เทศน์พระ วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี
เวลาผ่านไปนะ เวลาเห็นไหม ดูฤดูกาลผ่านพ้นไป ถ้าฤดูกาลผ่านพ้นไป วันคืนผ่านพ้นไป ชีวิตก็ต้องผ่านพ้นไปนะ อย่านอนใจชีวิตนี้ อย่าให้คุ้นเคย ถ้าเราคุ้นเคยนะ หน้าที่ข้อวัตรปฏิบัติเป็นหน้าที่ มีอากาศหายใจ หายใจเป็นหน้าที่นะ ถ้าเราไม่หายใจเราก็ต้องตาย เราหายใจเป็นหน้าที่
แต่ถ้าเวลาขาดออกซิเจนขึ้นมาร่างกายมันวิการได้ ข้อวัตรปฏิบัติเราทำตามหน้าที่ แต่ชีวิตเห็นไหม ชีวิตดำรงอยู่ไว้เพื่ออะไร? เราต้องย้อนกลับมาดูใจเรา หน้าที่การงานนั้นเราบริหารจัดการนะ สิ่งที่บริหารจัดการจากภายนอก ดูสิเวลาเรากินอาหารเห็นไหม อาหารจากในบาตร เราฉันอาหารกันขนาดไหน จะฉันมากฉันน้อยอาหารในกระเพาะมันต้องย่อยสลายไปนะ
ข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน วันคืนล่วงไปๆ ดูสิคนที่เขามีศักยภาพ แม้แต่เป็นจักรพรรดิถ้าหมดกาลหมดเวลา จักรพรรดินี่จักรจะไม่หมุน ถ้าตามธรรมจักรพรรดิต้องออกบวช
นี่ก็เหมือนกัน คนแก่คนเฒ่าเกษียณอายุราชการแล้ว ใช้ชีวิตไง ตั้งแต่ชีวิตเราเกิดมาใช้ชีวิตเพื่อตำแหน่งหน้าที่ ใครมีตำแหน่งนะ ยังอยู่ในตำแหน่งหรือไม่อยู่ในตำแหน่ง ถ้าอยู่ในตำแหน่งก็มีอำนาจไง คนถ้าอยู่ในตำแหน่งทุกคนจะไปขอความช่วยเหลือ ไปขอการอนุเคราะห์ ถ้าพ้นจากตำแหน่งนะ เวลาเกษียณออกจากราชการแล้วไม่มีใครดูแลเลย เหมือนหมาไล่เนื้อ
เวลาหมาไล่เนื้อมันมีประโยชน์นะ เขาเลี้ยงไว้เพื่อไล่เนื้อ เวลามันแก่เฒ่าขึ้นมา ไม่มีใครสนใจมัน นี่มันเป็นหมาไล่เนื้อนะ แต่ถ้ามันเป็นชีวิตของเรา เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นนักบวช เราต้องเข้าใจในชีวิตของเรา ชีวิตของเราจะเป็นหมาไล่เนื้อไหม
ถ้าเราหมดศักยภาพ เราแก่เราเฒ่าเราทำสิ่งใดไม่ได้ เราจะมีคุณประโยชน์อะไร แต่เราดูครูบาอาจารย์สิ หลวงปู่มั่นเวลาท่านออกแสวงหา ขณะที่ท่านอายุยังหนุ่มยังน้อยอยู่ สมบุกสมบันไง เวลาท่านมีอายุมากขึ้นมาเห็นไหม เพราะอะไร? อายุมากไง ผู้ที่มีราตรียาว ผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามาก นี่เรื่องของโลกนะ เรื่องของผู้เฒ่า
ในสังคมประเพณีวัฒนธรรมของผู้เฒ่าทางอีสาน เขาจะเคารพบูชา เขาจะฟังเสียงผู้เฒ่า เพราะอะไร เพราะผู้เฒ่าผ่านล่วงราตรีมายาวนาน จะมีมุมมองต่างๆ ที่ไม่เป็นเหยื่อของโลก จะเป็นผู้แนะนำสั่งสอน จะเป็นผู้ที่ชี้นำในสังคม หมู่บ้านนั้นให้ไปดี
นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ที่มีราตรีเดียว ไม่ใช่ราตรีเนิ่นนานนะ ราตรีเดียว เพราะอะไร? เพราะเข้าใจสัจจะของชีวิตไง ผู้ที่เข้าใจสัจจะของชีวิตเห็นไหม ผู้ที่แสวงหาต้องแสวงหาผู้นำ ถ้าผู้นำจะชี้เข้ามาถึงหัวใจนะ เพราะเวลาความคิดของเรากิเลสพาคิด มันคิดว่าสิ่งนี้มันรู้แล้วหมด บริหารจัดการต่างๆ รู้เข้าใจไปหมด จะบริหารจัดการไปหมดเลย
สิ่งที่บริหารจัดการนั้น กิเลสมันเอาสิ่งนั้นมาเชือดคอเรานะ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่กิเลสมันเหนือเราแค่นิดเดียว คะแนนนะเหนือกันนิดเดียว เป็นจุดทศนิยมเลยว่านิดเดียว แต่เราจะแพ้ตลอดไป
นี่ก็เหมือนกัน เพราะมันละเอียดขนาดที่ว่าเราไม่เห็นมันเลยไง บริหารจัดการ แล้วบริหารจัดการความรู้สึกของเราไหมล่ะ? บริหารจัดการความทุกข์ไหมล่ะ? ที่มันละเอียด ละเอียดอย่างนี้ไง เพราะกิเลสเป็นเรา ความรู้สึกเป็นเรา สิ่งต่างๆ เป็นเรา พอเป็นเราเห็นไหม ความคิดก็เป็นเรา บริหารจัดการก็เราบริหารจัดการ ก็กิเลสมันบริหารจัดการไง ย้อนกลับมาในหัวใจอย่างนี้ สิ่งนี้ไม่คุ้นเคยกับสิ่งใดๆ ไม่คุ้นเคยกับความคิดของเราเห็นไหม ปัญญาอย่างนี้มันถึงว่าเป็นปัญญากิเลสพาใช้
แต่ถ้าเป็นปัญญาที่ธรรมพาใช้ มันจะแบบว่าให้เราคุกเข่ากับเราเองเลยนะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรม ไปยอมจำนนกับกิเลสนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนา นี่ทุกข์ยากมาก แล้วยอมจำนนกับกิเลส โอดโอยเลย ยอมแพ้เลย
