายามเป็นจิตใจสาธารณะคุ้มครองดูแลสังคม นี่เขาสร้างคุณงามความดีของเขาต่อเนื่องไป เห็นไหม
นี่มามืดไปสว่าง มาสว่างไปมืด มานี่มาสว่างนะ มานี่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบเลย ทำคุณงามความดีก็ได้ จะทำสิ่งใดก็ได้ แต่ไม่ทำ ไม่ทำเพราะอะไร ไม่ทำเพราะจริตนิสัยของตน ความรู้สึกนึกคิดมันเห็นแก่ตัว ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม
นี่ไง เวลาสัตว์ป่าๆ สัตว์ป่าเขาจับมาเลี้ยง เขาเลี้ยงไว้ในกรง เวลาถ้าสัตว์ป่าปล่อยไป มันเลี้ยงตัวเองไม่ได้หรอก สัตว์ป่าๆ นก ถ้านกที่เอามาขังไว้แล้ว ถ้าปล่อยไปมันก็บินกลับมา ถ้าปล่อยไปมันก็ตายเปล่าไง
นี่นิสัยของสัตว์ป่า หมา หมาเราเลี้ยงมา เราเลี้ยงมาเพื่อความเชื่องของมัน มันก็มีสันดานของสัตว์ป่า มันมีนิสัยของสัตว์ป่านะ เวลาถ้ามันฉุนฉียวขึ้นมามันกัดเอาได้ นี่พูดถึงสัตว์ป่า สัตว์บ้านๆ สัตว์บ้านก็มาจากสัตว์ป่านั่นน่ะ
เริ่มต้นมา ดูสิ มนุษย์เรามาจากไหน ไพรเมตก็มาจากวานร แล้วพัฒนาขึ้นมา พัฒนามาเป็นเราๆ ไง ถ้าพัฒนาขึ้นมาเป็นเรา จริตนิสัยๆ สิ่งต่างๆ ที่มันซับสมมา นี่พูดถึงว่าสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ใจทุกดวงใจมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่าๆ
เราเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุสสเทโว ถ้าเป็นมนุษย์ๆ มนุษย์ที่ดี มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นเทวดา แล้วเทวดาที่ไหนล่ะ
คนเราเกิดมามีสันดานดิบ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เราเกิดมาแล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนากล่อมเกลาหัวใจของเรา กล่อมเกลาหัวใจของเรา กล่อมเกลาหัวใจของเราให้มีเจตนาที่ดี ให้มีความคิดที่ดี
ถ้ามีความคิดที่ดีขึ้นมา ความคิดที่ดีแล้วจิตใจมันเป็นสาธารณะ มันยอมรับได้ มันยอมรับนะ การแบ่งปันได้ มันยอมรับการที่คนจะอยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าจิตใจมันเป็นสัตว์ป่า มันไม่ยอมรับใครทั้งสิ้น มันจะเป็นหัวหน้าฝูง มันจะขย้ำฝูงมัน มันจะแย่งชิงการเป็นผู้นำไง
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เกิดมาสว่าง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถึงกษัตริย์นะ เวลาเสียสละราชบัลลังก์มา มาอยู่โคนต้นไม้ มาอยู่โคนต้นไม้ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กลับไปเป็นอาจารย์ของกษัตริย์ทั้งแว่นแคว้นต่างๆ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว”
