เทศน์พระ

เส้นตาย

๔ ต.ค. ๒๕๕๒

 

เส้นตาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ แต่พระพุทธเจ้ายกเว้นได้ให้เป็นวันมหาปวารณา วันอุโบสถนะ ชาววัชชีบุตรเห็นไหม เวลาแตกกันเป็น ๒ ฝ่าย เวลาไปนิมนต์พระพุทธเจ้ากลับมา พระพุทธเจ้าบอกว่า “ให้ลงสามัคคีอุโบสถ” การลงอุโบสถมันเป็นการสมานให้เป็นเนื้อเดียวกัน เห็นไหม ทิฐิไม่เสมอกัน ความเห็นไม่เสมอกัน ความเห็นมันแตกต่างกัน

ตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมาเห็นไหม พระพุทธเจ้านิพพานปั๊บ แตกเป็น ๑๘ นิกายเลย แตกเป็น ๑๘ นิกายแล้วใน ๑๘ นิกายยังแตกนิกายย่อยไปอีก เพราะความเห็นต่างๆ กัน ทีนี้การลงอุโบสถนี่ก็รังเกียจกันในอุโบสถ ในความเห็นแตกต่างกัน เขารังเกียจกัน พระพุทธเจ้าสอนไว้บอกว่า “ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมนะ เป็นโมฆียะ เป็นโมฆะสิ่งที่เขาทำมันเป็นกรรม เห็นไหม สภาคกรรม ให้เราค้านไว้ในใจ”

เราเที่ยวมาเยอะ เราเจอมามากที่อื่นเขาทำอะไรกัน ที่ว่าเราเห็นแตกต่างจากเขา เราค้านไว้ในใจเราเลย พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าเป็นวินัยใช่ไหม มันเป็นข้อบังคับ ถ้าเป็นธรรม ธรรมมันเป็นความสามัคคี เป็นความเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าเรากระแทกออกไปแล้วมันจะทำให้เกิดการแตกแยก นี่มันผิดธรรมผิดวินัยไง มันผิดเพราะว่ามันมีความกระทบกระเทือน ให้เราค้านไว้ในใจ บางอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เราเห็นว่าผิด

ถ้าเห็นว่าผิดนะ ถ้าเราพูดได้ควรพูด ถ้าพูดไม่ได้นะให้เราค้านไว้ในใจเรา คือว่าสิ่งที่เขาทำแล้วผิดพลาด เขาทำแล้วเป็นกรรมของเขา เราจะไม่มีกรรมร่วมกับเขาไง เราแยกตัวเราออกเลย แยกความรู้สึกเราว่าเราจะไม่เป็นกรรมกับเขา ถ้าเขาเป็นกรรมให้เขาเป็นกรรมกันไป เราไม่เป็นกรรมกับเขา

นี่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในธรรมนะ ให้ค้านไว้ในใจ ค้านคือว่าเหมือนทำร่วมกัน แต่เราค้านไว้ คือว่าเราไม่มีผลตอบสนองกับการร่วมกันอย่างนั้น นี่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดเลย ถ้าเรามีความเห็นแตกต่างกันเห็นไหม

นี่อุโบสถสามัคคีนะ ตั้งแต่วันออกพรรษามา แล้วของเราเห็นไหม ดูสิ เวลาพระทั่วไปออกพรรษาแล้ว อุโบสถเขาก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ในอุโบสถของเรา เราจะมีตลอดไป หมายความว่าถ้าจำพรรษาแล้ว จะถือผ้าไม่ถึง ๓ ผืนได้ ๑ เดือน ถ้ากฐินได้ ๔ เดือน เห็นไหม มันมีข้อยกเว้น

แต่กรรมฐานเราไม่ยกเว้น ไม่ยกเว้นตลอด สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เป็นข้อบังคับ เราจะบังคับตลอดไป เพราะเราจะดูแลจิตของเราตลอดไป เราจะไม่มีให้ต้องเว้นวรรค มันต้องพัฒนาตลอดไป เพราะการเว้นวรรค การไม่ดูแลรักษาใจ ใจมันก็จะดื้อด้านไปตามมันเห็นไหม เวลามันดื้อ ไม่มีใครดื้อเท่ากับหัวใจของเรานะ คนอื่นเรื่องของเขา เรื่องของใจเรานี่

ตั้งแต่เข้าพรรษามาเห็นไหม เราก็บอกว่าวันเข้าพรรษา เราอธิษฐานพรรษากัน แล้วเราต้องตั้งสติ เราต้องพยายามทำใจของเรา รักษาของเรา วันเวลามันกลืนกินทุกอย่างนะ

นี่วันนี้วันออกพรรษาแล้ว มันเป็นอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือเส้นชัย คือครบพรรษาก็ออกพรรษากันไป อีกอย่างหนึ่งคือเส้นตาย เห็นไหมออกพรรษาแล้ว มันเส้นตายแล้ว นี่มันตายอะไรล่ะ ตายไปจากพรรษานี้ มันตายไปแล้ว กาลเวลามันผ่านมา มันตายไปแล้ว

เตือนมาตลอด ว่าในพรรษานะเรื่องความเพียรนี่ควรเร่งกระทำนะ ถ้าออกพรรษาไปแล้ว กาลเวลาผ่านไปแล้ว จะมานั่งเสียใจทีหลัง นับวันเวลากัน ว่าเวลาที่ผ่านมาได้กี่พรรษากัน ถ้าเราไม่สึกขาลาเพศไปนะ พรรษาของเรามากขึ้นมา เราก็เป็นครูบาอาจารย์เขาไปโดยธรรมวินัยเลยล่ะ เพราะว่า อาวุโส ภันเต เห็นไหม มันเป็นตัวธรรมวินัย แล้วเราจะมีอะไรไปสั่งสอนเขา มีอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเขา นี่วันเวลามันผ่านไป มันผ่านไปตลอด

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ในวัฏฏะเหมือนเรานี้เดินอยู่กลางทะเลทรายแล้วล้มลง แล้วแหงนหน้ามองขึ้นมา ยังต้องเดินไปอีกข้างหน้าไม่มีที่สิ้นสุด”