แต่ขณะที่ธรรมมันเกิด เวลากิเลสมันยอมจำนน ถ้าปัญญาเราเกิดขึ้นมาเห็นไหม ทำไมหลวงปู่มั่น หลวงตา ท่านถึงบอกว่า ถ้าปฏิบัติไป มันเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกัน จะมากราบศพ จะมากราบศพเพราะเวลามันเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว กิเลสมันยอมจำนนกับธรรม มันจะสลดสังเวชมาก
มันเรียกว่าความคิดอย่างนี้ ความคิดที่ว่าเป็นความโต้แย้งนี้ ความคิดของเราที่มันยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นธรรมๆ สิ่งนี้มันกิเลสพาใช้ทั้งหมดเลย มันไม่เป็นสัจจะความจริงเลย ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันจะปล่อยวาง แล้วมันจะรู้เข้ามาจากภายในนั้น
สิ่งนี้เป็นธรรมไง ถ้าเป็นธรรมเกิดจากไหนล่ะ เกิดมาจากที่เราไม่คุ้นเคยกับมัน ถ้าเราคุ้นเคยนะ ทำกันชินชาหน้าด้านเห็นไหม ดูสิเราทำข้อวัตรเราก็ทำข้อวัตรทุกคนนะ เขาทำดี เขาทำข้อวัตร ถ้าทำข้อวัตรโดยไม่มีสติ ทำข้อวัตรโดยที่เราไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นการฝึกฝนจิตของเรา มันเหมือนเครื่องยนต์กลไก หุ่นยนต์มันทำดีกว่าเราอีก
หุ่นยนต์เห็นไหม ความละเอียดของหุ่นยนต์ คนทำยังพลั้งเผลอ ถ้าการประกอบธุรกิจของเขา อุตสาหกรรมนี่เขาเรียกหุ่นยนต์ มันจะไม่มีความผิดพลาด ความผิดพลาดมันน้อยไง เพราะมันทำซ้ำๆ ซากๆ นี่ก็เหมือนกัน เราทำข้อวัตรเราจะทำซ้ำๆ ซากๆ เป็นหุ่นยนต์หรือ? เราเป็นผู้ที่มีชีวิตนะ เราไม่ใช่หุ่นยนต์ เราจะไม่คุ้นเคยกับสิ่งใดเลย แต่ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นการขัดเกลากิเลส
กิเลสเห็นไหม ถ้าทำจนคุ้นจนชินมันก็ทำให้เราเป็นหุ่นยนต์ เราก็ต้องมีสติเห็นไหม สิ่งนี้เราทำเพื่อใคร ทำเพื่อขัดเกลาภายในจากกิริยาจากภายนอก ทำความสะอาดเช็ดถูศาลา กวาดตาดต่างๆ ตีตาดต่างๆ มันมีปัญญาไง มันมีความรู้สึก มันมีความนึกคิด กิเลสเห็นไหม นี่ใบไม้ใบหนึ่งมันร่วงลงมา ชีวิตคนก็ต้องล่วงไป
ความสกปรกเห็นไหม ร่างกายสกปรก จิตใจสกปรก เราเก็บกวาดเพื่อความสะอาด มันฝึกฝนขึ้นมา มันจะย้อนกลับมาในหัวใจของเรา มันยิ่งทำมันยิ่งได้ปัญญา ยิ่งทำนะ เหมือนกับเราทำความสะอาดใจของเรา แต่เรายังไม่สามารถทำความสะอาดใจจากในหัวใจของเราได้ เราก็เอาสิ่งนี้เพื่อทวนกระแสกลับไปที่จิต
ทำความสะอาดสิ่งใดๆ ก็เท่ากับให้จิตมันฝืนความสะอาดจากภายนอก มันจะโต้แย้ง มันจะขัดแย้ง มันจะไม่ยอม ทำอย่างไร ถึงเวลาเราต้องทำ เราทำเพื่ออะไร เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันเป็นธรรมวินัย ธรรมวินัยเห็นไหมเป็นพวงดอกไม้ ร้อยพวงดอกไม้ให้เป็นพวงมาลัยที่สวยงาม นี่ทิฐิเสมอกัน ความเป็นอยู่เสมอกัน ให้สังฆะ ให้สงฆ์นั้นทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน การกระทำเหมือนกัน ไม่มีใครสูงใครต่ำ
ในสมัยพุทธกาล แม้แต่กษัตริย์ แม้แต่กุฎุมพี ทุคตะเข็ญใจขนาดไหน เวลามาบวชในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา สิ่งนี้ต่างๆ สังคมสงฆ์ สังฆะ มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต่างคนก็ต่างรักษาในสถานะหน้าที่ของตัว แล้วฝึกสติขึ้นมาจากภายในนะ
อย่าไปคุ้นเคยกับมัน อย่าไปคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ทั้งสิ้นนะ ไม่ใช่ทำเพื่อความคุ้นเคย ทำเพื่อความชำนาญ ทำเพื่อความคล่องแคล่วนะ ทำจนเห็นไหม ดูสิผู้ใดมีศีลอุโบสถ จะเข้าในหมู่สงฆ์สิ่งใดจะเข้าด้วยความองอาจกล้าหาญ เพราะศีลของเราไม่ด่างไม่พร้อย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกฝนของเราจนคล่องแคล่วแล้วนะ มีวัตรปฏิบัติเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้นำ ท่านวิตกวิจารเรื่องแบบนี้มาก หลวงตาท่านเล่าประจำว่า ให้ผู้น้อยมันได้ฝึกได้หัด ดูสิ คำว่าได้ฝึกได้หัด มันจะได้มีวัตรปฏิบัติประจำมัน ดูทหารเห็นไหม ทหารเรือ ทหารบก การฝึกฝนเขาต่างกันเห็นไหม
