เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ พ.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันสำคัญมาก เพราะวันสำคัญมากเราถึงได้มาวัดมาวากันไง วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ศาสนานี้มีคุณค่ามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ศาสนามีคุณค่ามาก

ศาสนามีคุณค่ามาก ตัวเราไม่มีคุณค่าหรอก ตัวเราเวลาเข้าห้องน้ำขับถ่ายออกมาเหม็นทั้งนั้นเลย พวกมนุษย์ไม่มีคุณค่า

มันจะมีคุณค่าขึ้นมา มีคุณค่าขึ้นมาด้วยพระพุทธศาสนา มันมีคุณค่าเพราะศาสนา เพราะศาสนาทำให้มนุษย์มีศีลมีธรรม ถ้ามนุษย์มีศีลมีธรรม นี่ยกคุณค่าขึ้นๆ

วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเราได้มาวัดมาวา เราได้มาเสียสละทานๆ เสียสละทานเพื่อยกหัวใจขึ้น เพื่อยกหัวใจเราให้มีคุณค่าขึ้น ยกหัวใจให้หัวใจเรามีคุณค่าขึ้นเพราะอะไร เพราะเราเป็นผู้เสียสละ เราทำคุณงามความดีมาแล้ว เราแสวงหาของเรามาแล้วเรามาเสียสละๆ

ทำไมต้องเสียสละล่ะ เสียสละทำไม

เราเสียสละขึ้นมา เพราะเสียสละ ดูสิ โกดังสินค้าที่มันเก็บวัตถุไว้มันไม่มีประโยชน์กับใครเลย เวลาไฟไหม้ เวลามันมีประกันภัย เขาไปตีค่าเป็นเงินเป็นทอง อันนั้นมันเป็นธุรกิจ

แต่นี่เราเสียสละ เสียสละของเราเพราะเรามีหัวใจของเรา เรามีเจตนาของเรา มีความรู้สึกของเรา เรามีสุขมีทุกข์ เรามีหัวใจ เรามีกตัญญูกตเวทีคิดถึงบุญคุณของคน คิดถึงบุญคุณของพ่อของแม่ คิดถึงบุญของผู้ที่มีคุณ

ผู้มีคุณ พ่อแม่ของเรา ปู่ย่าตายายของเรานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะวันนี้วันเกิด วันตรัสรู้ วันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีคนค้นคว้ารื้อค้นสิ่งนี้เป็นสัจธรรมขึ้นมา

เวลาสิ่งนี้เป็นสัจธรรมขึ้นมา มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมมาถึงสังคมของเรา เวลาสังคมของเรา เราเกิดมาสังคมที่มีความร่มเย็นเป็นสุขๆ สังคมที่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะอะไร เพราะมีประเพณีวัฒนธรรม

เวลาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา รัฐบาลจะบอกว่าให้ทำบุญใกล้บ้านๆ เวลาไปที่ข้างบ้านเราขึ้นมาเป็นประเพณีวัฒนธรรมๆ วัฒนธรรมประเพณีมันมาจากไหน

มันมาจากพระพุทธศาสนา

ดูสิ เวลาประเพณีแต่ละท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน แต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน เวลาเขาทำ ลอยกระทงก็เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำสิ่งใดก็เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกันแต่ประเพณีวัฒนธรรมแตกต่างกัน เวลาแตกต่างกัน เขาทำเพราะอะไร ก็เพื่อยกหัวใจของเขาขึ้นไง

คนที่มีประเพณีวัฒนธรรม คนที่มีศิลปวัฒนธรรมในหัวใจของเขา จิตใจเขาอ่อนโยน จิตใจเขาไม่แข็งกระด้าง เวลาเราคุยกันเราเจรจากัน เราคุยกันรู้เรื่องเพราะอะไร เพราะหัวใจเรามีคุณธรรม นี่ไง ศาสนา ศาสนามีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ไง มีคุณค่ากับหัวใจมนุษย์ไง มนุษย์มันขัดเกลาๆ ขัดเกลาหัวใจของเราให้มีคุณค่าขึ้นมา ให้มีวัฒนธรรม ให้มีศีลธรรมขึ้นมา เวลามีศีลธรรมขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเราๆ

มันมาจากไหน

มันมาเพราะความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา

แล้วพระพุทธศาสนามันมาจากไหน

พระพุทธศาสนามาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสัจธรรมๆ ในความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เที่ยวค้นคว้ามากับเจ้าลัทธิต่างๆ มา ๖ ปี เวลาเกิดมา เกิดมาเดินได้ ๗ ก้าว

เวลาพระเขาไปเผยแผ่ธรรมกัน เขาถามว่า ราชกุมารเดินได้ถึง ๗ ก้าวจริงๆ หรือ

จริง ทำไมมันจะไม่จริง มันจริงเพราะคนมีบุญๆ ไง คนมีบุญเวลาเกิดขึ้นมา บุญกุศลนั้นมันส่งเสริมมาไง แต่มันเดิน ๗ ก้าวเพื่อการเป็นสัญลักษณ์ว่า นี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้วๆ ถ้าเกิดแล้วเดินได้ ๗ ก้าว ประกาศเลย “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ศาสนาเกิดหรือยัง ยัง นี่ไง วันเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเกิดเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีทุกข์มีความบีบคั้นในหัวใจของตน เรามีกิเลสในใจของตน

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะประกาศเลยว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แล้วเวลาออกขวนขวาย ด้วยอำนาจวาสนาบารมีนะ คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีนะ แต่กว่าที่จะมีอำนาจวาสนาบารมี เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ

เวลาพระโพธิสัตว์เสียสละชีวิตมามหาศาลเพื่อสังคม เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข เสียสละมาตลอด บุญอันนั้นน่ะมันส่งเสริมขึ้นมา มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีปราสาท ๓ หลัง พระเจ้าสุทโธทนะพยายามเลย มีวิมาน ๓ หลัง ต้องการให้เป็นจักรพรรดิ ปรนเปรอความสุขทางโลกมหาศาลเลย แต่ด้วยวาสนา ด้วยวาสนาไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เรามีความสุขมหาศาลเลย เราก็ต้องเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ถ้าเราเป็นอย่างนี้มันต้องมีทางออกไง

พอไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย คนที่มีสติมีปัญญา มีฝั่งตรงข้ามมันต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เวลามีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายของเรา เราก็แสวงหายาอายุวัฒนะ อู้ฮู! แสวงหาใหญ่เลย...ตายหมดน่ะ

แต่เวลาของท่าน ท่านแสวงหาของท่าน มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย วันนี้วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น

เวลาจะตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ สมบุกสมบันมามหาศาล อดอาหารมา ทำทุกรกิริยามามากมายมหาศาล ถึงเวลาแล้วด้วยบุญกุศล นี่ธรรมะจัดสรรๆ นางสุชาดาก็อยากจะแก้บน เพราะบนเทวดาไว้ เจ้าชายสิทธัตถะก็ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะกลับมาฟื้นฟูร่างกาย เขามาถวายข้าวมธุปายาสนั่นน่ะ

เวลาฉันข้าวของเขาแล้ว เวลาจะตรัสรู้ ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น หายใจอานาปานสติ อานาปานสติกำหนดความสงบของใจเราเข้ามาๆ พอความสงบของใจเข้ามา บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ

อดีตอนาคตมันมีของมัน มันมีของมันโดยวิทยาศาสตร์เราพิสูจน์ได้ที่นี่ แต่เวลาพิสูจน์กัน สามโลกธาตุนะ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมขึ้นมา มันจะพิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้เพราะจิตที่มันสงบระงับเข้ามา

แต่ส่วนใหญ่แล้วมันพิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้เพราะอะไร เพราะใจมันมีแต่กองขี้ หัวใจมีแต่กองขี้ มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาไปเห็นอะไรเข้า ไปเห็นนิมิตเข้า เห็นต่างๆ เข้ามันก็ว่านั่นเป็นนรกนั่นเป็นสวรรค์

