คนมีคุณ
ถาม–ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “บาปมากไหม”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ หนูขอโอกาสเล่าเรื่องดังต่อไปนี้ หนูเป็นลูกคนเล็ก มีพี่ ๖ คน ตอนนี้เหลือแต่เตี่ย แม่ตายแล้ว หนูมีหน้าที่คือเลี้ยงดูเตี่ยกับพี่สาวคนโตเป็นสาวแก่ ฐานะหนูปานกลาง ด้วยความสัตย์จริงของหนูไม่เคยเลี้ยงให้พวกเขาอดอยากเลย ให้กินอย่างเต็มที่เท่าที่กำลังจะซื้อได้ แต่ก็ยังโดนพี่ๆ ว่าเลี้ยงให้เขาอดๆ อยากๆ และเตี่ยหนูเองก็เป็นคนด่าเก่ง ด่าไม่เลือกที่ ด่าแต่หนู หนูเป็นลูกคนเล็ก แต่ถ้าพี่มีปัญหา หนูต้องเป็นคนออกหน้าแทนให้ทุกคน แต่ตอนนี้หนูประกาศตัดขาดจากพี่ๆ ทุกคนที่ประณามหนู
เรื่องเตี่ยหนูเอง เวลาด่าหนูก็เถียงแบบแรงๆ เพราะหนูไม่ได้ทำอะไรผิด ตอนนี้หนูไม่พูดกับเตี่ย พยายามเดินหลบ ไม่พบกันซึ่งหน้า เวลาเตี่ยหนูหลับ หนูจะเข้าไปกราบเท้าขอขมาโดยที่ไม่ให้เขารู้ ทุกวันนี้หนูก็ยังเป็นคนดูแลเหมือนเดิม
หนูทำแบบนี้กับเตี่ยและพี่ๆ บาปมากไหม หนูภาวนาไม่ได้เลย ใจคอยนึกถึงแต่คำที่พวกเขาด่า หนูควรจะทำอย่างไรดี ทรมานกับสภาพตอนนี้มากๆ เลยค่ะ ถ้าหลวงพ่อไม่สะดวกที่จะอ่านเพราะมันยาว ก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอแค่คำตอบก็ได้ กราบนมัสการ
ตอบ : “หนูขอแค่คำตอบก็ได้” คำตอบ ในเมื่อพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก สิ่งที่เราได้ชีวิตนี้มาก็จากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่พ่อแม่ก็เป็นปุถุชน พ่อแม่เป็นปุถุชนพ่อแม่ก็ต้องมีอารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเป็นคนที่มีสติปัญญาพอ เราก็พยายามจะทำแต่คุณงามความดี
แต่เริ่มตั้งแต่คำถามนะ บาปมากไหม บาปมากไหม
เพราะคนถามเขารู้อยู่แล้วว่า ถ้าการทำให้พ่อแม่สะเทือนใจมันก็เป็นบาปเป็นกรรม สิ่งที่เป็นบาปเป็นกรรมนะ แต่ทำไมเราทำคุณงามความดีขนาดนี้ทำไมคนอื่นไม่เห็นความดีของเรา ทำไมคนอื่นไม่เห็นความดีของเรา
เห็นมหาศาลเลย ทุกคนเขาเห็น แต่ทุกคนก็มีกิเลส ทุกคนก็เห็นแก่ตัว ทุกคนก็มองแต่ในมุมมองของตน ไม่มองมุมมองของคนอื่น เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
ความดี เวลาคนโดยธรรมชาติของมนุษย์นะ ผิดชอบชั่วดีทุกคนรู้ว่ามันผิดมันชอบมันชั่วมันดี แต่มันก็ทนไม่ไหว มันก็ทนไม่ไหว มันก็จะเอาดีเข้าตัวๆ เอาความผิดพลาดให้คนอื่นทั้งสิ้น ถ้าเอาความผิดพลาดให้คนอื่น เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสนะ
นี่พูดเป็นวิทยาศาสตร์เรื่องของกิเลสก่อน มันจะเป็นเรื่องของกิเลสแต่ละบุคคล ในใจของคนมันมีกิเลสของมัน พอมีกิเลสของมันนะ มันก็เห็นแก่ตัวของมัน มันก็จะเอาแต่ความดีใส่ตัวของมัน ชี้ไปที่คนอื่นหมดเลย แล้วถ้าเป็นครอบครัวนะ ครอบครัวที่มีแต่ทิฏฐิมานะมากๆ นะ ก็จะมีปัญหาภายในครอบครัว
ตอนนี้ดูข่าวสิ ลูกๆ ฆ่าพ่อฆ่าแม่มันเป็นไปได้อย่างไร นี่มันเป็นไปแล้ว แต่นี้มันเป็นไปแล้ว เพราะอะไร เพราะเวลาไปมันเรื่องยาเสพติด เรื่องการพนัน เรื่องเศรษฐกิจมันบีบรัด บีบรัดจนคนมันตึงเครียดไง คนมันมีแต่ภาระในหัวใจมันมีมหาศาล
อันนี้ก็เหมือนกัน ย้อนกลับมาเราไง ทั้งหมดนะ ที่ดีใจมีอยู่ช่วงหนึ่ง “เวลาเตี่ยหนูหลับ หนูจะเข้าไปกราบเท้าขอขมาทุกครั้ง”