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่นะ อชาตศัตรูจะไปรบกับใครต้องให้อำมาตย์ไปถามเลยว่าไปรบหนนี้แพ้หรือชนะ คนที่มีเภทภัยในแว่นแคว้น มีโรคระบาดขึ้นมา นิมนต์พระพุทธเจ้าไป พระพุทธเจ้าไปถึงเทศนาว่าการให้จิตใจของคนมีหลักเกณฑ์ เทศนาว่าการจนฝนชะล้างจนโรคภัยไข้เจ็บนั้นหายไป
นี่ไง ดวงตาของโลก คนคนหนึ่งสละอำนาจ สละทุกๆ อย่างของโลก แต่มาแสวงหาสัจจะความจริงในใจของตน แสวงหาสัจจะความจริงในใจของตน เห็นไหม
เวลาเกิดเป็นคนมีสันดานดิบ ความดิบเถื่อนในใจของเรานั่นน่ะ ถ้าความดิบเถื่อนในใจของเรา เราก็มาขัดเกลาๆ แต่ถ้ามันมีคุณงามความดีๆ ดูสิ คนเกิดมา ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ๆ เพราะทุกดวงใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ มันพยายามแย่งชิงของมัน
แย่งชิงคืออะไร แย่งชิงคือมันหลอกมันลวง มันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกเรานะ นู่นก็ดีนี่ก็ดี แล้วทำตามมัน พอทำตามมัน ไปทำตามมัน พอมันสมใจอยากแล้วนะ กิเลสมันกระตุ้นขึ้นมาแล้ว พอสมใจแล้วมันก็ไป แล้วสิ่งที่เหลือรับผลมันคือใคร
ภวาสวะ หัวใจของเรานี่ จิตของเรา
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำดีของเรามันก็ได้คุณงามความดีของเรา ความดีของเราที่เราแบ่งปัน ทำคุณงามความดีของเราที่เราเห็นแก่สังคม ทำคุณงามความดีที่ประโยชน์กับเรา เราก็พออยู่พอกิน เราก็รักษาความเป็นอยู่ของเราได้
คนเราเกิดมามันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม ชีวิตนี้มันต้องมีปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เราสมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าจิตใจเป็นธรรมแล้วเอื้อเฟื้อคนอื่นมันเป็นอะไรไป มันเอื้อเฟื้อมันก็เพื่อประโยชน์กับเราน่ะ
นี่ไง ทำคุณงามความดี กิเลสมันไม่ยอม ของกูๆ ขนาดมันสะสมไว้จนกินไม่หมดแล้วมันยังโกงเขาอีก มันยังจะไปเอาของคนอื่นมาเป็นของมันอีก นี่ไง สันดานดิบ สันดานดิบในใจของตนมันครอบงำ
เรามานี่เรามาขัดเกลาของเรา เรามาขัดเกลาของเรานะ ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พันธุกรรมของจิตๆ พันธุกรรมของจิตมันมีสิ่งที่ดีงามๆ คนเราเวลาคนที่เขาพูดดี เราฟังแล้วมันชื่นใจ แต่ถ้าเป็นพาลมันฟังไม่ได้ พอมันฟังขึ้นมาแล้ว อืม! มึงจะชักชวนกูไปไหน แต่ถ้ามันพาล มันไปเจอคนพาลนะ ไป เราจะไปปลิ้นชิงวิ่งราว มันชอบ ถ้าจะไปเหยียบย่ำเขามันชอบ นี่พันธุกรรมของจิตๆ
ถ้าพันธุกรรมของจิต ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราเอาสิ่งนี้มาเทียบเคียงกับเรา เวลาคนเถียงกันด้วยความดีๆ ใครก็ว่าเราดีกว่าคนอื่นทั้งสิ้น แต่เวลาดีหรือไม่ดีเขาวัดกันด้วยศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗
ถ้าศีลที่สมบูรณ์แบบที่สุด ศีลคือเจตนา เจตนาหนึ่งเดียวเท่านั้น เจตนาที่ดีงามขึ้นมา เราไม่ล่วงเกิน ไม่หลอกลวงตัวเอง ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีสัตย์ๆ ของท่านน่ะ คนที่มีสัจธรรม ตั้งเจตนาว่าจะทำสิ่งใดแล้วต้องทำให้สมความปรารถนา
จะนั่งสมาธิจะภาวนาขึ้นมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดีงาม แล้วเราก็ขวนขวายอยากจะทำๆ แล้วทำได้ไหม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีคุณค่าที่ไหน แล้วสิ่งที่เราแสวงหากัน เราขวนขวายกันนี้มันมีคุณค่าแค่ไหน แล้วสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า แล้วถ้าเราทำ ทำไมเราทำของเราไม่ได้ เพราะเราขาดสัจจะ นี่ไง ถ้าขาดสัจจะ ลึกลงไปก็ด้วยพันธุกรรมของจิต ด้วยอำนาจวาสนาที่มันอ่อนแอ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มีจุดยืนของมัน
ถ้ามันมีจุดยืนของมันนะ คนที่มีอำนาจวาสนานะ ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ใบไม้ใบเดียวมันหลุดจากขั้ว ในสมัยพุทธกาลทำให้พระเป็นพระอรหันต์นะ ใบไม้ที่หลุดจากขั้วนี่ เพราะอะไร เพราะเขากำลังใช้ปัญญาของเขาอยู่ จิตของเขามีความสงบระงับ หลักเกณฑ์ของเขากำลังพิจารณาอยู่ แต่ระหว่างกิเลสกับธรรมๆ กิเลสของใครหนาใครหยาบ มันเหยียบย่ำย่ำยี
ปัญญามันจะเกิดขึ้นได้แสนยาก เราจะทะลุทะลวง จะพยายามขวนขวายขนาดไหนนะ มันก็มีกิเลสครอบงำ มันยื้อแย่งกันอยู่
ทีนี้พอยื้อแย่งกันอยู่ ใช้ปัญญาอยู่ ใบไม้หลุดจากขั้ว มันกำลังต่อสู้ ปัญญามันกำลังหมุนของมัน เห็นใบไม้หลุดจากขั้ว นั่นคือกองทัพธรรมที่มาส่งเสริมให้ปัญญามันพรั่งพรูออกมา พอเห็นมันหลุดจากขั้ว เออ! ใบไม้มันก็ตั้งแต่มันผลิออกมา ตั้งแต่มันแก่ของมัน มันก็ถึงของมัน มันก็หลุดจากขั้วมันไปเป็นเรื่องธรรมดา นี่ความรู้สึกนึกคิดในใจ ย้อนกลับมาในภายใน
ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติมันแสดงตัวของมันอยู่แล้ว แต่พวกเรามันมีธรรมหรือมีกิเลสล่ะ ถ้ามันมีกิเลส มันก็จะไปขุดเอา มันจะไปแสวงหาทรัพยากรเป็นของมันไง มันยึดครองไปหมดทั่วโลกไง ถ้ายึดครองทั้งหมดทั่วโลก ของกู วางแผนครอบงำมัน นั่นเวลามันคิดแบบกิเลสไง
ถ้ามันคิดเป็นธรรมนะ มันถอนความอยากที่ไปครอบงำเขา
“โมฆราช เธอจงมองโลกนี้ด้วยความว่าง”
โลกนี้ว่างหมด โลกนี้ว่างเปล่าโดยธรรมชาติของมัน ถ้าโลกนี้ว่างเปล่าโดยธรรมชาติของมัน โลกก็ไม่ได้ประโยชน์ เราก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมัน
“เธอจงกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ผู้รู้ว่าว่าง ผู้มองว่าเขาว่าง”