นั่นเป็นนิมิต เป็นนามธรรม สิ่งที่ว่าเป็นจินตนาการที่ใครจินตนาการได้ทั้งนั้นน่ะ เพราะเรามีจินตนาการอะไรก็ได้

แต่ถ้าเป็นจริงๆ เป็นจริงๆ คนที่มันเป็นจริง ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อานาปานสติ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เวลารู้เห็นก็สมบูรณ์ เวลาสมบูรณ์ขึ้นมามีสติปัญญาใคร่ครวญได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่พระเวชสันดรไปปั๊บๆๆ ไปยังคิดเป็นไง อ๋อ! มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วจะตามไปๆ มันจะจบลงที่ไหน ถ้าจบลงที่ไหน ดึงกลับมา

นี่รู้เห็นด้วยสติสัมปชัญญะ รู้เห็นด้วยความชัดเจน รู้เห็นแบบวิทยาศาสตร์ เห็นโดยความเป็นจริง แต่มันเห็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พุทธศาสน์ๆ นั่นถ้าเป็นความจริงๆ

แต่ในปัจจุบันนี้เราก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากกัน เวลาไปรู้ไปเห็น เราก็ฟัง แต่เราไม่เชื่อ นรกสวรรค์ก็คือนรกสวรรค์

เวลาดึงกลับมา สิ่งที่เวลาไปอนาคต ถ้าไม่สิ้นกิเลสต้องไปเกิดอย่างนั้น เพราะอะไร กรรมคือการกระทำ ทุกคนมีการกระทำทั้งนั้น ทุกคนมีแรงขับทั้งนั้น แรงขับอันนั้นมันทำให้เกิดทั้งสิ้น เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ นี่ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นะ

เวลาศาสนาเกิดที่ไหน ศาสนามาจากไหนๆ

มาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรม เทวดา อินทร์ พรหมมาอนุโมทนา เทวดา อินทร์ พรหมส่งเสริมอนุโมทนา เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ไป เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆๆ เลย

เพราะทุกคนปรารถนาความจริง ทุกคนปรารถนาสิ่งที่ความเป็นจริง แต่ทุกคนไม่มีอำนาจวาสนาทำถึงความเป็นจริงอันนี้ได้ เวลาคนที่ทำความจริงอันนี้ได้แล้วประกาศสัจธรรมออกมา เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังขึ้นมามันมหัศจรรย์ โลกธาตุนี้ไหวหมดเลย

แต่เรานอนไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้อะไรทั้งสิ้น นี่ไง มนุษย์ไม่มีค่า

ธรรมะมีค่า วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ศาสนามีค่า มีค่าเพราะอะไร มีค่าเพราะเรายกหัวใจของเราเข้าไปสู่ศาสนานั้น ถ้าเรายกใจเข้าสู่ศาสนานั้น ถ้าเรายกคุณค่าขึ้นมา ถ้าเราเป็นระดับของทานเราก็มาทำบุญกุศลของเรา

เราแสวงหาเพื่ออะไร

เพื่อหว่านพืชในเนื้อนาบุญๆ นี่เรื่องประเพณีวัฒนธรรม ถ้าประเพณีวัฒนธรรมขึ้นมา เราทำสิ่งใดขึ้นมา เวลาทำเสร็จแล้ว ถึงที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปฏิบัติบูชาเถิดๆ

การทำบุญกุศลที่สุด ถึงที่สุดแล้วต้องนั่งสมาธิภาวนา เวลานั่งสมาธิภาวนาไง

นี่ประเพณีวัฒนธรรม มีงานบุญ งานกุศล แล้วเก็บขยะกันเต็มที่ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาๆ ภาวนาขึ้นมา “เพราะอวิชชาคือความไม่รู้ เวลารู้เท่าทันแล้วก็วางหมด”