นาวิกโยธินเขาโดดร่มลงทะเล เขาเก็บร่มในทะเล เขาฝึกของเขา แล้วถ้าเกิดเขาเจอสภาวะแบบนั้น เขาไม่กลัวสิ่งใดเลย เขาดำรงชีวิตในน้ำได้สบายๆ เลย ข้อวัตรปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้ ถ้าพระเราได้ฝึกได้ฝนขึ้นมา มันจะเข้าสังคมสงฆ์ด้วยความองอาจกล้าหาญ เขาจะทำสิ่งใดเข้าใจไปหมดนะ
เรื่องวัตรปฏิบัติ เรื่องสันนิธิ เรื่องต่างๆ เรื่องกาละ เรื่องกาลิกต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถ้าเราฝึกฝน เราเข้าใจในหมู่สงฆ์เราจะองอาจกล้าหาญ เราจะเข้าหมู่สงฆ์ใดก็ได้ แม้แต่หัวหน้ากิริยาท่านแสดงออก เราจะรู้เลยมันเข้ากับธรรมวินัยข้อนั้น มันเข้ากับธรรมวินัยข้อนั้น ท่านต้องการสิ่งนั้น แล้วธรรมวินัยข้อนั้นจะสืบต่อไปด้วยอย่างไร
ดูอย่างครูบาอาจารย์ท่านขยับ เราจะรู้เลยว่าการดำเนินขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไร เราจะอุปัฏฐากได้สะดวกสบายมากเลย การฝึกฝน ฝึกฝนอย่างนี้ไง มันจะได้มีข้อวัตรติดตัวมันไป หลวงปู่มั่นท่านสอนนะ มันจะได้มีข้อวัตรปฏิบัติติดตัวมันไป ข้อวัตรปฏิบัติแบบที่เดินตามครูบาอาจารย์นะ ไม่ใช่ทุดัน ดันออกหน้า
หลวงปู่มั่นบอกไว้ว่า ต่อไปมันจะเอาเยี่ยง ไม่เอาอย่าง เห็นไหม เอาเยี่ยง เอาอย่าง เอาแต่เยี่ยงไม่เอาอย่างเลย ไม่ทำตาม เอาเยี่ยง เอาแค่กิริยาไง เป็นพระป่า เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ออกไปสังคม เอาเยี่ยงไง
เพียงแต่เหมือนกับอีกากับกาเหว่า มันฝากไว้มันไม่ฟักไข่ กานี่ไข่ของมันๆ ฟักเองนะ ไอ้นั่นมันแอบใส่ หยอดไข่ไว้ให้เขาฟัก มันทำอะไรก็ไม่เป็น มันทำอะไรก็ไม่ทำ เสร็จแล้วมันก็ว่ามันมีชื่อเสียง ถ้าเราไม่มีวัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติเพื่อชำระกิเลสเราไง ปฏิบัติมาเพื่อใจของเราไง เราจะต้องเสมอกัน เสมอกันมันอยู่ด้วยความสุขความอบอุ่นนะ
แต่ถ้าเราว่าสิ่งนั้น เราจะบริหารจัดการ เราจะไปออกหน้า เหยียบหมดนะ คนมีสถานะเห็นไหม อยู่เบื้องหลัง การอยู่เบื้องหลังอยู่ได้ตลอดไปนะ แต่อยู่เบื้องหน้าเห็นไหม อยู่เบื้องหน้าต้องรับผิดชอบหมด มันเป็นอำนาจวาสนา ถ้าวาสนาเป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้นำ ถึงขณะที่เป็นผู้นำก็ต้องเป็นผู้นำ
ขณะที่มันยังไม่ได้เป็นผู้นำ เพราะอะไร เพราะผู้นำกิเลสมันอยากนำ กิเลสมันจะออกหน้าตลอด ถ้ากิเลสมันออกหน้ามันไม่ใช่เวลาของการนำ แล้วมันไปนำมันไปไม่รอดหรอก แต่ถ้ามันถึงเวลาจะนำ เหตุการณ์ตัดสินใจอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นเหตุการณ์ตัดสินใจต่างๆ แล้วสิ่งนั้นมันจะต้องมี มันจะเข้าใจเรื่องวัตรปฏิบัติ เรื่องต่างๆ แล้วมันจะเข้าอยู่ในสังคมสงฆ์ สังคมของเรา สังคมของพระป่านะ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น ท่านก็เป็นห่วงนะ กลัวมันจะไม่มีข้อวัตรติดตัวมันไป
ถ้ามันมีข้อวัตรติดตัวไป ต่อไปเห็นไหม การบริหารจัดการบริษัทต่างๆ ลูกเจ้าของบริษัทเขาจะให้ลูกเขาฝึกงานตั้งแต่เริ่มต้นจากเสมียนขึ้นมาเลย จากอะไรต่างๆ ขึ้นมา บริหารจัดการต่างๆ ขึ้นมา มันจะเข้าใจหมด การฝึกงาน ถ้าฝึกงานขึ้นมามันจะเข้าใจขั้นตอนของการทำงานทั้งหมด มันก็จะบริหารจัดการอันนั้นได้
แล้วถ้าเรื่องของกิเลสล่ะ เรื่องของกิเลสนะ ถ้าไม่ได้ทำความสงบของใจเข้ามา จะบริหารจัดการขนาดไหน มันเป็นเรื่องของสัญญา สิ่งที่สัญญาต่างๆ เอาเยี่ยงเห็นไหม ถ้าเอาอย่าง เอาอย่างก็ปฏิบัติตามสิ ถ้าปฏิบัติตาม มันจะย้อนกลับมาเห็นวิธีการ การกระทำ ตั้งแต่เสมียนขึ้นมาเลย ตั้งแต่เริ่มทำ เริ่มจด
เสมียนเห็นไหม ต้องมีข้อมูล เก็บข้อมูลต่างๆ ว่าสิ่งนั้นมาจากไหน รายได้ รายรับ รายจ่ายต่างๆ มาจากไหน การแสวงหาข้อมูลมาจากไหน แล้วบริหารจัดการเป็นอย่างไร ทำตั้งแต่เริ่มการผลิต เริ่มการเก็บสต๊อก เริ่มการสิ่งต่างๆ
จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ สมาธิคืออะไร? สติๆ ก็ว่ามีสติกันไป เหม่อขนาดนั้นยังว่ามีสตินะ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาตื่นขึ้นมาจนเย็น ยังไม่ทำอะไร ยังเหม่อลอย ยังคุยโม้อยู่ทั้งวันว่ามีสติ สติสักตัวมาจากไหน?