ชีวิตของเราต้องไปอย่างนั้น ในวัฏฏะนะ เราเดินอยู่กลางทะเลทราย ไม่มีสิ่งใดเลี้ยงชีพเลย แล้วล้มลง แล้วแหงนหน้ามองขึ้นมา ยังเห็นระยะทางอีกที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย ยังจะต้องเดินก้าวไปอีกนะ ในชีวิตของเรา ในจิตที่มันหมุนเวียนไปนี่ สิ่งนี้ทำไมมันไม่คิดล่ะ

ถ้าคิดสิ่งนี้ขึ้นมานะ มันจะย้อนกลับมาที่นี่เลย มันยังไปอีกยาวไกล ถ้าอีกยาวไกลแล้วสิ่งที่ยาวไกลใครเป็นคนพาไป หัวใจนี่พาไป แล้วหัวใจมันมีอะไรเป็นที่พึ่งอาศัย ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันนี้ เราเกิดมามีอำนาจวาสนา เกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา แล้วได้ประพฤติปฏิบัติ ได้บวชด้วย ได้เป็นพระเป็นเจ้าด้วย นักรบ !

คฤหัสถ์เห็นไหม บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกา เขาเป็นผู้ที่ต้องการปรารถนาบุญนะ เนื้อนาบุญของโลกนี่เขาพร้อมที่จะจุนเจือตลอดเวลา เรานะนักรบ ไปประกาศตนว่าเป็นนักรบ แล้วมันรบจริงหรือเปล่าล่ะ ? ไม่รบจริง ถ้ามันรบมันต้องรบกับหัวใจเรา ยืนขึ้นมาให้ได้ หัวใจนี่ยืนมาให้ได้ มันพิสูจน์กันได้

อริยสัจมีหนึ่งเดียว ไม่มีสองหรอก ถ้ามันขึ้นมาเป็นอริยสัจแล้วมันต่างกัน ดูซิว่ามันต่างกันยังไง หลวงตาท่านพูดบ่อยมากว่า “ถ้ามันมีปัญหาอะไรจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้าเอง” ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วมันจะต่างกันตรงไหน

ถ้ามันต่างกันมันต้องมีคนหนึ่งผิด แล้วพอคนหนึ่งผิด ความผิดอันนี้ทำไมมันคุยกันไม่ได้ ทำไมมันพูดกันไม่ได้ มันพูดกันได้ ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง มันมีเหตุมีผล เหตุผลมันต้องออกมาได้

ทีนี้เหตุผล แล้วเป็นเหตุผลของใคร ถ้าเหตุผลของใคร เหตุผลของคนนั้น มันเอามาจากไหน เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติจริงขึ้นมา แม้แต่สมาธิก็ยังไม่มีเลย แม้แต่ความเป็นตัวของตัวเองให้จิตเป็นสามัญสำนึก มันยังเป็นไปไม่ได้เลย แล้วจะเอาความรู้มาจากไหน ความรู้ที่มันไม่เกิดขึ้นมา ความรู้ในภาคปฏิบัติคือความรู้ที่มันเกิดขึ้นมาจากใจ ความรู้มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม ภาวนามยปัญญาคือปัญญาที่เกิดมาจากหัวใจล้วนๆ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากการภาวนา

สิ่งนี้ต่างหากเห็นไหมภาวนามยปัญญานี้ต่างหาก มันจะเป็นการยืนยันเลยว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง แต่ถ้ามันยังไม่มีภาวนามยปัญญาขึ้นมา แล้วปัญญาที่เกิดขึ้นมานี่ ปัญญานี้มันเป็นปัญญาของใคร ปัญญาอย่างนี้กิเลสมันหลอกใช้ได้เยอะแยะเลยละ มันเป็นปัญญาของกิเลสทั้งนั้น แล้วก็อ้างธรรมวินัยกันไป

มันเป็นกาลเป็นเวลา ดูสิ กาลเวลามันเคลื่อนไปตลอดเวลา ดูสิ นี่หมดพรรษาแล้ว พรุ่งนี้อรุณขึ้นก็จบแล้ว พรรษามันล่วงไปแล้ว นี่ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วใน ๕,๐๐๐ ปี พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า ไอ้นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องอจินไตยเลยนะ

โลกนี้เป็นอจินไตย ๔ โลกจะเป็นอย่างนี้ อนาคตวงศ์จะมีอีก ๑๐ องค์ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน อนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์นะ พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ข้างหน้าอีก ๑๐ องค์ แล้วจิตนี่มันจะเวียนไปกับเขาอีกไหม มันจะไปรอใคร มันจะไปรอพระศรีอริยเมตไตรยหรือ

แล้วใครบอกว่าทำบุญกุศลแล้วจะไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย เอ็งมีสิทธิอะไร ? เอ็งมีสิทธิอะไรจะไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ? เอ็งได้ทำบุญอะไรไว้กับพระศรีอริยเมตไตรยไว้ ? เอ็งได้ตั้งปรารถนาบุญกุศลอะไรที่จะไปเกิดพร้อมพระศรีอริยเมตไตรย

นี่คิดกันเห็นไหม ตำรามันบอก ตำราพูดไว้อย่างนั้นจริง ๆ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ไม่ผิดหรอก แต่มันจะผิดที่เราไง มันผิดที่หัวใจเรานี่ไง หัวใจเราๆ ทำได้หรือเปล่า เราปรารถนา เราตั้งใจจะไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย พระศรีอริยเมตไตรยเห็นไหม สอยกัลปพฤกษ์ ปฏิบัติได้ง่ายไง

พระพุทธเจ้าเห็นไหม พระพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาบารมีมาก เกิดมาแล้วครองราชย์ ๒๐,๐๐๐ ปี หรือครองราชย์ ๔๐,๐๐๐ ปีนี่แหละ เสร็จแล้วออกบวชแล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔๐,๐๐๐ ปี

นี่พระศรีอริยเมตไตรยในตำราบอกไว้อย่างนั้น คิดดูสิ สิ่งที่ความอายุยืนต่างๆ มันเป็นอย่างไร แล้วเราบอกว่าในตำราบอกอย่างนั้นแล้วเราก็จะไปเกิดพร้อมพระศรีอริยเมตไตรย แล้วในปัจจุบันเราทำอะไร