เขาว่างแต่เราไม่ว่าง เราว่างอยู่นี้เพราะมันกดทับไว้ มันว่างอยู่นี้เพราะเรากำลังมีสติปัญญา เดี๋ยวพอกิเลสมันแย่งชิงไปได้นะ โอ้โฮ! คราวนี้ไม่ว่างแล้ว โอ้โฮ! ไอ้ว่างๆ ว่างๆ มันจะระเบิดออกมาอีกแล้ว นี่ไง เพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมชาติไง มันไม่เป็นของเราไง
ถ้ามันเป็นของเรานะ เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้กระทำ ถ้าผู้กระทำในความเป็นจริง
ในร่างกายของเรา ในจิตใจของเรามันมีสัญชาตญาณดิบ เวลามันดิบเถื่อนมันทำให้เรารั้งไว้ไม่ไหว ถ้ารั้งไว้ไม่ไหวนะ มันก็เริ่มต้นจากตรงนี้ ตรงที่เรามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีอำนาจวาสนาจิตใจมันใฝ่ดีนะ ทุกคนที่จิตใจใฝ่ดี อะไรที่มันดี
ไอ้ดีมันดีของใคร มันดีของโลก มันดีของธรรม มันดีเพื่อตัวเองหรือดีเพื่อหมู่คณะ ดีเพื่ออะไร
ดูในทางการแพทย์นะ ประโยชน์ที่หนึ่งคือประโยชน์สาธารณะ ประโยชน์เรามาที่สอง นี่ไง เขาให้รู้จักเสียสละ ให้รู้จักประโยชน์ของสาธารณะเป็นอันดับหนึ่ง ประโยชน์ของเราเป็นอันดับสอง ถ้าประโยชน์สาธารณะมันมั่นคงแข็งแรงขึ้นมาดีแล้ว ประโยชน์ของเรามันก็อยู่ได้ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
ถ้าประโยชน์สาธารณะมันเรรวน ประโยชน์เราดีกว่า เดี๋ยวก็ปล้นชิงหมด เราอยู่ไม่ได้หรอก เราอยู่กับใครไม่ได้
แต่ถ้าประโยชน์สาธารณะมันดีงาม ประโยชน์ของเขาเป็นประโยชน์ที่หนึ่ง ประโยชน์ของเราเป็นประโยชน์ที่สอง แล้วประโยชน์ คำว่า “ที่สอง” มันกลับมาเป็น “ที่หนึ่ง” ไง เพราะอะไร เพราะเขารู้เขาเห็นถึงน้ำใจของเรา เขารู้เขาเห็นถึงความแบ่งปันของเรา เขารู้เขาเห็นถึงน้ำใจของเรา เขารู้เขาเห็น เขารู้เขาเห็น
ถ้าเขารู้เขาเห็น ทำไมเขาไม่ปกป้อง ที่เขาไม่ปกป้องเพราะมึงเลวทราม มึงเอารัดเอาเปรียบเขา แต่ถ้าเขารู้เขาเห็นว่ามันดีงาม เราดูคนอื่นรังแกคนที่อ่อนด้อยกว่า เราเห็นแล้วคิดอย่างไร เราเห็นแล้วเราทนได้ไหม เราเห็นแล้วเราทนไม่ได้หรอก
นี่ก็เหมือนกัน คุณงามความดีๆ ถ้ามันรู้มันเห็น นี่ไง ผู้ใดปฏิบัติธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้นั้น นี่ไง ธรรมะคุ้มครอง ดีกว่าไปเอาเหรียญราคาหลายๆ ล้านมาแขวนคอ ธรรมะมาแขวนหัวใจสำคัญกว่า
ถ้าธรรมะมาแขวนหัวใจ แล้วธรรมะมาแขวนหัวใจ เอาธรรมะมาจากไหน ธรรมะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วก็งง อะไร
สติไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องสติ เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา
ถ้ามีสติยั้งคิด เราจะไม่ทำความชั่ว เพราะการทำความชั่ว คนมีสติมีปัญญานะ นั้นคือการทำลายตนเอง
