ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เราทำ

๑๙ พ.ค. ๒๕๖๒

เราทำ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “โรค

กราบนมัสการหลวงพ่ออย่างสูง ลูกขอความเมตตาครับ เนื่องจากเคยทราบมาว่า โรคภัยไข้เจ็บเกิดจาก

โรคจากความชรา

โรคจากอุปาทาน

โรคจากกรรม

ซึ่งปัจจุบันลูกเป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งจากการตรวจเลือด ซึ่งต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ต้องพบแพทย์ตลอด จะมีบางช่วงอาการกำเริบเป็นไข้ ทำให้ไม่สามารถภาวนาใดๆ ได้ (ปกติฝึกภาวนาบ่อยๆคำถามผมคือ

แบบนี้ผมเป็นโรคกรรมใช่หรือไม่ครับ

ถึงแม้เป็นโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย ลูกควรปฏิบัติฝึกใจอย่างไรเพื่อไม่ให้เป็นทุกข์จนเกินไป และลดทอนผลกรรมที่ได้รับในปัจจุบันได้อย่างไรครับ ขอหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยครับ

ตอบ : ไอ้นี่พูดถึงเรื่องความเป็นโรคๆ ความเป็นโรค ธรรมะนะ บาลีเราไม่ค่อยได้ แล้วบาลีเราไม่ค่อยไปยุ่งเกี่ยว ฉะนั้น เวลาเราเป็นคนไทย เกิดในประเทศไทย อ่านพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย พระไตรปิฎกเขาแปลไว้ให้แล้ว เราก็อ่านพระไตรปิฎกมาสองรอบ

ฉะนั้นว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คำว่า “เป็นลาภอันประเสริฐ” ประเสริฐเพราะอะไร ประเสริฐเพราะเราได้สร้างเวรสร้างกรรมไว้ดีงามๆ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

ถ้าเรามีโรค ฉะนั้น พอมีโรคขึ้นมา ในพระพุทธศาสนา เวลาไปทำบุญมีคนมาถามมาก “หลวงพ่อ ทำบุญอย่างไรได้บุญมากที่สุดเลย บุญที่ดีที่สุดเลย

บุญที่ดีที่สุดคือนั่งลงแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะทำบุญสิ่งใดมากน้อยขนาดไหนมันต้องจบลงด้วยการภาวนา

หลวงตาท่านพูดประจำเลย เขื่อนกั้นไว้ น้ำเต็มเขื่อนเลย ถ้าไม่ได้ใช้สอยก็อยู่อย่างนั้นน่ะ เราทำบุญเราก็สะสมน้ำไว้เต็มเขื่อนเลย เราไม่เอาน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์เลย น้ำก็อยู่ในเขื่อนนั้นน่ะ มันจะใช้ประโยชน์ได้ต่อเมื่อเราเอาน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามันดีงามขึ้นมา เราหัดภาวนาของเรา นี่คือการฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าปัญญามันดีงามขึ้นมามันจะรู้เท่าทันกิเลสของตน แล้วฆ่ากิเลสของตน แล้วเป็นประโยชน์กับใจของตน

นี่เขาถามว่า ทำบุญอะไรได้บุญมากที่สุด

เราบอกเลย กูไม่เคยพูดเลยว่าทำบุญอะไรได้บุญมากที่สุด เพราะอะไร เพราพระมันตอแหล แล้วเดี๋ยวมันก็ว่าบุญอย่างนั้นได้บุญที่สุดๆ แล้วบุญอะไรได้บุญที่สุด สุดท้ายแล้วจบลงที่สังฆทาน พอสังฆทาน ไปดูสิ สังฆทานต้องมีคำสังฆทานแปะไว้ข้างถังสังฆทานเลย แล้วสังฆทานก็มาตั้งเรียงไว้เต็มเลย ตอนนี้มีพระเอามาถวายเรา ที่วัดเขาเยอะแยะไปหมดเลย เขาบอกว่าไม่รู้จะเอาไปไหน

เราบอก เอามาเลย เราแจกหมด มีเท่าไร แถวชายแดน พวกกะเหรี่ยง คนทุกข์คนจน เราไปแจกหมด ของในวัดมีเท่าไรขนออกไปหมด

เอ็งแจกกันไม่เป็นหรือวะ เอ็งรับอย่างเดียวหรือ เอ็งไม่รู้จักโลกเลยหรือ แล้วนี่ยิ่งแจกไม่ธรรมดา ไปตามวัดสิ วิธีการทำบุญ โอ้โฮแสวงหาทุกวิธีการ แล้วบอกว่าไอ้นี่ได้บุญมากที่สุด ไอ้นู่นได้บุญมากที่สุด

เราบอก ไม่หรอก

เจตนาของคน จิตใจของคนที่ยิ่งใหญ่ทำบุญทิ้งเหว ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น นั่นคือบุญที่สูงสุด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นโรคเวรโรคกรรมแล้วจะทำอะไร จะแก้กรรมอย่างไร

ถ้าแก้กรรมอย่างไร เวลาเขาเปรียบเทียบด้วยเชาวน์ด้วยปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ในสังคมไทยเรา เวลาแปลจากพระไตรปิฎกมาไง พอแปลจากพระไตรปิฎกมา คนที่มีบุญมากที่สุด พระสีวลีลาภมากที่สุด ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บทำอย่างไร ถวายยา ถวายนู่น ถวายนี่ ไอ้นั่นก็ถวายไป

เวลาเขาบอกเลยนะ โยมอยากได้รถเก๋งไหม ถ้าอยากได้รถเก๋ง ถวายรองเท้า ซื้อรองเท้ามาถวายพระ แล้วโยมจะได้รถนั่ง

เขาคิดเปรียบเทียบไงว่า เวลารองเท้าถวายพระ พระก็ได้ใส่รองเท้านั้นเพื่อประโยชน์ใช่ไหม เราก็จะสะดวกในการเดินทาง เราก็คิดวิธีการเพื่อจะให้ตอบสนองความต้องการของเรา

แต่สำหรับเรานะ จริตนิสัยของคน เวรกรรมเราสร้างมาตั้งแต่อดีตชาติ ตั้งแต่ไม่รู้ว่าภพชาติใด จะมาแก้ภพชาตินี้ เวลาภพชาตินี้เรามีความศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราอยากจะทำคุณงามความดี เราอยากให้เราราบเรียบสงบดีไปหมดเลย

อย่างพูดเมื่อกี้นี้เรื่องหลวงปู่คำดี เวลาท่านรู้ว่าท่านติดแต่ท่านแก้ของท่านไม่ได้ ท่านก็รู้ของท่าน ท่านให้หลวงตาพระมหาบัวไปแก้ให้ท่าน