ถ้ามันทำบุญกุศล ทำบาปอกุศล ทำแรงปรารถนาเห็นไหม ดูสิ พระโพธิสัตว์นะ เสียสละทั้งนั้น เพื่อเป็นความสุขของหมู่ชน เพื่อความสุขของปวงชน นั่นพระโพธิสัตว์ทำกันอย่างนั้น สิ่งที่เป็นความสุขของปวงชน แต่ความสุขของปวงชน ความสุขความเป็นไปของเรา เราทำได้มากน้อยขนาดไหน นี่พูดถึงแรงปรารถนา

ความปรารถนาก็ส่วนปรารถนา แต่พฤติกรรมการกระทำนั้นอีกเรื่องหนึ่ง พฤติกรรมการกระทำของเรา เราต้องย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมาที่เรา นี่มันเส้นตายนะ ออกพรรษาแล้ว เส้นตายแล้ว แล้วเราถึงเส้นชัยไหม

มันมีเส้นชัยกับเส้นตาย มันจะตายไปนะ มันจะตายไปจากเพศของพระไปเป็นคฤหัสถ์ นี่ไงเขาตายกันในวัฏฏะ วัฏฏะนี่เขาเกิดตายจริงๆในชีวิต แต่เราเกิดตายในเพศ ตายจากคฤหัสถ์มาบวชเป็นพระ แล้วก็จะตายจากพระกลับไปเป็นคฤหัสถ์ มันเส้นตายแล้ว มันขีดเส้นไว้ให้แล้ว

แล้วเรามีใจคิดอย่างไรกัน เรามาเราเสียสละเวลามาแล้ว มีเวลาอยู่ก็เตือนตลอด ให้ภาวนา ให้ภาวนา เอาความจริงขึ้นมา ถ้าเอาความจริงขึ้นมาแล้วมาพิสูจน์กัน เอาความจริงขึ้นมาน่ะ

นี่ไม่ทำอะไร เหล็กไม่ตีน่ะ เหล็กไม่เผาไฟ เหล็กไม่ตี มันเป็นเหล็กก้นเตาน่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยน่ะ เขาทิ้งแล้ว มันเอามาหลอมไม่ได้ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยเหล็กก้นเตาเห็นไหม ถ้าเหล็กหรือเศษเหล็กเขายังเอามาหลอม เศษเหล็กเขาเอามาทำประโยชน์ได้

แล้วนี่คนทั้งคน ! หัวใจทั้งหัวใจ ! หัวใจของเราบวชแล้วมีบุญกุศลบวชเป็นพระเป็นเจ้าด้วย บวชมาแล้วทำไมไม่พิสูจน์ พิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ มันมีต้องกล้าเผชิญความจริงสิ ความจริงมันมี ความจริงมันมี ทำไมไม่เผชิญความจริงล่ะ เผชิญกับความรู้สึกของตัวเอง เหล็กก้นเตาไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย เป็นประโยชน์กับตัวเองก็ไม่เป็น แล้วไม่เป็นกับตัวเอง

มันพิสูจน์กันข้างหน้านะ กาลเวลาพิสูจน์คน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน สิ่งที่มันจะพิสูจน์กันมันยังมีอีกเยอะแยะ คนเรามันไม่ใช่ว่าจะตายวันนี้ตายพรุ่งนี้หรอก มันยังมีโอกาสกัน เห็นไหม

เขาว่า “วันพระไม่ได้มีวันเดียว”

วันเดียว ! เพราะว่าวันพระหน้าก็เป็นวันพระหน้า ชีวิตคนของเรามันเคลื่อนไหวไปตลอด วันพระมีหนึ่งเดียว พรรษาก็พรรษาเดียว บวชใหม่ก็เป็นพระเข้ามาใหม่ เข้ามาใหม่ก็นับใหม่ ไม่มีอะไรคงที่ โลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด มันจะเวียนไปอย่างนี้

ถ้าเวียนไปอย่างนี้ แล้วเรามีสติสัมปชัญญะไหม เราควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราไหม มันเป็นประโยชน์กับเราทั้งหมดนะ มันไม่มีอะไรเป็นของคนอื่นเลย เราอยู่ด้วยกัน มันเป็นสังคม มันเป็นสังฆะ มันเป็นหมู่คณะ หมู่คณะมันก็เรื่องธรรมดา มันเรื่องธรรมดาลิ้นกับฟัน มันเป็นเรื่องธรรมดา

แต่สิ่งดีสิ่งชั่วมันเป็นของเราทั้งนั้นน่ะ ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว ไอ้คนทำมันได้ไป คนอื่นก็ไม่ได้กับผู้ทำทั้งนั้น ไม่มีใครได้กับเรา ! เราเป็นคนทำเป็นคนได้ เราเป็นคนทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนอื่นไม่ได้กับใครทั้งสิ้น แต่มันกระทบกระเทือนกัน เพราะมันอยู่ด้วยกัน มันเห็นมันกระเทือนกันใช่ไหม สิ่งที่กระเทือนกัน

เราพูดบ่อยใช่ไหม บอกว่า “ท่อน้ำมันตันกูต้องทะลวง ถ้ามันขวางทาง มันต้องจัดการ ต้องทะลวงไป” ทางน้ำต้องตรง น้ำต้องไปได้ การปฏิบัติต้องไปได้ ดูสิ จะติเตียนก็ได้ การติเตียนเห็นไหม ติเตียนว่า “อยากก่อสร้าง มักก่อสร้าง” ว่าแต่คนอื่นก่อสร้าง แต่เราก่อสร้าง

การก่อสร้างมันมีขอบมีเขตของมันนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นางวิสาขาเป็นผู้ปรารถนาจะสร้างวัดใช่ไหม พระพุทธเจ้าให้ใครเป็นคนไปดูแล ก็ให้พระโมคคัลลานะเป็นคนมาดูแลแล้วให้มันจบสิ้นกระบวนการของมัน

นกมันต้องมีรวงมีรัง มันต้องมีสถานที่ของมัน ในการก่อสร้างมันก็มีความจำเป็นของมันเป็นเฉพาะส่วนของมัน ไม่ใช่ว่าจะก่อสร้างไปทั้งหมดหรือไม่ก่อสร้างเลย มันจะไปตกในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ถ้ามันตกไปข้างใดข้างหนึ่งเห็นไหม ตกไปข้างใดข้างหนึ่งไม่สร้างเลย ไม่สร้างเลย..