ถ้ามีสติมันยับยั้งตัวนั้นได้ก่อน ยับยั้งกิริยาที่ทำอยู่นั่น มันต้องยับยั้งได้ก่อน เพราะอย่างนี้มันเหม่อลอย มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องของโลกๆ อันนี้มันเป็นโลกแล้ว
ถ้าเราเป็นพระห้ามพูดเรื่องของโลก แล้วที่พูดนี้เป็นโลกหรือเปล่า คำว่าโลกก็คือโลก ก็เป็นๆ อยู่นี้ แต่คำว่าโลกมันเปรียบว่าโลก คำว่า โลก อากาศก็เป็นโลก ทุกอย่างก็เป็นโลก โลกนอก โลกใน เรื่องของโลก แต่เราอยู่ในโลก
ถ้าเป็นธรรมล่ะ ธรรมคือว่าเราวิเคราะห์เรื่องของโลกนั่นไง ว่าเรื่องของโลกมันเป็นสิ่งที่น่าอันตราย มันเป็นสิ่งของชั่วคราว เรื่องของโลกนั่นนะ เราพูดเรื่องของโลกที่ย้อนกลับมาเป็นธรรม ย้อนกลับมาให้มันสลดสังเวช ไม่ใช่ไปพูดเรื่องของโลกจะไปครองโลกกับเขา พูดยิ่งกว่าเรื่องฆราวาสอีก
ฆราวาสเขาอยู่ในโลก เขาคุยแต่เรื่องธุรกิจของเขา แล้วเราเป็นพระ เราพูดถึงเรื่องอย่างธุรกิจ เวลาเทศน์เรื่องทำธุรกิจ เปรียบธุรกิจไม่เป็นโลกหรือ ให้เห็นโทษของมันไง ให้เห็นโทษที่ว่างานอย่างนั้นเป็นงานของโลกเขา เห็นโทษของมัน โทษของมันคือว่าสิ่งนั้นเป็นเหยื่อล่อให้เราไปติดกับมัน ติดกับโลก ถ้าเราเป็นเหยื่อล่อติดกับโลก
แล้วเราเป็นพระเราสละมันไปแล้ว เราจะไปพูดเรื่องโลกๆ มันก็เป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าพูดเพื่อเป็นความสลดสังเวช พูดเรื่องโลกแต่มันมีธรรมะเจือไป ธรรมะเอาเรื่องของโลกมาเป็นตัวอย่าง เอามาแบ่งแยกว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ สิ่งที่เป็นคุณเห็นไหม ให้ย้อนกลับมา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ จะเปรียบเรื่องของโลก ย้อนกลับมาธรรมไง โลกเขาทำกันอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ทำเรื่องของใจ ทำนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำนา ไถลงที่ใจ สติเป็นเชือก ปัญญาเป็นฐาน ไถหว่านลงไปที่ภวาสวะ ที่ภพ คือตัวจิต ไถเข้ามาที่หัวใจ หว่านข้าวลงที่ใจ เก็บเกี่ยวในหัวใจ มันจะเป็นผลงานมาจากใจ
ใจออกมาเป็นอริยมรรค อริยผล สิ่งต่างๆ เพราะเราเกิดมาในโลกไง เอาโลกเป็นตุ๊กตา แล้วเวลาเทศนาว่าการย้อนกลับมาที่ใจ ให้ใจเห็นสภาวะแบบนั้น ให้สภาวะแบบนั้นสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร สิ่งนั้นเป็นหรือไม่เป็น
ไม่ใช่ว่าเราไปพูดกันเรื่องโลกแล้วเป็นโลก ถ้าใจเราเป็นโลกเราคุยกันเรื่องโลกๆ เลย ถ้าเรื่องโลกอย่างนั้นมันก็ขาดสติไง ถ้าสติมันยังยับยั้งสิ่งนี้ ติรัจฉานวิชา ติรัจฉานวิชานะ วิชาทำให้เราเนิ่นช้า วิชาของเรา เราสละมาแล้วเห็นไหม มันน่าสลดสังเวชนะ ดูสิเวลาคนที่เขาอยู่ทางโลก เวลาเขาแก่เขาเฒ่าขึ้นมา เขาจะหาที่พึ่งของเขา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว ชีวิตหนึ่งยังอายุยังวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์ แหม มีความองอาจกล้าหาญนะ ใช้ชีวิตไปกับโลกไง
พอแก่ชราขึ้นมา คอตกนะ เพราะต่างคนต่างต้องการ รู้ๆ อยู่ว่าต้องตาย แล้วมีอะไรอยู่ในกำมือ มีอะไรเป็นสมบัติของใจที่จะไปกับเรา มันก็เลือกสิ เราก็แสวงหามาเพื่อครอบครัว เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงลูก เลี้ยงภรรยา เลี้ยงมาต่างๆ เลย ถ้าถึงเวลาจะตาย กรรมดีกรรมชั่วเราเป็นคนทำมามันก็ไปกับเรา