เวลาชื่นใจ ชื่นใจตรงนี้ ถ้าชื่นใจตรงนี้นะ “เวลาเตี่ยหนูหลับ หนูเข้าไปกราบขอขมา”
แสดงว่าจิตใจของเรายังเป็นคนดีอยู่ จิตใต้สำนึกเรายังรู้จักผิดชอบชั่วดีของเรา เราเข้าไปกราบเท้าขอขมาโดยที่ไม่ให้ท่านรู้ เพราะท่านด่าเก่ง ด่าต่อหน้าด้วย
คำว่า “ด่าเก่ง ด่าต่อหน้า” มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์ถ้าถือสิ่งใดเป็นเจ้าของแล้วมันยึดว่าเป็นของกูๆ ไง พ่อแม่ยึดว่าลูกเป็นของเขา พ่อแม่ ลูกเป็นของเรานะ เขาจะประสบความสำเร็จทางโลกสูงส่งขนาดไหน ถ้ากลับไปบ้านก็ลูกเราน่ะ ฉะนั้น ในทางเศรษฐกิจ ในทางโลกเวลาเขาจะวิ่งเต้น เขาไปวิ่งเต้นที่พ่อแม่นู่น ไปวิ่งเต้นรอบข้างนู่น
นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้นจะบอกว่า สิ่งที่เราเกิดมามันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมนะ ไปดูครอบครัวที่รุนแรงนะ รุนแรงมาก ครอบครัวที่รุนแรงทำลายกัน ฆ่ากัน มันเป็นผลที่รุนแรงมาก
แต่ถ้าครอบครัวของโยมมันระดับปานกลาง นี่ไง ไอ้เรื่องพี่ๆ น้องๆ ปล่อยเลย เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาดีจริง เขาเก่งจริง ทำไมเขาไม่ดูไม่แล
เวลาคน การมาดูแลพ่อแม่มันเป็นเรื่องภาระนะ มันเป็นภาระความรับผิดชอบ มันเป็นหน้าที่ของลูก แต่เวลาเขาไม่ได้ทำ แล้วคนไม่ได้ทำมันดีแต่ปาก เวลาคนดีแต่ปากมันชี้บอกได้เลย
แล้วไอ้พวกติฉินนินทา เขายืนยันมาว่า เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่โดยที่เต็มความสามารถของตน ยืนยันได้ว่าเต็มความสามารถ ไม่ได้ปล่อยให้อดๆ อยากๆ แล้วเวลาพี่ๆ น้องๆ มาก็จะมาชี้ว่าอดๆ อยากๆ เพราะอะไร เพราะมันเป็นการติฉินนินทา
นินทากาเลมันมีทั้งนั้นน่ะ ไอ้นินทามันไปกว้านอะไรมานินทามึงก็ได้ แล้วมันนินทานะ นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี นู่นก็ไม่ถูก นี่ก็ไม่ถูก
แล้วมึงไม่ทำล่ะ มึงเอาไปทำสิ เวลาทำมันไม่ทำหรอก ทำนี่มันยาก แต่เวลาพูดน่ะมันง่าย เวลาทำมันยาก เวลาติฉินนินทามันติฉินนินทาทั้งนั้นน่ะ
ฉะนั้น เราทำหน้าที่ของเรา ทำด้วยความภูมิใจนะ
เรามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง เวลาเขาบอกนะ พ่อหรือแม่เขาติดเตียง เขามีฐานะนะ เขาซื้อรถตู้เลย แล้วทำอย่างดีเลย เพราะมันติดเตียงแล้วต้องเอาไปโรงพยาบาลตลอด เขาดูแลพ่อแม่เขา เขาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวพ่อแม่เขามาตลอดเลย ทำจนพ่อหรือแม่สิ้นชีวิต พอสิ้นชีวิตปุ๊บ พี่ๆ น้องๆ มาเลย อู๋ย! งานศพต้องจัดอย่างนั้นนะ
เขาบอก มึงเอาไปเลย จะจัดอย่างไรก็ได้ตามสบาย กูพอแล้ว
นี่เขาดูแลพ่อแม่เขาจนสิ้นชีวิต พอพ่อหรือแม่สิ้นชีวิต ไอ้ลูกๆ มา แหม! หน้าใหญ่เลย สังคมไง จัดงานศพ แขกได้ยกมือไหว้เขาไง ไอ้คนที่ดูแลอยู่ “ตามสบาย เอาเลย” แล้วเขาไม่ไปยุ่งเลยนะ เขาปล่อยเลย เขาไปงานอยู่ แต่เขาให้ภาระคนรอบข้าง เขาไม่เอาเลย
ตอนที่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวไม่เห็นหน้ามึงเลย ไม่มีใครมาแบ่งเบาภาระเลย แต่เวลาตายแล้ว แหม! หน้าใหญ่มาก
ย้อนกลับมาที่นี่ พี่ๆ น้องๆ คอยด่าหนู คอยว่าหนูเลี้ยงอดๆ อยากๆ ไอ้เราก็ทำเต็มที่ของเราแล้ว