อวิชชาคือความไม่รู้อะไร ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องอารมณ์ใช่ไหม ไม่รู้ต่างๆ ใช่ไหม เราจะทำงานสิ่งใดก็แล้วแต่ เวลามีคนที่ไหนแล้วมันจะมีขยะ เก็บขยะเสร็จแล้วจบใช่ไหม

นี่ไง เวลาภาวนา “ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

การปฏิบัติบูชาคือการค้นคว้าหาใจของตน

เวลามีประเพณีวัฒนธรรมมีกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาเสร็จแล้วต่างคนต่างกลับ แล้วถ้าใครมีจิตใจที่เป็นธรรมๆ เขาจะเก็บขยะ เขาจะทำสิ่งใดให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อยๆ

นี่ไง การปฏิบัติทั้งหมด ผลของมันคือสมถะ จะวิปัสสนา จะรู้หนอ จะเท่าหนอ ผลของมันคือสมาธิหมดเลย เพราะมันไม่เห็นกิเลส มันไม่รู้จักกิเลส

แล้วบอก “กิเลสเป็นนามธรรม จะรู้ได้อย่างไรวะ”

กิเลสเป็นนามธรรมเพราะมันเกิดกับใจไง สิ่งที่เป็นนามธรรมก็คือสิ่งที่เป็นนามธรรมไง ตะกอนมันอยู่กับน้ำไง ถ้ามีน้ำก็มีตะกอนไง แล้วถ้ามีตะกอน ตะกอนกับน้ำมันต่างกันอย่างไรล่ะ

เวลารู้เห็นไง เก็บขยะแล้ว กลับมานั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตสงบแล้ว เวลาหลวงตาท่านสอนไง ขุดคุ้ยหากิเลส ขุดคุ้ยหากิเลส

คนที่ไม่เคยเห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส แก้กิเลสไม่ได้ คนที่จะรู้จักกิเลส จิตมันสงบแล้ว พอจิตสงบแล้วถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง เห็นไหม ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย

แต่เวลามันเก็บขยะ ในกายไม่มีสติปัฏฐาน ๔ หรอก

นี่ไปวัดไปวา เรานั่งกัน “พิจารณากายๆ กายกับกายก็เสียดสีกัน กายกับกายกระทบกระเทือนกัน กายกับกาย”...แล้วมีสติปัฏฐาน ๔ ไหม มีแต่กายนี้ไง กายานุปัสสนาไง

แต่ถ้าเก็บขยะ ขยะนั่นน่ะ เก็บขยะเสร็จแล้ว ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เรานั่งสู่การวิปัสสนา เรานั่งสู่การปฏิบัติของเรา เวลานั่งสู่การปฏิบัติของเรา เรานั่งอยู่คนเดียวนะ เวลาไปวัดมีวัฒนธรรมประเพณี คนนี้กลาดเกลื่อนไปหมดเลย สิ่งต่างๆ มหาศาลเลย เราก็สนุกครึกครื้นไปกับเขา เสร็จกิจกรรมแล้วจบ แล้วมีอะไรต่อ

แต่ในทางปฏิบัติ โลกียปัญญาๆ โลกียปัญญาก็ปัญญาวิทยาศาสตร์ ปัญญาที่การศึกษานี่ไง ปัญญาที่วัฒนธรรมประเพณีของเรานี่ไง เวลาคนเราจะสูงจะต่ำ ดูลัทธิศาสนาอื่นสิ เวลาของเขา เขาก็มีคนดีคนชั่วเหมือนกัน

เวลาคนดีของเขา จิตใจเขาสูงส่งดีกว่าเราอีก ผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีมันเป็นธรรมๆ ปกป้องคุ้มครองดูแลพวกเรา ดูแลพวกเราให้มีความเสมอภาค ให้กฎหมายเสมอภาค การทำเหมือนกันๆ เราเกิดร่วมไง

