เทศน์บนศาลา

คืนสู่กิเลส

๒๕ มี.ค. ๒๕๕๒

 

คืนสู่กิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เราอุตส่าห์ขวนขวายนะ เราจะเอาจริงกับตัวเราเอง

“อุปสรรค” อุปสรรคขวางเราไม่ได้ เราธุดงค์อยู่ในป่านะ เวลาปฏิบัติอยู่ ฝนตกอย่างนี้ แรงกว่านี้อีก ตั้งแต่หัวค่ำยันตี ๒ ตี ๓ ทุกวัน แล้วธุดงค์อยู่ในป่านะ ฝนชอบตก ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตกมาขนาดไหนก็แล้วแต่ เราอยู่ในป่า กลางคืนไม่มีอะไรเลย อยู่มืดแล้วน้ำมันรวมตัวซัดมา โดนมาเยอะ แต่นั่นมันเป็นเพราะเราคนเดียว

เราอยู่ในป่าในเขาน่ะ เราอยู่คนเดียว เราเผชิญภัยของเราคนเดียว แต่พอมันพะรุงพะรังขึ้นมาเห็นไหม มันมีพระ มีลูกศิษย์ มีคนทั่วไปที่มาฟังเทศน์ เวลาเกิดอะไรขึ้นมา ละล้าละลัง ละล้าละลังเห็นไหม ถ้ามันมีมากก็เป็นภาระอย่างนี้ แต่ถ้ามันไปคนเดียวนะ มันเป็นอย่างไรให้เป็นกัน มันพิสูจน์หัวใจเรา มันพิสูจน์หัวใจเรานะ

อุปสรรค... ถ้าเราอ่อนแอไปไม่รอด ถ้าเข้มแข็งนะ มันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ เห็นไหม เขาว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมดา..” ธรรมะเป็นธรรมดาก็ฝนตกอยู่อย่างนี้ มันก็เกิดตาย เกิดตายอยู่อย่างนี้

ธรรมะพระพุทธเจ้า... ธรรมะเหนือโลก ธรรมเหนือธรรมชาติ

ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะก็เป็นปกติธรรมดา ถ้าธรรมดามีชีวิตนี่ยังดีนะ ธรรมดาเป็นวัตถุข้าวของไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เราพูดบ่อยมาก กาฬเทวิล เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิด เขาเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ เขาทำใจของเขาได้นะ เขาเข้าฌานสมาบัติได้ เขาระลึกอดีตชาติได้ ๔o ชาติ อนาคตได้ ๔o ชาติ ไปอยู่บนพรหมได้ด้วย ดูสิ แต่เขาเป็นสุภาพบุรุษ เพราะตอนนั้นยังไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันพูดแจ้วๆๆ กันแบบปัจจุบันนี้ไม่ได้

ในปัจจุบันนี้ ธรรมะในพระไตรปิฎกเห็นไหม ธรรมะเผยแผ่มา เวลาใครมาจินตนาการเข้า จินตมยปัญญา ก็พูดธรรมะไปแจ้วๆๆ ทั้งๆ ที่ใจไม่เป็น

“ธรรมะเป็นธรรมดา... ธรรมดาเป็นธรรมะ... ธรรมดาคือธรรมะ... ธรรมะคือธรรมดา...”

เกิดตายก็ธรรมะ เกิดตายก็เป็นธรรมดา

กาฬเทวิล เขาไม่สามารถพูดอย่างนี้ได้เพราะอะไร เพราะเขารู้อยู่ เขาร้องไห้นะ เวลาเขาลงมา เห็นพระเจ้าสุทโธทนะเข็นลูกชายออกมาให้ดู อาการ ๓๒ นี้พระพุทธเจ้าแน่นอนเลย ดีใจมาก ดีใจมาก

คนเรานี่นะเข้าฌานสมาบัติได้ ไปอยู่บนพรหมได้ จิตใจต้องดีสูงส่งขนาดไหน แต่เพราะเขาไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแบบ เห็นไหม แต่ในปัจจุบันนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันมีอยู่แล้ว พอธรรมะมี พระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เราศึกษาขึ้นมา “นี่อริยสัจ.. ฆ่ากิเลส.. ธรรมะเป็นธรรมดา.. ปล่อยวาง.. ว่าง.. ปล่อยวาง.. นิพพาน..” โม้กันไปอย่างนั้นน่ะ โม้กันไปโดยกิเลสเต็มหัวใจนะ แต่ไม่เห็น

กาฬเทวิลเสียใจนะ ร้องไห้เลย ร้องไห้ว่า นี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แล้วตรัสรู้แน่นอน แต่เราต้องตายก่อน ตายก่อนเพราะอะไร เพราะเขาไม่มีสิ่งที่เป็นตัวจริง ที่ให้เขาทำเทียบเคียงเลียนแบบได้ เขารู้ตัวของเขา เขาจริงจัง เขาเป็นสุภาพบุรุษในตัวของเขา ว่าเขามีทุกข์ เขาร้องไห้

แต่เราปฏิบัติกัน ธรรมะเป็นธรรมดา.. ธรรมะเป็นธรรมดา.. เป็นไปไม่ได้ ! เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ !

ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมดาต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนพูดเอง อย่างนั้นถูกต้อง “สักแต่ว่า สรรพสิ่งนี้เป็นสักแต่ว่า เธอกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ”

สักแต่ว่า.. สักแต่ว่า.. สักแต่ว่าแล้วเหลืออะไร สักแต่ว่าแล้วใครเป็นคนทำ สักแต่ว่ามีอะไรเป็นคนทำบ้าง สักแต่ว่าก็นี่.. ธรรมะเป็นธรรมดา.. ธรรมดาก็กิเลสไง “คืนสู่กิเลส”

ดูสิ ดูอย่างกาฬเทวิล จิตดวงนั้น ปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตปฏิสนธิ ตัวที่จิตปฏิสนธิคือตัวภพ ถ้าตัวภพเห็นไหม เวลาไปนะ ถ้ามีฤทธิ์มีเดชจะไปสวรรค์ ไปพรหม ไปทั้งร่างกายมนุษย์นี้เลย แต่เวลาเขาเข้าฌานสมาบัติ อย่างฤๅษีนี้เหาะเหินเดินฟ้าไปทั้งร่างกายนี้เลย ถอดจิตไปก็ได้ ไปทั้งร่างกายนี้ก็ได้

สิ่งที่ไปได้ แล้วมันมีอะไรขึ้นมา มันก็กิเลสทั้งนั้นน่ะเห็นไหม ถ้าใจมันสู่ธรรมดา ธรรมดานี้ถ้าจิตมันวางเป็นกลางเป็นสากล เป็นธรรมดา เป็นมิจฉาสมาธิหรือสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิเห็นไหม เป็นมิจฉาสมาธิคือ พอจิตมันเป็นสมาธิปั๊บ ออกใช้ทำคุณไสย ทำสิ่งต่างๆ เห็นไหม ทำฤทธิ์ทำเดช นี้คือมิจฉาสมาธิ

สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือมันเป็นกลางเฉยๆ แต่ยังไม่เกิดเพราะอะไร เพราะมันยังไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นนะ เวลาไปรื้อค้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบสเห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะได้สมาบัติ ๘ เหมือนเรา ให้สั่งสอนได้ มีความรู้เหมือนเรา

เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธเลย เขาเข้าฌานสมาบัติได้ เขาปฏิเสธของเขา ไม่จริง.. ไม่จริง.. มันละชำระกิเลสไม่ได้ เวลาออกมารื้อค้นอยู่ ๖ ปี พอ ๖ ปีเห็นไหม ค้นคว้าขนาดไหน ทำทุกรกิริยาขนาดไหนแล้วแต่ คำว่าธรรมะยังไม่เกิดนี่นะ มันยังไม่มีคนรู้จริงขึ้นมา ความจริงยังไม่มีขึ้นมา คนจะทำอย่างไรมันก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจวาสนา แต่ด้วยธรรมชาติของกิเลสเห็นไหม ...คืนสู่กิเลส

ธรรมชาติของกิเลสทุกคน ก็ต้องคิดว่าสิ่งใด.. เพราะความรู้จริงยังไม่มี มันก็เทียบเคียงเอาจากสิ่งที่มีอยู่เห็นไหม ดูสิทางวิทยาศาสตร์ที่เราค้นคว้า เราจะค้นคว้าสิ่งต่อยอด สิ่งที่ทางวิทยาศาสตร์เขาคิดกันไว้แล้ว แล้วเราต่อยอดขึ้นไป นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เขาคิดกันไว้แล้วต่อยอดขึ้นไป แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นอาชีพอันหนึ่ง เห็นไหม

อาชีพนักบวช อาชีพต่างๆ อาชีพหนึ่ง ดูสิฤๅษีชีไพรเขาอยู่ของเขาก็อาชีพหนึ่ง ขอทานก็อาชีพหนึ่ง แต่พระยังไม่เกิด ยังไม่มีพระจากหัวใจ มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดๆ เลย เป็นอาชีพๆ หนึ่ง วิชาชีพของเขา วิชาชีพของเรานี่เราฝึกฝนขึ้นไป มันเป็นไปไม่ได้ พอเป็นไปไม่ได้ก็ย้อนกลับ ย้อนกลับเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับ ทดสอบกับทุกๆ วิชาชีพ ทดสอบกับทุกๆ เจ้าลัทธิ ลัทธิไหนที่ว่าเป็นศาสดาไปทดสอบ อาฬารดาบสก็ไปทดสอบ ทดสอบหมด

ทดสอบมาแล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร มันเป็นไปไม่ได้เพราะอำนาจวาสนาไง เอกนามกิง หนึ่งไม่มีสอง พระพุทธเจ้าเกิดได้หนึ่งเดียว พระพุทธเจ้าเกิดได้หนึ่งเดียว แล้วพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดมันมีความจริงมาจากไหน พระพุทธเจ้ารื้อค้นกลับมาเห็นไหม “บุพเพนิวาสานุสติญาณ”

กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ กำหนดระลึกอดีตชาติได้ ๔o ชาติ อนาคตได้ ๔o ชาติ ระลึกได้แต่ไปไม่รอด.. ไปไม่รอดทำไปไม่ได้.. เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ระลึกได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกอดีตชาติได้ ไปไม่มีที่สิ้นสุดเลย นี่เขาได้ ๔o ชาติใช่ไหม แต่นี่ไปไม่มีที่สิ้นสุดเลย ไปอย่างไรไม่มีที่สิ้นสุด

ย้อนกลับไปเลย ดึงกลับมา จุตูปปาตญาณเห็นไหม สิ่งที่เป็นอนาคต ระลึกอนาคตได้ ๔o ชาติ พระพุทธเจ้าไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน ดึงงกลับมา ดึงกลับมา พอดึงกลับมา “อาสวักขยญาณ” ถ้าอาสวักขยญาณ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ

มันธรรมชาติที่ไหน ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมชาติได้อย่างไร ถ้าธรรมชาติมันจะถอนกิเลสตัวนี้ได้อย่างไร

นี่ไง อดีตชาติไม่มีที่สิ้นสุด อนาคตไม่มีที่สิ้นสุด มันไปจากไหน มันไปจากไหน.. มันไปจากตัวภพ ตัวอวิชชา มันไปจากตัวภพนี้ ถ้าตัวภพนี้มีอยู่ มันยังเป็นไป มันจะไปทำได้อย่างไร ดูมันแล้วปล่อยวางมัน เป็นธรรมชาติได้อย่างไร ถ้าไม่มีอาสวักขยญาณไปทำลายมัน อาสวักขยญาณมาทำลายมันแล้วเห็นไหม มาทำลายมัน มาทำลายถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว นี่สิ้นสุดไป

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์อยู่ ๖ ปีนี้ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากมาตลอดเวลา

ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากเป็นพยานเลย ทนทรมานทำทุกรกิริยาขนาดไหน ปัญจวัคคีย์เป็นผู้อุปัฏฐาก จนถึงสุดท้ายนะ ทดสอบในหัวใจของตัว นี่เป็นธรรมดา.. เป็นธรรมดา.. ก็ถูไถไปธรรมดา นี่ปัญจวัคคีย์เป็นพยานอยู่ทั้งนั้น ทดสอบมา ทดสอบด้วยตัวเอง ทดสอบกับเจ้าลัทธิไหนก็แล้วแต่ มีพยานทั้งนั้นเลย แล้วพยานก็เห็นด้วย

โลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือวิชาชีพ โลกคือความรู้ของโลก พอความรู้ของโลก นี่ไงเจ้าชายสิทธัตถะกำลังต่อสู้กับกิเลส กำลังต่อสู้ กำลังค้นคว้าหาสัจจะความจริง กำลังต่อสู้อยู่ เป็นผู้อุปัฏฐาก เป็นผู้คอยดูแลอยู่ตลอด เป็นพยานถูกต้องดีงาม ถูกต้องดีงาม ความเห็นของโลก ความเห็นของโลกถูกต้องดีงามไปหมด ทำอย่างนี้ถูกต้อง แต่เจ้าชายสิทธัตถะพิสูจน์เอง ผู้พิสูจน์เอง มันกลั้นลมหายใจจนสลบเลยนะ อดอาหารจนรากขนนี้เน่าหลุดหมดเลย