ถ้ามันเป็นจริงนะ เรื่องพี่ๆ น้องๆ เรื่องของเขา มันเป็นเรื่องการนินทากาเล แต่ถ้าเรื่องของเรานะ คนมีคุณ คนจีนถือเรื่องกตัญญูกตเวที เราทำความดีของเรา แล้วถ้าทำดีแบบทิ้งเหว เราทำดีในหัวใจเราเต็มที่แต่เราไม่พูด เราทำตลอด ถ้าเราทำคุณงามความดีนะ พยายามทำคุณงามความดีของเรา
ทีนี้ถ้าพ่อแม่นะ ถ้าอยู่กับใครได้ พี่น้องเลี้ยงได้ เราก็โอเค ถ้าเลี้ยงไม่ได้ เอามา เราเลี้ยงเอง แต่นี่ไม่ต้องเอามาหรอก เขาให้เราเป็นหน้าที่เราอยู่แล้ว เราทำของเราอยู่แล้ว แล้วเขามาติฉินนินทาเรา แล้วเขาบอกภาวนาไม่ได้เลย คิดแต่คำด่าของเขา ภาวนาไม่ได้เลย
ไอ้คำด่านั้นน่ะ ไอ้คำนินทาที่ไหนก็มี เวลาหลวงตาท่านพูดเลย คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก
ไอ้คนโง่มาก เวลามันติฉินนินทามันเป็นกระแสเลย ดูในโซเชียลสิ เขียนอะไรไป ไปเป็นแถบเลย มันไม่ได้ยั้งคิดอะไรเลยนะ ถูกหรือผิดยังไม่รู้ มันใส่เข้าไปก่อนแล้วเต็มๆ เลย
เหมือนกัน โลกเป็นแบบนี้ ถ้าโลกเป็นแบบนี้ไปตื่นเต้นอะไร ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจอะไรกับเขา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานะ เราทำคุณงามความดีของเรามันเป็นผลประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำคุณงามความดี เห็นไหม
ฉะนั้น คำถามว่า “หนูทรมานในสภาพแบบนี้มาก ทรมานมาก”
ทรมานมากเพราะเราขาดสติ ทรมานมากเพราะเราไม่มีกัลยาณมิตร ถ้าเรามีกัลยาณมิตรผ่อนเบาภาระ เวลาคนเรามันจนตรอกขึ้นมามันอยากต้องการมีที่ปรึกษา มีที่ผ่อนคลาย ไอ้ตอนนี้ที่เราทรมานมากเพราะเราไม่มีที่ผ่อนคลาย ไม่มีที่ระบาย แล้วมันไม่มีใครรู้หัวอกของเราไง
ถ้ารู้หัวอกของเรา ถ้าระบาย ระบายกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ถ้าเป็นที่พึ่งของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกเรื่องนี้เรื่องพ่อเรื่องแม่นะ เวลาให้มรดกลูกไปแล้ว ลูกไม่เลี้ยง ไปโพนทะนา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเลย ให้ประกาศเลยว่าไอ้ลูกมันทรพี
อู๋ย! สังคมเขาบีบนะ ลูกต้องกลับมารับเลี้ยงพ่อแม่ อยู่ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกก็มีเรื่องนี้ มีมหาศาล มันมีมา
เราจะบอกว่า เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องแต่อดีตเวรกรรม กรรมเก่ามันมีมา แล้วในปัจจุบันนี้เราอยู่ในสภาพนี้ แล้วถ้ากรรมต่อไปนะ เราจะบอกว่า โยมควรทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ เพราะอะไร เพราะลูกๆ ของโยมมันเห็นอยู่
เวลาลูกๆ ของโยม เวลาคนเขามาติฉินนินทาแม่มันก็เห็น แล้วถ้าแม่ทำอะไร ลูกมันก็เห็น ถ้าลูกมันเห็นนะ ต่อไปอนาคตถ้าโยมชราภาพคร่ำคร่าไป ลูกๆ มันก็จะทำกับโยม เวลาทำกับโยมนะ โยมบอกว่าทำไมไม่ทำดีกับพ่อกับแม่ เขาก็จะบอกว่า ก็เห็นพ่อแม่ทำกับปู่ย่าตายายอย่างนี้ไง
คนที่ดูตัวอย่างที่ใกล้ตัวเราที่สุดมีนะ ลูกๆ หลานๆ เรานั่นน่ะมันมองกันอยู่ ถ้ามันมองอยู่ เราทำคุณงามความดีอย่างใด เด็กมันจะเด็กขนาดไหนมันก็มีความคิดของมัน
แล้วครูคนแรกคือพ่อกับแม่ พ่อกับแม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีงาม ลูกๆ ของเรามันมองเราอยู่ ถ้ามันมองเราอยู่ เราทำแต่ความดีของเราๆ ต่อไปเราสอนลูกด้วยพฤติกรรมของเรา นี่มันก็ส่งต่อเนื่องไป