นี่ออกบวช เขาอยากออกบวช เขาอยากออกประพฤติปฏิบัตินะ เพราะว่าเขาอยากจะมีหลักใจ อยากจะมีที่พึ่งที่อาศัย แต่ปัจจุบันนี้เราเป็นนักรบอยู่แล้ว เพราะเราบวชโดยเนื้อหาสาระ เราเป็นสงฆ์โดยสมมุติ โดยอุปัชฌาย์บวชมาให้ เราเป็นสงฆ์โดยสมมุติเลย เรามีโอกาสเลย เป็นสิ่งที่ปรารถนาของโลกมากที่เขาอยากออกบวช เขาอยากประพฤติปฏิบัติ แล้วเราอยู่ในตำแหน่งที่เขาปรารถนามาก
ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ปรารถนาแล้ว แล้วเราปล่อยวันเวลาของเราให้ล่วงผ่านไปได้อย่างไร วันเวลาของเราเห็นไหม นั่งอยู่ เดินจงกรมอยู่ ตั้งสติอยู่ เราเคลื่อนไหวอยู่ ต้องมีสติอยู่ เราฝึกเราหัดอย่างนี้เป็นงานของเรา งานของเราเห็นไหม
เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ท่านป้องกันไว้ให้เลย ท่านป้องกันไว้ให้วัดได้ประพฤติปฏิบัติ ให้ในวัดมีข้อปฏิบัติ แล้วให้พระได้มีเวลาประพฤติปฏิบัติ มีเวลาทำสมาธิ มีเวลาภาวนา
นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่ด้วยกันเห็นไหม ดูสิเราก็พยายามจะแสวงหาสิ่งนี้ ถ้าทำข้อวัตร เวลาเราฉันเสร็จแล้ว หมดข้อวัตรแล้วมันเป็นเวลาส่วนตัวนะ เราก็ต้องมีเวลาของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเป็นโอกาสของเราอยู่แล้ว เราทำสิ่งนี้มันเป็นสมบัติของเรา นี่ผลงานของเรา ผลประโยชน์ของเรา สิ่งนี้ที่เขารับรางวัลเห็นไหม
ลาภ ลาภที่ควรได้และไม่ควรได้ ลาภที่ไม่ควรได้เห็นไหม เราไปเอามามีโทษทางวินัยนะ ทางโลกเขาก็ติดคุกติดตะรางเลย ลาภที่ควรได้เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน โอกาสที่เราควรได้ สมบัติที่เราควรได้ ถ้าเราภาวนาขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเรา
ลาภที่ควรได้ ผลที่ควรได้ สมาธิที่ควรได้ สติที่ควรได้ ถ้าเราสร้างขึ้นมา ฉันแล้วเป็นโอกาสของเรา เราก็ทำของเรา ลาภส่วนรวมเป็นสิทธิ์สมบัติของกลาง ข้อปฏิบัติเห็นไหม ฉันน้ำร้อนแล้วออกทำข้อวัตรชั่วกาลชั่วเวลา แล้วพอเสร็จงานแล้ว นี่ก็ลาภของเราอีกแล้ว ลาภของเราเราก็ควรประพฤติปฏิบัติของเรา ทำความสงบของเราขึ้นมา
ถ้าเป็นครั้งเป็นคราวนะ เวลาเป็นงานของส่วนรวมเป็นครั้งเป็นคราว อันนั้นก็ต้องมี ครูบาอาจารย์ท่านพูดอยู่แล้ว นกต้องมีรวงมีรัง มนุษย์เกิดมาก็ต้องมีที่พึ่งอาศัย สิ่งต่างๆ ในวัดในวา ที่พึ่งอาศัยเราก็ทำ ทำควรพอแก่ที่พึ่งที่ได้อาศัย ได้หลบแดดหลบฝน เราก็ต้องรักษา เพราะเป็นของของสงฆ์ ของของสงฆ์ถ้ามันมีความเป็นไป ถ้าไม่รักษาก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์เห็นไหม ถ้าไม่ดูแลรักษานะ ปลวกกิน ปลวกต่างๆ ถ้าไม่ดูแลรักษาเป็นอาบัติปาจิตตีย์เลย เพราะเป็นของของสงฆ์ เราเป็นสงฆ์อยู่แล้วเราไม่รักษาของสงฆ์มันก็เป็นอาบัติแล้ว
เป็นอาบัติเพราะอะไร เพราะนี่เป็นวินัย สิ่งนี้ถ้าเราปลดเปลื้องไม่ให้เรามีความเศร้าหมอง ไม่เป็นอาบัติเห็นไหม เราก็ต้องดูแลรักษา ดูแลรักษามันก็เป็นข้อวัตร ถ้ากิเลสบอกว่าสิ่งนี้เป็นโลกก็จะนอนกระดิกตีนเลย ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ เหมือนควายตัวหนึ่งนอนอยู่ในหนอง เพราะควายมันอยู่ในหนองได้ เพราะมันไม่ต้องมีบ้านมีเรือน ฝนตกแดดออกมันก็ไม่ร้อนไง