เอ๊ะ! เพราะอะไร เพราะความเห็นของเรานะ ความอุกฤษฏ์การกระทำของเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม มันไม่ใช่ทางสักอย่างหนึ่งเลย พอไม่ใช่ทางสักอย่าง ความเห็นจากภายใน ความเห็นจากภายในระลึกถึงตอนที่เป็นราชกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะพาไปแรกนาขวัญ ไปนั่งอยู่โคนต้นหว้า ความสุขอันนั้น... ความสุขใจจากภายใน ความสุขอันนั้นต้องเทียบเคียงอันนั้น

พอเทียบเคียงอันนั้น กำหนดอยู่ แล้วกลับมากินข้าว กลับมาสร้างพลังงาน พอกลับมาสร้างพลังงาน ปัญจวัคคีย์ทิ้งหมดเลยเพราะกลับมามักมาก ทำทุกรกิริยาขนาดไหน ทำความเพียรขนาดไหนไป ยังไปไม่ถึงที่สุด แล้วกลับมามักมาก เหมือนคนท้อถอย คนไม่เอาจริงแล้ว ทิ้งหมดเลย ปัญจวัคคีย์ทิ้งออกไป นี่โลก.. ความเห็นจากข้างนอก ความเห็นจากรูปลักษณ์ ความเห็นจากความเห็นของโลก

แต่ความเห็นของหัวใจที่มันสร้างสมมา ปรารถนาโพธิญาณ ปรารถนามา การกระทำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาทั้งหมดแล้ว ย้อนกลับมาพิสูจน์หมดแล้ว เห็นไหม ทางโลก วิชาชีพทางโลก การศึกษา เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะออกบวช พระเจ้าสุทโธทนะให้ศึกษามาเพื่อเป็นกษัตริย์ ความรู้ทางโลกทุกอย่างมีพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ ที่จะปกครองบ้านเมือง

ออกไปประพฤติปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ พร้อมทุกอย่าง นี่วิชาทางโลก.. โลกียปัญญา โลกียปัญญามันไปไม่ได้ มันไปไม่รอด มันไปไม่ได้ นี่ไงที่ว่าธรรมชาติ.. ธรรมชาติ.. ความรู้วิทยาศาสตร์ที่ต่อยอดกันขนาดไหน มันก็มันจะมีวิบาก มันจะมีผลของมัน มันมีเหตุมีผล มันต้องสืบต่อกันไป มันสิ้นสุดไม่ได้ มันจบกระบวนการของมันไม่ได้

ในเมื่อมันจบกระบวนการของมันไม่ได้ ทำอย่างไรไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้าสาวไปก็ไม่มีวันจบ อนาคตไม่มีวันจบ กระบวนการของมันสิ้นสุดไม่ได้ จะเป็นธรรมดาปล่อยมันไปตามความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้

นี่ย้อนกลับมา.. ย้อนกลับมา.. สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างอดีตอนาคต มันมาจากไหน มันมาจากไหน มันมาจากตัวภพ มันมาจากสิ่งที่ว่าเป็นธรรมดานั่นน่ะ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส มันเป็นความธรรมดา ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะตัวภพ ตัวภพนี้คือตัวธรรมดา ตัวภพคือตัวพื้นฐาน ตัวพื้นฐานที่เก็บข้อมูล การที่จิตทำดีทำชั่วทั้งหมด เก็บลงที่นี่ มันถึงที่นี่ ย้อนกลับไปที่นี่แล้วทำลายกันที่นี่ นี่! ต้องทำลายที่นี่ พอทำลายที่นี่เห็นไหม มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์นะ..

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ ศาสนาแห่งปัญญา เลอเลิศมาก เพราะมีศาสดาเดียวที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้สอนเทวดา อินทร์ พรหม สอนได้หมด มีศาสดาองค์เดียวในลัทธิศาสนาในโลก ในจักรวาลนี้ที่ปฏิญาณตน.. กล้าปฏิญาณตน แล้วกล้าทดสอบตรวจสอบกับทุกลัทธิทุกศาสนา แล้วยืนศาสนานี้มาเห็นไหม

แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีบุญกุศลไหม เราจะมีความจริงใจ มีความตั้งใจจริงของเราไหม ถ้าเรามีความจริงใจ มีความตั้งใจจริงของเราจริง เราต้องซื่อสัตย์กับศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเอาหัวใจสกปรกของเราไปเคลม อย่าเอาหัวใจอันสกปรกของเราไปอ้างอิง ไปอ้างอิง พยายามบังคับทำให้เป็นความพอใจของเรา มันไม่เป็นของของเรา

ถ้ามันเป็นของเราเห็นไหม ในปัจจุบันนี้ศึกษากันนะ จนทางวิชาการเขาบอกเลย บอกว่าพระป่า พระกรรมฐานนี้ บอกเลยว่าจิตนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม จิตนี้มีอยู่แล้วทำอย่างไร.. มีอยู่แล้ว มีภพมีชาติต้องเกิด ต้องตาย เวียนตายเวียนเกิดโดยธรรมชาติ จิตนี้มีอยู่ ถ้าไม่ได้ชำระกิเลส มันต้องเกิดต้องตายไปตลอด

เขาบอกสอนอย่างนี้ผิด ถ้าสอนว่าจิตคงที่นี้มันจะเข้ากับพราหมณ์ฮินดู เพราะฮินดูไปอยู่กับอาตมัน จิตนี้จะทำลายไม่ได้ ทุกดวงใจต้องเคารพพระเจ้าของเขา แล้วจะต้องไปอยู่ ไปจำนน ไปเป็นส่วนหนึ่งของอาตมันนั้น นี่ไงเขาว่าของเขาคงที่ นี่ไง เวลาศึกษาทางโลกเห็นไหม ของเรามี มันมีคงที่ จิตนี้ไม่เคยตาย

จิตนี้ไม่เคยตาย แต่มันมีวาระ มีการเปลี่ยนแปลงเห็นไหม “พันธุกรรมทางจิต” มันเปลี่ยนแปลงแก้ไขดัดแปลงไป ตอนที่เปลี่ยนแปลงแก้ไข ถ้ามันเป็นสัจธรรมนะ มันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันเป็นธรรมดาตรงไหน มันธรรมดาได้อย่างไร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ ใช่... เวลาท่านเทศน์นะ “สักแต่ว่า เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง เป็นความว่าง สอนให้สักแต่ว่า ดูโลกเป็นความว่างให้หมด แล้วต้องกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ”

แต่เขาไม่พูดอย่างนั้น “สักแต่ว่า.. สักแต่ว่า.. แล้วเรารู้สักแต่ว่า มันเป็นสักแต่ว่า วางจิตไว้ สติเป็นสมมุติ ทุกอย่างไม่ต้องทำ.. มองให้เห็นสัจจะความจริง มันคืออารมณ์ธรรมดา.. ความธรรมดาเรานี่แหละ ธรรมะคือธรรมดา.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ..” เห็นไหม

บอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ.. การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติ ยิ่งนิพพานสงบเย็น นี่รับไม่ได้เลย สงบเย็น.. สงบเย็น.. นิพพานสงบเย็น ว่างๆๆ มันเป็นภาษาสมมุตินะ ภาษาสมมุติที่สื่อความหมายกัน

แต่ขณะที่ประพฤติปฏิบัติ มันจะเอาความจริงอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัตินะ ห่วงนักห่วงหนานะว่ากลัวจะเป็นสมถะ ทำสมาธิไม่ได้ ไม่มีประโยชน์สิ่งใด... มันเหมือนกับคนไม่ยอมรับความจริงไง ในปัจจุบันนี้นะ ปัญญาชน..เราไปตลาด เราไปร้านค้า เราจะซื้อข้าวสารมาไว้เพื่อหุงหาอาหาร เราไปซื้อข้าวมา ข้าวมาจากถุงใช่ไหม เราก็บอกว่านี่ข้าวมาจากถุง

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัตินะ ต้องใช้ปัญญา ปัญญาของเรานะ ปัญญาอย่างไรมันก็เป็นปัญญาวิชาชีพ ปัญญานี้เป็นโลกียปัญญา มันจะเป็นปัญญาไปไม่ได้เลย เราไปซื้อข้าวสารมาจากร้าน เราซื้อข้าวถุงมา ข้าวสารมันมาจากไหน ? ข้าวสารมันมาจากไหน ? ข้าวสารมันมาจากถุงหรือ เราก็ว่ามาจากถุงสิเพราะอะไร เพราะเราซื้อมาจากถุงใช่ไหม เราก็เอามาหุงหาอาหารของเราได้

แต่ความจริงข้าวมันมาจากดิน ถ้าเขาไม่ทำนา เขาไม่ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารของเขา มันจะมีข้าวสารมาได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกันดินนั้นคืออะไร ดินนั้นคือตัวรากฐานในการทำนาเพื่อได้ข้าวนั้นมา แต่เราปฏิเสธสมถะ เราปฏิเสธสมาธิ ห่วงนักห่วงหนาว่าจะเป็นสมถะ ไม่ต้องทำความสงบ ความสงบไม่มีความหมาย ความสงบไร้ค่า ต้องใช้ปัญญาคือข้าวสารนั้นกินได้ ดินกินไม่ได้ ดินกินไม่ได้

ถ้าไม่มีดินมันจะเอาข้าวสารมาจากไหน ! ถ้าไม่มีดิน ไม่มีพื้นนา ข้าวสารมันจะมาได้อย่างไร ตามข้อเท็จจริงในสมัยโบราณนะ จะใครจะชุมชนไหนก็แล้วแต่ เขาต้องทำอาหารของเขากินเอง แต่ในปัจจุบันนี้โลกมันเจริญ โลกมันเจริญเห็นไหม เราก็ไปซื้อเอาข้าวสารจากร้านค้าได้ แล้วครั้นเราก็ว่า.. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา.. เราใช้ปัญญาไปเลย..

สิ่งที่เป็นปัญญา มันมีโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา มันมีปัญญา ๓ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา การศึกษานั้นเป็นสุตมยปัญญา สิ่งที่เป็นปัญญา ปัญญาที่หยาบ ปัญญาละเอียด ปัญญามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีความสงบของใจ ถ้าใจไม่สงบขึ้นมา ปัญญามันเกิด จินตมยปัญญามันเกิดความมหัศจรรย์มากกว่านี้หลายร้อยเท่านัก

ปัญญาที่เขาว่าเกิดๆ กันนี่ ปัญญาของเขาที่ว่าชำระกิเลส ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะธรรมดานี้ มันเป็นไปไม่ได้ ! มันคืนสู่กิเลสหมดนะ กิเลสออก กิเลสหลอกออกมาจากใจ

เวลากิเลสออกมาจากใจก็ประพฤติปฏิบัติไป มันเป็นจินตนาการกันไป จินตนาการกันไปเพราะอะไร เพราะศาสนามันมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่บัญญัติศาสนาไว้ พวกนี้พูดไม่เป็น ! พวกนี้พูดไม่ได้หรอก ! จะพูดว่านิพพานๆ น่ะนิพพาน...

เห็นไหม ดูสิอรหันต์ๆ สมัยพุทธกาลก็มีว่าอรหันต์ๆ นั่นแหละ มันหันไปไหน เพราะอะไร พวกนี้มันมีอยู่ ในพราหมณ์เขามีอยู่แล้ว เรื่องเวทย์ ไตรเวทย์น่ะ สิ่งนี้เขามีอยู่ของเขา แต่มันเป็นความจริงขึ้นมาไหมล่ะ ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา สิ่งนี้เห็นไหม เข้าสู่ธรรมะเข้าสู่อย่างไร การเข้าสู่ธรรมน่ะ เหตุที่จะเป็นธรรมะขึ้นมาได้อย่างไร เป็นธรรมดา.. ธรรมดา.. มันเป็นอัตโนมัติ มันเป็นสัจธรรม มันเป็นอย่างนี้เอง...

อย่างนี้เรานอนจมอยู่กับกิเลสมันก็เป็นธรรมะ มันก็จะเป็นธรรมะ มันจะเป็นของมันไปเอง มันเป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

“ธรรมะเหนือธรรมชาตินะ” ธรรมะนี้เหนือธรรมชาติ ถ้าไม่เหนือธรรมชาติมัน... เห็นไหม “รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” รส.. ในกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเร้าใจเรา เราจะเชื่อมันมากขนาดไหน

เราจะเชื่อความคิดของเราไปตลอดเวลา ความคิดความเห็นของเรา มันจะดึงความคิดของเราไปตลอด แล้วถ้าเราคิดไปตามความคิดของเราเห็นไหม ความคิดความเห็น.. สิ่งที่คิดไปแล้วเป็นธรรมะไหม แล้วทำไมไม่หยุดความคิด การหยุดความคิด เอาอะไรไปหยุดมัน การหยุดความคิดน่ะ... ก็ดูมันเฉยๆ มันจะหยุดของมันเอง.. มันเป็นธรรมดา.. ทุกอย่างเป็นธรรมดา..