แล้วคนดีก็คือคนดี คนดีก็เป็นความดีของเขา คนดีก็สาธุ คนดีก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย คนชั่วก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย คนที่เกิดมาก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคน สัจธรรม ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยสัจจะของเขา ใครทำคุณงามความดีก็สาธุ คนดี คนดีก็เพื่อสังคม เพื่อวัฒนธรรมประเพณี แต่ความดีๆ ความดีก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วที่ว่าศาสนาสำคัญ สำคัญตรงไหนล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย”

มาร ครอบครัวของมารจะเกิดบนใจของผู้ที่ตรัสรู้ธรรมอีกไม่ได้เลย

แล้วของเราล่ะ

ปฏิบัติไปแล้ว ปฏิบัติแล้วคนนั้นได้ขั้นนั้น คนนี้ได้ขั้นนี้ กลัวเขาจะไม่รู้น่ะ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อความว่างเปล่า สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติความว่างเปล่าแบบมีเจ้าของ แบบมีตัวมีตน มีคนดูแลมันนะ ถ้ามีตัวมีตนเป็นกิเลส มานะ ๙

เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา

ต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา

สูงกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา

สูงกว่าเขา เสมอเขา ต่ำกว่าเขา มานะ ๙ สังโยชน์มันได้ทำลายแล้วมันเหลืออะไร

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ ถ้าเรานั่งลงแล้วประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป สิ่งใดเรียบง่ายทั้งสิ้น การประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ถ้าอำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าทำความสงบได้ก็คือความสงบ ถ้าความสงบได้นั่นน่ะมั่นคง มั่นคงเพราะอะไร

เวลาพระพุทธศาสนาสอนเรื่องกายกับใจๆ เวลาเราพูดถึงเรื่องใจๆ นี่ไม่ใช่ใจ อารมณ์ของใจ สิ่งที่ถูกรู้ ใจคือธาตุรู้ ธาตุรู้มันไม่รู้ตัวมันเอง มันต้องหาสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเอาสิ่งที่ถูกรู้มาศึกษาธรรมะ นี่ประเพณีวัฒนธรรม คนจะดีจะชั่ว นี่สิ่งที่ถูกรู้ รักษาหัวใจให้ดีงามอย่างนั้น

แต่เวลาหลวงตาท่านสอนไง ไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส แก้กิเลสไม่ได้

ผู้รู้มันไปเห็นอะไร ถ้าผู้รู้ไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นั้นในสติปัฏฐาน ๔ ในสติปัฏฐาน ๔ คือจิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา

พิจารณากายๆ กาย กายก็ซากศพไง โลงศพไง เชิงตะกอนไง ในกายที่ไหนมีสติปัฏฐาน ๔ ด้วย ไม่มี

แต่ในประเพณีวัฒนธรรม เวลาพิจารณา เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านสอน หลวงปู่เจี๊ยะท่านสอนเลยนะ เข้าตามกระดูก กระดูกนี้อยู่สามสี่ชั่วโมง อยู่ในกาย จิตไม่ออกจากข้อกระดูก ตั้งแต่กระดูกนิ้ว กระดูกข้อ กระดูกไหปลาร้า อยู่สามสี่ชั่วโมงอย่างนั้นน่ะเป็นสมถะ ท่านพูดตลอด เป็นสมถะ

จิตสงบแล้วเห็นกายตามความเป็นจริง มันจะเห็นแตกต่างโดยไม่ต้องที่เอ็งบังคับกันอย่างนี้ บังคับกันอย่างนี้คือบังคับจิตไม่ให้ส่งออก บังคับจิตไม่ให้มันไปไขว่คว้าความชั่วช้าลามกของมัน ให้อยู่กับร่างกายนี้เป็นสมถะ

สมถะก็นี่ไง เก็บขยะไง เวลางานรื่นเริงจบแล้วเราเก็บขยะกัน จบแล้ว เก็บขยะเสร็จแล้ว

เสร็จแล้ว แล้วใครได้อะไรล่ะ

มันก็เป็นบุญกุศลไง กุศล อกุศล มันเป็นอามิส เกิดจากการกระทำทั้งสิ้น

แต่ถ้าเป็นสัจธรรมนะ เรานั่งสงบแล้วจิตใจของเราสงบระงับ จิตใจที่มีคุณค่า สิ่งที่สงบระงับยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นกายน่ะ จิตของเราเห็นกายของเราตามความเป็นจริงนะ สักกายทิฏฐิ