ถ้าไม่สร้างเลย... พระพุทธเจ้าห้ามจำพรรษาในโพรงไม้ ห้ามจำพรรษาในตุ่ม ห้ามจำพรรษาในไห ห้ามจำพรรษา ต้องจำพรรษาในเรือนว่าง นี่ไง การจำพรรษาให้อยู่ในรุกขมูลได้ ๘ เดือน ฤดูฝนห้ามอยู่รุกขมูล ต้องอยู่ในเรือนว่าง เห็นไหมมันก็ต้องอาศัยเรือนว่าง คำว่าอาศัยเรือนว่างมันจำเป็นสร้างต่อเมื่อใช้อาศัยเท่านั้น สิ่งที่ใช้อาศัย สร้างเพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้อาศัย มันมีขอบมีเขตของมัน

แต่ถ้าคนมันติดนะเห็นไหม สร้างเพราะว่ามันรำคาญ แก้รำคาญ อยากจะสร้างขึ้นมา พอสร้างขึ้นมาแล้ว มันก็ติดๆ จนเป็นนิสัย ไม่สร้างมันก็รำคาญ แต่ไอ้นี่การสร้างของเรามีใครบ้างที่ลงไปคลุกคลีกับมัน ! เราไม่ให้ใครทำเลย ! มีแต่พระที่บริหารองค์ ๒ องค์เท่านั้นที่ไปบริหารจัดการ ที่ควบคุมมัน ไอ้พวกนั้นต้องภาวนาทั้งหมด ! ให้ภาวนาทั้งหมด !

แล้วมันทำกันไหม ! แล้วมันจะมาติเตียนใครว่ามักก่อสร้าง มักทำชั่ว เขาเปิดโอกาสให้ขนาดนี้ เขาทำความดี เขาปูพรมให้อยู่ได้ขนาดนี้มันยังไม่สำนึกตัว ไม่ทำกัน มันไปคิดกันอย่างอื่น คิดแต่ว่าไม่ให้เป็นการก่อสร้าง ไม่ก่อสร้างก็ต้องนอนจมเลย ไม่ต้องก่อสร้าง

นกยังมีรวงมีรัง การสร้างมันสร้างไว้เพื่อประโยชน์เท่านั้นล่ะ อันนี้การประโยชน์ใช่ไหม ถ้าพูดถึงถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันก็ชักกันเสียหายไปหมด แต่นี่การทำเห็นไหม มันก็มีผู้บริหาร องค์ ๒ องค์บริหาร

แล้วไอ้ที่ไม่ได้ไปก่อสร้างเลยน่ะ เอ็งไปเกี่ยวด้วยอะไรล่ะ เกี่ยวด้วยกิเลสไง เกี่ยวด้วยตามันเห็น เห็นแล้วก็เอามันมาแบกไว้ในหัวใจ แล้วมันก็ไปวิตกวิจาร แล้วมันก็ไปเหยียบย่ำตัวเอง มันกิเลสของตัวเองแท้ๆ ไปเอาเรื่องของการบริหารจัดการในหมู่คณะ เอามาเหยียบอกตัวเอง เอาเรื่องของคนอื่นน่ะแล้วมาทำลายตัวเอง แล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำลายตัวเอง

แต่ถ้าเรื่องของสงฆ์ เห็นไหมสงฆ์เขาบริหารจัดการกัน ใครบริหารล่ะ ใครควบคุมดูแลล่ะ มันก็เฉพาะคนที่ไปบริหารดูแล มันไปเดือดร้อนใคร ใครบ้างต้องไปแบกจอบแบกเสียมทำกับเขา ? ใครบ้างต้องไปเดือดร้อนกับเขา ? สิ่งที่เขาเดือดร้อน ใครเป็นคนเดือดร้อน ก็คนที่บริหารจัดการเขาเดือดร้อนเท่านั้น นี่พูดถึงว่าเวลาถ้ามันไม่ทำลายตัวเองนะ นี่กันไว้แล้ว

ในวิสุทธิมรรค วัดไหนสร้างใหม่อย่าไป ริมท่าน้ำที่คนขึ้นลงอย่าไป ต้นไม้ที่มีผลก็อย่าไป เพราะนกมันมากินเห็นไหม การภาวนาเขาต้องการที่สงบสงัด แต่ในนี้วัดสร้างใหม่เราก็ป้องกันความสงบให้เต็มที่ ความสงบสงัดเราป้องกันให้เต็มที่ ในการก่อสร้างเพื่อดำเนินการ เพราะ ! เพราะการรับผิดชอบของสังคม

สังคมนี้ โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน โลก ! โลกคือสังคมของมนุษย์ ธรรมะคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะมันจะเคลื่อนไหวได้ มันกระจายออกได้ มันต้องอาศัยใช้การสื่อสารของโลก ธรรมะมันเป็นธรรมะ ถ้าไม่มีการสื่อสารของโลก ธรรมะมันจะออกไปสู่โลกได้อย่างไร

ในเมื่อธรรมะมันต้องสื่อสารออกไปสู่โลกเห็นไหม เราก็ต้องตั้งฐานขึ้นมา เพื่อให้ธรรมะมันออกไปสู่โลก ทีนี้การสร้างขึ้นมา ก็สร้างโลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน เราจะบริหารจัดการระหว่างโลกกับธรรมนี้ไว้เพื่อประโยชน์สังคม เพื่อประโยชน์เป็นกลางอย่างไร

เพื่อประโยชน์เป็นกลางแล้ว พระที่บวชแล้ว พระที่เป็นนักรบที่จะประพฤติปฏิบัติน่ะ ต้องประพฤติปฏิบัติโดยความเป็นจริง โดยสัจธรรม เขาเองเขาก็ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติของเขา เวลาเขาพร้อม ทุกอย่างเขาพร้อม เห็นไหม

ดูสิ ดูความเป็นอยู่นี่ เราจะไม่มีอะไรคลุกคลีเลย สิ่งต่างๆ ธุดงควัตรต่างๆ มา เสร็จแล้วต้องไป เสร็จแล้วต้องไป ไม่มีการ ไม่ใช่เอ้อละเหยลอยชายกันครึ่งวันค่อนวัน ฉันข้าวกันไม่จบอยู่กลางศาลา ทุกอย่างมันจะมามั่วกันไปหมดอย่างนั้น อย่างนั้นเป็นประเพณีวัฒนธรรม อย่างนั้นเป็นพระปฏิบัติเหรอเห็นไหม