นี่ก็เหมือนกันน่ะ เรารู้หรือไม่ว่าเราติดข้องอะไรในใจเราบ้าง ในใจของเรานี้ เราภาวนากัน มันมีอะไรบ้างที่มันติดมันข้อง มันมีอะไรบ้างที่มันกีดมันขวาง มันมีอะไรบ้างที่มันคอยทำลายเรา

ถ้ามันไม่มีอะไรมากีดมาขวาง ไม่มีอะไรทำลายเรา เราควรจะภาวนาได้ดีกว่านี้ เราควรจะภาวนาแล้วมันสงบระงับ เราควรภาวนาแล้วมีสติปัญญาที่แพรวพราว เราควรทำอย่างนั้น ทำไมไม่มีวิธีแก้อย่างไรล่ะ

วิธีแก้ วิธีแก้ก็ทางจงกรมไง นั่งสมาธิไง วิธีแก้มาจากไหนล่ะ

นี่พูดถึงว่าเวลาสิ่งที่ว่า ทำบุญอะไรได้มากที่สุด

ทำด้วยเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์

ของเรา เราคิดอย่างนั้น ทำด้วยเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ของเรานั่นน่ะได้บุญสูงสุด

เราทำบุญ แล้วบอกทำบุญ เวลาคนทำบุญๆ ออกจากบ้านไป พระอรหันต์ในบ้านได้ดูหรือยัง ไปทำบุญมาทั่วเลย แสวงหาพระอรหันต์ไปหมดเลย แล้วแม่ของตัว พ่อแม่ตัวพระอรหันต์ในบ้านแท้ๆ เลย พระอรหันต์ไม่หลอกด้วย พระอรหันต์จริงๆ เลย เพราะให้ชีวิตเรามา

พระอรหันต์ในบ้านนี่พระอรหันต์ของจริงเลย แล้วไปหาข้างนอก พระอรหันต์จริงไม่จริงยังไม่รู้เลย เพราะอะไร เพราะเราไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีภูมิปัญญาที่จะไปจับพระอรหันต์ได้หรือไม่ได้ เราไม่มีความรู้เท่าทันเขาหรอก ยิ่งพูดหวานๆ พูดแจ๊ดๆๆ โอ้โฮน่าศรัทธา

พระอรหันต์นอกบ้านเรายังไม่รู้เรื่องเลย แต่พระอรหันต์ในบ้านนี่ของชัวร์ๆ เลย เพราะให้ชีวิตเรามา

นี่ทำบุญอย่างไรประเสริฐที่สุดไง

นี่พูดถึงเรื่องเวรเรื่องกรรม ทีนี้เรื่องเวรเรื่องกรรม เขาบอก โรค ฟังมา ขอความเมตตาจากหลวงพ่อ

โรคชราคร่ำคร่ามันเป็นโรคแบบว่าเป็นไปโดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง

อุปาทาน คนไม่เป็นคิดจนเป็น เวลาอุปาทาน ความเครียดต่างๆ คนที่เป็นโรคก็เป็นโรค

โรคกรรม โรคกรรมมันมีทับซ้อนเข้ามา ทับซ้อนเข้ามามันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม ถ้าเรื่องเวรเรื่องกรรม เวลาจะแก้กรรมๆ เราก็ทำบุญกุศลของเราอุทิศส่วนกุศลไป แล้วก็ไปโรงพยาบาลไปเช็กไปตรวจไปรักษา ถ้ารักษาได้

ทีนี้เขาบอกว่า ตอนนี้เขาเป็นโรคติดเชื้อ

โรคติดเชื้อนะ คนที่เป็นโรค จะเป็นโรคสิ่งใดก็แล้วแต่ คนเราในร่างกายมันมีเชื้อโรคอยู่แล้ว แล้วเชื้อโรคอยู่แล้วนะ เวลาเรื่องนี้เวลาเราอยู่ทางภาคอีสาน คติเตือนใจ หลวงปู่ฝั้น

หลวงปู่ฝั้นท่านมีโรคประจำตัวของท่าน โรคถ่ายท้อง ท้องเสียประจำ เวลาท้องเสีย ท่านธุดงค์ไปนะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยท่านจะเอาผ้าอาบปูข้างทาง นอนพักจนกว่าจะหายแล้วถึงจะเดินทางต่อไป

หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง เวลาท่านไปที่หนองผือ จะไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นไม่ทันเขาๆ เสียใจว่าท่านไม่ทันพรรคพวก สุดท้ายเวลาท่านนั่งสมาธิของท่าน ใช้ธรรมโอสถพิจารณาของท่านนะ เวลาจิตมันลง

ไปดูสิ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น เวลาจิตท่านลงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บคือเวรกรรม ท่านบอกเหมือนมีกวางตัวหนึ่งหลุดออกไปจากร่างท่านไป วิ่งออกไปจากร่างท่าน ตั้งแต่นั้นมาโรคภัยไข้เจ็บหายเลย ธรรมโอสถอย่างนี้มี

หลวงตา ครูบาอาจารย์เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยท่านใช้สมาธิ ใช้ศีล สมาธิ ปัญญาในใจของท่านรักษา สิ่งที่ใช้ศีล สมาธิ ปัญญารักษา นี่โรคกรรมหรือไม่โรคกรรม โรคประจำตัวเลยล่ะ หาย

แล้วเวลาหลวงตาท่านพูดนะ ญาติโยมหรือใครที่จะทำสิ่งนี้ได้ต้องจิตใจที่เข้มแข็ง ต้องมีสติที่มั่นคง แล้วมีจิตใจที่กล้าหาญ เพราะอะไร เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่กล้าหาญ ไม่กล้ากระทำแล้ว เวลาทำไปแล้วนะ เวลามันทำแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จไง พอทำไปแล้วโรคภัยไข้เจ็บมันจะลุกลามมาก สุดท้ายแล้วพอแพ้ พ่ายแพ้แล้วก็ไปหาหมอ ให้หมอมันด่าเอา เวลาพอรักษาได้ล่ะไม่มา เวลามาขึ้นมาก็โรคเรื้อรังแล้ว

ส่วนใหญ่แล้วถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง ไปหาหมอซะ แล้วส่วนใหญ่ไปหาหมอ แต่ถ้ามันจะธรรมโอสถนี่ทำได้ มีครูบาอาจารย์มากที่ทำอย่างนั้น

ของเรานะ ตอนอยู่บ้านตาดเราเป็นนิ่ว เราไม่รู้ ปวดท้องมาก สุดท้ายแล้วนะ จนพระบอกไปโรงพยาบาลไหม บอกไม่ เวลาภาวนาไป แล้วเวลาปัสสาวะเอากระโถนรองไว้ มันหลุดออกมาเป็นหินปูน แป๊งเลยล่ะ นิ่วเราทนจนมันออก

มาอยู่ที่โพธาราม เวลาโดนงูสามเหลี่ยมกัด งูเวลากัด โอ้โฮเท้านี่เขาตัดขาทิ้งเลย เราก็พุทโธๆๆ พุทโธมันรักษาได้ เท้ายังเป็นปกติอยู่นี่