จากกรรมเก่า เวลากรรมเก่ามันจะมีไฟต์อะไรกันมาก็แล้วแต่ เพราะอะไร พ่อแม่ที่ดีงามก็มีมาก พี่น้องที่ดีงามก็มี พี่น้องที่เห็นแก่ตัว แล้วเวลาพูด พูดเอาดีใส่ตัวนะ เอาแต่ความผิดให้คนอื่นทั้งนั้นน่ะ พี่น้องผิดหมดเลย เขาดีอยู่คนเดียว
ดีอยู่คนเดียว เอ็งไม่ทำอะไรเลย เตี่ยก็อยู่กับเรา เราอุปัฏฐากดูแลอยู่ก็อยู่กับเรา เราทำทั้งนั้นเลย แล้วยังบอกว่าขาดตกบกพร่อง
ทีนี้เขาบอกเลย เขาสัญญาเลย เขาพูดด้วยความสัตย์ว่าเขาดูแลด้วยเต็มกำลังของเขา ไม่มีการอดๆ อยากๆ
อันนี้มันเป็นผลของเรา นี่พูดถึงคนมีคุณกับเรานะ คนที่ดีกับเรา เราก็ทำคุณงามความดีของเราตอบสนองต่อไป กรรมเก่ากรรมใหม่มันมีของมัน เวลากรรมมันให้ผลมันแทงใจเราอย่างนี้ แล้วเราก็พยายามอดกลั้นไว้ ขันติธรรม แล้วทำความดีต่อไป
เวลาเตี่ยเขาหลับแล้วเราไปกราบที่เท้าขอขมา
เราจะขอฝากไว้คำเดียวเท่านั้นน่ะ พยายามเงียบซะ เตี่ยจะด่าอย่างไรก็เงียบซะ ยกให้ท่านไป ถือว่าของนี้ยกให้ บุญคุณที่ให้ชีวิตนี้มา จะทำอย่างไร อ้าว! ตามสบาย แต่เราก็ยังอุปัฏฐากดูแลอยู่เหมือนเดิม แต่อย่าไปโต้เถียงโต้แย้ง โต้เถียงโต้แย้ง เอาน้ำมันสาดเข้าไปกองไฟ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ชักฟืนของเราออก ชักน้ำมันของเราออก ถ้าเตี่ยเขาจะมีมุมมองอย่างนี้ พี่ๆ น้องๆ มันไม่มีใครดูแลเลย เราดูแลอยู่คนเดียว แล้วท่านยังด่าเราอยู่คนเดียว ก็มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราแล้วกัน เงียบซะ อย่าเถียง อย่าด่าตอบโต้ เงียบซะ เงียบเฉยๆ นี่แหละ แต่ก็ยังอุปัฏฐากดูแลอยู่เหมือนเดิม เดี๋ยวได้คิดเองน่ะ
ความดี เรื่องของเวรของกรรม เรื่องของบาปอกุศลมันแพ้ความดีของคน แต่เราจะดีได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเราก็มีความอดทนมีจำกัดเนาะ เราพยายามของเรา
เพราะว่าเรื่องนี้ใครไม่พบไม่เห็นก็ว่ามันไม่ใช่เรื่องของคนคนนั้น ถ้าเรื่องของคนคนนั้นนะ เราบอกว่า คนมีคุณๆ เขามีบุญคุณกับเรา ถ้าเราทำคุณงามความดี เราทำความดีตอบสนองความดีอันนั้น
แล้วทำความดีด้วยคุณงามความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมๆ ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ระบาย ระบายกับพุทโธ หายใจเข้า หายใจออก
เขาบอกว่าตอนนี้ภาวนาไม่ได้เลย เพราะว่าคำด่าของพี่ๆ น้องๆ มันสุมเข้ามาในตัวเราเต็มที่เลย
วางให้ได้ ติฉินนินทา โลกธรรม ๘ มีมาเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังโดนนินทา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังโดนกลั่นแกล้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังโดนทุกๆ อย่าง
เรายังไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นเลย เราพยายามหาทางออกของเรา นี่ไง เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนติฉินนินทาทั่วโลก ยิ่งลัทธิศาสนาอื่นเขาทำนะ ทำลายเลย เพราะคนเห็นผิด เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพี่น้องของเราเห็นอย่างนั้น ปล่อย ปล่อยเขาไป ภาษาเรานะ เรื่องนี้มันเป็นทุกๆ ครอบครัว มีมากหรือมีน้อย
แล้วอย่างนี้ เราดีใจอยู่สองข้อ
หนึ่ง เวลาท่านหลับแล้วเราไปกราบขอขมา แสดงว่าเรายังเป็นคนดีอยู่ เรายังรู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่