คนที่ทำเขาติดคุกติดตะราง คนที่เขาฉ้อโกงเขาที่ว่าได้มามันก็ต้องไปชดใช้เขา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วเวลาเราทำสิ่งใด ความลับไม่มีในโลก เพราะผู้กระทำนั้นเป็นผู้รู้ ผู้กระทำมันรู้ ไฟนรกมันเผาหัวใจของตนตลอดเวลา ไฟจากภายในมันจะเผาใจๆ เผาใจอยู่อย่างนั้นน่ะ
แต่ถ้าดูสิ เวลาคนทำความผิด เวลามาวัดน่ะ มาถวายเพื่อจะพ้นจากโทษ นี่ไง เวลามันคิดได้ เวลามันคิดไม่ได้มันไม่เห็นโทษเห็นภัยนะ ถ้าเวลามันคิดได้ นี่ไง กิเลสกับธรรมมันสู้กันอยู่ในหัวใจของตน
เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ กองทัพธรรมกับกองทัพกิเลสมันเข้าเผชิญหน้ากัน นั้นผู้ที่มีมรรค ผู้ที่มีการกระทำนะ
กองทัพกิเลส การกระทำของเรา พฤติกรรมที่ดีงามมามันก็เป็นคุณธรรมในใจของเรา พฤติกรรมที่เราไปทำเบียดเบียนใครมานั้นน่ะ มันก็ฝังอยู่ในใจของเรา ถึงเวลาแล้วมันจะต้องเป็นไปตามกรรม
สิ่งที่ทำคุณงามความดีไว้ สิ่งที่ทำคุณงามความดีไว้ก็นี่ไง ยังนั่งกันอยู่นี่นะ ยังหายใจสะดวกสบายนะ ยังลุกเหินเดินได้นะ เดี๋ยวติดเตียงแล้วเอาใครมาหาม ติดเตียงแน่นอน เดี๋ยวพอแก่เฒ่าชราขึ้นมาน่ะ ถึงเวลาแล้วมันเป็นไปของมัน ถึงตอนนั้นน่ะมันทับถมเลย
คนเรานะ ถ้ามันแข็งแรงอยู่นะ อะไรที่จะมามันยังมาไม่ทัน เวลามันอ่อนแอลง มันตามมาทันทั้งนั้นน่ะ กงเกวียนกำเกวียน นี่พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น แต่ไม่ได้สอนให้ไปโง่เง่าเต่าตุ่นให้เชื่อใคร ให้ใครมาชักจูง ให้ใครเอาเบ็ดมาเกี่ยวจมูกแล้วลากไป
มันเป็นการกระทำของเราทั้งสิ้น ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ทุกข์สุขอยู่ที่ใจ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ตั้งสติไว้ ตั้งสติสัมปชัญญะขึ้นมาแล้วว่าจะทำคุณงามความดีของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราเป็นคนควักออก เราเป็นคนเอาออกทั้งสิ้น
เวลามีความทุกข์ขนาดไหน ถ้าสติมันทันแล้ว เห็นไหม “เท่านี้เอง ไม่เห็นมันจะทุกข์ยากแค่ไหนเลย” พอตั้งสติแล้วมันก็เบาบางแล้วล่ะ
แต่ถ้ามันหลง สติมันอ่อนแอ มันเหยียบมันย่ำมันทำลายนะ ไอ้ความทุกข์ความยากมันบีบมันคั้น ยิ่งทุกข์ยิ่งยากสองชั้นสามชั้นนะ พอตั้งสติขึ้นมานะ “เฮ้อ! เท่านี้เอง คนอื่นเขาหนักกว่าเราเยอะแยะเลย” นี่เบาแล้ว
นี่ไง กรรมที่ว่าความทุกข์ความยากของเราไม่ต้องให้ใครมาแก้ไขหรอก ไม่ต้องให้ใครมาชักจูงหรอก ไม่ต้องให้ใครเป่ากระหม่อมทั้งสิ้น เราจะทำของเรา แต่เราทำของเรา เราก็ฟังธรรมๆ
เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธศาสนามีคุณค่ามหาศาลเลย แต่พวกเราเอาไว้ที่วัด แล้วอยู่ที่บ้านเราก็ไปอมทุกข์กันอยู่นั่น แต่ถ้าเราไปขอเอาเข้ามาในหัวใจเราบ้างไง ถ้าเอาธรรมะมาเข้าหัวใจเราบ้าง ความทุกข์ความยากมันจะเบาบางลงๆ เบาบางลง นี่ธรรมโอสถๆ ถ้าเรามีสติปัญญา เราเปิดหัวใจขึ้นมา เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไง เวลาผู้ที่ไม่เห็นด้วยนะ เหมือนกับหงายภาชนะที่คว่ำอยู่
ภาชนะถ้วยชามที่คว่ำอยู่ อะไรก็เข้าไปไม่ได้ ถ้าหงายมันขึ้นมาไง นี่หัวใจมันตรากมันตรำ หัวใจมันออดมันอ้อน หัวใจมันน้อยเนื้อต่ำใจ กิเลสมันก็ครอบงำมันอยู่ มันไม่หงายขึ้นมาเลย มันไม่เคยฟังเหตุผลอื่นเลยล่ะ มันไม่ฟังธรรมะเลยล่ะ มันไม่สนใจสัจจะความเป็นจริงเลยล่ะ มันเอาแต่ความพอใจมันๆ มันคว่ำมันไว้ ปิดหัวใจมันไว้ไง มันหงายขึ้นมาไม่ได้ไง
นี่ฟังธรรม ฟังธรรมขึ้นมา หงายเราขึ้นมาไง หงายมันขึ้นมาแล้วหาสัจจะความจริง
มึงทุกข์จริงหรือ อยู่ในครรภ์ของแม่ ๙ เดือน ถ้ามึงทุกข์ มึงคิดถึงตอนที่มึงนอนขดอยู่ในครรภ์ของแม่ ๙ เดือน ทำไมมึงทนได้ ทำไมของแค่นี้มึงทนไม่ได้
ถ้ามันสติปัญญามา ถ้าเราปลดปล่อยอารมณ์นะ เราปลดปล่อยการบีบคั้นนะ แล้วปลดปล่อยสันดานดิบ ดิบเถื่อน ไม่มีเหตุผล จะเอาชนะอย่างเดียว จะเอาหัวใจนี้เป็นขี้ข้ามัน มันเอาหัวใจเป็นที่อยู่ของมัน
ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมามันเท่าทันนะ นี่ไง นี่ธรรมโอสถ เปิดขวดแล้วได้ดื่มยานั้น ไม่ใช่อยู่ที่ฉลากยา ได้ธรรมะมา ชาวพุทธ พุทธที่ทะเบียนบ้าน ขวดยา โอ้โฮ! คุณภาพสุดยอดเลย อ่านแม่งทุกวันน่ะ แต่ไม่เคยใช้มันเลย นี่ก็เหมือนกัน เราไม่เคยใช้ประโยชน์สัจจะความจริงอันนั้นเลย
ประโยชน์จะมีก็สติปัญญาของเราไง ความรู้สึกนะ มีค่ามาก เวลามันทุกข์มันยาก กิเลสมันลากไปมันก็บีบคั้นความรู้สึกอันนั้น
ความรู้สึกนั้นตั้งสติขึ้นมาได้ ความรู้สึกนั้นเอาจิตกลับมาเป็นอิสรภาพได้ พอเอาจิตกลับเป็นอิสรภาพได้ นี่ไง ที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาไง แล้วศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดที่ไหนล่ะ
มันเกิดขึ้นมาจากที่สามัญสำนึก เกิดที่เรานึกได้ เกิดที่เราฝึกฝนไง แล้วฝึกฝนบ่อยครั้งเข้าๆ สติ มหาสติ สติอัตโนมัติ
นี่ไง ไอ้พวกอภิญญา เราไปดูหนังจีน หนังจีนนี่พระทำได้ แล้วทำแล้วมันได้ประโยชน์อะไร หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์เราเหาะเหินเดินฟ้าเรื่องขี้หมา เพราะอะไร เพราะทำแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไร ทำได้ประโยชน์ก็เพื่อเอามาโชว์กันนั่นน่ะ แต่มันไม่ใช่ธรรมะ มันไม่ใช่มรรค ๘ มันไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาญาณ การชำระล้างกิเลส การสำรอกคายกิเลส ไอ้เหาะเหินเดินฟ้าแบบหนังจีนมันยิ่งอยากเป็นเจ้ายุทธจักร มันยิ่งอยากจะให้คนนับถือมัน มันยิ่งไปเพิ่มกิเลสมันมากขึ้น เห็นไหม