วัดกันตรงนี้สิ วัดกันที่เราให้เวลา เราให้ทุกอย่าง นี่คือสุดยอดแล้ว ! สุดยอดคือว่าเราจัดการให้ด้วยเวลา ด้วยสิ่งต่างๆ แต่ว่าในการประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่เราแล้ว แดดร้อน สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น อันนี้มันเป็นสิ่งสุดวิสัย มันเป็นเรื่องของโลก ในโลกมันเป็นอย่างนี้แล้วนี่ เราอยู่กับโลก เรายังเผชิญกับสิ่งนี้ไม่ได้ เราอ่อนแอขนาดนี้เชียวเหรอ

ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาอยู่ในป่าในเขาน้ำท่าก็ไม่มี กว่าจะเอาน้ำจากตีนเขาขึ้นไปบนเขาขึ้นไปพร้อมกับน้ำพร้อมกับเหงื่อไหลไคลย้อยทั้งตัว น้ำขึ้นมาใช้แต่ละที แต่ละที แม้แต่บ้วนน้ำทิ้งน่ะท่านว่า “ที่ท่านบ้วนทิ้งไปน่ะ ผมใช้ทั้งวันนะ” เขาประหยัดมัธยัสถ์กันขนาดนั้น เขาทำมานะ

ครูบาอาจารย์เรากว่าจะได้มา ท่านกระเหม็ดกระแหม่ ท่านสร้างของท่านมา ท่านถึงได้เป็นครูบาอาจารย์ของเรามา แล้วเรามาทำ เราพยายามทำ ขอบเขตเราให้เต็มที่เลยนะ น้ำไฟทุกอย่าง ที่ใช้สอย ปรนเปรอเต็มที่เลย ! แล้วมันยังขาดตกบกพร่องที่ไหน มันยังขาดอะไรที่ในการภาวนา มันยังขาดอะไรที่จะเข้าไปพิสูจน์สัจธรรม มันก็ขาดแต่ความเพียรของเราน่ะ ขาดแต่ความจริงของเรา ความจริงของเรามันไม่เกิดขึ้น

ถ้าความจริงเราเกิดขึ้น โทษใคร จะโทษหมู่คณะ จะโทษครูบาอาจารย์ จะโทษใคร ? จะโทษใคร ? ถ้าไม่โทษตัวเอง ก็ตัวเองเหลวไหล ! ตัวเองไม่ทำ ! ถ้าอาจารย์โง่ อาจารย์พาเราตกนรก ก็มีปัญญาของเราก็โต้แย้งสิ ก็แก้ไขสิ ถ้าอาจารย์มันโง่นักน่ะ

ถ้าอาจารย์มันโง่นัก ทำไมเหตุผลในธรรมะทำไมเราโต้แย้งไม่ได้ ถ้าอาจารย์โง่นักเราก็ทำของเราสิ ทำขึ้นมาแล้วมาสอนอาจารย์ด้วย

หลวงปู่มั่นท่านพูดบ่อย “เวลาท่านไปธุดงค์นะ แล้วได้ปฏิบัติดีแล้วกลับมาสอนผมบ้างนะ กลับมาสอนผมบ้าง” นี่มันมีพร้อมนะ

เราเสียดาย สละมาทั้งชีวิตเพื่อจะมาบวช บวชแล้วนะแล้วเราก็ป้องกันให้เต็มที่ เพราะเราต้องการให้รู้เอง ถ้าใครทำจิตสงบมันจะรู้ของมันเอง ถ้าใครเกิดปัญญาขึ้นมามันต้องรู้ของมันเอง มันจะเป็นปัจจัตตัง มันจะย้อนศรกลับเข้ามา มันจะเข้ามากระเทือนหัวใจของตัวเอง ถ้าตัวเองปฏิบัติได้จริง เป็นความจริงขึ้นมา

สิ่งที่เราศึกษามา ใช่ ! ธรรมะของพระพุทธเจ้า สาธุ ทุกคนต้องศึกษา ปริยัติต้องศึกษา ธรรมะเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเรารู้อะไร ถ้าเรารู้อะไรนะมันจะมาแก้ไขจริตนิสัยน่ะ มันจะไม่เป็นคนตระหนี่ มันจะเป็นจิตใจเป็นสาธารณะ มันจะรับรู้สิ่งสังคม

จิตใจที่เป็นสาธารณะมันเปิดกว้าง จิตใจถ้าคนเปิดกว้าง คนที่ไม่ตระหนี่ คนที่ไม่เห็นแก่ตัว ความคิดมันเป็นคิดออกมาไม่คิดจะทิ่มแทงคนอื่น มันคิดมันเห็นอกเห็นใจกันนะ

เราเป็นพุทธศาสนาด้วยกัน เราเป็นพระด้วยกัน เราฉันเมื้อเดียวด้วยกัน เราบิณฑบาตด้วยกัน เราเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยกัน เราจะทุกข์ร้อนด้วยกัน มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อยเหมือนกัน นานาจิตตัง เราอยู่ด้วยกันทำไมมันไม่คิด เวลาคิดอกเขาอกเรา

ในสมัยครูบาอาจารย์นะ ท่านอยู่ด้วยกันท่านจะรู้เลยว่าองค์ไหนชอบฉันอะไรแล้วธาตุขันธ์เจ็บไข้ได้ป่วย เขาจะดูแลกัน เขารู้จนนิสัยนะว่ากินนี่ได้ กินนี่ไม่ได้ อยู่อย่างนั้นไม่ได้ อยู่อย่างนี้ไม่ได้ แล้วช่วยกันหลบช่วยกันหลีก เขาทำกันมาอย่างนั้น มันถึงสมานกัน แล้วมันถึงทำมาดีกัน