แล้วนี่เราเป็นมนุษย์ เราเป็นพระ มันก็ต้องมีข้อวัตร เราก็ต้องบำรุงรักษาสิ่งที่ควรจะเป็นไป อย่างนี้เราก็ทำของเรา สิ่งนี้เห็นไหม ลาภควรได้และไม่ควรได้ ถ้ามีสติมันก็เข้าใจสิ่งนี้ แล้วมีสติมันก็ยับยั้ง ยับยั้งสิ่งนี้ที่เราจะเข้าไปทำอะไรที่มันเป็นเรื่องความแตกร้าวในความสามัคคีในหมู่สงฆ์นี้ สิ่งนี้เราก็ไม่ควรทำ เพราะมันเป็นกิเลสของเรา
ดูใจเรานะ เวลามันดิ้น ใจเรานี่ดูมันดิ้น สังคมสงฆ์เรามันสงบอยู่แล้ว เพราะอะไร เพราะทุกคนบวชมาเสมอภาค เป็นพระด้วยกัน ศีล ๒๒๗ ข้อเสมอกัน เท่ากัน ไม่มีใครสูงใครต่ำกว่ากันเลย สมมุติสงฆ์เรามีสิทธิเสมอภาคกันหมดเลย ของที่ได้มาในสงฆ์มันเป็นกองกลางทั้งหมด มันเป็นของสงฆ์ทั้งหมดเลย จ่ายอยู่ในสงฆ์นี้มันไม่ไปไหนหรอก สิทธิเสมอภาค ทุกอย่างเสมอภาคหมดเลย สิ่งที่เสมอภาค ทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วคุณธรรมต่างกันนะ คุณธรรมต่างกันเพราะอะไร เพราะสมาธิไง สมาธิของคนได้ลึกได้ตื้นอยู่ที่ว่าบวชแล้วเป็นสงฆ์เหมือนกัน แล้วคุณธรรมอีกเรื่องหนึ่ง คุณธรรมผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ พรรษามาก พรรษาน้อย เราคบกันด้วยธรรมวินัย
แต่คุณธรรมในหัวใจนะ พรรษามากพรรษาน้อยมันอีกเรื่องหนึ่งนะ เวลาประพฤติปฏิบัติมาเห็นไหม ปฏิบัติทั้งชีวิต ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล อันนั้นมันเรื่องของคุณธรรม เรื่องของอำนาจวาสนา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาพรรษามากพรรษาน้อย แล้วเกิดถ้ามีสมาธิขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมา ความเห็นของเขาเกิดขึ้นมา ความเห็นในใจเกิดขึ้นมา
ความเห็นพูดกันแบบโลกๆ นะ แต่ถ้าจริงๆ แล้วไม่ใช่ความเห็น มันเป็นความจริงขึ้นมา แต่จิตมันเห็น จิตมันเข้าใจ มันถึงย้อนกลับเข้ามาเห็นไหม มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากเราตั้งใจ สติเราพยายามบำรุงรักษา เราบำรุงรักษานะ ของที่มีคุณค่า ดูของโลกเขามีแก้วแหวนเงินทอง เขาฝากที่ธนาคารนะ เขามีดอกเบี้ย เขามีเพิ่มของเขาขึ้นไปอย่างเช่น มีเพชรนิลจินดาเขาฝากตู้นิรภัยของเขาเห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน สมบัติของเราในหัวใจนี้ อริยทรัพย์มันอยู่ที่ไหน สมบัตินี้อยู่ที่ใจ ใจมันรับรู้นะ แล้วสื่อออกมาได้ คนที่ไม่มีเห็นไหม เราไม่ได้ฝากตู้นิรภัยเลย เราไม่มีกุญแจ เราไม่ได้เปิด เราจะไปเอาเพชรนิลจินดาออกมาได้อย่างไร
ถ้ามีคุณสมบัติในจิตเห็นไหม เวลาเราภาวนาขึ้นไป สมาธิเป็นอย่างไร ภาวนาเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร พอมันสื่อออกมา สื่อออกมาผิดๆ ทั้งนั้นนะ เวลาสื่อออกมา แล้วสื่อออกไป เวลาไขกุญแจ ตู้นิรภัยอยู่ที่ไหน ชั้นไหน มันยังไม่รู้เลย ธนาคารมันจะเข้าไปเอาที่ไหนล่ะ? มันก็ว่าของเขาไปสภาวะแบบนั้น เพราะไม่มีใครเข้าธนาคาร ไม่เคยไปเห็นของเขา แล้วสมบัติอยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าทางทฤษฎีเขามีก็ว่ากันไป แต่ถ้าคนเข้าไปเห็น มันไปฝากไว้เอง มันเอาของนั้นไปเก็บไว้เอง ของของเราอยู่ในมือของเราเห็นไหม เราไปเก็บไว้เอง