เวลาครูบาอาจารย์ของเราทำขึ้นมาท่านทดสอบ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาวท่านทำทั้งนั้นน่ะ ไอ้เรื่องเหาะนี่ โธ่! ไร้สาระ
แล้วเดี๋ยวนี้นะ พวกเราไม่ต้องพิสูจน์ด้วย ไปสุวรรณภูมิ เหาะรอบโลกก็ได้ ไร้สาระ เอ็งเหาะแล้วเอ็งจ่ายตังค์มา ค่าบัตร เอ็งมีเงินจองบัตรหรือเปล่า จองตั๋วบินรอบโลก
มีอะไร เหาะเหินเดินฟ้ามันไม่ใช่มรรค แต่มันเป็นคุณสมบัติของจิตที่เป็นนามธรรมมันมีคุณสมบัติทำได้อย่างนั้น แต่มันไม่ใช่มรรค
มรรคในพระพุทธศาสนา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ การชอบธรรมคือการมีสติสัมปชัญญะรักษาหัวใจของตน ชอบธรรม การชอบธรรมคือรักษาหัวใจของตน จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่ชอบธรรม
ชอบธรรมเพราะจะทำให้จิตใจเราพ้นจากกิเลส พ้นจากครอบครัวของมาร ครอบครัวของพญามารให้มันพ้นไปได้ ศาสนาอยู่ที่นี่
แต่อภิญญามันเป็นธรรมชาติของความรู้สึก ธรรมชาติของจิต จิตที่มันมีพลังงาน เวลามันหยุดนิ่งมันก็มีกำลังเรื่องธรรมดา แต่คนโง่ก็ใช้แบบโง่ๆ ใช้เป็นเรื่องอภิญญา แต่พระพุทธเจ้าดึงกลับมา
แต่มันดึงกลับมาได้ยาก เพราะสันดานดิบ เพราะมันเหาะเหินเดินฟ้าได้ มันสำคัญตน แล้วดูถูกพระพุทธเจ้าด้วยนะ เทวทัตดูถูกเลย “ทำอย่างเราไม่ได้ ทำอย่างเราไม่ได้”
พระพุทธเจ้าบอก ไร้สาระ พระพุทธเจ้าทำได้มากกว่านั้นอีก แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับหัวใจ มันไม่เป็นประโยชน์กับพระพุทธศาสนา ท่านถึงไม่เอาสิ่งนั้นมาเป็นหัวใจ
หัวใจพระพุทธศาสนาคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ นิโรธคือดับทุกข์ มรรค ๘ นี้คือหัวใจของศาสนา สิ่งนั้นมันของข้างเคียงที่มันมีมา แล้วเวลาคนทำแล้วไปแค่นั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะว่าไข่ ไข่มันต้องมีเปลือก เอ็งอยู่ที่เปลือกนั่นน่ะ มดแดงไต่เปลือกนั้นน่ะ เป็นพวกเชื้อโรคอยู่ที่เปลือกไข่ ไม่เข้าถึงเนื้อไข่เลย
แต่พระพุทธเจ้าเวลาสอน สอนเข้าไปในสัจจะในความจริง ฟักจนไก่ตัวนั้นเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา นี่พระพุทธศาสนา
ถ้าเป็นสัตว์ป่า สัตว์ป่ามันก็มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า เอามาเลี้ยงขนาดไหนมันก็มีสัญชาตญาณของมัน มนุษย์มีกิเลส สัญชาตญาณดิบ สัญชาตญาณดิบในใจของเรา แก้ไข ทำให้เบาบางลง ให้เรามีความสุขขึ้นมาบ้าง อย่าเป็นขี้ข้าให้สัญชาตญาณดิบมันครอบงำ เอวัง