แต่นี่มันทำอะไรกัน มันไม่ได้ทำอะไรกัน เวลาการกระทำนะ เวลาในการประพฤติปฏิบัติว่าถ้ามันไม่มี มันไม่ใช่หรอก จะโทษไม่ได้ว่าเป็นวัดสร้างใหม่แล้วมีการก่อสร้าง เราธุดงค์มา เราเที่ยวมาเยอะ อย่างต่างๆ พระที่ปฏิบัติเขาต้องการสิ่งใดเรามีให้พร้อมทุกอย่างสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ

แต่ถ้าคนต้องการนอกเหนือจากสิ่งนั้นไปเราไม่มีให้ เราให้มีเวลา เราให้มีโอกาส เรามีให้เวลาตลอดเลย ไม่เคยเอาเวลาส่วนตัวของคนอื่นมาใช้เป็นประโยชน์กับสงฆ์เลย เป็นเวลาของส่วนตัวของคน เราไม่เคยขอร้องใครมาทำประโยชน์ให้กับเป็นส่วนกลางเลย ทำส่วนกลางมีแต่ตอนที่มีตอนที่ขนเหล็กกันหนเดียวเท่านั้น เพราะตอนนั้นเขาจะตอกเสาเข็ม มันตอกไม่ได้ เท่านั้น ! นอกนั้นเราจะไม่เลย

เว้นไว้แต่เวลาบริหารจัดการ ที่ว่านี่ เห็นไหม ในความเป็นอยู่ของเราข้อวัตรนี่ ที่ไหนที่มันมีลุ่มมีดอน เราก็ถมก็ทับกันก็เท่านั้น นี่เห็นไหม สิ่งที่เราให้เราให้เต็มที่ เราให้โอกาส ให้ต่างๆ แล้วรอด้วย รอว่ามีปัญหาไหม มีหัดภาวนามา ถ้าเราแก้ไม่ได้ มาพูดกัน ถ้าเราแก้ปัญหาภาวนาไม่ได้

ไอ้นี่ไม่ได้แก้ปัญหาภาวนา มันเป็นปัญหาทางวิชาการ ในทางวิชาการนะกฎหมายน่ะ นักกฎหมายมันตีความกันจนหัวแตก กฎหมายมีไว้ให้ตีความ ! กฎหมายมีให้ไว้แก้ ! แล้วมึงก็จะไปแก้กัน แต่ไม่ได้แก้หัวใจของตัว กฏหมายมันชี้เข้ามาทำทุกข้อ ทำทุกอย่าง ชี้เข้ามาที่ใจ สิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ชี้เข้ามาที่ใจหมด แล้วหัวใจเป็นอย่างไร

ถ้าหัวใจมันเป็นจริงนะ มันแสดงออก ตาเป็นหน้าต่างของใจ นิสัย พฤติกรรมแสดงออกถึงหัวใจ ! หัวใจพฤติกรรมที่มันแสดงออกมาน่ะ มันจะบอกว่าหัวใจเป็นอย่างใด นั่งแม้แต่นาที ๒ นาทีก็สัปหงกงกงัน มันมีสติไหม มันมีสมาธิไหม มันมีพื้นฐานอะไรของมันในหัวใจ มันไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องไปดูที่อื่นที่ธรรมะที่สูงส่งขนาดไหนหรอก เอาแค่พื้นฐานน่ะ พื้นฐานของใจน่ะมันเอามาจากไหน

นี่พื้นฐานของใจพระกรรมฐานเห็นไหม ศึกษาพระไตรปิฎกก็มี ทุกอย่างก็มี เราศึกษากันแต่ไม่สอบ ไม่อะไรต่างๆ ศึกษานะ ไม่ศึกษามันจะมีจุดหมายปลายทางหรือ ไม่ศึกษาเราจะประพฤติปฏิบัติกันไปได้ยังไง มันศึกษาแล้วตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วพิสูจน์ ในใจของตัว ใจเราต้องทำนะ

เราทำมาเพื่อประโยชน์นะ เพื่อประโยชน์กับตัวเราเอง ถ้าใครทำได้คนนั้นเป็นประโยชน์มาก สิ่งต่างๆ เห็นไหม เวลาเราเที่ยวไป ธุดงค์ไปเถอะ แหม รักหมู่คณะ รักพระทั้งนั้นน่ะ แต่พาพระไปล้ม พาพระไปเผชิญกับโลก รักพระต้องดูแลพระ

แล้วดูแลพระน่ะ ดูแลพระยังไง ดูแลพระกันไม่ใช่เอามีดซ่อนไว้ข้างหลัง ดูแลพระกัน มึงอย่าเผลอนะ เผลอกูทิ่ม อย่างนั้นไม่ใช่ดูแลพระ

ดูแลพระ เขาต้องเปิดแผล ช่วยกันสมาน ช่วยกันดูแลรักษา เว้นไว้แต่มันเหลือขอ มันเป็นเหล็กก้นเบ้า ไม่ต้องไปพูดกับมัน สังคมนะถ้าพูดถึงที่ไหนเหล็กก้นเบ้า เราไม่เข้าไปยุ่งเลย แต่ที่ไหนคุยกันได้ พูดกันได้ ทันที ทันที แล้วแต่เขา

มันเหมือนกับสิ่งต่างๆ เห็นไหม หมอ เขาจะรอรักษาคนไข้ ถ้าคนไข้มันไม่ให้หมอรักษาก็ไร้ประโยชน์ หมอไม่ต้องอวดเก่ง หมอรักษาตัวหมอให้ดี หมอรักษาตัวหมอ ดูสิ ในโลกนี้ หมอเป็นโรคร้ายแรงเยอะแยะ หมอเองก็มานั่งร้องไห้ หมอเองก็ต้องตายไป แต่นี่การรักษาใจมันต้องรักษาที่ตัวเรา รักษาใจและตัวเรา ธรรมะมันอยู่ที่นี่

นี่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา พูดนี่ วันนี้ระบาย ตั้งแต่เข้าพรรษามา ฉันน้ำร้อนทุกวัน เตือนทุกวัน ภาวนามา ! ภาวนามา ! แล้วเอาสิ่งนั้นมาคุยกัน เอาความจริงมาคุยกันดีกว่า อย่าไปเอาอย่างอื่นมาคุยกัน เอาความจริงในหัวใจน่ะมาวัดกัน ภาวนามาสิ ภาวนามา เดินจงกรม นั่งสมาธิมา