ธรรมดาแล้วทุกข์ทำไม ?

ธรรมดาแล้วทุกข์ทำไม.. แต่ถ้ามันเป็นธรรมะ ธรรมะมีอยู่แล้ว นี้ในครูบาอาจารย์ที่เราประพฤติปฏิบัตินะ มันต้องมีเหตุ มันต้องมีผล มันต้องมีการกระทำ มันเหนือธรรมดาทั้งนั้นน่ะ ดูสิ ความเป็นอยู่ชีวิตของเรา เราทำของเราเห็นไหม ดูการศึกษา ดูการทำหน้าที่การงานเราทุกข์ไหม ทุกข์ไหม ขนาดเรื่องของโลกยังทุกข์ขนาดนั้น แล้วเรื่องของธรรมะล่ะ

ครูบาอาจารย์เราที่เป็นครูบาอาจารย์เรา ไม่มีองค์ไหนพูดเลยว่าได้มาด้วยความง่ายๆ เป็นไปไม่ได้

ในมหายานที่เขาบอกว่า ลัดแค่นิ้วมือ แค่สว่างโพลง... นั่นมันเป็นวิธีการสอน มันสอนให้คนไม่ยึดติด ! ในเมื่อสอนให้คนไม่ยึดติด แต่ในการกระทำของเขา เขาก็ทำด้วยความจริงจังของเขา เขาไม่บอกว่ามันชุบมือเปิบ นอนหลับตื่นมาก็เป็นพระอรหันต์ มันเป็นธรรมดาอย่างนี้ อยู่เฉยๆ สติก็ไม่ต้องทำ.. สิ่งใดๆ ก็ไม่ต้องทำ.. อยู่เฉยๆ มันเป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมดา.. แล้วก็ว่ากันไปนะ แล้วคนมันก็เชื่อ

สิ่งที่เชื่อนี้มันน่าสลดสังเวชนะ ดูสิในที่เขาเผยแผ่ธรรมะกันเห็นไหม พวกทางยุโรปเขาอยากมาทางตะวันออกเพื่อมาทำสมาธิกัน เพราะทำสมาธิแล้วเขามีความสุขเห็นไหม นั่นน่ะทำสมาธิกัน ในศาสนาก็ไม่ได้สอนแค่สมาธิ

ในเมื่อศาสนาสอน ในศาสนาของเรานี้สอนถึงการสิ้นจากทุกข์เลย สิ้นจากกิเลสเลย แต่ว่าเวลาสอน.. นั่นก็สอนสมาธิ สอนการทำความสงบ เพราะความสงบนี่เป็นหลักของศาสนา เวลาบอกใช้ปัญญา ปัญญาก็ใช้ปัญญาของโลกๆ ปัญญาที่เขาคิดกันมาเอง “ปัญญาคิดกันไปเอง” ไม่ใช่ปัญญาตามความเป็นจริง

ถ้าปัญญาตามความจริงจะพูดอย่างนี้ไม่ได้ พูดอย่างที่ว่า “ธรรมะเป็นธรรมดา.. ธรรมะเป็นความสงบเย็น..”

มันจะสงบเย็น ทำอย่างไรถึงสงบเย็น ทำอย่างไรจิตมันถึงจะเป็นธรรมดา

จิตมันธรรมดานะ จิตมันธรรมดามันเพราะเหตุมันธรรมดา จิตนะมันเป็นตัวเจ้าวัฏจักร สิ่งที่เป็นตัวเจ้าวัฏจักรเห็นไหม นี่เจ้าวัฏจักร อวิชชาเรือนยอดของมาร แล้วยังมีลูกมีหลานมีเหลนของมันอีก แล้วลูกหลานเหลนของมัน...

ดูสิที่เราศึกษาธรรมะกันเห็นไหม เราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เราสอนมาจากไหน.. หลวงปู่มั่น ท่านไม่ได้สอนด้วยความเห็นของท่านนะ เวลาท่านสอน เพราะว่าท่านค้นคว้าของท่าน แล้วท่านสอนถึงพุทธภาษิต ท่านบอก พุทโธ พุทโธ นี้เป็นพุทธภาษิต สิ่งที่กรรมฐาน ๔o ห้อง “กรรมฐาน” เห็นไหม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

ถ้าสมถกรรมฐาน มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วหลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ ท่านไม่เทศน์พร่ำเพรื่อแบบพระทั่วไป พระทั่วไปจะเทศน์พร่ำเพรื่อมาก จะชักแม่น้ำทั้ง ๕ มา ไร้สาระมาตลอดเลย แต่หลวงปู่มั่นเวลาท่านพูดถึง ท่านบอกให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

เรื่องที่เรารู้ วิชาชีพทั้งหมด สิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราศึกษามานี้ ไม่มีความหมายกับการปฏิบัติธรรมเลย จะไม่มีประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมเลย ถ้าจิตไม่สงบเข้ามาก่อน

เพราะสิ่งที่เราคิดเราค้นด้วยปัญญาของเรานี้ มันเป็นเรื่องของโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาของโลก มันเป็นปัญญาที่เราศึกษามาเห็นไหม แล้วมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนเห็นไหม ดูสิคนที่มีเชาว์ปัญญาดี อำนาจวาสนาคือพันธุกรรมทางจิตของเขาก็ทำมาดี เขาทำของเขามาดี เขาศึกษาของเขามาดี ถึงคนที่ทำมาดีแต่มีวาระเวร วาระกรรมของเขา วาระกรรมของเขาที่เกิดมาภพชาตินี้ เห็นไหม “ภพชาตินี้” เห็นไหม

ดูสิเราจะรู้ไหมว่า พระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ในวงล้อมของเรา ใกล้เคียงกับเรา เราจะเชื่อไหม เราก็ไม่เข้าใจของเราอีก มันอยู่ที่ภพชาติของเขา เขาสร้างของเขามา ถ้าเขาสร้างของเขามา เขาจะมีปัญญาของเขา เขาจะสร้าง เขาจะมีโอกาสของเขา สิ่งที่โอกาสของเขา นั่นเขาทำของเขา นี่เป็นเรื่องของโลกๆ ทั้งหมดเลย เขาจะมีปัญญามากปัญญาน้อยก็แล้วแต่ ถ้าเขาเพลินอยู่ในโลก มันก็เป็นเรื่องของโลกใช่ไหม

ปัญญาที่เราศึกษา เราหาค้นคว้ามา เราศึกษามาขนาดไหน เวลาครูบาอาจารย์เราไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม บอกเลยนะ การที่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาขนาดไหน สาธุ.. ยกไว้.. ยกไว้สูงส่ง เพราะเราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แต่เอาไว้ในลิ้นชัก ไว้ในสมองก่อน แล้วใส่กุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา

ถ้ามันออกมานะ ขณะที่ประพฤติปฏิบัติ มันจะถีบ มันจะเตะกัน มันจะถีบคือมันขัดแย้ง มันขัดแย้งกับความจริง ! ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ความขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเพราะจิตของคนแต่ละคน มันมีพื้นฐานมาหลากหลายแตกต่างกัน ในเมื่อพื้นฐานหลากหลายแตกต่างกันเห็นไหม ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ถ้าปัญญาวิมุตติ มันจะใช้ปัญญาค้นคว้า มันไม่มีบอกธรรมะวิมุตติ ธรรมะเฉยๆ วิมุตติ ไม่เคยมี ธรรมะเป็นธรรมดาวิมุตติ ไม่เคยมี

มีแต่ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติหมายถึงการใช้ปัญญา ปัญญานำ แต่ปัญญานี้มันต้องมีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ ถ้าไม่ทำความสงบของใจเข้ามา ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมา เห็นไหม สุตมยปัญญาคือการศึกษา คือปริยัติ จินตมยปัญญานี่ไงเพราะอะไร เพราะมีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีจิตของเรา มีอำนาจวาสนาในหัวใจของเรา มันจินตนาการ... ดูสิ คนที่มีปัญญามหาศาลเขาพูดได้เจื้อยแจ้วมากนะ เจื้อยแจ้วไปตลอดเลย แต่ความจริงในหัวใจเขามีมากน้อยขนาดไหน นี่จินตมยปัญญา

ภาวนามยปัญญามันเกิดอย่างไร ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติไหม ถ้าเป็นธรรมชาติทำไมต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจไม่สงบเข้ามา ถ้าเป็นธรรมชาติ ทุกคนก็เป็นพระอรหันต์หมดแล้วเนี่ย เพราะทุกคนก็มีหัวใจเหมือนกัน ทุกคนก็เป็นธรรมชาติ ก็เกิดนี้เกิดโดยกิเลส

มันก็ธรรมดาของการเกิด ทุกคนมานั่งแล้วดูไป มันก็เป็นธรรมะ มันมีค่าเสมอกันไง มันมีค่าเสมอกันได้อย่างไร ในเมื่ออำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน พระโพธิสัตว์เห็นไหม ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้อายุ ๘o ปีแล้วปรินิพพานไป บอกเลยนะ ในภัทรกัปนี้เราเป็นพระพุทธเจ้าที่อายุน้อยที่สุด ๘o ปี พระกัสสปะ พระอะไรมา ๘o,ooo ปี ๖o,ooo ปี เรามีอายุแค่ ๘o ปีเพราะอะไร เพราะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แม้แต่พระพุทธเจ้ายังหลากหลายยังแตกต่าง แตกต่างกันด้วยวุฒิภาวะของใจ

แล้วนี่ธรรมดา.. ธรรมดา.. แล้วเหมือนกันหมด มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ! นี้เป็นไปไม่ได้เห็นไหม เรื่องของโลกๆ เรื่องของปัญญาของโลกเขา หลวงปู่มั่นท่านบอก ถ้าศึกษามาแล้ว ให้เก็บไว้ในสมองไว้ก่อน ในลิ้นชักไว้ก่อนแล้วลั่นกุญแจไว้ มันจะเตะมันจะถีบ คำว่ามันจะเตะมันจะถีบ คือมันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่เราทำ

ข้อเท็จจริงที่เราทำขึ้นมาเห็นไหม เราทำขึ้นมา ต้องทำความสงบของใจเข้ามา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา คำว่าใจสงบขึ้นมา มันจะไปยับยั้งสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยาก ที่เป็นความอยากความต้องการของเรา เห็นไหมความอยาก... เขาบอกว่า ใช้ปัญญาไปเลย.. ห้ามมีความอยาก.. ก็โกรธกันไว้ โกรธกันไว้

ความอยากของเรา ความอยากในการประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริง ถ้ามีความอยากอยู่จิตมันสงบไม่ได้ โดยสัญชาตญาณ ดูสิไฟ.. น้ำเดือดเพราะมันอุณหภูมิมันพอใช่ไหม น้ำมันถึงได้เดือด พอน้ำมันเดือดแล้ว แล้วเราใช้เร่งอุณหภูมิเข้าไปอีก จนมันระเหยไปหมดเลย น้ำจะมีเหลือให้เราใช้ไหม

นี่ก็เหมือนกันในการทำสมาธิ เราอยากทำสมาธินี่เราอยากมากเลย แล้วเราอยากในผลนะ เหมือนกับเราเร่งอุณหภูมิเข้าไป มันจะไม่มีอะไรเหลือให้เราเป็นสมาธิเลย สมาธิจะเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย เราจะทำแล้วจะมีความทุกข์ความยากมาก ความทุกข์ความยากเพราะอะไร เพราะเราทำแล้วเราไม่ได้ผล เราอยากได้น้ำร้อน ได้น้ำเอามาใช้ดื่มกิน น้ำเอามาใช้ประโยชน์กับเรา แล้วเราต้มน้ำความร้อนมันเกินไป จนน้ำไม่มีเลยจะทำอย่างไร ก็ต้องลดความร้อนลงมาใช่ไหม ให้มันเป็นจุดเดือด พอถึงจุดเดือดของน้ำ น้ำมันก็เดือดของมัน

น้ำเดือดเห็นไหม การทำสมาธิมันต้องลงทุนลงแรง มันต้องมีอุณหภูมิถึงจุดเดือดนั้นได้ ถ้าเป็นจุดเดือดแล้วอุณหภูมินี้มากรุนแรงไปกว่านั้น น้ำมันจะไม่เหลือสิ่งใดๆ เลย ตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม คำว่าความอยาก.. ความอยาก.. ความอยากมันจะสอนเราเอง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ไอ้ความอยากนี่มันจะสอนเรา สอนให้เราเข็ดหลาบ

เข็ดหลาบเพราะถ้าเรากำหนดพุทโธ เราทำปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตเราไม่เสมอ จิตเราไม่เป็นกลาง มันจะลงสมาธินี้ไม่ได้ ด้วยความอยากของเรา จะเร่งขนาดไหน ยิ่งเร่งขนาดไหนมันจะไม่ได้ผลเลย พอไม่ได้ผล เราทำไปแล้วไม่ได้ผล ใครเป็นคนรู้ล่ะ นี่ไงข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ไง ข้อเท็จจริงมันเกิดกับเราเอง ในเมื่อข้อเท็จจริงมันเกิดกับเราเอง มันสั่งสอนเราให้เราทุกข์เรายาก ให้เราทำแล้วไม่ได้ผล แล้วเข็ดไหม ?