อยู่กับพระยกต้นมะพร้าว ตัดต้นมะพร้าวจะไปกันไว้ตามรั้วไม่ให้หมามันลอดเข้าออก ต้นมะพร้าวสดๆ นี่ตัด พระมันแกล้ง มันยกขึ้นให้น้ำหนักทิ้งมาที่เรา พอทิ้งมาที่เรา โอ้โฮกระดูกหลังมันเคลื่อน กร๊อบโอ้โฮมันปวดมาก เราโยนทิ้งเลย โยนทิ้งแล้วนั่งภาวนา พอพุทโธๆๆ สู้กับมัน

จะบอกว่า เวลาเป็นพระหนุ่มๆ มันทำได้ ตอนนี้แก่แล้ว ตอนนี้หมอไพศาลมานวดทุก ๑๕ วัน ตอนนี้ให้หมอเขาดูแล

แต่ตอนที่เป็นหนุ่มๆ เห็นไหม หลวงตาท่านพูดมันเข้ากันหมด หลวงตาท่านบอกเลย ต้องจิตใจเข้มแข็งกล้าหาญมันถึงธรรมโอสถถึงทำได้

ไอ้พวกดีแต่ปาก ดีแต่ปากไม่ต้องมาทำ เพราะดีแต่ปากมันสักแต่ว่าจะทำแล้วทำไม่ได้ พอทำไม่ได้แล้วโรคมันก็จะลุกลามไป พอลุกลามไป “ธรรมะไม่จริง สัจธรรมไม่มีอยู่จริง ถ้ามีอยู่จริงเราต้องหายแล้ว

มึงน่ะไม่จริง ถ้ามึงจริงมันหายหมดล่ะ ถ้าคนที่มีอำนาจ

นี่พูดถึงว่าโรคเวรโรคกรรมนะ

เราจะบอกก่อนว่า ธรรมโอสถมันมีอยู่จริง

แต่ถ้าของเรา จิตใจของเรา เราเป็นคนแบบว่าปานกลาง ไม่เข้มแข็งนัก เราไปหาหมอเถอะ ไปหาหมอก่อน เพราะการรักษา กระทรวงสาธารณสุขเขาตั้งมาทำไม เขาตั้งมารักษาคนไข้ แล้วเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ไปสิ ไปรักษาตามหน้าที่ของเรา

แต่เรามีหน้าที่รักษาใจของเราใช่ไหม เรามีสติปัญญาใช่ไหม เวลาไปโรงพยาบาล โอ้โฮธรรมะมันแสดงเทศน์มหาศาลเลย คนนั้นก็หิ้วถุงน้ำเกลือ ไอ้คนนี้ก็อยู่ในรถเข็น

เราเห็น เราคิดสิ ไอ้คนที่มันเจ็บไข้ได้ป่วยเขาคิดอย่างไร แล้วเราคิดอย่างไร พอมันเห็นแล้วมันกระจายไปนะ มันไม่ใช่ความคิดความทุกข์ความยากมันถมมาที่เราคนเดียวไง เวลาเราคิด เราคิดเอาแต่ตัวเอง กูนี่ต้องหาย คนอื่นตายหมดเลย เหลือกูรอดคนเดียว เวลาความคิดมันคิดเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น

นี่พูดถึงว่า เวลาที่เขาเป็นโรคติดเชื้อ มันตรวจเลือดแล้วทำอย่างไร

เราก็รักษาตามอาการ รักษาตามอาการด้วยจิตใจที่เข้มแข็งนะ ไปรักษาแล้วหมอเขาจะทึ่งเลย หมอนะ เวลาเห็นคนไข้ที่เข้มแข็ง โอ้โฮใช้ได้ แล้วรักษาง่าย รักษาง่ายให้ความร่วมมือที่ดี เขาให้ยาตามอาการแล้วหาย

ส่วนใหญ่แล้วคนไข้ที่รักษาไม่หายคือจิตใจเขาอ่อนแอ ยามันให้ผลแล้ว แต่จิตใจของเขา เขาไม่ให้ความร่วมมือ นี่ไง ถ้าเราเข้มแข็ง เราไปรักษานะ หมอเขาเห็นแล้วเขาจะชอบใจเลย แล้วคนอย่างนี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีทั้งสิ้น

นี่พูดถึงว่าคำถามไง คำถามว่า เป็นโรคติดเชื้อ แล้วปกติภาวนาอยู่ ตอนนี้ภาวนาไม่ค่อยได้ คำถามบอกว่า ๑นี่เป็นโรคกรรมหรือไม่

โรคนะ โรคชราคร่ำคร่าเป็นโรคโดยวิทยาศาสตร์ เป็นโรคโดยโรค ถ้าอุปาทานมันก็เป็นแบบว่าจิตใจเราโลเล แล้วถ้าโรคกรรมๆ คนเรามันมีเวรมีกรรมทั้งสิ้น แต่กรรมดีเราก็มีไง

เรากรรมดีๆ ไง ดูสิ เวลาโรงพยาบาลเขาบริจาคเครื่องมือแพทย์ เราก็ได้บริจาค ที่ไหนเขามีการส่งเสริมมีการช่วยเหลือคนทุกข์คนจน มีจิตอาสา เราก็ทำ เราไม่มีกรรมดีบ้างเลยหรือ

กรรมดีเราก็มีไง กรรมดีเรามี กรรมดีก็ต้องส่งเสริมสิ่งที่ดีงามกับเราสิ แต่สิ่งที่โรคมันจะเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายนี้เป็นรวงรังของโรค คนเกิดมาต้องมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมดา โรคหิว โรคหิวหากินทุกวัน นี่โรคประจำตัว ฉะนั้น ไม่ไปตื่นเต้นกับมันไง

เราจะบอกว่า ถึงจะเป็นโรคสิ่งใดเราอย่าผลักให้เป็นโรคเวรโรคกรรม เราเคยไปทำสิ่งใดไว้ ถ้าคิดแต่เรื่องอย่างนี้นะ มันจะไปหาพ่อครูแม่ครูแล้ว แก้กรรม มีเท่าไรควักมา

เฮ้ยมึงเจ็บไข้ได้ป่วยนะ กูไม่ได้มาจ้างให้มันหายๆ ต้องเอาเงินไปจ้างเขาอีกนะ จะรักษาต้องเอาเงินไปจ่ายคนอื่นอีก

ไม่ต้อง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้นเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม สัจจะความจริง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา

สิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมากับเรา เราก็ดูแลรักษาของเราไป ถ้าดูแลรักษาจนสุดความสามารถแล้ว มันก็ผลักให้ไปถึงเรื่องสัจจะความจริงนั่นน่ะ ไม่ต้องไปวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น จิตใจเข้มแข็ง แล้วจิตใจมีหน้าที่การงานก็ทำต่อเนื่องกันไป แล้วเราก็กลับมาดูแลรักษามันตามแต่อาการนั้น ถ้าตามอาการนั้น ดูจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นมามันก็หายไปพร้อมๆ กันน่ะ