สิ่งนี้เห็นไหมเตือนทุกวัน อยากให้ได้พิสูจน์เห็นไหม รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง สิ่งต่างๆ ได้พิสูจน์แล้ว ถ้ารสของธรรมชนะรสทั้งปวงเห็นไหม ใจได้สัมผัส มันสันทิฎฐิโกสัมผัส ศาสนามันอยู่ที่นี่

ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย “สิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือหัวใจของมนุษย์เท่านั้น” หัวใจของสัตว์โลก หัวใจของเทวดา อินทร์ พรหม เพราะเทวดา อินทร์ พรหม ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเหมือนกัน

หัวใจที่ได้สัมผัสเห็นไหม เวลาเป็นพระอรหันต์ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี มันเป็นที่ไหนน่ะ มันเป็นที่จิตดวงนั้น มันไม่ได้เป็นที่ตำรา ไม่ได้เป็นที่กระดาษ ไม่เป็นที่อะไรเลย มันเป็นที่ใจ ใจน่ะมันจะเป็น แล้วใจเป็นอย่างไรมันจะบอก

แล้วบอกมา เราบอก ถึงคุยกันมันจะรู้เองหมด ของเหมือนกัน แต่พูดผิดกัน มันจะเหมือนกันได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา ก็ให้มันเกิดขึ้นมาจริง นี่ใจตัวเองมืดบอด ใจตัวเองมีแต่ขี้โรค ใจตัวเองมีแต่ความชอกช้ำ แต่พูดธรรมะนะ ธรรมะเป็นอย่างนั้น ธรรมะเป็นอย่างนั้น

นี่มันเสียดาย พูดนี่พูดเพราะความเสียดาย เสียดายจริงๆ แต่มันก็แล้วไปน่ะ ถึงบอกว่า วันนี้มันจะเป็นเส้นตายหรือว่าเป็นเส้นชัย ถ้าใครทำประสบความสำเร็จมันเป็นเส้นชัยนะ เส้นชัยกับชีวิตของเรา

ชีวิตของเรานะ ชีวิตยังอีกยาวไกล แล้วมาชีวิตนี้ ไม่ใช่ชีวิตแค่ชาตินี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ มันจะตามกันทุกภพทุกชาติ ดูอย่างพระโพธิสัตว์ เห็นไหม ดูสิ ตั้งแต่พระเวสสันดรเห็นไหม ชูชก ตั้งแต่เห็นไหม มากันตลอด มันยังไปกันอีกยาวไกลนะ

ถ้าเรายังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ เส้นชัยของเรามันยังไม่ถึงที่สุด เส้นตายของเรามันจะขีดแล้ว ขีดเล่า มันจะตายแล้วตายเกิด ตายแล้วตายเกิด ตายแล้วตายเกิด มันจะตายเกิดไปเรื่อยๆ แล้วมันจะทุกข์ยากขนาดไหน อนาคตมันจะพิสูจน์กัน

กัมมะพันธุ กรรมมันเป็นเผ่าพันธุ์ การกระทำนี่แหละมันจะเป็นกรรม กรรมมันจะไปเรื่อยๆ กรรมมันจะฝังไปกับดวงจิตดวงนั้น เพราะจิตดวงนั้นเป็นผู้มีเจตนากระทำเอง จิตดวงนั้นเป็นผู้มีเจตนา มันจะซับสู่ที่จิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นจะเป็นผู้รับเข้าไป กรรมดีกรรมชั่วจะสู่จิตดวงนั้น

แล้วเวลาถึงที่สุดแล้ว โอดโอยนะ ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมมันทุกข์ยากอย่างนั้น ทุกข์ยากขนาดนี้ก็เพราะอะไรล่ะ ก็เพราะกรรมที่สร้างมา กรรมที่สร้างมา นี่พันธุกรรมทางจิต มันสร้างมาอย่างนี้

ถ้าพันธุกรรมทางจิตมันสร้างมาอย่างนี้ ถ้าแก้ไขดัดแปลงได้ มันก็จะดัดแปลงของมันไป แต่ไม่ดัดแปลงไป เพิ่มค่าเข้าไป มันก็ยิ่ง ยิ่ง ยิ่ง คนดีทำความดีง่าย ทำความชั่วยาก คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย ทำความดีได้ยาก เห็นไหมดูจิตใจของคน นี่พฤติกรรมมันแสดงออกหมดแหละ

แล้วพฤติกรรมมันก็มีหลายอย่าง เห็นไหมหน้าฉาก หลังฉากเห็นไหม ต่อหน้าลับหลังมันก็เป็นคนละอย่าง

แต่ถ้าคนที่เป็นสุภาพบุรุษนะ ต่อหน้าลับหลังถ้าเป็นคนตรงนะ มิตรแท้จะเตือนต่อเมื่อมิตรเราผิดพลาด จะเตือนต่อเมื่อมิตรเราเสียหาย มิตรแท้นะแก้แทน มิตรมีความเสียหาย แก้หมดเลย

มิตรเทียม ! ต่อหน้าดีมาก ลับหลังทิ่ม คนเทียมมิตร เห็นไหม มันแสดงออกมาจากจริตนิสัย กัมมะพันธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว นิสัยมันแสดงออกได้หมด กรรมมันยาวไกล แต่ยาวไกลขนาดไหนมันแก้ไข

คำว่าแก้ไขนะ เรามีโอกาสตอนนี้จะแก้ไข เราต้องแก้ไขถ้ามันดัดแปลงคนเรา เห็นไหมเลือดซิบๆ นะ เวลาเราจะทรมานตนน่ะ บังคับมัน ถ้าเราไม่บังคับเราเอง เราไม่ได้แก้ไขเราเอง การปฏิบัติธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ ดูสิ เวลาปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ต้องสะดวกสบายเห็นไหม ปฏิบัติก็ได้เนอะ ห้องแอร์กัน ปฏิบัติ

กูก็จ้างหุ่นยนต์ปฏิบัติก็ได้ เดี๋ยวกูจะสร้างหุ่น ๔ ตัว ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วกูกดให้มันเดินทั้งวันเลย แล้วกูนั่งดูมัน แล้วกูจะเป็นพระอรหันต์ เอาอย่างนั้นไหม มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ เราจะสร้างหุ่นยนต์แทนกูไม่ได้นะ เอ้า เดินจงกรมแทนกูที นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนเลย กดไว้เลย แล้วกูจะเป็นพระอรหันต์.. มันไม่ได้ มันต้องทำเองทั้งนั้น