ถ้าเรามีปัญญาย้อนกลับมาพิจารณาของเราดู ว่าสิ่งนี้เราทำแล้วมันเป็นโทษกับเราอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เราจะทำความดี เราจะทำความดี เราจะนั่งทำความสงบของใจ เราจะทำสมาธิ เราจะภาวนาของเรา ภาวนาแล้วทำไมเราไม่ได้ผลล่ะ มันไม่ได้ผลนะ มันไม่ได้ผลเพราะอะไร เพราะความอยาก

คำว่าความอยาก อยากแล้วทำไม่ได้.. อยากแล้วทำไม่ได้..

ถ้าไม่มีความอยากจะเอาอะไรมาทำได้อย่างไร มันก็ต้องมีความอยากโดยพื้นฐานของมนุษย์ มนุษย์คนไหนบ้างที่ไม่มีความอยาก ถ้ามนุษย์มีความอยาก ความอยากในใจนี้มันเป็นธรรมดาของมันใช่ไหม มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่เราจะควบคุมมันอย่างไรต่างหากล่ะ

เราจะต้มน้ำ เราต้องการจุดเดือดของน้ำ เรารักษาอุณหภูมิของเรา เราหาเชื้อเพลิงของเราต่างหากล่ะ แล้วเราควบคุมของเรา ควบคุมความร้อนนั้น ควบคุมอุณหภูมินั้นไม่ให้ความร้อนมันกระจายออกไป สิ่งที่กระจายออกคือความร้อนออกไป นี่ไง เราถึงต้องกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธินี่ไง

พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิมันคือผืนดิน ผืนดินไง พอจิตมันสงบขึ้นมา นี่ไง กรรมฐาน ถ้าไม่มีฐานที่ตั้ง ไม่มีคน ไม่มีที่ทำงาน

...ใช้ปัญญาไปเลย ปัญญาไตร่ตรองไป แล้วจิตมันจะเป็นอัตโนมัติ มันจะเข้าปัญญาเป็นอัตโนมัติ.. พอจิตมันถึงจุดๆ หนึ่งแล้วมันจะเป็นอัตโนมัติ อัตโนมัติเลย นิพพานเป็นความว่าง เป็นอัตโนมัติไปเลย...

มันไม่มีเหตุมีผลนะ แล้วขณะจิตก็บอก ขณะจิตต้องเป็นอย่างนั้น.. ขณะจิตเป็นอย่างนั้น.. มันเป็นอย่างนั้นเพราะจำเขามา เพราะจำมา เพราะตำรามี แล้วเราศึกษาของเรา ถ้าเราไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดนะ ถ้าท่านพูดคำนี้อย่างหนึ่ง อีก ๔ ปี ๕ ปีท่านพูดอีกย่างหนึ่ง มันผิดแล้ว เพราะอะไร เพราะถ้ามันเป็นอริยสัจ สัจจะความจริง สัจจะมีหนึ่งเดียว สิ่งที่เป็นไปในหนึ่งเดียวไม่มีการแก้ไขหรอก

มันแก้ไขไปเรื่อย แก้ไขไปเรื่อยเพราะอะไร นั่นคือจินตมยปัญญาไง จินตนาการ.. จินตนาการของเรานี่นะ คราวนี้เราเห็นชัดเจนมาก เราเชื่อมั่นเรามาก เราว่ามันเป็นสัจธรรม แล้วพอเราทำของเราไป เราทำของเราไป จิตมันจะพัฒนาขึ้น จิตมันจะดีขึ้น มันจะเห็นของมัน อ้าว มันละเอียดขึ้น มันดีขึ้น เอ้า เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนขณะจิตเปลี่ยนได้แล้วนะ ขณะจิตเมื่อก่อนเป็นอย่างนี้นะ ขณะจิตนี้เปลี่ยนอีกแล้ว

สิ่งที่เราเป็น.. เวลาเทศนาว่าการมันเป็นเอกสารนะ มันเป็นวัตถุหลักฐานเลย แล้วการพัฒนาการของเขา มันพัฒนาการไปอย่างไร นี่ไงมันถึงไม่เป็นความจริง ธรรมะไม่ได้เป็นธรรมดา ธรรมะไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะถ้าธรรมชาตินะ คือภวาสวะ คือภพ ตัวภพนี่แหละตัวเก็บข้อมูลในธรรมชาตินั้นไว้ สิ่งที่เป็นตัวภพเห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ฐีติจิตนั่นน่ะคือตัวภพ

ถ้าจิตสงบถึงฐีติจิต อวิชชามันเกิดจากอะไร ใครเป็นพ่อแม่อวิชชา หลวงปู่มั่นพูดไว้ในมุตโตทัย ฐีติจิตเป็นพ่อแม่ของอวิชชา อวิชชาเกิดจากฐีติจิต เกิดจากภพ อวิชชาเกิดจากภพ เกิดจากตัวตนของเรา แล้วข้อมูลที่มันอยู่ในตัวตนของเรากลับคืนสู่ภพ จะปล่อยวางขนาดไหน จะวางขนาดไหน จะว่างขนาดไหน จะธรรมดาขนาดไหน มันกลับสู่อวิชชา มันคืนสู่อวิชชาทั้งหมด มันไม่คืนสู่นิพพาน ไม่คืนสู่คุณธรรม ไม่มีอริยภูมิในหัวใจ

อริยภูมิในหัวใจจะไม่มีเลย มันจะกลับคืนสู่ภพ มันจะกลับคืนสู่ความว่าง มันจะกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ เป็นไปไม่ได้ ! ไม่เคยเห็น พวกนี้ไม่เคยเห็นกิเลส ถ้าคนเคยเห็นกิเลส คนเคยต่อสู้กับกิเลสนะ เห็นไหมมันกลับคืนสู่กิเลส แล้วกิเลสมันมีอย่างหยาบ มีอย่างกลาง มีอย่างละเอียด ละเอียดสุดใช่ไหม ละเอียด-ละเอียดสุด ก็ละเอียดสุดขนาบไป แต่ที่พูดออกไปไม่เป็นธรรมะเลย ไม่เป็นธรรมะเลย

“ธรรมะเป็นธรรมชาติ” เป็นไปไม่ได้ ! เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น

แต่ธรรมเหนือธรรมชาติเพราะอะไร ถ้าธรรมะเหนือธรรมชาติมันควบคุมใจ เพราะ สักกายทิฏฐิความเห็นผิด สิ่งที่เห็นผิด.. ใครเป็นคนเห็นผิด สิ่งที่เห็นผิดแล้วมันปล่อยขันธ์ เขาถึงได้บอกว่าขันธ์มันผิด ขันธ์มันเป็นกิเลสใช่ไหม ให้เห็นขันธ์เป็นธรรมดาก็จบ ไม่ใช่ !! ขันธมาร ขันธ์นี้เป็นมาร

ความขันธ์ ขันธ์คือความคิด ความคิดที่มาจากพลังงานจากตัวจิต ตัวขันธ์นี้เป็นตัวมาร แล้วมารเกิดกับใคร มารคือตัวอวิชชาใช่ไหม อวิชชาเป็นเจ้าวัฏจักร เป็นพญามาร แล้วนี่มาร ลูกหลานของมาร แล้วเราทำอะไร เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า เราพยายามตั้งสติ พระพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกเห็นไหม “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

เราก็ตั้งสติ เราก็ทำ เราใช้ปัญญาของเรา เราพยายามตั้งสติ แล้วเรามีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาเพราะเรามีความจงใจ มีความจงใจเพื่อจะค้นคว้า เพื่อจะประพฤติปฏิบัติของเรา สิ่งนี้คืออะไร นี่ไง องค์หลวงปู่มั่นท่านสอนพุทธวิสัยในพุทธพจน์ ท่านสอนถึงคำพูด ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์หลวงปู่มั่นท่านพยายามรื้อค้นของท่าน เพราะท่านรื้อค้นของท่าน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากใจหลวงปู่มั่น ธรรมนี้มาจากไหน

ธรรมนี้เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันเข้ามาสถิตในใจของหลวงปู่มั่น พอหลวงปู่มั่นสั่งสอนมาอย่างนี้ใช่ไหม สั่งสอนมาให้เรารื้อค้นของเรา ถ้าให้เรารื้อค้นของเรา สิ่งที่รื้อค้นเข้ามาในหัวใจของเรา ถ้าใจมันสงบเข้ามาเห็นไหม สิ่งที่ใจมันสงบเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา เราพยายามรื้อทำ ตั้งใจจริงของเรา ถ้าจริงของเราขึ้นมา อันนี้มันเป็นอะไร มันเป็นอะไรล่ะ

เห็นไหมขันธ์ที่ว่าเป็นขันธมาร ขันธ์นั้นเป็นกิเลสหรือ แล้วขันธ์ที่เป็นธรรมอยู่ไหน ขันธ์ที่เป็นธรรม นี้ขณะที่คำว่าขันธ์นี้เป็นธรรม ถ้าจิตมันเป็นสมาธินะ จิตเป็นสมาธิ จิตมีกำลังแล้วเราใช้ เพราะถ้าจิตไม่มีสมาธิ จิตจะไม่มีกำลังของเรา เราจะไม่คิดถึงสิ่งที่ดีๆ ดูสิเวลาเราทำงาน หน้าที่การงานของเรา ถ้าเรามีสติ เรามีสมาธิขึ้นมา เราใช้ปัญญา ใช้การใคร่ครวญในการงานของเรา ด้วยความถูกต้อง มันจะผิดพลาดบ้างก็เล็กน้อย เพราะมันยังไม่เป็นความจริง มันมีตัวแปร

ตัวแปรหมายถึงกรรมของเขา กรรมของเรา กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมปัจจุบันนี้ กรรมอดีต กรรมอนาคต มันมีตัวแปร มันไม่สมความปรารถนาของเราหรอก แต่ถ้าเราใช้ปัญญาที่มันเกิดอย่างนี้ นี่ไงที่ว่าขันธ์เป็นมาร ขันธ์เป็นกิเลส ขันธ์เป็นกิเลส

“ขันธ์เป็นธรรม” คำว่าขันธ์เป็นธรรม คือต้องมีสมาธิ

เห็นไหม ดูสิข้าวจะงอกงามขึ้นมาจากผืนนา เขาไปซื้อข้าวกันมาจากข้าวถุง มาจากตลาด แต่เขาปฏิเสธพื้นดิน ผืนนา แต่เราไม่ได้ปฏิเสธผืนนา เราลงไว้ที่ผืนนา เขารังเกียจนะ ลงไปผืนนาที่ดิน มันเป็นดิน เป็นเลน เป็นโคลน มันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง แต่เวลาเป็นข้าวสารอยากกินนะ เวลาเป็นข้าวสารนี่ต้องการข้าวสาร ต้องการเพื่อความดำรงชีวิต แต่ปฏิเสธดิน ดินนี้ใช้ไม่ได้ ดินนี้เป็นความสกปรกโสโครก

ใครเป็นพวกชาวนา พวกทำนานี่สกปรก ตัวไม่สะอาด ไม่มีคุณงามความดีเหมือนเรา เราเป็นคนที่สะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม นี่ไงพูดธรรมะจ้อยๆๆ นะ ธรรมของพระพุทธเจ้านะ แต่ปฏิเสธสมถะ ปฏิเสธการทำสมาธิ ปฏิเสธการทำสติ ปฏิเสธทุกอย่างหมดเลย !