แล้วหายไปพร้อมๆ กันนะ เวลาจิตใจที่มีปัญญาขึ้นมา โรคหายด้วย กิเลสหายไปด้วยนะ โรคหายด้วย กิเลสคือความวิตกกังวล ความวิตกกังวล ความเดือดร้อนต่างๆ มันจะเบาบางไปด้วย

นี่พูดถึงเรื่องโรค โรคเวรโรคกรรม ถ้าเป็นโรคเวรโรคกรรม โรคชราคร่ำคร่าโดยธรรมชาติของมัน ถ้าเราไม่มีอุปาทานไปยึดมั่นมัน ปล่อยมันเป็นความจริงของมัน มันเกิดได้ก็ต้องหายได้

อย่างหลวงปู่มั่นว่า เวลาท่านเป็นโรคเสียดท้องไง เวลามันจะเป็น มันเป็นมาจากไหน เวลามันหาย มันหายไปที่ไหน ถ้ามันเกิดได้มันก็ต้องหายได้ ท่านไม่สนใจเลย เกิดก็เกิดไป ปวดก็พุทโธ วิตกกังวลก็พุทโธ ใช้ปัญญา จบ มึงหลอกกูไม่ได้ มึงหลอกกูไม่ได้ กูไม่สน นี่จบเลย

นี่พูดถึงเรื่องโลก ปล่อยมัน อย่าไปวิตกกังวลกับมัน แล้วเราทำของเราได้ มีธรรมโอสถ ธรรมะเป็นที่พึ่ง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย

สัจธรรมมันเกิดแล้ว ความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันเตือนแล้ว พอเตือนขึ้นมาพิจารณาแล้ว พอพิจารณาไปแล้ว ธรรมโอสถ ถ้ามันหายมันว่างหมดเลยนะ

เวลาเราพิจารณาของเรา เวลามันลง โอ้โฮโลกนี้เปิดหมดเลย อาการต่างๆ หายเกลี้ยง จบ แต่ตอนนี้ไปหาหมอ แก่แล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว จบแล้ว

เวลาร่างกายมันแข็งแรง จิตใจมันเข้มแข็ง ทำอะไรก็ได้ แต่เวลามันชราคร่ำคร่าแล้วกำลังเราไม่พอ ทำสิ่งใดไม่ได้

นี่พูดถึงว่าเรื่องโรค ขอความเมตตาจากหลวงพ่อเนาะ จบ

ถาม : เรื่อง “กำลังใจ

หลวงพ่อ : อันนี้ไม่ได้ถาม อันนี้เขายกหาง

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อ หนูติดตามฟังธรรมะของหลวงพ่อมา ๕๖ ปีแล้ว ตั้งแต่อายุ ๒๐ กว่าๆ จนตอนนี้ ๓๐ นิดๆ หนูชอบสุดๆ เลยค่ะ หนูก็หัดภาวนาไปด้วยตามความสามารถของตัวเอง หนูไม่แต่งงาน หวังว่าสักวันหนูจะได้บวชและพ้นทุกข์แบบหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : นั่นแน่ ไม่กลัวหลวงพ่อหลอกหรือ

ถาม : วันนี้ไม่มีคำถามค่ะ อยากส่งมาให้กำลังใจเฉยๆ หนูชอบฟังมากๆ เลย เป็นประโยชน์และได้แง่คิดต่างๆ เยอะมาก

บางเรื่องที่ทางโลกเขามองว่ารุนแรง พอฟังแง่มุมของหลวงพ่อ มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการภาวนาที่มีรายละเอียดมาก

ต้องขอบคุณทุกๆ คนที่ส่งคำถามเข้ามาเป็นเหตุให้หลวงพ่อได้พูดด้วย ความทุกข์ในใจของหนูคลายไปหลายอย่างจากคำสอนของหลวงพ่อ กราบขอบพระคุณที่หลวงพ่อยอมเสียสละร่างกายแรงใจเพื่อพวกเราค่ะ หนูจะพยายามภาวนาต่อไปไม่ให้หลวงพ่อต้องเหนื่อยสอนฟรีๆ ค่ะ

ตอบ : เห็นไหม คำพูดอย่างนี้มันก็เหมือนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เวลาท่านบอกนะ ผู้ที่อยู่ไกลเราแสนไกล แต่ปฏิบัติตามเราเหมือนอยู่ใกล้ชิดเรา ผู้ที่จับชายจีวรไว้ อยู่ติดกันเลย แต่มันไม่ฟัง มันไม่สนมึงด้วย อยู่ติดเราเลย เหมือนอยู่ห่างห้าร้อยโยชน์

ผู้ที่อยู่ไกลแสนไกลเลย เขาบอกไม่เคยเห็นหน้าเลย ฟังมา ๕๖ ปี ขอบคุณคนที่เขียนมาถามด้วย ได้เกร็ดความรู้ไป

นี่ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกัน แต่เขาได้ประโยชน์ เขาได้ประโยชน์จากการฟังธรรม ได้แง่คิด ได้มุมมอง ได้สิ่งในการชี้นำชีวิตของเขา มันก็เป็นประโยชน์กับเขา นี่เป็นประโยชน์กับเขา นี่หน้าที่ของพระไง หน้าที่ของเรา เราได้ทำแล้ว

เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาเทศนาว่าการ เราได้ทำแล้ว หน้าที่ของพวกเธอ หน้าที่ของผู้ฟัง ผู้ฟังเอาไปขบมันได้ประโยชน์หรือไม่ หน้าที่ของผู้ฟังได้เอาไปประพฤติทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับคนคนนั้นไง

นี่ก็เหมือนกัน เขาบอก ให้กำลังใจค่ะ

โอ้โฮกำลังขาดกำลังใจอยู่พอดีเลย กำลังไม่มีกำลังใจเลย

สิ่งนี้มันไม่มีคำถาม นี่เป็นคำชมเชย คำชมเชยเอามาอ่านย้ำให้คนทำงานได้บอกว่า เออพวกเอ็งไม่เหนื่อยฟรี นั่งหน้าดำคร่ำเครียด เอ็งไม่เหนื่อยฟรีไง นี่มีคนได้ประโยชน์ เห็นไหม ทำงานแล้วมันได้ประโยชน์ ฉะนั้น เวลาเขาชมมา เขาชมมายกหาง จบ

ทีนี้คำถามต่อไปคำถามสด

ถาม : จากการลองไปสถานภาวนาที่อื่นๆ ผู้หญิงจะต้องช่วยกันทำครัวแทบทั้งวันและพูดคุยกันมากๆ สถานที่แบบนั้นจะทำให้เราทำสมาธิได้ดีจริงไหมคะ เพราะหลายๆ คนบอกว่าที่ไหนๆ ก็บรรลุธรรมได้ทั้งนั้น