หัวใจต้องทรมานมัน เห็นไหม เราจะต้องทรมานใจเรา เราทรมานมันเห็นไหม ทรมานกิเลส ถ้าเราได้ฝืนมัน เราได้ต่อสู้กับมัน เห็นไหม เราได้เผชิญหน้ากับมันเห็นไหม มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นเนื้อแท้ มันเนื้อหาสาระที่เราจะจับต้อง ที่เราจะแก้ไขของเรา

แต่ถ้าเราไม่ได้เผชิญกับมันเลย เห็นไหม เราจะสร้างหุ่นยนต์ไว้ให้มันเดินจงกรมแทนกู สร้างหุ่นยนต์ให้นั่งสมาธิแทนกู แล้วกูรู้หมดนะ กูรู้ทุกอย่าง เพราะกูเดินจงกรม กูมีสถิตินะ เพราะหุ่นยนต์กูนี่เดินไปสิ กูบันทึกไว้หมดแหละ แล้วกูได้อะไร

แต่ถ้ากูทำของกูเองเห็นไหม มันฝืน มันฝืน ถ้ามันฝืนจริง มันทำจริงก็เป็นของมัน ถ้าฝืนจริงนะ ฝืนจริงๆ ฝืนกับกิเลส ถ้าฝืนกับกิเลส แก้ไขกิเลส ทำกับกิเลส แล้วมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ พูดนี่ แล้วผู้ประพฤติปฏิบัติมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ มันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นแหละ มันเป็นประโยชน์กับผู้กระทำนะ

นี่สิ่งต่างๆ กรรมดี กรรมชั่ว มันก็ลงกับจิตดวงนั้น กรรมดี กรรมชั่ว ใครจะแบ่ง ดูสิ เขาไปกราบครูบาอาจารย์เห็นไหม ไปดูเศรษฐีธรรม ไปดูเงินคนอื่น แล้วตัวเองได้อะไร ก็ไปกราบเอาบุญกุศล บุญกุศลก็เป็นอามิส เห็นไหม

พระพุทธเจ้าพูดนะ “เธอจงปฏิบัติบูชาเถิด เธออย่าได้อามิสบูชาเลย” เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระพุทธเจ้าเตือนก็ต้องสั่งใช่ไหม แล้วอามิสบูชาไปกราบ มันก็เป็นอามิสบูชาสำหรับคฤหัสถ์เขาควรทำ คฤหัสถ์เขาก็หาที่พึ่งอาศัยของเขาๆ ก็วิ่งหาของเขา นี่มันเป็นอามิสบูชา

แล้วปฏิบัติบูชาล่ะ ปฏิบัติบูชาใคร ก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติบูชาพุทธะ ปฏิบัติบูชาใจเรา ถ้าปฏิบัติบูชาขึ้นมาเห็นไหม มันไม่เป็นอามิส มันเป็นสัจธรรม สัจธรรมอะไร ร้อนก็ร้อน หนาวก็หนาว ทุกข์ก็ทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม เวลาไปเดินจงกรมไปขนาดไหนมันก็ต้องสู้ทนกับมัน อันนี้ต่างหาก

อันนี้มันจะรู้ดำรู้แดงกันมันอยู่ตรงนี้ ถ้าอันนี้มันมีความรู้ดำรู้แดงกัน แต่ดูซิ มันต้องจิตใจเข้มแข็ง จิตใจอย่าอ่อนแอ จิตใจต้องต่อสู้ ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจต่อสู้ อันนี้มันจะต่อสู้ มันจะมีมรรคญาณ เห็นไหม

เราพูดประจำว่า “ธรรมะส่วนบุคคล” สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา ปัญญาที่จำมาสัญญา นี่สัญญามันก็อาศัยจิตของเรานี่แหละ อาศัยจิตของเรามันเป็นสัญญา แต่ถ้าสัญญาพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่เป็นชื่อสมาธิ แต่ว่าเป็นปัญญาของเรา เป็นประสบการณ์ของเรา ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ

ชื่อนี่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว แต่ผล เอ๊อะ ผลมันเกิดกับเรา เอาปัญญา พระพุทธเจ้าบอกปัญญาเป็นอย่างนี้ เวลาปัญญามันหมุนเกิดจากสมาธินะ เวลามันชนะเราเองนะ มันแก้ไขความตระหนี่ถี่เหนียว มันแก้ไขถึงผลของการผูกมัดของใจ เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะ ปัญญาเป็นอย่างนี้ ปัญญาที่เกิดเป็นอย่างนี้ ปัญญาของพระพุทธเจ้าในหนังสือเป็นอย่างนี้ เอ๊อะ เอ๊อะ มันจะเกิดไปตลอดนะ ถ้ามันทำน่ะ

แต่นี่มันไม่ได้ทำน่ะ ปัญญาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น แต่กูไม่รู้อะไรเลยน่ะ กูมีมีดอันหนึ่งทิ่มแม่งอย่างเดียว อันอื่นกูไม่รู้นะ กูมีแต่มีด กูซัดอย่างเดียวเลย แล้วปัญญาเป็นอย่างไรกูไม่รู้จัก นี่ไง มันไม่ทรมานตนไง ถ้ามันทรมานตน มันปฏิบัติตนขึ้นมา มันจะรู้ของมันขึ้นมา แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ

เราพูด เราไม่ได้คิดอะไรเลย คิดตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษา ก่อนเข้าพรรษาก็บอกนะภาวนาไป เพราะเราว่า เราก็มั่นใจว่า ถ้ามันเกิดจากผลจากการภาวนา เราจะแก้ได้ แต่เป็นเพราะว่าเป็นหมอที่สังคมเขาไม่เชื่อถือ กิริยาของหมอไม่สงบเสงี่ยม หมอนี้มันเลยไม่มีเครดิตไง เขาไม่เชื่อหมอ พอเขาไม่เชื่อหมอมันก็เลยไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยไง มันเสียดายโอกาสตรงนี้ แล้วมันก็จบกันแล้วด้วย ใจเราจบแล้ว ชาตินี้ก็เท่านี้แหละ เอวัง