กับไอ้ทรมานหัวใจ ทรมานหัวใจที่พี่น้องเสียดสี เรื่องของเขา เขาไม่ทำเลย เขาใช้ปากทำ เราใช้มือทำ เราใช้มือทำ เราทุกข์เรายาก แต่เราก็ทำของเราไปเพราะพ่อของเราเนาะ จบ
ถาม : เรื่อง “ขอทางต่อไป”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกเริ่มภาวนาได้ ๔ ปีแล้ว แต่มีปัญหาคือลูกยังหาจริตนิสัยของตัวเองไม่เจอ แต่ลูกรู้และแน่ใจว่าลูกไม่ชอบพิจารณากายเหมือนอย่างคนส่วนมาก มันทำให้ลูกรู้สึกไม่มั่นใจในการภาวนาของตน เพราะคนส่วนมากจะชอบพิจารณากายกัน แต่ลูกไม่ชอบเลย สำหรับลูกมันจืดชืดมากๆ เขาเห็นกายกัน แต่ลูกไม่เคยเห็นเลย
แต่สิ่งที่ลูกสังเกตตัวเองคือเวลาภาวนาลูกชอบกลับมาคิดถึงอารมณ์ความคิดของตัวเองที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำอย่างไรมันถึงไม่เกิด ทำนองนี้เป็นประจำ มันเป็นของมันเอง อย่างนี้คือการพิจารณาธรรมารมณ์ใช่ไหมเจ้าคะ แล้วลูกควรจะส่งเสริมมันต่อไปอย่างไรคะ ขอความเมตตาหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ
ลูกจนปัญญาจริงๆ ถามใครๆ ส่วนมากก็ให้พิจารณากาย แต่ลูกรู้ตัวเลยว่าทำไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะก้าวต่อไปอย่างไรค่ะ
และที่ลูกสังเกตตัวเองอีกอย่างคือลูกเป็นคนสมาธิสั้น พุทโธได้ไม่ดีเลย เลยลงไปนิ่งได้แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็คิดอีก พักหลังมาลูกลองเปลี่ยนมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พยายามคิดหาเหตุผลให้มันหยุดคิด รู้สึกว่าถูกกันดีมากกว่าพุทโธเจ้าค่ะ จะลงไปนิ่งได้เร็วขึ้นและนานขึ้น
ตอบ : นี่คือคำถามนะ คำตอบคือ สิ่งที่เราทำมาๆ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเราใช้ ดูซิ อารมณ์มันเกิดขึ้นมาอย่างไร สิ่งที่เวทนาเกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างไร เวลามันเป็นไปโดยสติโดยปัญญา โดยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ทำด้วยจินตนาการ ไม่ใช่ทำโดยการสร้างภาพขึ้นมา ถ้าสร้างภาพขึ้นมาก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง
เราทำตามข้อเท็จจริง เพราะทุกข์ เราก็เป็นคนทุกข์เอง ถ้ามันปล่อยวาง เราก็เป็นคนปล่อยวางเอง ปล่อยวางจริงๆ แล้วทำต่อเนื่องไปมันจะละเอียดดีขึ้นๆ ไป แล้วดีขึ้นไปแล้ว ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลาเราปัญญาอบรมสมาธิไปแล้ว เวลามันสิ้นสุดแห่งความคิดแล้วจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าเวลาเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิแล้ว ถ้ามันหยุดแล้ว ถ้าหยุดแล้วความคิดมันไม่เกิด ให้พุทโธต่อเนื่องไป
ใช่ เราบอกว่าเราพุทโธไม่ได้ เราพุทโธแล้วมันไม่สงบ พุทโธแล้วมันไม่นิ่ง พุทโธได้แป๊บเดียว
ไอ้นี่มันเริ่มต้นจากว่า เราจะพุทโธ เรามีกิเลส คือมีกิเลสหรือความไม่ชอบ เราไม่ชอบมัน แต่เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันดี ดีก็ดีจริง แต่เราไม่ปฏิเสธพุทโธ
ต่อไปข้างหน้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการการทำความสงบ ๔๐ วิธีการเราจะไม่ปฏิเสธ แล้วเราจะเอามาใช้จังหวะ เราจะเอามาใช้เฉพาะที่ว่าเราควรทำอย่างใดในเวลานี้ แล้วเวลามันทำไปแล้ว จิตที่มันดีขึ้นแล้ว เราควรมีสิ่งใดทำต่อเนื่องไปให้จิตมันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไง
ฉะนั้นบอกว่า ถ้าเราพุทโธไม่ได้แล้วเราจะไม่พุทโธเลย แล้วเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิไปตลอดไป แล้วถึงเวลาแล้ว เพราะปัญญาอบรมสมาธิเวลาจิตมันหยุดคิด ปัญญามันไล่ทันความคิด ความคิดมันหยุด
มีคนถามมาก “แล้วทำอย่างไรต่อหลวงพ่อ ทำอย่างไรต่อ”
แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลาความคิดมันเกิดขึ้น เราจับเราไล่ไปเรื่อยๆ พอหยุดเดี๋ยวก็คิดอีก แต่บางทีมันหยุดแล้วมันไม่คิด พอไม่คิด เราจะทำอย่างไรต่อไป
ไม่คิด เราก็มาอยู่กับพุทโธสิ ถ้าไม่คิด เราปล่อยนะ มันเร่ร่อนเหมือนว่าวเชือกขาด ว่าวเวลาขึ้นไปข้างบนแล้วเชือกมันขาด ไม่มีใครควบคุมมันนะ เดี๋ยวมันก็สั่นไหว แล้วเดี๋ยวมันก็หัวปักลงดิน
แต่ถ้ามันมีเชือกควบคุมมันอยู่ เวลาปัญญาอบรมสมาธิมันหยุดคิด เวลาหยุดคิดแล้ว ถ้ามันหยุดคิด เรายังมีสติอยู่ เราก็คอยสังเกต ถ้ามันคิด เราก็จับความคิดพิจารณาต่อเนื่องไป นี่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ
แต่บางวรรคบางตอนมันหยุดเฉยๆ เราใช้ปัญญาไปเรื่อยๆ แล้วมันหยุด หยุดแล้วทำอย่างไรต่อ หยุดแล้วค้างเติ่งอย่างนี้
พุทโธครับ พุทโธเลย ถ้าหยุดแล้วพุทโธต่อเนื่องไป เพราะพุทโธคราวนี้มันไม่ใช่พุทโธแล้วเคร่งเครียด ไม่ใช่พุทโธแล้วมันจะเป็นสมาธิแป๊บเดียว พุทโธแล้วจะพุทโธสั้นๆ
ถ้าพุทโธไม่ได้ เราค่อยมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้ามันปัญญาอบรมสมาธิถ้ามันดีขึ้นแล้วเราก็ใช้พุทโธ คำบริกรรมต่อเนื่องไป
คำบริกรรมนะ เวลาหลวงตาและหลวงปู่มั่นเวลาท่านวิจารณ์พวกที่ปฏิบัติ เวลาท่านจะพูดคำว่า “มันไม่มีคำบริกรรม” หลวงตากับหลวงปู่มั่นท่านพูดประจำ แต่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง
แต่ของเรานะ เวลาท่านพูด เราเข้าใจเลย ท่านบอกว่า “มันไม่มีคำบริกรรม” ถ้ามันไม่มีคำบริกรรม เหมือนเรา เราไม่มีเครื่องดำเนินการต่อไป
ถ้าเครื่องดำเนินนะ เหมือนเราไม่มีรถ ถ้าเราไม่มีรถ เราก็ไปถึงเป้าหมายไม่ได้ ถ้าเรามีรถ เรามีรถเป็นพาหนะ เราก็ถึงเป้าหมายได้
คำบริกรรมมันจะทำให้จิตมันพัฒนาการของมัน เพราะมันบริกรรม คำบริกรรมคือนวกรรม นวกรรมคือการกระทำ จิตมีการกระทำ จิตมันมีผลของมัน จิตไม่มีนวกรรม จิตไม่มีผล ปล่อย ลอยหมดเลย ตรงนี้สำคัญ
แต่ถ้ามันบริกรรมไปแล้ว บางคนเผลอ พอพุทโธมันนิ่งดีแล้ว เออ! นี่ว่าใช่ แล้วไม่บริกรรม เดี๋ยวพอมันเสื่อมหรือมันหลุกหลิก มันส่งออกไป แล้วอะไร งงนะ
แต่ถ้ามันมีคำบริกรรมต่อเนื่องไป เวลาหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านจะบอกเลย“มันไม่มีคำบริกรรม”
เวลาพระกรรมฐานเขาคุยกันไง อาการอย่างนี้ๆ เป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นอย่างนี้ เราฟังท่านจะบอกว่า “มันไม่มีคำบริกรรม” มันไม่มีคำบริกรรมคือไม่มีการกระทำ ไม่มีการกระทำคือไม่มีนวกรรม จิตไม่มีการกระทำ จิตมันพัฒนาไปไม่ได้
แต่เวลาเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ไง นวกรรม คือปัญญา เวลาพุทโธๆ มันก็เป็นคำบริกรรม มันต้องมีคำบริกรรมต่อเนื่องไป
เราจะพูดถึงว่า ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เราก็เห็นด้วย แต่มีปัญญาอบรมสมาธิแล้ว เวลามันหยุดแล้ว มีมาก มันไม่ต่อเนื่อง มันไม่ดำเนินการต่อเนื่องไป