มันเป็นธรรมดา... มันเป็นธรรมชาติ... มันเป็นธรรมดาก็ข้าวถุงไง หน้าด้านๆ ด้วยนะ กล่าวตู่ด้วยว่าข้าวถุงมันมาจากถุง

ข้าวถุงมันมาจากถุงเพราะเราซื้อขาดมาจากร้าน มันมาจากถุงนั้นน่ะ ข้าวได้เท่านั้นไง แต่ถ้าเป็นความจริงของพวกเรา เราจะลงไปที่ผืนนา ผืนนาคือตัวความสงบของใจ ตัวจิตตัวภพ ถ้าถึงตัวจิตตัวภพ แล้วเราไปแก้ไขกันที่นั่น ถ้าไปแก้ไขที่นั่นเห็นไหม นี่ไงข้าวมันมาจากไหน ต้นข้าวมาจากไหน มันเกิดมันงอกมาจากผืนนานั้น มันงอกขึ้นมาจากดิน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสงบของใจเข้าไป สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเป็นคุณธรรม ขันธ์... ขันธ์ที่ว่าเป็นกิเลสๆ นั่นน่ะ แต่ขันธ์ที่สะอาด ขันธ์ที่สะอาดมาจากไหน มันมีขันธ์หยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์ละเอียด ขันธ์-ความคิด มันยังมีตลอดไปนะ ความคิดหยาบๆ ถ้ามันเห็นตามความเป็นจริง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ถ้ามันขาดไปจากใจ... ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕

แล้วใครเป็นคนทิ้งขันธ์ ๕ ใครเป็นคนเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ใครเป็นคนเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ขันธ์ ๕ สักแต่ว่าขันธ์ ๕ ใครเป็นคนเห็น ใครเป็นคนจัดการขันธ์ ๕

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายย่อมดับไปเป็นธรรมดา อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารำพึงรำพันเลย เพราะมีพยานหลักฐานแล้ว

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายย่อมดับไปเป็นธรรมดา”

เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดาเห็นไหม มีอะไรเราก็โยนทิ้ง ก็มันเป็นธรรมดา โยนทิ้ง...มันจะทิ้งได้อย่างไร ไอ้ของโยนทิ้งนั้นคือวัตถุนะ แต่ความจริงในหัวใจของเรามันทิ้งได้ไหม “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา..” มันย่อยสลายกันด้วยอริยมรรคด้วยสัจจะความจริง มันทำลายกัน มันทำลายกิเลสในขันธ์นั้นออกไป แล้วสิ่งนั้นใครเป็นคนทำลาย

นี่ไง ถ้าเราใส่เสื้อผ้า เราจะเอาเสื้อผ้าออกมาซัก มาทำความสะอาด เราไม่ถอดออกมาจากร่างกาย มันจะซักให้มันสะอาดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วซักใครเป็นคนไปซักเสื้อผ้านั้น ใครเป็นคนซักจีวรที่เรานุ่งห่มกันอยู่ ใครเป็นคนไปซัก จีวรมันจะไปซักมันเองได้ไหม อ้าว..จีวรเป็นธรรมดา.. เวลามันขี้เกลือขึ้นก็ เอ้อ..มันธรรมดา... แล้วมันก็จะไหลจะลงไปในน้ำเอง น้ำมันก็จะทำความสะอาดเอง แล้วจีวรนั้นก็จะกลับมาให้เราห่มได้อย่างเดิมเป็นธรรมดา...

มันเป็นไปได้อย่างไร มันเอาอะไรมาเป็น ถ้าเราไม่ซัก เราไม่ทำ แล้วเราซักเราทำแล้ว ใครเป็นคนซัก ใครเป็นคนทำ

แล้วจิตที่มันวิปัสสนา จิตที่มันชำระกิเลส มันเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เหลือ เหลืออะไร อะไรเป็นคนเหลือ อะไรเป็นคนรู้ นี่ขณะจิตต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ขณะจิตว่า มันจะเป็นอัตโนมัติ พอถึงดูความเป็นธรรมดา เพ่งดูเป็นธรรมดา เพ่งดูจิต พอจิตถึงธรรมดา สมดุลแล้วมันก็เป็นอัตโนมัติ

มึงจะบ้า ! ไม่มีใครทำมันจะเป็นอัตโนมัติขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มองไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวนิพพานมันจะเกิดขึ้นสว่างโพลงขึ้นมา

ดูสิ การใช้ปัญญาของเราขึ้นมา เราทำปัญญาของเราเข้าไปบ่อยครั้งๆ เข้า จนถึงที่สุดมันก็ฟันไม้ไป ฟันถึงที่สุดแล้วมันก็จะขาดไปเอง มันขาดไปเองนี่เราเทียบเห็นไหม

ดูสิเราเทียบถึงวัตถุ จินตนาการถึงวัตถุ แล้วเราก็เทียบอารมณ์ของเราว่าเป็นวัตถุ แล้วมันคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ใครเป็นคนกระทำ แล้วทำพอมันขาดไป ใครเป็นคนฟัน สิ่งที่ไม้นั้นขาดไป ขาดไปดังแขนขาด มันขาดอย่างไร มันเป็นธรรมดาไหม สิ่งที่วุฒิภาวะของจิตนะ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน เขาก็รู้กันแล้ว

นี่ไงหลวงปู่มั่นบอกไว้เห็นไหม “ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ เอาไว้ในลิ้นชักไว้ แล้วใส่กุญแจไว้ อย่าให้มันออกมา” แล้วเราปฏิบัติไป ถ้าไม่ใส่ลิ้นชักไว้ ไอ้สิ่งนั้นมันเป็นสัญญา มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นข้อเท็จจริงที่เราศึกษาเป็นทฤษฎีมา พอจินตนาการขึ้นมา ภาพมันก็เกิด มันบวกทันทีนะกิเลส เหมือนเปี๊ยบเลย ใช่.. ใช่.. ใช่.. แล้วพอใช่ขึ้นไป มันให้คะแนนตัวเอง แล้วเราจะไปไหน

ก็ธรรมดาไง.. ก็นี่เหมือนเลย ว่าง... ธรรมะเป็นธรรมดา.. รู้แล้วว่าง.. สบาย.. กิเลสครอบงำ คืนสู่กิเลส ทำปฏิบัติแล้วกลับไปสู่กิเลส แล้วให้กิเลส.. เหมือนเราปฏิบัติ เราหุงหาอาหารมา แล้วอาหารนั่นเราไม่ได้กินไม่ได้ใช้ ได้แต่นั่งมองนะ ปล่อยให้มันบูดเน่าเสียหายไป

ชีวิตเราทั้งชีวิตนะ ชีวิตเราทั้งชีวิต เราศึกษาธรรมะแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ปล่อยให้เป็นธรรมดาไม่ได้ ต้องตั้งสติ ต้องตั้งสติ

ดูสิ ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ทำไมเราอดนอนผ่อนอาหารกัน อดนอนผ่อนอาหารเขาดูว่าเป็นการทรมานตน มันไม่ใช่ ! คนที่ฉลาดนะ ดูสิ หลวงปู่จวน ท่านประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ภูทอก ท่านเอากระดูกช้างผูกคอไว้ แล้วท่านเคี้ยวหมาก แล้วก็คายน้ำหมากมาให้เลอะตัวท่าน มีประชาชนเข้าไปเห็น เขาเห็นแล้วเขาเข้าใจผิด เขาว่าหลวงปู่จวนนี้ท่านฟั่นเฟือน

หลวงปู่จวนนี่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขาว เพราะหลวงปู่มั่นฝากไว้กับหลวงปู่ขาว ก็ไปบอกหลวงปู่ขาว ว่าหลวงปู่จวนนี่เสียสติแล้ว เสียสติเพราะอะไรล่ะ เห็นเดินจงกรมอยู่น่ะ เอากระดูกช้างแขวนคอนะ แล้วฉันหมากอยู่น่ะ แล้วคายน้ำหมากมาให้ราดไปที่ตัวเลย หลวงปู่ขาวได้ฟังแล้วท่านหัวเราะ ท่านนั่งยิ้ม.. ยิ้มกริ่ม ท่านภูมิใจ ท่านภูมิใจนะ ท่านภูมิใจว่า ท่านสอนลูกศิษย์ของท่านได้ ลูกศิษย์ของท่านกำลังพิจารณากามราคะ

สิ่งที่พิจารณากามราคะมันใช้อุบายวิธีการ อุบายจากข้างนอก อุบายจากข้างใน อุบายของจิตมันก็ไปพิจารณาของท่าน ท่านมีกำลังท่านพิจารณาของท่านว่า มันเป็นอสุภะ แล้วจากข้างนอกเห็นไหม ท่านเทียบเคียงให้เห็นสภาพชัดของท่าน ท่านทำของท่าน นั่นท่านชื่นชมกันนะ แต่พวกเราไปเห็นเข้า นี่ไงอัตตกิลมถานุโยค การทำความสมาธิก็เป็นความลำบาก ทุกอย่างเป็นความลำบากไปหมดเลย

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านมีวิสัยทัศน์ ท่านทำของท่านมานะ ท่านจะสอนเรา ท่านจะให้เราเข้มแข็ง ให้เราทำจริงจังของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงจังขึ้นมา มันธรรมดาไหม มันธรรมดาเหรอ มันไม่ธรรมดาหรอก

เราลงทุนลงแรงนะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหม ตั้งสติแล้วมันจิตมันสงบ ตั้งสติ ตั้งสติ เพราะหลวงตาท่านพูดประจำ สตินี่นะ มันกางกั้นสิ่งที่เป็นอารมณ์ที่มันจะทับถมหัวใจเรา คลื่นจะใหญ่ขนาดไหน สติจะกางกั้นได้หมดเลย

ถ้าคลื่นอันใหญ่ขนาดไหน เราไม่ตั้งไว้ ไม่ฝึกสติเลย เรามองมันมา คลื่นมันก็ทับเราเลยนะ เราก็นอนโดนคลื่นซัดไป เออ เป็นธรรมดา... เห็นไหม ดูสึนามิเห็นไหม เวลามันพัดลอยขึ้นไปนะ แล้วก็ลอยลงมานะ มันเป็นธรรมดา... ธรรมดาคือธรรมะ... ตายยังไม่รู้ตัวนะ ตายไปยังไม่รู้ตัวเลยน่ะ แต่ถ้าเราตั้งสติของเราไว้ ตั้งสติแล้วกำหนด คลื่นมามันพัดมามันแรงไหม เวลาคลื่นมาคนที่รู้ทันน่ะ เกาะต้นไม้ไว้ เกาะสิ่งใด น้ำมันพัดมานะ น่ากลัวไหม

คลื่นความคิด ความคิดในใจของเรามันทำลายเรามหาศาลเลย เราตั้งสติสู้มัน เราตั้งสติสู้มันจน.. เห็นไหม คลื่นพัดขึ้นไปแล้ว คลื่นลงไป ชีวิตกำลังมีชีวิตอยู่ เรายังเหลืออยู่ เราเห็นนะว่าคลื่นมันพัดขึ้นมา แล้วคลื่นมันก็กลับไป แล้วเหลือเราอยู่ เรารู้อยู่เห็นไหม ตั้งสติของเราไว้ สู้ไว้ เราเห็นโทษของมัน

เราเห็นโทษมันครั้งแรกใช่ไหม ครั้งที่ ๒ คลื่นจะมา เราวิ่งหนีขึ้นไปที่สูงแล้ว เพราะเราเห็นโทษของมันแล้ว แต่ถ้าเราไม่รู้จักอะไรมันเลย เห็นคลื่นมา โอ๋ย..สวยงามมาก วิ่งเข้าไปหามันนะ นี่ไงปัญญาอบรมสมาธิ ไม่ใช่ดูจิต

การดูจิตก็เหมือนการปล่อยให้ตัวเองโดนคลื่นซัดไปซัดมา แล้วตายไม่รู้ตัว ตายแล้วน่ะ ชีวิตเราถึงเวลาแล้วร่างกายของมนุษย์ โดนแรงกด แรงอะไรต่างๆ กระแทกตาย ชีวิตนี้เสียไปได้ แต่ความคิดของจิตมันไม่ตาย มันไม่ตาย... มันต่างกันตรงนี้ไง ธรรมะพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ธรรมะพระพุทธเจ้านี้มีอยู่แล้วใช่ไหม แล้วเราจินตนาการ เราพูดตามภาษาตรรกะของเรา มันก็เหมือนทั้งนั้นน่ะ

แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีหลักมีเกณฑ์ คนไม่มีธรรมะในหัวใจ พูดร้อยครั้งก็ผิดร้อยครั้ง คนที่มีธรรมะในหัวใจนะ พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง

ดูสิ ดูในเซนบอกเลย หลวงปู่ดูลย์ก็บอก “เจ็บมีไหม โกรธมีไหม มี แต่ไม่เอามัน” ไม่เอา โกรธไหม เราไปถามหลวงปู่ดูลย์น่ะ

“ โกรธไหม ? ”

“ โกรธ ”

“ แล้วโกรธทำอย่างไร ? ”

“ ไม่เอามันไง ไม่เอาโกรธ ”

นี่ไงสิ่งนี้มันมีอยู่ แต่จิตที่รู้เท่า จิตที่ทำสิ้นกระบวนการของกิเลสหมดแล้ว มันเป็นอิสระของตัวมันเอง มันไม่มีสิ่งใดไปบังคับมันได้