ตอบ : นี่เวลาพูดมันพูดเพราะว่าไม่มีทางออกหรือพูดเพราะว่าเคยชินกับสิ่งนั้น

เวลาหลวงตานะ เวลาหลวงตาท่านให้ลูกศิษย์ลูกหาไปสร้างวัดส่วนใหญ่แล้วท่านจะไม่ให้มีครัว ท่านบอกครัวไม่ให้มีๆ เพราะสิ่งที่ครัวไม่ให้มีๆ ครัวนี่แหละเป็นจุดที่ทำให้เกิดการกดขี่ข่มขี่กัน เกิดการขัดแย้งกันเรื่องครัว

ฉะนั้น เวลาเรื่องครัวๆ นะ แต่ทางวัดโดยทั่วไปเขาก็ให้ทำครัว ถ้าเป็นครูบาอาจารย์อย่างเช่นหลวงปู่ลี ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เราเข้าใจว่า ท่านเห็นว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันยังไม่มีกำลังพอที่มันจะปฏิบัติของมันได้ถึงการที่ว่ามีคุณธรรมในใจสูงๆ ขึ้นไป ท่านถึงให้ทำอยู่อย่างนั้น ให้เป็นการสร้างอำนาจวาสนาบารมี

แต่เวลาไปวัดแล้วไปทำครัวๆ เราเป็นคนวินิจฉัยเอง เวลาคนที่จะมาทำครัว เราบอกว่าไม่จำเป็น เราเป็นคนหาแม่ครัว หาคนมาทำครัว ทำครัวมันก็เป็นภาระ เป็นเรื่องของวัด

แต่เวลาคนที่เขามาปฏิบัติ ชีวิตของเขามีคุณค่า ถ้าชีวิตของเขามีคุณค่า เขาจะมาทำครัวอยู่นี่มันเสียเวลา ถ้าเขามาแล้วให้เขาภาวนาเลย

แต่ส่วนใหญ่แล้วภาวนา ไม่ว่าโยมหรอก แม้แต่พระ เวลาพระมาอยู่กับเรานะ พระที่เคยคลุกคลีมา มาอยู่กับเรา บอก อู้ฮูมาอยู่กับท่านอาจารย์สงบนี่สุดยอดเลย ดีทุกอย่างเลย เสียอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ เวลามันเหลือมากเกินไป

โอ้โฮเราฟังแล้วมันคอตกเลยนะ เพราะอะไร เพราะเวลา กูเป็นคนพยายามจะปกป้องไว้ให้พวกเอ็งมีเวลาภาวนานะ

เพราะในพระไตรปิฎก ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะทำมาหากิน กว่าจะได้ภาวนากลางคืนได้กี่ชั่วโมง ทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมงไง แล้ว ๒๔ ชั่วโมงของเรา เรามีแต่ข้อวัตร แล้ว ๒๔ ชั่วโมงภาวนาจริงๆ นะ เราให้เวลา ๒๔ ชั่วโมงเลย ถ้าคนทำได้ ทำได้ทั้งคืนเลย

เพราะเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ๒๔ ชั่วโมง เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาตลอด เพราะอดอาหาร อดนอน ๒๔ ชั่วโมงเราภาวนาทั้งวันทั้งคืนเลย แล้วอดอาหารด้วย อยู่ที่บ้านตาด หลวงตาท่านเดินมาตรวจประจำ หลวงตาท่านเห็นว่าคนไหนมีแววไม่มีแวว

นี่ไง เราทำของเราอยู่อย่างนั้นน่ะ เราป้องกัน

หลวงตา หลวงปู่มั่น ในวัดนะ ห้ามเสียงป๊อกแป๊ก ห้ามเสียงทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น เว้นไว้แต่ทำข้อวัตร เวลาทำข้อวัตรคือฉันน้ำร้อนแล้ว บ่ายโมง ถ้าเราอยู่ในกระต๊อบห้องหอของเรา มีอะไรที่ชำรุดเสียหาย เราจะซ่อมแซม เราจะทำได้ตอนบ่ายหนึ่งโมงตั้งแต่ฉันน้ำร้อน

เพราะฉันน้ำร้อน พระทั้งหมดออกไปฉันน้ำร้อนด้วยกัน เวลานั้นเป็นเวลาที่เราจะซ่อมแซมบำรุงของที่อยู่อาศัยในวัด แล้วนอกจากนั้นไปห้ามแก๊กเลย แก๊กไม่ได้ แก๊ก มันสะเทือนคนอื่น

เราเคยอยู่สังคมอย่างนั้นมา ฉะนั้น เวลามาที่นี่ปั๊บ เราถึงทำของเราไง ฉะนั้น เวลาเขามาที่นี่เขาแปลกใจเนาะ

ทุกคนเขาต้องทำครัว

ไอ้การทำครัว เราไม่ไปขัดแย้งกับใคร เพราะมันเป็นเรื่องของสังคม กรรมฐานทุกอย่างเขาทำกันอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้นเพราะอะไร

เพราะเราก็อยู่มา อยู่ป่ามา เราอยู่มานะ เช้าขึ้นมาถ้าเณรไม่ออกไปหาหน่อไม้ เช้าวันนั้นจะมีข้าวเหนียวเปล่าๆ ถ้าได้ก็ได้หน่อไม้ หมดหน้าหน่อไม้ก็กินกิ่งหน่อไม้ ไม่อย่างนั้นก็กินไผ่ เขาทำกันอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาพระไปอยู่แล้ว พวกในครัวต้องปลูกกล้วย ต้องทำสวนครัว มันเหมือนกับตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงต้องหาอยู่หากินเอง สมัยเราหาอยู่หากินเองหมด แต่ตอนนี้แบบว่าสังคมมันเจริญขึ้น วัดมันเจริญขึ้น พอมีแม่ครัวมาก็เอาแม่ครัวไป

ทีนี้แม่ครัว ไอ้เรื่องที่ว่าทุกวัดที่ต้องทำครัวนี้มันเป็นวัฒนธรรมของพระ ของวัดทางภาคอีสาน เป็นวัฒนธรรมเลย

ฉะนั้น เวลาของเรา เราเห็นแล้วว่า อย่างเช่นปีหนึ่งโยมจะมีวันหยุดกี่วัน แล้วพอมีวันหยุดมาวัดแล้ว อยู่บ้านก็ทำงาน มาวัดก็มาทำครัว แล้วบอกไปวัดแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร

เพราะเราเน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เน้นเรื่องการปฏิบัติ เน้นเรื่องการค้นคว้าค้นหาแบบนักวิทยาศาสตร์เลย ฉะนั้น ในซีกของโยมเหมือนห้องแล็บเลย ห้องแล็บที่เอาตัวเข้ามาแล้วค้นคว้าหาใจของตน เป็นห้องแล็บเลย ๒๔ ชั่วโมง