เราบอก ให้พุทโธได้ พุทโธเอามาใช้ เอามาใช้แล้วมันไม่กีดไม่ขวางไง
แล้วทีนี้ย้อนกลับมา “โดยทั่วไปทุกคนเขาพิจารณากาย แต่หนูพิจารณากายแล้วมันจืดมันชืด”
เราจับจิตได้ ถ้าเราใช้ความคิดมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเวลาปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันสงบแล้ว เวลามันเห็นอาการของจิตก็เห็นความคิดนั่นแหละ
แต่เห็นความคิด ที่ว่า “สิ่งที่ทำมันเป็นธรรมารมณ์ใช่หรือไม่”
มันเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ถ้าจะบอกว่าใช่ก็ได้ แต่ถ้าโดยข้อเท็จจริงไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะที่เวลาเราพูด ถ้าจิตไม่สงบ ที่ว่า “แนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางสติปัฏฐาน ๔” ถ้าจิตยังไม่สงบ จิตไม่มีกำลัง ไอ้ที่คิดมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิทั้งหมด มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิคือมันเป็นเรื่องโลกทั้งสิ้น
ไอ้พิจารณากายๆ มันเป็นการนึกกาย มันไม่ใช่จิตเห็นกาย มันเป็นการนึกภาพกายขึ้นมา แต่ถ้าจิตสงบแล้วถ้าจิตเห็นกาย จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นคือแนวทางสติปัฏฐาน ๔
จิตสงบแล้วเห็นจิต เห็นอารมณ์ จับอารมณ์ได้
จับอารมณ์ได้ อย่างที่เราพูดบ่อยมาก โปฐิละ โปฐิละเวลาไปหาสามเณรน้อยที่เป็นพระอรหันต์ ปิดนะ ร่างกายเหมือนจอมปลวก มันมีรูอยู่ ๖ รู ปิดเสีย ๕ รู เหลือรูไว้รูหนึ่งคอยจับเหี้ยตัวนั้น
ในจอมปลวกนั้นมีเหี้ยอยู่ในจอมปลวกนั้น คอยจับเหี้ยตัวนั้นมาพิจารณา ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือใจไว้ช่องหนึ่งแล้วคอยจับช่องนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันเห็นของมัน ถ้ามันจับได้ เหี้ยตัวนั้นน่ะ ถ้าจับเหี้ยตัวนั้นได้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม นั่นมันถึงจะเป็นธรรมารมณ์ มันถึงจะเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔
แต่ถ้าจิตเรายังไม่สงบ เราพยายามทำของเรา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิไป ไอ้นี่มันเป็นพื้นฐานที่เราจะทำความสงบของใจ นี่คือการภาวนาของเราในขั้นของเริ่มต้นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน
บาทฐาน ภวาสวะ ภพคือจิต นี่ฐานที่ตั้งสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งก็คือจิต เวลาภวาสวะ กิเลสตัวภพตัวชาติก็คือตัวจิต ถ้าตัวจิตทั้งสิ้น ถ้าคนภาวนาเป็นแล้วมันจะเข้าใจ ถ้ายังไม่ภาวนาเป็น เราทำของเราไป
เพราะคำถามว่า ถ้าอย่างนี้เป็นธรรมารมณ์ใช่หรือไม่
ถ้าโดยทั่วไป ถ้าจะบอกว่าใช่เป็นแนวทาง ถูก แต่ถ้าบอกว่าใช่ในการสติปัฏฐาน ๔ ยัง ยังเพราะอะไร ยังเพราะพื้นฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานยังไม่มั่นคง ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานที่เกิดบนฐานนี้มันยังไม่ชัดเจน
ถ้ามันชัดเจนมันถึงจะบอกว่าเป็นธรรมารมณ์ใช่หรือไม่ ใช่ ถ้ายังไม่ใช่ก็ยังไม่ใช่ แต่แนวทางนี่ถูกต้อง