เราเกิดมาเราเป็นปัญญาชน เราต้องดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพกายที่ได้มา ได้มาเพราะเราออกกำลังกาย เราดูแลรักษาร่างกายของเรา นี้สุขภาพกาย สุขภาพจิตนี่ไง ที่เรามาวัดมาวากันนี่ไง พยายามรักษาสุขภาพจิตให้สุขภาพจิตเราแข็งแรง นั่นสุขภาพกาย สุขภาพจิต นี่เรื่องโลกๆ ไง

แต่เวลาจิตสงบแล้ว เอ๊อะๆๆ

ไม่มีใครเคยเอ๊อะ! เลย “ว่างๆ ว่างๆ”

ว่างๆ คืออารมณ์ มันสร้างอารมณ์ว่าง เราคิดแล้วเราหยุดคิดมันก็ว่าง แต่มันจิตตั้งมั่นหรือไม่ จิตมีกำลังหรือไม่ จิตเป็นจริงหรือไม่

ถ้าจิตมันเป็นจริงขึ้นมา นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเย้ยมารๆ ไง

เราเห็นมารไหม เรารู้จักมารของเราไหม เรารู้จักสิ่งที่บีบคั้นในใจเราไหม ไม่เคยเห็นเลย แต่เวลามันเก็บขยะในวัด ไปวัดมีกิจกรรมแล้วเก็บขยะ นี่ไง อารมณ์ที่หมกมุ่นในหัวใจเราเก็บของมัน เราเรียบเรียงจัดให้มันเข้าที่ จบ “นี่ไม่มีอวิชชา”

อวิชชาของมึงอะไร อวิชชาอะไรของมึง นี่มันไม่เป็นจริง

ถ้าเป็นจริงๆ นี่พูดถึงว่า วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันสำคัญจริงๆ แต่พวกเราเข้าใจตามวิทยาศาสตร์ตามโลกๆ กันแล้วไม่เป็นจริง เวลาเป็นจริงไปแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมท่านพูดเลย “ไปพูดกับใครไม่ได้ เขาหาว่าเราบ้า”

ไอ้คนที่มันรู้จริงมันไม่กล้าพูดกับใครนะ มันต้องพูดกับผู้รู้ด้วยกัน

แต่ให้พวกปั๊บๆๆ นั่นน่ะโลกๆ ทั้งนั้น นี่ขยะ เก็บใส่ถังแล้วเอาไปทำไฟฟ้า โรงงานขยะไฟฟ้า นั่นมันเรื่องของเขา นั่นเรื่องโลกๆ

นี่พูดถึงว่า ถ้าศาสนามันมีความยิ่งใหญ่ มันจริง มันจริงอย่างนี้ มันจริงที่มันละเอียดลึกซึ้งมากที่เราพยายามขวนขวายกัน

เราเกิดเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับบริษัท ๔ เราเป็นบริษัทหนึ่งในพระพุทธศาสนา แล้วทุกคนมีสิทธิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ธรรมะไม่มีกำมือในเรา” ท่านเปิดเผยๆ แต่พวกเราเข้าไม่ถึง ยกหัวใจขึ้นสู่ธรรมอันนั้นไม่ได้ อยู่กันด้วยวัฒนธรรมประเพณีเท่านั้น อยู่กันแบบโลกๆ โลกียปัญญา แต่ก็ดีนะ อยู่กันแบบโลกๆ ให้โลกสงบร่มเย็น แต่ถ้าเป็นธรรมมันเหนือโลก

ธรรมะเหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือการเกิด การตาย เหนือสามโลกธาตุ แล้วมันเหนืออยู่ในหัวใจของคนที่รู้จริง เอวัง