เว้นไว้แต่คนมาแล้วคุ้นชินไปแล้วไปนั่งคุยกันที่ครัวที่ฉันกาแฟ นั่นเป็นสิทธิของเขา แต่ถ้าคนที่เขาขวนขวายของเขา เขาพยายามทำของเขา

อันนี้เป็นความเห็นของเรา เป็นการกระทำของเราที่ว่าเราไม่ให้ทำ แล้วไม่ให้ทำธรรมดานะ สั่งไว้เลย ห้ามเข้าครัวด้วย ถ้าใครเข้าครัว ไล่ออก แต่มาฉันกาแฟได้ ฉันน้ำร้อนได้ เพราะไม่ให้เข้ามา เพราะนี่ไง ที่บอกว่า ที่อื่นเขาทำครัวกันแล้วคุยกันทั้งวัน

พอมาทำครัวแล้วมันมีปัญหาทั้งสิ้น มีปัญหาร้อยแปด ถ้ามีปัญหาไปร้อยแปดแล้วหลายๆ เรื่อง ทีนี้ไม่ให้มี ไม่ให้มีธรรมดานะ เรื่องผักหญ้าก็ไม่ให้เอาเข้ามา มีคนเอาเข้ามานี่ไม่รับ

ถ้ามีคนเอาเข้ามา เราจะต้องไปตั้งหน่วยอีกหน่วยหนึ่งขึ้นมา ต้องมีพระเข้าเวรคอยรับบริจาคผักบุ้ง ถั่วฝักยาว เราไม่ให้มี แล้วพอไม่ให้มีขึ้นมา เราหาเองหมดเลย

เพราะว่าอะไรก็ได้ โลกมันเจริญขึ้นมา เราหาสิ่งนี้ได้ แต่เวลา เวลาที่จะปฏิบัตินี่หายาก แล้วเวลาที่ปฏิบัติขึ้นมา เราเป็นคนจัดการเอง เราเป็นคนควบคุมเอง ให้เวลาในการปฏิบัติ

แต่ทีนี้พอมาพูดบอกว่า ไม่ใช่ว่าแต่โยม แม้แต่พระมาอยู่กับเรา “โอ๋ยอยู่กับท่านสงบดีมากเลย เสียอย่างเดียว เวลามันเหลือมากเกินไป

คำพูดคำนี้แสดงว่า อืมคือคนไม่เคยภาวนาหรือภาวนาไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่า

เวลาหลวงตา หลวงปู่มั่น แก๊กไม่ได้เลยนะ แก๊กปั๊บ มันสะเทือน มันสะเทือนนะ จิตของคนที่มันจะลงแล้วมันโดนกระตุกออก โอ๋ยมันเจ็บแค้นนะ แต่คนอื่นไม่รู้ คนไม่เคยภาวนาไม่รู้ สังคมไม่ภาวนาไม่รู้เรื่อง มีแต่หนังหนาๆ เสียดสีกัน ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น

แต่ถ้าหนังบางๆ เขาไม่ต้องเสียดสีหรอก แค่สำนึกชั่วดีมันก็ไม่เอาแล้ว เราสำนึกเลยว่านั่นไม่ถูกต้อง สำนึกว่าไม่ดีงาม เราไม่ทำเด็ดขาด นี่เป็นสามัญสำนึกของเรา แล้วเรารักษาใจของเราขึ้นมา

ไอ้นี่พูดถึงว่าไอ้ที่ทำครัวๆ นะ มันแยกไม่ได้ อย่างเช่นถ้ำสหายเมื่อก่อนก็ทำครัว สุดท้ายแล้วไล่ออกหมดเลย แล้วเข้ามา จากเมื่อก่อนอยู่กันได้ตามอิสระ สุดท้ายแล้ว ๗ วัน ๗ วันต้องให้ออก บ้านตาดก็ ๗ วันให้ออก

เราไม่อยากย้อนกลับไปยุคที่บ้านตาดสร้างใหม่ๆ นะ แม่ชีแก้วก็มาอยู่ด้วยกันนั่นแหละ แล้วในครัวมันกระทบกระเทือนกัน เรื่องผู้หญิง

เราธุดงค์มาที่ถ้ำขาม พวกแม่ชีเวลาฉันข้าว ตบตีกันอะไรกันร้อยแปด ของเราถึงไม่ให้มี คำว่า “ไม่ให้มีของเรา” คือว่า โทษนะ ไม่มีใครมีบุญคุณเหนือกว่าวัดนี้ วัดนี้เป็นผู้ให้อย่างเดียว ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าวัดนี้ จะก้าวล่วงกติกาของวัดนี้ไม่ได้ ถ้าใครก้าวล่วงกติกาวัดนี้...ไล่ออก

อยากให้ผลของการปฏิบัติไง ไม่ให้มีใครมีบุญคุณเหนือกว่าวัดนี้ วัตรนี้คือข้อวัตร วัตรนี้คือกติกา แล้วกติกานี้ก็ควบคุมให้ผู้ที่ปฏิบัติ

แล้วที่ปฏิบัติแล้วทีนี้มันอยู่ที่เวรกรรมแล้ว อยู่ที่เวรกรรมมันบีบคั้นหัวใจแล้ว ใครทุกข์มากทุกข์น้อย ถ้าใครกิเลสมากก็ทุกข์มาก ใครกิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย แล้วใครภาวนาไม่ได้เลย โอ๋ยมันเดือดร้อน ไม่เอาแล้วค่ะ เหงา

มีผู้ที่เจตนาตั้งใจจะปฏิบัติที่นี่เยอะมาก ลาออกจากพยาบาล จากออสเตรเลียมาอยู่ที่นี่ อยู่เกือบปี เสร็จแล้วไปหมด เพราะอะไร เพราะมันไม่มีเพื่อนคุย

ไม่มีเพื่อนคุย ไม่มีคนเลย อยู่กับต้นกอไผ่ เช้าก็กอไผ่ กลางวันก็กอไผ่ เย็นก็กอไผ่ โอ๋ยมันจะอยู่กันอย่างไร สุดท้ายไปหมด แต่ถ้าคนภาวนาดีนะ เขาหาที่อย่างนี้ เขาหาที่อย่างนี้ นี่ความเห็นเรานะ

เพราะหลายๆ คนบอกว่าที่ไหนก็บรรลุธรรมได้

ไม่ใช่ว่าที่ไหนก็บรรลุธรรมได้ บรรลุธรรมที่หัวใจต่างหาก หัวใจมันอยู่กับเราอยู่ทุกที่ หัวใจต่างหากเป็นผู้บรรลุธรรม สถานที่เราไปอาศัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมที่โคนต้นโพธิ์ ใครสำเร็จที่ไหนมันฝังใจทั้งนั้นน่ะ เหมือนคนจบจากสถาบันใด คนจบจากสถาบันใดมันก็ผูกพันกับสถาบันนั้น ใครภาวนาได้ผลที่ใดมันก็ผูกพันกับสถานที่นั้น มันผูกพัน แต่จริงๆ แล้วมันสำเร็จที่ไหน มันสำเร็จที่หัวใจต่างหาก