ยืนยัน ยืนยันว่า การพิจารณากายของหลวงปู่ดูลย์ การพิจารณากายของหลวงปู่ดูลย์ไม่ต้องเห็นกาย การพิจารณากายโดยการเปรียบเทียบโดยปัญญา การพิจารณากายเปรียบเทียบว่ากายนี้มันเปรียบเป็นทางวิทยาศาสตร์ เปรียบเทียบกับอะไรก็ได้
แล้วว่ามันมีความจำเป็น มีการต่อเนื่องอย่างไรต่อไป
การพิจารณากายโดยที่ไม่ต้องเห็นกาย
การพิจารณากายเห็นกายเป็นเจโตวิมุตติ
ถ้าการพิจารณากายโดยปัญญาวิมุตติ พิจารณากายโดยนามธรรม พิจารณากายโดยธรรมารมณ์นี่ไง พิจารณากายโดยความคิด เอาความคิดเอาปัญญามาคลี่คลาย มาคลี่คลายมาพยายามพิจารณาให้มันปล่อยวาง ถ้ามันเป็นอย่างนั้น นี่การพิจารณากายโดยไม่เห็นกาย
การพิจารณากายๆ ที่เขาว่าพิจารณากายกันน่ะ มันพิจารณากายเป็นสูตรสำเร็จ มันพิจารณากายโดยตำรา เพราะถ้ามันเป็นจริงนะ ถ้ามันเป็นจริงมันจะมีคุณธรรมในใจของมัน มันจะมีความซาบซึ้งในใจของมัน
นี่พูดถึงว่าเขาบอกว่า “ขอทางต่อไป”
ขอทางเดินต่อไปไง เพราะว่าใครๆ ก็ต้องพิจารณากาย แล้วปฏิบัติแล้วเราเป็นความรู้ส่วนตัวของเรา เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกของเรานะ ปฏิบัติแล้วให้ปฏิบัติไป แล้วถ้ามีปัญหาค่อยถามมาก็ได้
แต่บอกว่าไปคุยกับเพื่อน ไปคุยกับเพื่อนทุกคนก็พิจารณากาย
เป็นอย่างนั้นหมด เป็นสูตรสำเร็จ “จิตสงบแล้วพิจารณากายสิคะ จิตสงบแล้วพิจารณากายสิคะ” แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ “ก็พิจารณากายสิคะ”
เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ นักปฏิบัติชั้นยอดของประเทศไทยเลย “พิจารณากายสิคะ”
หลวงปู่เจี๊ยะท่านถาม แล้วเอ็งเอาอะไรพิจารณาล่ะ เขาต้องเอาจิตพิจารณานะ ถ้าจิตพิจารณา จิตเป็นสัมมาสมาธิมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้
“พิจารณากายสิคะ พิจารณากายสิคะ” ก็นึกเอา นึกเอาจินตนาการเอาไป เขาเลยพิจารณากายกันแบบนี้ไง
โยมไม่ต้องไปตกใจ นี้คำถามเรายืนยันว่า การพิจารณากายของเขามันเป็นวิธีการของเขา ก็เรื่องของเขา
แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัติเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง เอาอย่างนั้น เอาปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรมมันจะมีความสดชื่น มันจะมีความสุข มันจะมีความเข้าใจในใจของเรา ถ้ามันเป็นความเข้าใจของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เอาตรงนี้
ฉะนั้น ไอ้การพิจารณากายของเขา ยกให้เขาไป แต่ถ้าการพิจารณาของเรา ถ้าพิจารณาความคิด พิจารณาอารมณ์ต่างๆ ถ้าเป็นประโยชน์ของเรา เราภาวนาของเรา เรายืนยันว่าถูกต้อง ถูกต้อง เพียงแต่ว่าถูกต้องตอนนี้ แล้วข้างหน้าต่อไปมันจะพัฒนาขึ้นไปได้หรือไม่ได้
ถูกต้อง หมายความว่า เพราะโยมทำแล้วโยมเห็นเอง เห็นไหม ใช้ปัญญาเท่าทันความคิดแล้วความคิดมันหยุด มันมีความสุขของมัน มันมีความดีของมัน นี่ถ้าเราทำอย่างนี้ถูกต้อง
แล้วเราจะทิ้งความถูกต้องไปทำสิ่งที่มันไม่ได้ผล ตอกย้ำ ย้ำคิดย้ำทำโดยที่ไม่มีเหตุมีผลให้ใจเรามันดื้อด้าน ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก
เราทำคุณงามความดีของเรา เห็นไหม อริยสัจ เวลาอริยสัจนะ พิจารณากาย อย่างใดอย่างหนึ่ง เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเราพิจารณาธรรมของเราอย่างนี้แล้วเป็นประโยชน์กับเรา นี้ก็ถูกต้องดีงามในการกระทำของเรา เอวัง