คนเป็นนะ ทุกข์กับสุขก็มีอยู่แต่ไม่เสวย นี่ไง “ไม่เสวย” ถ้าดูมันก็ดูมันเฉยๆ ใช่ไหม แต่นี่มีสติ ไม่เสวย ไม่เอามัน เท่าทันหมด แต่มันธรรมดาไหม ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญามันจะทันได้อย่างไร แล้วถ้ามันทันแล้ว ทำไมมันถึงทัน มันจะทันได้ต่อเมื่อมีการกระทำของเรานี่ไง เราต้องวิปัสสนาของเรา เราต้องทำความสงบของใจของเราขึ้นมา เราต้องสร้างรากสร้างฐาน

“กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน” เขายังไม่รู้จักเลย เพราะมันเป็นธรรมดาไปหมด ไม่มีฐานที่การงานอยู่ตรงไหน แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเห็นไหม จิตไม่หลงจิต ถ้าจิตไม่หลงจิต จิตต้องตั้งตัวเองขึ้นมาได้ก่อน ตัวจิตคือตัวสมาธิ จิตเห็นจิต คือเห็นความคิด เพราะความคิดกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน

ขันธ์ ๕ กับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน แล้วขันธ์ ๕ มันจะหลุดออกไปเฉยๆ โดยที่ไม่วิปัสสนาญาณทำให้มันหลุดไป มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าดูกันไปก็ดูกันตลอดชีวิต ถ้าเป็นธรรมดาก็ธรรมดาจนเกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดเล่า มันจะเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้ามันวิปัสสนาญาณของมันเห็นไหม เราต้องลงไปที่พื้นดิน เราจะต้องหาทางลงไปถึงพื้นดิน ถึงพื้นดินแล้วเราต้องใช้ของเราขึ้นมา

เหมือนกับปลาเลย ปลามันจะวางไข่เห็นไหม ดูสิตั้งแต่ปากน้ำ มันจะว่ายจนถึงต้นน้ำไปวางไข่นะ นี่เหมือนกันเราอยู่ที่ปากน้ำ ปลามันจะประพฤติปฏิบัติมันรู้หลักในการวางไข่ มันก็มาที่ปากน้ำน่ะแล้วก็วางไข่ไว้นั่น ลูกมันจะไม่มีเลยนะ มันจะเป็นเหยื่อของปลาตัวอื่นไปหมดเลย แต่ปลามันจะขึ้นไปวางไข่ถึงต้นน้ำนะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจนะ ถ้าทำความสงบของใจ มันจะขึ้นไปถึงต้นน้ำนั้น

การทำความสงบของใจ ระยะทางเห็นไหม จิต ความเร็วของจิต จิตนี้มีความเร็วมาก ถ้าสติมันกางกั้นจิตไว้ แล้วมันทันของมัน จิตมันจะเป็นสมาธิ นั่นล่ะต้นน้ำ ! ต้นน้ำคือตัวฐีติจิต คือตัวภวาสวะ คือตัวภพ คือตัวดิน สิ่งที่เป็นดิน.. นี่กรรมฐานไง กรรมฐาน ฐานที่นี่ปั๊บ ถ้าตัวจิตมันไม่เป็นอิสระของมัน ตัวจิตจะเห็นอาการของจิตได้อย่างไร

สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติของมัน สัญชาตญาณของมนุษย์น่ะ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นธรรมดา ความคิดกับจิตนี้เป็นเรื่องธรรมดา แยกไม่ออกเลย ความคิดกับจิตคนละอันกัน แยกกันไม่ออก แยกไม่ได้เลยว่าความคิดไม่ใช่จิต เพราะอะไร เพราะจิตเราไม่เคยสงบไง เราไม่เคยเห็นจิตของเราสงบจนเต็มที่ จนมันปล่อยจิตหมด มันปล่อยว่างหมด

ดูสิอย่างฝ่ายมหายานเขาบอกว่า “เวลาถอดจิตออกจากร่าง เหมือนกับปลอกกล้วย เพราะเปลือกกล้วยกับกล้วยไม่ใช่อันเดียวกัน” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นจริงเพราะเขาทำได้จริง เขาทำความสงบของเขาได้จริง เขาทำสมาธิของเขาได้จริง แต่เขาพอใจแค่นั้น เขาพอใจแค่นั้นเพราะอะไร

มหายานเขาบอกว่า เขาต้องการตามจิตดูจิตว่าไปเกิดที่ไหน เขาจะสร้างบุญบารมีของเขา เขาพอใจแค่นั้น มันอยู่ที่ความพอใจของเขา

แต่เรื่องของเซน เซนเขาใช้ปัญญาของเขา เขาปฏิบัติจริงของเขา ผู้ที่ปฏิบัติจริง เขาปฏิบัติของเขาจริงๆ นะ เขาลงทุนลงแรงของเขามหาศาลเลย แต่มหาศาลขนาดไหน มันก็ต้องมรรค ๘ เหมือนกัน ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ “สุภัททะเธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ” นี้เราจะเอารอยเท้าไปไว้บนอวกาศนู่นน่ะ ไม่ใช่อากาศ เพราะเราคิด เราจินตนาการของเรากันไปเอง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ สิ่งที่เป็นความจริงเห็นไหม มันจะจริง คนจริงรู้จริงเห็นจริง มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา เพราะมันจะครบองค์มรรคโดยสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติมันใช้ปัญญาไล่เข้ามาด้วยปัญญา ด้วยสติปัญญาเข้ามา มันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา จนเห็นรูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

รูป รส กลิ่น เสียงที่มันคิดอยู่ มันทุกข์อยู่นี่ ก็เพราะมันมีสิ่งล่อ รูป รส กลิ่น เสียงโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ไม่ได้คิดเลย จิตตัวมันเองมันก็มีข้อมูลในใจของมัน สิ่งที่กระทบกระเทือนใจมา สิ่งที่เรามีอยู่ฝังใจมา นั่นน่ะ มันย้ำคิดย้ำทำย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่นั่นน่ะ ไม่ต้องมีสิ่งกระทบมันก็มีข้อมูลของมันนะ

ดูสิถ้าไม่มีข้อมูลของมันเลย เวลาเรานอนฝันขึ้นมา แล้วสิ่งที่ฝันขึ้นมาคือข้อมูลของใจ แล้วปัจจุบันนี้ เราก็ไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาเลย แล้วมันฝันมาได้อย่างไร

ข้อมูลของอดีตชาติยังมีได้เลย ทำไมกาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ก็ข้อมูลของจิตทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันจะเห็นข้อมูลนั้น แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราเข้ามา ถ้าจิตเวลามันสงบเข้ามาเห็นไหม เห็นจิตสงบเข้ามาจนมันปล่อยวางข้อมูลนั้นได้ ปล่อยวางความคิดโดยสมาธิ สมาธินี้ถ้าอัปปนาสมาธินะ ใครทำพุทโธ พุทโธ จนจิตสงบเข้ามาถึงอัปปนาสมาธิ มันดับหมดนะ มันดับจากอายตนะ มันปล่อยวางร่างกายหมดเลย

กล้วยกับเปลือกกล้วยซ้อนกันอยู่ เวลามันหดความรู้สึกเข้ามาถึงตัวจิตน่ะ มันปล่อยร่างกายนี้หมดเลย การปล่อยร่างกายน่ะ การปล่อยโดยสมาธิก็ทำได้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านประสบการณ์ของท่านมา ท่านจะรู้เลยว่าถ้ามันปล่อยเข้ามาอย่างนี้ นี่ไงธรรมะเป็นธรรมดา มันธรรมดาก็มันปล่อยแล้ว ปล่อยแล้วแต่ไม่มีเหตุผล ธรรมะเป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องเข้าไปสู่กิเลส มันย้อนคืนสู่กิเลส ย้อนคืนสู่ภพหมด

ย้อนคืนสู่ภพโดยที่ไม่มีเหตุมีผลที่มีการกระทำ แต่ที่พูดอยู่นี้ เพราะกาฬเทวิลตายก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ แต่นี่พวกเราเกิดมาในศาสนา เรามีข้อมูลในศาสนา เราถึงพูดธรรมะในพุทธศาสนา ถ้าไม่มีศาสนา สาวกสาวกะไม่มีปัญญาพูดอย่างนี้ได้! สาวกสาวกะเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดเรื่องศาสนา พูดได้แต่ผล เหตุพูดไม่ได้ แต่นี่เพราะมันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง มันมีธรรมของครูบาอาจารย์ แล้วเราใช้ตรรกะเห็นไหม

มันมีตรรกะ มันมีปรัชญาของมัน มันพูดของมันไปตามตรรกะ แล้วมันทำให้พวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติเสียเวลาเปล่า สิ่งที่เสียเวลาเปล่าเพราะเราปฏิบัติไปแล้ว ถึงที่สุดนะ เรื่องของจิต เรื่องของอำนาจวาสนา เราจะไม่มีปัญญาไล่ตามความคิดของเราได้ทัน ไม่มีปัญญาไล่ตามความรู้สึกที่เปรียบเทียบความคิด คำสั่งสอนที่เขาสอน ที่เขาพูดออกมา มันจะมีสิ่งเปรียบเทียบอย่างไร

แต่ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไป ท่านทำของท่าน เหมือนปลา ปลาฝูงหนึ่งขึ้นไปวางไข่บนต้นน้ำ แต่ปลาอีกฝูงหนึ่ง ปลาชนิดเดียวกันนะ ถ้าปลาคนละชนิดมันก็วางไข่ได้ แต่ถ้าปลาชนิดเดียวกัน ปลาชนิดเดียวกันคือธรรมะอันเดียวกันไง ธรรมะที่ชำระกิเลสเหมือนกันไง ถ้าไม่ถึงต้นน้ำ ไม่ลงไปที่ดินนั้น ไม่มีการทำนานั้น ข้าวจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ข้าวที่เกิดขึ้นมานั้นมันเป็นข้าวถุงทั้งนั้นน่ะ คือสิ่งที่ออกมาจากตำรับตำราทั้งนั้น มันไม่ใช่เป็นความจริง

ปัญญาที่เราใคร่ครวญกันอยู่นี้ มันปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาต้นน้ำ ปัญญาที่เกิดจากเรา แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเห็นไหม ไล่ความคิดไปด้วยปัญญา ด้วยปัญญามันเห็นโทษ ด้วยปัญญามันมีเหตุมีผล มันมีเหตุมีผลนะ แล้วมันสอนตัวเองตลอด จนตัวเองเห็นโทษ จนขนาดความคิดขึ้นมา ถ้ากำลังเราไม่พอ กำลังเราไม่พอคือเราตามความคิดเราไม่ทัน เราเหนื่อยมาก เราจะใช้สติยับยั้งมันนะ

ความคิด สิ่งที่ว่า “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย อารมณ์ความรู้สึกเธอเป็นวัตถุอันหนึ่ง” เห็นเป็นวัตถุอันหนึ่งเลย คนจับได้เลย จับวัตถุอันหนึ่งแล้วถ้าจิตมันสงบแล้วมันจับได้นะ “จิตเห็นอาการของจิต” ถ้าจิตเห็นอาการของจิตแล้ววิปัสสนาไปน่ะ ความคิดที่ส่งออก ความคิดที่ให้ผลทั้งหมด มันให้ผลเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด

ความคิดที่เราใช้ความคิด ถ้าความคิดมีสติสัมปชัญญะ มันเป็นมรรค ถ้าความคิดไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ มันเป็นโลกียปัญญาไง มันเป็นความคิดของสามัญสำนึก ความคิดของโลกปัญญาอย่างนี้ เข้าถึงได้ด้วยแค่การจินตนาการ ปัญญาของโลก ปัญญาที่ว่าใช้ปัญญาๆ พิจารณาไป กำหนดดูไปน่ะ ปัญญามันจะเกิดเองๆ น่ะ มันสว่างโพลง ...นี่มันเป็นปัญญาโลก

นี่ไง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะเห็นข้อเท็จจริงตรงนี้ เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าปัญญาอย่างใดเป็นโลกียปัญญา ปัญญาอย่างใดเป็นโลกุตตรปัญญา แล้วปัญญาที่มันเป็นมรรคสามัคคี มรรคะที่รวมตัว มันเป็นอย่างไร สิ่งต่างๆ นี้มันเกิดขึ้นมาโดยสายทางเดียวกัน “โดยสายทางเดียวกัน” สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติโดยสมาธิ เราเข้าสมาธิ ถึงสมาธิถึงภวังค์มันต้องเข้าเป็นอันเดียวกัน

ถ้าจิตมันเริ่มประพฤติปฏิบัติ ในการประพฤติปฏิบัติของเราเกือบทั้งหมด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติโดยพุทโธ กำหนดลงไปน่ะ มันจะมีการตกภวังค์บ้าง มันจะมีสิ่งต่างๆ บ้าง เพราะอะไร เพราะมันเป็นช่องทางที่ไปในทางเดียวกัน อย่างเช่นเรากินข้าว เรากินข้าวนี่เราต้องมีอาหารด้วย สิ่งต่างๆ ที่เรากินเข้าไป ถึงที่สุด เรากินตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปานกลาง จนถึงเราอิ่ม นี้สิ่งที่เป็นกระบวนการนี้มันไปในทางเดียวกัน