จะบอกว่าที่ไหนก็บรรลุธรรมได้

ก็ใช่ ที่ไหนก็บรรลุธรรมได้ แล้วบรรลุหรือเปล่าล่ะ บรรลุธรรมหรือธรรมบรรลุ มันไม่มีหรอก คลุกคลีอย่างนั้นเอาอะไรมาบรรลุ

ทีนี้จริงๆ นะ ที่เราเปิดฝั่งนู้นน่ะ เราเที่ยวมาเราเห็นมาเยอะ เราเห็นนะ มันแปลก เราเห็นแล้วเราสงสาร เพราะว่าเป็นพระเป็นวัยรุ่น เราจะมีการถกกันประจำ ผู้ชายมีโอกาสได้บวช ผู้หญิงไม่มีโอกาส

เราฟังมาเยอะนะ เรื่องผู้หญิงไม่มีโอกาส เราถึงทำของเราไว้ให้ แล้วทำไว้ให้ ตั้งกติกาไว้หมดเลย เพราะอะไร เพราะเราเห็นผู้หญิงตบกันตีกัน ผู้หญิงใช้เจ้าเล่ห์แสนงอนให้พระเข้าไปซ่อมนู่นซ่อมนี่ เราเห็นมาเยอะ เวลาอยู่ทางภาคอีสานครูบา น้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง” ครูบาก็บริการ

มันเห็นมามาก เราถึงตั้งกติกาไว้หมด แล้วไม่ให้ใครมาล้มกติกานี้ กติกานี้ที่สร้างขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันมีผู้ทำความเสียหายมาทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่ที่นี่ ที่ที่เราธุดงค์ผ่านมา เห็นมีคนทำความเสียหายไว้มากมายมหาศาลในแนวทางปฏิบัติที่ปฏิบัติกันมา แล้วเราก็ได้เดินผ่านแนวทางนั้นมา ถึงเวลาเรามาทำของเราที่นี่

ทำของเราที่นี่ ภาษาเรานะ เมตตา สงสาร เวลาใครมา ใครผ่านโลกมาหลวงพ่อ หลวงพ่อให้อยู่กี่วัน” เราบอก “อยู่ตามสบายมึงเลย

เวลามาจากที่อื่นนะ เขาให้ ๗ วันไง ถ้า ๗ วันนี้มันยังสำรวมระวังอยู่ ถ้าวันที่ ๘ มันจะออกฤทธิ์แล้ว กิเลสมันจะพองตัววันที่ ๘ วันที่ ๘ ที่ ๙ กูชักใหญ่แล้ว เพราะกูเก๋ากว่ามึง มึงอยู่แค่ ๗ วัน กูอยู่ ๘ วันนะ กูใหญ่กว่า พอใหญ่กว่า จะเหยียบเขาแล้ว

หลวงพ่อ อยู่ได้กี่วัน

ตามสบายมึงเลย

แต่พอมันอยู่ๆ ไปมันอยู่ไม่ได้หมด กิเลสมันร้ายนัก อยู่ๆ ไปแล้วเหงา ไม่มีใครคุยด้วย โอ้โฮยิ่งกลับเหงาเพราะภาวนาไม่ได้ แต่คนที่ภาวนาได้เขาหาที่อย่างนี้ เขาหาที่นะ ที่สงบสงัด หาที่ที่ไม่มีภาระหน้าที่

เอ็งไปอยู่ที่ไหน คนจะมอบอำนาจมอบให้มึงทำงานทั้งนั้นน่ะ เอ็งมาวัดกู กูมอบให้เลย ยืนเฝ้าเป็นรปภเฝ้าประตูให้กู คนที่เขาจะมอบภาระหน้าที่ให้ร้อยแปด

แต่ของเรา ถ้าจะทำอะไร เวลาเราพูดกับพวกลูกศิษย์ เมื่อก่อนนะ ตอนที่มาสร้างวัดใหม่ๆ โอ้โฮอเนจอนาถนะ เพราะเวลาปลูกต้นไม้มันเป็นไร่อ้อยเก่าหมด หญ้ามันจะขึ้นมากเลย เราต้องอาศัยแรงงาน อาศัยแรงงานมานะ แรงงานเราต้องอาศัยเขา เวลาอาศัยแรงงานขึ้นมา เราดูแลรักษา ไอ้นี่มันยังดีขึ้นมากมาย แรงงานนะ แล้วพูดถึงเวลาไปวัดอื่นนะ แรงงานอริยะ มันหลอกใช้ไง แต่ของเราไม่ใช่ มันเป็นเจตนา เป็นบุญกุศลของเรา

เวลาเราจะสร้างวัดนะ สงฆ์ทั้งจตุรทิศทั้ง ๘ ทิศที่ยังไม่ได้มาขอให้มาเถิด ที่มาแล้วขอให้อยู่สุขอยู่สงบอยู่สบาย นี่เราสร้างที่อย่างนี้ไว้เพื่อสังคม เพื่อสงฆ์ แล้วเรามาลงทุนลงแรงกันอาบเหงื่อต่างน้ำนี่ได้อะไร

เราทำที่ไว้เพื่อที่สงฆ์จากจตุรทิศที่อยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากหาที่ให้ได้มาพักอาศัย เราทำอะไร

เราสร้างเจดีย์ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านบอก สร้างเจดีย์ เจดีย์ได้บุญอะไร ได้บุญเวลาคนอื่นเขากราบไง เวลาคนไปเห็นแล้วเขากราบไหว้ เขากราบทีหนึ่งเราก็ได้บุญไง

นี่ก็เหมือนกัน เราทำไว้ให้เป็นที่พักอาศัยของคนอื่นไง คนที่มาพักมาอาศัยเขาจะรู้หรือไม่รู้เรื่องของมัน

ไอ้พวกนี้ไม่รู้เรื่องหรอก เรื่องของมึง มาอยู่มากินมันไม่รู้เรื่องหรอก กินเฉยๆ ขี้เฉยๆ แม่งก็ไปเฉยๆ มันไม่รู้หรอกว่ามันได้มาอย่างไร สถานที่นั้นกว่าจะมีกติกา กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้เขาทำมาขนาดไหนมันไม่รู้เรื่องหรอก มันรู้อย่างเดียว ทำลาย ทำลาย ทำลายเพราะอำนาจกิเลสกูไง กูยิ่งใหญ่ มึงก็ตายหมด

ยิ่งใหญ่ของมึงไปเถอะ ไร้สาระ เพราะอะไร เพราะเราผ่านมามาก เราผ่านเรื่องนี้มาเยอะ เราผ่านมาแล้ว นี่ไง ประสบการณ์ เราผ่านมาแล้วเรามาทำของเรา