นี่ก็เหมือนกัน สมาธิเกิดขึ้นมาจากเรา ปัญญาเกิดขึ้นมาจากเรา เรารู้เราเห็นเองมันซึ้งใจมากนะ ซึ้งใจมันสมบัติของเรา เราได้อะไรมา แล้วสมบัติของเราใครจะมาเห็นกับเรา สมบัติของเราเรารู้ของเรา แล้วถ้าเราเอาสมบัติของเราออกไป ได้ค่าเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นสันทิฏฐิโกนะ
เวลาประพฤติปฏิบัติเรามีครูบาอาจารย์ ท่านมีคุณธรรม ต้องให้ครูบาอาจารย์เป็นคนตัดสิน สอนกันได้นะ สอนกันแปลกๆ โสดาบัน สกิทาคามี ต้องให้ครูบาอาจารย์เป็นคนการันตี เป็นคนตัดสิน แล้วถ้าตัดสินไปแล้วยังสงสัยอยู่สิ่งนั้นจะหายไป
นี่เห็นไหม ถ้ามันมีวัตรปฏิบัติ ไม่มีครูบาอาจารย์ ธรรมะนี้เป็นธรรมะของใคร ธรรมะของกิเลสไง กิเลสมันก็เป็นธรรมะปฏิรูปขึ้นมา มันคิดขึ้นมาเอง มันสั่งขึ้นมาเอง มันเป็นสัจจะความจริงไหม? มันไม่เป็นสัจจะความจริงหรอก
ดูสิเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ใครมีแผงโซล่าเซลล์เขาต้องเก็บพลังงานของเขาไว้ใช้ได้หมดเลย พระอาทิตย์ขึ้นเห็นไหม เหมือนดวงจันทร์ พระอาทิตย์เวลาขึ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมเหมือนพระอาทิตย์ส่อง ทุกคนมีโอกาสหมด ทุกคนทำได้หมด แล้วถ้ามันเป็นความจริงเห็นไหม บ้านของใคร ใครเก็บไฟไว้ ใครเก็บพลังงานไว้ใช้ เขาก็ต้องมีของเขาเอง
นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นของเรา มันต้องให้พระอาทิตย์มาการันตีอีกหรือ เราเก็บพลังงานเอาไว้ในแบตของเราเต็มหมดเลย ไฟในบ้านเราทุกอย่างเรามีใช้หมดเลย ต้องให้ดวงอาทิตย์อนุญาตอีกหรือ ดวงอาทิตย์ก็คือดวงอาทิตย์ แต่แสงพลังจากดวงอาทิตย์มา
นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติธรรมแล้ว เวลาปฏิบัติไปแล้วต้องให้ครูบาอาจารย์เป็นคนตัดสิน มันเป็นไปได้อย่างไร ครูบาอาจารย์ไม่ต้องตัดสินหรอก เพราะว่าความจริง ขณะที่แผงโซล่าเซลล์ของเรา พลังงานมันเข้ามาในแบต มันเก็บเข้ามาใช้อยู่ในแบตเราอยู่แล้ว ใจของเราเวลาประพฤติปฏิบัติ มันก็เข้ามาอยู่ในใจเราอยู่แล้ว ปัญญาก็เกิดขึ้นมาจากใจเรา สติก็เกิดขึ้นจากใจเรา ปัญญาก็เกิดขึ้นมาจากใจเรา จะต้องให้ใครมาเป็นคนตัดสินอีก
ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์ที่ดี เราทำกันอยู่นี้ สิ่งนี้ตัดสินเราอยู่แล้ว ผิดถูกตัดสินอยู่แล้ว ครูบาอาจารย์มีไว้เป็นที่ผู้ปรึกษา เวลาปฏิบัติไปเห็นไหม ผู้ปรึกษาว่าสิ่งนี้ถูกหรือผิด สิ่งนี้ควรทำยังไงๆ ครูบาอาจารย์ที่ดีชี้นำเห็นไหม
นี่โคนำฝูง โคนำฝูงที่ฉลาดจะพาฝูงโคนั้นขึ้นสู่ตลิ่ง ขึ้นบก ไม่จมน้ำตาย แต่ถ้าโคมันโง่ มันอยู่ในแม่น้ำ มันว่าสิ่งนั้นเย็นดี สบายดี กำลังแข็งแรงอยู่ เรายังหนุ่มยังแน่นอยู่ อยู่ในน้ำร่มเย็นเป็นสุขไง แก่เฒ่าขึ้นมามันไม่มีกำลัง มันจมน้ำตายอยู่นั่นนะ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งนี้มีครูบาอาจารย์ไว้เป็นผู้ปรึกษา ไม่ใช่เป็นผู้เอาไว้ตัดสินว่าเป็นหรือไม่เป็น สิ่งที่เป็นก็คือเป็น ไม่เป็นก็คือไม่เป็นในใจเราสิ่งนั้นล่ะ สิ่งนี้มันเป็นสัจจะความจริงอยู่แล้ว แต่ผู้ปรึกษานี้สำคัญ ถ้ามันเป็นมันก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นจะทำอย่างไรให้มันเป็น? จะทำอย่างไรให้มันเข้าที่เข้าทางล่ะ? ทำอย่างไรให้มันถูกต้องล่ะ?