สิ่งที่ไปในทางเดียวกันแล้ว เราถึงต้องตั้งสติ แล้วใคร่ครวญแก้ไขของเราไป ไม่ใช่ว่าเข้าไปแล้วเจอภวังค์ก็ผิด เจออะไรก็ผิด จะใช้ปัญญาอย่างนี้มันจะผิดไปหมด มันจะผิดไปหมดไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เป็นความจริงหรือปฏิบัติตามข้อเท็จจริง มันจะละเอียดเข้าไป พอละเอียดเข้าไป สิ่งที่ทำไป มันรู้อยู่ว่าเริ่มต้นต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จนเกิดสมาธิขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา แล้วใคร่ครวญขึ้นไป

พอใคร่ครวญขึ้นไปเห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ มันมีอะไร ในขันธ์ ๕ น่ะมันมีอะไร ตัณหาความทะยานอยากในขันธ์ ๕ นั้นน่ะ สิ่งที่ในขันธ์ ๕ นั้นน่ะ ขันธ์ ๕ จนถึงที่สุดพอขันธ์ ๕ มันขาด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ นี้ไม่มีกิเลส แล้ววิปัสสนาเข้าไปเป็นอีกชั้นหนึ่งเห็นไหม ดูวิปัสสนาไปก็ขันธ์ ๕ พิจารณาขันธ์ ๕ จนขันธ์ ๕ ไม่ใช่อุปาทาน โลกนี้แยกออก มันแยกออก กายกับจิต ความคิดกับจิตมันแยกขาดเลย

ไล่เข้าไป พอไล่เข้าไปมันจะเกิดอะไร มันจะเกิดสิ่งที่เป็นขันธ์อันละเอียดเห็นไหม ข้อมูล ปฏิฆะ.. กามราคะปฏิฆะมันอยู่ในหัวใจ มันทำอย่างไร ขณะจิตมันจะว่าเป็นธรรมดาๆ มันเข้าไปเป็นธรรมดาได้อย่างไร ถ้าธรรมดามันก็ไปจำนนกับกิเลสหมด ไปยอมจำนนกับมัน ไปอยู่กับมัน ให้มันขี่หัว ให้กิเลสมันเหยียบย่ำอยู่บนหัวนะ แล้วยังบอกว่านิพพานว่าง สงบเย็น นิพพานเป็นธรรมดา มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมดามันก็เกิดตายเป็นธรรมดา

ธรรมะมันเป็นธรรมดา... นี่เพราะในอุบายวิธีการคำสอนของมหายานเขา เขาพูดเพื่อไม่ให้เรายึดมั่นถือมั่นกับหัวใจไง กับอุปาทาน สิ่งที่เป็นอุปาทานเห็นไหม เวลาทำไปน่ะเราปฏิบัติเห็นไหมดูสิ เพื่อไม่ให้มีความอยาก พอมีความอยากปั๊บ ความอยากซ้อนความอยาก มันก็ทำให้การปฏิบัติเราเนิ่นช้า หรือการปฏิบัติเราเข้าถึงสิ่งนั้นไม่ได้

แต่เวลาเขาสอนเขาจะบอกว่า สิ่งนั้นไม่ให้ยึดมั่น ไม่ให้ดูว่ามันสูงค่าจนจะเอาไม่ได้เห็นไหม นิพพานอยู่ในขี้.. นิพพานอยู่ในมด.. นิพพานอยู่ใน.. คำว่านิพพาน อ้าว นิพพานก็อยู่ในใจเรา ในเมื่อใจเรามันมีภพใช่ไหม มีภวาสวะใช่ไหม มันมีทุกข์ใช่ไหม ทุกข์มันก็ดับได้ ถ้าทุกข์มันดับได้มันก็นิพพาน แต่กว่าจะทำได้มันไม่ได้ทำง่ายๆ อย่างนั้น เพียงแต่มันเป็นอุบายวิธีการคำสอนเท่านั้นเอง แต่ในการกระทำไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเป็นอุบายคำสอน

เหมือนเรา เราได้เงินกันมา แบงก์พันคนละใบ แบงก์พันของเรานี่นะ เราทำมาหากินมา กว่าจะได้มานี่แสนทุกข์แสนยาก มันมีพวกฉ้อฉลน่ะ มันฉ้อฉล มันใช้เล่ห์กล มันก็ได้แบงก์พันมา แต่แบงก์พันนั้นมันได้ด้วยการฉ้อฉล มันไม่ต้องลงทุนลงแรงใช่ไหม มันไม่ทำมาหากิน มันก็ไม่ทุกข์ยากใช่ไหม แบงก์พันนี้มันก็เป็นธรรมดา แต่ธรรมดาของกิเลสไง ธรรมดาของการฉ้อฉล

ธรรมดาของการฉ้อฉล การได้มา ดูสิฉ้อฉลเห็นไหม แบงก์พิมพ์ออกมาจากรัฐบาล แล้วมันก็อยู่ในท้องตลาดเหมือนกัน แต่เราทำมา เราทำหน้าที่การงานมา จนกว่าเราจะได้สมบัติอันนั้นมาเป็นสมบัติของเรา นี้มันได้มาด้วยความเหนื่อยยาก แต่ความฉ้อฉลน่ะเขาใช้ความฉ้อฉล ใช้เล่ห์กลของเขามันก็ได้แบงก์พันมา แต่นั่นเป็นเรื่องกิเลสไหม นี่เป็นเรื่องโลกอย่างนี้เขาหากันได้ เขาทำกันได้

แต่ธรรมะทำอย่างนั้นไม่ได้ ธรรมะไม่เป็นความจริง เพราะธรรมะไม่เป็นความจริง แต่สำหรับการฉ้อฉลของโลกเขา เขาฉ้อฉลกันน่ะทำไมคนยังเชื่อ ทำไมคนยังหลงเชื่อเขา เพราะความฉ้อฉลอย่างนั้น คนมันมีอวิชชาเห็นไหม คนมันโลภะ ความโลภ ความอยากได้ มันมีกิเลสของเขา เขาก็ไม่ทันของเขา แต่ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะ ยิ่งคนที่เขาทำหน้าที่การงานมา เราลงทุนลงแรงมา เราทำธุรกิจของเรามากว่าจะได้เงินทองมา แล้วเขาบอกว่าเราทำลำบาก ไม่ดีเลย ทำอย่างเขาดี

ถ้าเชื่อนะ นี่ไง ความโลภของเราทำร้ายเราเอง เราเองเราก็ทำประพฤติปฏิบัติของเรามา เราทุกข์ยากของเรามา เราจะเชื่อเขาได้อย่างไร เราเชื่อเขาไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่เชื่อ เชื่อเขาไม่ได้ เพราะความจริงเราประสบอยู่เห็นไหม “กาลามสูตร” พระพุทธเจ้าสอนให้กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์เรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่คำสอน ไม่ให้เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ไม่ให้เชื่อทั้งนั้นเลย ให้เชื่อสัจจะความจริง ให้เชื่อจากการประพฤติปฏิบัติตามความจริงของเราเห็นไหม

ถ้าเราปฏิบัติจริง รู้จริง เห็นจริง มันก็เป็นความจริงของเรา ถ้าความจริงอันนี้ มันน่าเสียใจที่ว่าความจริง คนเข้าถึงความจริงมันมีน้อย แล้วเวลาคนพูด คนพูดด้วยความไม่รับผิดชอบ ความรับผิดชอบเพราะอะไร เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นความจริง แต่เป็นความจริงไปไม่ได้ ธรรมะไม่ใช่ธรรมดา คำว่าธรรมะธรรมดานี่นะ ครูบาอาจารย์ท่าน เวลาท่านพูด เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กไง

ถ้าผู้ใหญ่พูดกับเด็ก ความเห็นความต่างของวุฒิภาวะของผู้ใหญ่กับเด็กมันต่างกันมาก ก็พูดให้เด็กมันพอเข้าใจได้ คำว่าพูดให้เด็กเข้าใจได้ แต่.. แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังมาปฏิบัติ จะเอาความเห็นของเด็ก ว่าธรรมะธรรมดา ผู้ใหญ่ทำงานเกือบเป็นเกือบตายกว่าจะได้มรดกตกทอดมาเพื่อให้ลูกให้หลาน ลูกหลานมันพึ่งเกิดมาเด็กๆ อ่อนๆ มันก็บอกธรรมะธรรมดา ก็บอก “ ป๊าๆ ป๊าอย่าทำงาน ป๊านั่งเล่นกับหนูสิ นั่งเล่นกับหนูสิ... ” อยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไง ธรรมะเป็นธรรมดาไง

ผู้ใหญ่พูดเพื่อให้เด็กมันมีหลักมีเกณฑ์ ให้มันมีความใฝ่ฝัน ให้มันมีความจงใจ ให้มันมีการพัฒนาของมัน ไม่ใช่พูดให้มันเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำไม่โตขึ้นมา ถ้าเด็กมันไม่โตขึ้นมาศาสนาเราก็ไม่มีศาสนทายาท ศาสนาเราก็ไม่มีใครรู้จริง ศาสนาเราจะชี้ถึงหลักธรรมความจริงใครจะเป็นคนชี้ เป็นคนชี้นะ.. ไม่มีครูมีอาจารย์นะ การประพฤติปฏิบัติของเรานะลำบากมาก เพราะอะไร เพราะกิเลสของเรามันเต็มหัว

กิเลสเต็มหัวน่ะ ปฏิบัติไปกิเลสมันก็พาหลงอยู่แล้ว หนึ่ง..ทำให้เสียเวลา สอง..ทำให้เราหลงไป หลงไปนี่หมดโอกาสนะ ยิ่งวิปัสสนาไป เวลาปฏิบัติไป วิปลาสไป อันนี้ยิ่งเสียกันใหญ่เลย วิปลาสได้ วิปลาสเพราะอะไร เพราะมีจิตสงบแล้วไปตกใจสิ่งต่างๆ นี่มันต้องมีกรรมด้วย มีกรรมเก่าของแต่ละบุคคล พอตกใจไปเห็นสิ่งต่างๆ แล้วก็ฝังใจนะ ไปเห็นสิ่งใดแล้วฝังใจ มีคนปฏิบัติเยอะมาก เห็นนู่นเห็นนี่แล้วมาถาม ก็ตัวเราเองเห็นเอง ทำไมเราไม่เข้าใจ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมีหลักมีเกณฑ์นะ ถ้าจิตสงบเห็นนิมิตต่างๆ อะไรก็แล้วแต่ ถ้าตั้งสติให้ดีแล้วถาม ถามนิมิตนั้น ถ้าเป็นความจริงนะ นิมิตนั้นจะสู้เราไม่ได้เลยเพราะอะไรรู้ไหม เราเห็นนิมิตใช่ไหม แล้วเราตั้งสติแล้วถามนะ สติเราพร้อมไหม เราสมบูรณ์ไหม เพราะสิ่งที่เป็นนิมิต สิ่งที่เห็นขึ้นมา มันเห็นมาจากไหน เพราะใจนี้เป็นคนเห็น

เราทำสิ่งใดมา ในการเกิดและการตาย เราสร้างคุณงามความดีมาขนาดไหน สิ่งนั้นจะตอบสนอง ถ้ามันไปเห็นนิมิตนั้น เพราะถาม ถ้าเป็นบาปอกุศล สิ่งนั้นจะสู้หน้าเราไม่ได้ เพราะจิตนี้สำคัญมาก เพราะจิตนี้เป็นผู้รู้ เพราะจิตนี้ พุทธะนี้มีความสำคัญมหาศาลเลย แต่พอเวลาเรารู้สิ่งใด ทำไมเราไม่เข้าใจอะไรเลยล่ะ เห็นไหมนี่วุฒิภาวะของใจเรามันอ่อน

ถ้าวุฒิภาวะของใจเรา เราพัฒนาของเราขึ้นไป จิตมันสงบขึ้นมามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา สิ่งใดจะหลอกลวงเราไม่ได้เลย เราทำขึ้นมานี่มันแสนทุกข์แสนยาก แม้แต่พื้นฐานของจิตมันก็ยากอยู่แล้ว แล้วถ้าวิปัสสนาไป เห็นต่างๆ ทุกอย่างเป็นนิมิต เห็นต่างๆ มันจะบอกกาลเวลา บอกเรื่องต่างๆ วางไว้ให้หมดเลย