เวลาใครมา “ฮู้ไม่เห็นมีอะไรเลย อยู่กับต้นไม้

ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่กว่าจะทำได้ ถ้ามีอะไรมาสุมหัวกันน่ะง่ายๆ เกณฑ์กันมาเลย

ฉะนั้น นี่พูดถึงไอ้เรื่องที่ว่าวัดที่อื่นๆ เขาต้องทำครัวทั้งวัน

เราเห็นใจนะ แล้วทำครัวทั้งวันแล้วถ้ามันเป็นหมู่คณะที่ดี สังคมที่ดี สาธุ ทุกสังคมมีคนดีและคนเลว แล้วกิเลสในใจของคน ร้ายกาจนัก มันจะเหยียบย่ำเขาทั้งนั้นน่ะ อยากจะเป็นผู้นำ ของมันถูกๆ ทำให้มันผิดซะ เพราะไม่ชอบขี้หน้า

ไม่ชอบขี้หน้ากับเรื่องถูกผิดมันคนละเรื่องกันนะมึง ถูกผิดเรื่องหนึ่งนะ แต่ไม่ชอบขี้หน้าแม่งผิดหมดเลย เวลากิเลสมันออกหน้าแล้วมันเสียหายไปหมด อันนั้นเรื่องทำครัว

แล้วกรณีนี้ก็เหมือนกัน มันก็อยู่เฉพาะเรามีชีวิตนั้นน่ะ เวลาถ้ามันไปแล้ว เห็นไหม ทั้งๆ ที่มีคนดีๆ หลายคนนะ เช้าๆ เขาจะไปบิณฑบาตกับเรา เราไม่อยากให้เขาไป เพราะมันมีหนึ่งก็จะมีสอง คนที่หนึ่งไปด้วยเจตนาที่ดี ไอ้คนที่เห็นดีมันตามไปด้วย พอตามไปด้วยนะ มันเหลียวซ้ายแลขวา มันมีโอกาสนะ เดี๋ยวมันออกฤทธิ์แล้ว ฉะนั้น ไม่ต้อง พระบิณฑบาตเอง พระทำเอง

สังเกต เราทำอะไรจบที่เราหมดเลย เพื่อไม่ให้มันต่อยอดไป ไม่ให้กิเลสมีทางออก ไม่ให้กิเลสมันเพ่นพ่าน กิเลสมันจะหาทางออก หาทางไปทั้งสิ้น ต้องปิดให้หมด ฉะนั้น เวลาปิดให้หมดเป็นแบบนี้

ฉะนั้นว่า ที่ไหนจะบรรลุธรรมๆ

บรรลุธรรม บรรลุธรรมขณะที่โม้ๆ นี่หรือบรรลุธรรม เวลาพูดก็พูดกันไป ไอ้นี่เป็นคำพูดของเขา

ทีนี้เวลาผู้ที่แสวงหาเราต้องใช้สติปัญญาของเราแล้วใคร่ครวญของเรา แต่กรณีนี้นะ กรณีการประพฤติปฏิบัติเราก็แสวงหาของเราไป เปิดกว้างฟังทั้งนั้นน่ะ

กาลามสูตร อย่าเชื่อ เอามาใคร่ครวญคิดดู อย่าไปเชื่อมัน ไม่มีความจริงหรอก พอไม่มีความจริง เวลาหลวงตาที่บ้านตาด ครัวเขาอยู่กันแคร่คนละอัน มีแคร่นะ แล้วมีคนอุทธรณ์ไงบอกว่า ความจริงหลวงตาไปสร้างตึกสร้างโรงพยาบาลมหาศาลเลย ทำไมในครัวไม่สร้าง

ท่านบอก สร้างไม่ได้หรอก สร้างไม่ได้ หมายความว่า คนไทยมัน ๖๐ ล้านคน ใครๆ ก็อยากมาปฏิบัติ สร้างแค่ไหนมันก็ไม่พอ ถ้าสร้างไม่พอแล้วท่านก็ปล่อยให้อยู่อย่างนั้นน่ะ ปล่อยให้มันขาดแคลนอย่างนั้น ถ้าคนที่มาอยู่นั้นต้องยอมรับความขาดแคลนอย่างนั้น นี่ความหมายของหลวงตานะ

ในครัวทำไมไม่ทำ

แล้วทำแล้วมันพอไหม มันไม่พอหรอก แต่บางคนถ้ามีคุณๆ ท่านบอกให้อยู่กุฏินั้นอยู่กุฏินี้ ท่านยกให้ ท่านเป็นคนชี้ให้เอง แต่โดยทั่วไปก็อยู่แค่ตากแดดตากฝนไป

ถ้าจะภาวนา เวลาภาวนาตากแดดตากฝนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าจะมาสร้างๆ มีเงินทองมหาศาลสร้างอะไรก็ได้ แต่สร้างเอาต่อเอาแตนมาตีกันมาต่อยกันอยู่ในตึก ไม่มีประโยชน์อะไร

สร้างตึกไว้เลยนะ นึกว่าจะให้คนมาภาวนา ที่ไหนได้ มีแต่ต่อกับแตนมาอยู่เต็มตึกเลย แล้วแม่งตีกันเอง ลงทุนแล้วมันเสียเปล่าท่านก็ไม่ทำ นี่เวลาท่านพูดอะไรเราฟังแล้วคิด

นี่พูดถึงว่า เวลาเที่ยวไปนะ ไอ้นี่ใช้สติปัญญา ไอ้นี่เราพูดกันโดยกันเอง เราคุยโดยกันเองนะ มันเป็นทัศนคติมองว่าถูกหรือมองว่าผิด

ถ้ามองว่าผิด มึงก็ติว่าผิดได้ตลอดไป ถ้ามึงมองว่าถูก มึงก็ชื่นชมได้เหมือนกัน มันเป็นทัศนคติของผู้มองด้วย แต่ของเราโดยหลัก เราทำของเราอย่างนี้

แล้วมีลูกศิษย์ลูกหามาอยากจะช่วยเหลืออย่างนู้น อยากจะช่วยเหลืออย่างนี้...ไม่ต้อง ไม่ให้ เราทำของเราอย่างนี้ เพราะอะไร

เพราะไอ้คนที่คิดจะช่วยดีมันมี แต่ไอ้คนที่ตามหลังมามันเยอะ ร้ายกาจ ไอ้พวกตามหลังมานั่นน่ะ ไอ้ผู้ที่ทำดีน่ะใช่ แต่ตามหลังมึงมา โอ้โฮเต็มเลย แล้วต่อไป “ทำไมคนนั้นได้ล่ะ ว่าแต่ผม คนอื่นไม่เห็นว่าเลย

เออปวดหัว จบ กูทำเองดีกว่า กูทำเอง เอวัง