ผู้ปรึกษาเห็นไหม ครูบาอาจารย์เป็นผู้ปรึกษา สิ่งนี้เป็นธรรมวินัย เพราะเราบวชมาเป็นสงฆ์ด้วยกัน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว ให้สงฆ์เป็นผู้ที่ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาเป็นสงฆ์ เป็นธรรมทายาท เป็นสิ่งที่สืบทอดศาสนา แล้วเราจะสืบทอดศาสนา ตอนนี้เราก็สืบทอดศาสนา สืบทอดโดยที่ว่าเรารักษาธรรมวินัยจากข้างนอกไว้ ให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังได้มีโอกาส สืบต่อกันมาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานจนป่านนี้สงฆ์ไม่เคยขาดเลย แต่อริยภูมินี่เคยขาดช่วงขาดตอนไป อริยภูมิไง
หลวงปู่มั่นออกออกค้นคว้า ถ้ามีผู้รู้อยู่บ้างมันควรจะแผ้วถางทางให้สะดวกสบายกว่านี้ไง ผู้รู้จริงมันไม่มีเลย มีแต่ธรรมวินัยที่ว่าสืบทอดกันมาโดยแผนที่เครื่องดำเนิน โดยตู้พระไตรปิฎก โดยสงฆ์ยังมีอยู่ แต่อริยภูมิในหัวใจมันขาดช่วงมา องค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ มาค้นคว้าขึ้นมา ค้นคว้าแล้วพยายามถ่ายทอดขึ้นมา ถ่ายทอดให้ธรรมทายาท เราเป็นธรรมทายาท เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส แล้วเป็นพระป่าด้วย เป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ที่เดินล่วงหน้าไปแล้ว ที่ประกาศตนว่าเป็นผู้พ้นทุกข์ พ้นทุกข์เลย พ้นจากกิเลสไง
แล้วเรามีกิเลสอยู่ เรายังมีงานทำอยู่นะ งานของเรา งานของพระ งานของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ งานของนักรบ งานของสังคม ในบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา ที่เขาใฝ่ฝัน เขาพยายามจะค้นคว้าอย่างนี้ให้เหมือนกับเราที่มีโอกาส
เขามีหน้าที่การงานกัน เขาลาออกจากหน้าที่การงานกัน เขาขออนุญาตครอบครัวของเขาออกประพฤติปฏิบัติ เราเห็นอย่างนั้นเราต้องคิดนะ แล้วเราไม่ใช่มดแดงเฝ้ามะม่วง มดแดงเฝ้ามะม่วง อยู่กับมะม่วงแต่ไม่ได้กินมะม่วงเลย
เขาอยู่บ้านอยู่เรือนกัน เขาอยากเป็นมดแดง เขาอยากออกมาเฝ้ามะม่วง เขาออกมาเจาะมะม่วงกินให้ได้ เราอยู่กับมะม่วงเราควรจะได้รสบ้าง ธรรมรส ธรรมโอสถ ธรรมรส ถ้าธรรมนี่รสของธรรมชนะรสทั้งปวง เราควรได้ดื่มบ้าง ทำสติของเรา เราจะชื่นอกชื่นใจ เขาแสวงหา เขาต้องการกันนะ
โอกาสอย่างนี้เราเป็นอยู่แล้ว เราเป็นพระอยู่แล้ว เป็นนักรบอยู่แล้ว เราต้องมีโอกาสอยู่แล้ว เราพยายามทำของเราขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา มันเผลอขนาดไหนก็ตั้งขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมาแล้วเรามีสติตลอดไป มันจะเป็นประโยชน์กับเรา มันยับยั้งได้นะ ยับยั้งการฟุ้งซ่าน ยับยั้งความคิดออกจากสมณะออกไปเป็นคฤหัสถ์
ความคิดเห็นไหม ความคิดของพระตรึกในธรรม ความคิดของโลกคิดแต่เรื่องโลกๆ ความคิดจากภายในมันจะแยกออกไป แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม มดแดงมันกัดเปลือกมะม่วงเข้าไปถึงเนื้อของมะม่วง มันจะได้รสชาติ จิตถ้ามันสงบขึ้นมา มันมีปัญญาเข้ามา มันจะได้ลิ้มรสของธรรม
โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ในหัวใจ มันต่างกัน ความสุขของพระโสดาบันอย่างหนึ่ง ความสุขของพระสกิทาคามีอีกอย่างหนึ่ง ความสุขของพระอนาคามีอีกอย่างหนึ่ง ความสุขของพระอรหันต์อย่างหนึ่ง ลองได้ลิ้มรส รสอันนี้มันมีอยู่ในใจเรา
เวลากินอาหารเอร็ดอร่อยขนาดไหน ลิ้นลิ้มรสนี่เรารู้ แต่ขณะที่ธรรม ที่มันเกิดมาลิ้มรสอย่างนี้เหมือนกัน อยู่ในหัวใจนี่รสชาติต่างกัน มันมีความเอร็ดอร่อย ความละเอียดประณีตต่างกัน ในหัวใจให้เห็นสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้มันถือว่าเป็นนักรบ เรามีคุณสมบัติ เรามีคุณธรรมในหัวใจ ที่ครูบาอาจารย์ท่านสืบต่อมา สืบต่อมาจากคุณธรรมอย่างนี้ไง
เราเคารพกันด้วยธรรมและวินัย อาวุโส ภันเต เคารพกันส่วนหนึ่ง แล้วยังเคารพกันด้วยคุณธรรมอีก ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เราจะเคารพนบนอบ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นผู้ปรึกษา ครูบาอาจารย์เป็นที่ปรึกษา เป็นที่ชี้นำทาง ชี้นำทางนะ นำทางในหัวใจ ถนนหนทางเขาไปกันเขายังหลงทาง เขามีแผนที่ กางแผนที่กันตลอด แล้วทางเขาตัดอยู่ทุกวัน
นี่ก็เหมือนกัน ทางของใจ ใจของคน ความคิดจริตนิสัย มันสงสัยกันตลอด มันตัดไปตลอด มันมืดไปตลอดเห็นไหม ผู้ปรึกษาปรึกษาอย่างนี้ ถ้าปรึกษาขึ้นไปเราจะได้ถึงที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ ภิกษุทั้งหลาย เธออย่าเห็นที่พึ่งใดมีคุณค่าเท่ากับธรรมเลย หาธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมเห็นไหม คุณธรรม ธรรมเป็นที่พึ่ง คุณธรรมของเราในหัวใจ ถ้าเรามีคุณธรรม
โลกจะตื่นเต้น ตื่นไปกับกระแสขนาดไหน เราอยู่กับธรรมของเรา เราจะอยู่ของเราด้วยความไม่ตื่นเต้นไปกับเขา ถึงที่สุดแล้วชีวิตนี้มันต้องดับไป แต่ดับไป ดับดีดับชั่วนั่นเป็นเรื่องของโลก ถ้าดับของเรา ดับกิเลสได้ยิ่งประเสริฐใหญ่ ประเสริฐจากการประพฤติปฏิบัติ ประเสริฐจากเรา
ถึงบอกว่าอย่านอนใจนะ อย่านอนใจกับเพศ อย่านอนใจกับวันเวลา เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา ตื่นตัวเพื่อเรานะ เรานักรบ โอกาสของเรามีนะ คนที่เขาไม่มีโอกาสเขาพยายามแสวงหา เรามีโอกาสของเราแล้วตั้งใจของเรานะ เอวัง