“เห็นกาย” สิ่งที่เห็นกาย เพราะเห็นกายมันจะไปถอนอะไร เพราะเห็นกายนี่มันถอนสักกายทิฏฐิ เพราะอะไร เพราะทิฏฐิมานะ เห็นไหมนิพพานเป็นอัตตา นิพพานเป็นอาตมัน ถ้าจิตเป็นธรรมดาก็ไปอยู่อาตมัน เพราะไม่ทำสิ่งใดๆ เลย นิพพานเป็นอนัตตาเห็นไหม อนัตตาก็ผิด ผิดเพราะอะไร นี่ไง อัตตาตัวตนน่ะมันผิด ทิฏฐิมานะ ความเป็นทิฏฐิมานะที่จิตมันฝังอยู่ สิ่งนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปถอดถอนสิ่งนี้ นิพพานถึงไม่ใช่อัตตา นิพพานไม่ใช่อนัตตา

อัตตาเป็นอัตตาตัวตนที่เป็นทิฏฐิมานะ อนัตตาคือความแปรสภาพ สิ่งที่มีอยู่ที่ว่านิพพานเป็นธรรมดา นิพพานเป็นธรรมดา เพราะนิพพานเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ดูน้ำสิ น้ำมันต้องไหลลงต่ำตลอดไป น้ำมันต้องระเหยขึ้นไปเป็นธรรมดา น้ำจะหมุนเวียนเป็นธรรมดาของมัน เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

นี้สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา การแปรสภาพ การแปรสภาพที่มันเป็นไปเห็นไหม พระพุทธเจ้าท่านเข้าไปอาสวักขยญาณ การที่เห็นอาสวักขยญาณคือการระเหิด คือน้ำที่มันแปรสภาพ น้ำมันระเหิดขึ้นไป มันระเหยขึ้นไป มันขึ้นเป็นไอ เป็นเมฆขึ้นไป แล้วมันรวมตัวกัน มันก็ตกลงมา มันก็หมุนลงมา เห็นไหมมันเป็นอนัตตา

ชีวิตเรา สิ่งที่เป็นสภาวะอนัตตาที่มันเป็นไปอยู่ในหัวใจ เห็นไหม นิพพานเป็นธรรมดา.. ธรรมะเป็นธรรมดา.. มันก็หมุนเวียนของมันตามสภาวะของมันเห็นไหม แต่ถ้ามันมีจิตเห็นไหม “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” นี่ไงสิ่งที่ว่ามันระเหิดขึ้นไป สิ่งที่มันแปรสภาพของมัน สิ่งที่เป็นอนัตตา ใครเป็นคนสร้างกระบวนการความเห็นที่เป็นอนัตตา

ดูสิความแปรสภาพของร่างกาย ความแปรสภาพของจิตใจ ความแปรสภาพของทุกๆ อย่าง ใครเป็นคนรู้ ใครเป็นคนเห็น ใครเป็นคนจัดการ

จิตเห็น! จิตรู้ จิตเห็นจิต จิตรู้จิต จิตเห็นอาการของจิต แล้วจิตวิปัสสนาของจิต แล้วจิตเห็นจิตรู้จิตเป็นตัวตนไหม จิตเป็นตัวตนขนาดไหนมันก็เป็นธรรมะ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา

สิ่งที่เป็นการกระทำของเรา มันมีการกระทำ มันมีการเปลี่ยนแปลง มีการกระทำของมัน มันออกไปเป็นมรรคญาณ มันออกไป หมุนออกไปเห็นไหม นี่ ! ธรรมมันเกิดอย่างนี้ !

แล้วถ้าธรรมมันเกิดอย่างนี้ กับตำราคนละเรื่องเลย ตำราบอกไว้อย่างหนึ่ง แต่จริงเห็นไหม ที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านบอกว่านี่ธรรมะที่ศึกษามา เทิดทูนไว้บนศีรษะเก็บไว้ในลิ้นชัก ในสมองแล้วล็อกมันไว้อย่าให้มันออกมา

เวลาเราพิจารณาไป เราพิจารณาของเราไป ปัญญามันเกิดขึ้นมา แล้วมันวิปัสสนาของมันไป ถึงที่สุดขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์… สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา… มันเข้ากับตำราเปี๊ยบเลย มันเข้ากับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด พูดจริงๆ แล้วเราปฏิบัติตามความจริงของเรา ความจริงมันเกิดขึ้นมากับเราเห็นไหม

พอความจริงเกิดขึ้นกับเรามันเป็นสัจธรรม มันไม่คืนสู่กิเลส มันจะคืนสู่สัจธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นมาจากใจ ใจเป็นธรรม พอใจเป็นธรรมขึ้นมา ใจเป็นพระโสดาบันขึ้นมา มันรู้เห็นน่ะ พูดอย่างนี้ไม่ได้เลย พระโสดาบันจะพูดแบบว่า ธรรมะเป็นธรรมดา.. นอนกระดิกเท้าตื่นขึ้นมาก็เป็นพระโสดาบัน.. มันเป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นไปไม่ได้หรอก ! มันต้องมีการกระทำของมัน จิตมันมีการกระทำ

แล้วนี่เป็นพระโสดาบันเห็นไหม แล้วพระโสดาบันยังเหลืออะไร เหลือกิเลสอุปาทานในหัวใจ เหลืออสุภะ กามราคะ แล้วพอถึงที่สุดเข้าไป ทำลายกามราคะจนเป็นพระอนาคาขึ้นมาแล้ว แล้วมันเหลือสิ่งใด นี่ไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส.. จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส.. ภวาสวะตัวภพนี่ ตัวอวิชชานี่ คืนสู่กิเลส คืนสู่กิเลสเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจิตจนถึงระดับนี้แล้ว ว่าง จิตนี้ว่างหมดนะ มองเข้าไปสภาวะนี้ โอ้.. จิตว่าง

ทำไมจิตนี้ ทำไมมันลึกลับมหัศจรรย์ขนาดนี้ มองสิ่งใดไปทะลุปรุโปร่ง มันว่าง ไม่มีสิ่งใดจะบังตาสิ่งนี้ได้ นี่สำคัญตนเห็นไหม คำว่าสำคัญตนคือว่ามันสำคัญว่าสิ่งนี้มันมหัศจรรย์ไง ถ้าเป็นเราก็ธรรมดา นิพพานไง ว่าง.. ธรรมดา..

ท่านไม่เชื่อใจของท่าน ท่านรื้อค้นของท่านต่อไปเห็นไหม พอรื้อค้นต่อไป นี่คืนสู่กิเลส คืนสู่ตัวภพ คืนสู่ปฏิสนธิจิต ถ้าพูดถึงดับขันธ์ตรงนี้จะเกิดเป็นพระอนาคาเพราะมันยังมีตัวจิต มีตัวภพอยู่

ตัวจิตตัวภพมันจะไปเกิด เพราะมีสถานที่ มีข้อมูลจะไปเกิดที่สุทธาวาส สุทธาวาส ๕ ชั้นจะไปเกิดบนนั้น แต่ถ้ามันทำต่อไปเห็นไหม มันจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาถึงตัวจิต พอถึงตัวจิต จนจิตมัธยัสถ์จนเป็นกลาง แล้วทำลายตัวมันเองเห็นไหม พอท่านทำลายตัวท่าน จิตทำลายของท่านเองแล้ว ความเป็นมหัศจรรย์ที่มันฝังอยู่ในหัวใจเห็นไหม โอ้โห ตอนที่เห็นเห็นไหม โอ้ย มหัศจรรย์ สุดยอด มันลึกลับ ทำไมมันมหัศจรรย์ได้ขนาดนี้หนอ...

เวลาปล่อยวางไปแล้วน่ะ กองขี้ควาย ! มันกลายเป็นกองขี้ควาย กองขี้ควาย ใครจะเอาขี้มาใส่เป็นสมบัติเราไหม ขี้เขาเอาไว้ทำปุ๋ย เขาไปลงโรงนา เขาเอาไปลงดินของเขานู่น ดินคือหัวใจ เพราะมันมีดิน มีพื้นที่ มีการกระทำเห็นไหม สิ่งต่างๆ มันเลยเป็นประโยชน์กับหัวใจทั้งหมดเลย นี่ไง มันจะเป็นธรรมดาตรงไหน

มันมีการกระทำนะ แต่ละภพ แต่ละขั้น แต่ละตอน ความลึกลับมหัศจรรย์ของเราที่เราไปติดข้อง ที่เราเห็นแล้วมันเป็นความมหัศจรรย์ เวลามันผ่านขึ้นไปแต่ละชั้นขึ้นไปเห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ โอ้โฮ จิตนี้ละเอียดมาก ปัญญานี้ละเอียดมาก มันจะมีละเอียดไปลึกลับซับซ้อนมากกว่านี้นัก

ถ้าไม่ลึกลับซับซ้อนมากกว่านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทอดอาลัยนะ เวลาตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้มาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ยังทอดอาลัยตายอยาก มันจะสอนได้อย่างไร มันจะรู้ได้อย่างไร แต่! แต่ผู้ที่สร้างเป็นสาวก สาวกะ สร้างบุญกุศลมาเป็นสาวกสาวกะ ขึ้นมา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันก็มีบุญกุศลในหัวใจนี้เหมือนกัน ถ้ามีบุญกุศลในหัวใจนี้ เราประพฤติปฏิบัติของเราด้วยตามข้อเท็จจริง

เราจะทุกข์จะยาก เราจะลำบากลำบน ลำบากเพื่อจะพ้นจากทุกข์ “ความเพียรชอบ” เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรวิริยะอุตสาหะ ให้มันเป็นสัจธรรม สัจจะความจริงขึ้นมา ไม่ใช่ให้กิเลสมันมาหลอก แล้วประพฤติปฏิบัติคืนสู่กิเลส คืนสู่กิเลส คืนสู่ภพ คืนสู่ความปล่อยความว่าง นี่ภพไง ฐีติจิตเข้าไปสู่ความธรรมดา เหมือนฤๅษีชีไพร ฤๅษีชีไพรก็เหาะเหินเดินฟ้า เหาะเหินเดินฟ้าก็ใช้พลังงาน พลังงานนี่เป็นตัวเปรียบเทียบนะ เจโตวิมุตติถ้าใช้กำลังของจิตวิปัสสนาไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตเข้าถึงฌานสมาบัติมันมีกำลังของมัน จะเหาะเหินเดินฟ้า จะระลึกอดีตชาติมันก็รู้ของมันได้ มันด้วยกำลังของจิตมันยังรู้ของมันได้ มันยังทำให้ตื่นตัวได้ ว่าเรานี่มีวุฒิภาวะ เรามีความรู้สึกอย่างไร

แต่นี่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเคลม ธรรมดา.. มันเป็นธรรมดา มันเป็นนิพพาน นิพพานเกิดธรรมดา.. อย่าวอกแวกคลอนแคลน ให้เห็นจิตเป็นธรรมดานั้น… ธรรมะเป็นธรรมดามันมีคุณประเสริฐที่สุด ว่าเป็นธรรมดาของจิตไง นี่กิเลสอย่างละเอียดนะ

กิเลส อุปกิเลส แต่สิ่งนี้นะจากกิเลสเวลาวิปัสสนาไป เราปฏิบัติของเราไปเห็นไหม โอภาส สว่างไสว ปัสสัทธิ คือจิตมันเป็นไป อุปกิเลส ความเป็นไปของมัน มันยังมีของมันอยู่เห็นไหม สิ่งที่เป็นอุปกิเลสเพราะจิตมันละเอียดเข้ามา จิตมันดีขึ้นมา เราก็รักษาของเราขึ้นมา พัฒนาของเราขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปเพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม

ความเป็นประโยชน์กับเรา ความเป็นจริงของเรา มันจะเกิดกับเรา ถ้าเรามีหลักจุดยืนของเรา เราจะไม่เชื่อใครง่ายๆ ความเชื่อใครง่ายๆ เห็นไหม ดูเขาตกทองกันสิ เพราะเราหลง เราอยากได้ เราพอใจ เราเลยเป็นเหยื่อของเขา นี่ก็เหมือนกันเราอย่าพึ่งเชื่อใคร เราใช้พิสูจน์ในหัวใจของเรา ต้องทำของเราขึ้นมา ให้เป็นตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมานะ มันจะเป็นไม่เป็นอย่างที่เขาว่า

ดูสิว่าพระอรหันต์แต่ละองค์เห็นไหม วิทยานิพนธ์ของแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกันนะ พระอรหันต์แต่ละองค์ที่พูดออกมา “สัจธรรมในหัวใจ” จะไม่ค้านกันเลย มันเหมือนกันน่ะ มันลงกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สิ่งที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ยิ่งฟังยิ่งเป็นมงคลนะ ใครประพฤติปฏิบัติเป็นความจริง ฟังแล้วเป็นมงคลมาก

แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติ... ลงสู่กิเลส มันไม่เป็นมงคลเลย มันเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้นน่ะ มันพูดไปเพื่อให้เราจนมุม ให้เราอยู่กับกิเลส แต่มันหลงตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เอวัง