เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธอยากให้ศาสนาสอนให้เรามั่นคง ให้เรามั่นคงในสัจธรรม เริ่มต้นเขาจะไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นบุญหรือเป็นบาป เขาไม่เข้าใจของเขานะ เขาก็แสวงหาบุญกันทุกคน แต่บุญของใครล่ะ มันเริ่มตั้งแต่เด็กๆ การทำบุญของเขา บุญของโลก ให้ทานโดยอามิส

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเห็นไหม คนมาถวายทานกันมหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ว่านั่นเป็นอามิสบูชา เราปฏิบัติบูชากันเถิด ขอให้ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แต่ถ้าคนจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเอาอะไรปฏิบัติล่ะ

เวลาปฏิบัติ เราก็ได้แต่ใช้ร่างกาย เดินจงกรม นั่งสมาธินี้ใช้ร่างกายทั้งนั้น แต่จริงๆแล้วมันต้องปฏิบัติที่ใจนะ จิตตภาวนา ภาวนาเอาจิต เอาความรู้สึกอันนั้น ทีนี้ความรู้สึกอันนั้นมันละเอียดอ่อนมาก พอละเอียดอ่อนมากมันก็ต้องเริ่มมาจากทานเห็นไหม

พอเริ่มจากทาน คนเริ่มแค่สละทาน แสวงหาบุญกัน ก็ยังแสวงหาไม่ถูก จนเป็นเรื่องโลก เราไปดูโลกแล้วเราขำนะ เดี๋ยวนี้เขาทำบุญกันเขามีการล้วงเบอร์ล้วงบัตรอะไรกัน เอาอบายมุขมาล่อ ล่อให้คนทำบุญกัน แล้วคนทำบุญกันเพื่อผลตอบแทน ถ้าเพื่อผลตอบแทนมันเหมือนการคาดหมาย มันก็เป็นเรื่องของกิเลสหมด

แต่ถ้าเราทำบุญของเรา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกอย่างนี้ เวลาทำบุญด้วยความบริสุทธิ์เหมือนทิ้งเหว เรามีอะไรก็โยนเหว ทานของเราทิ้งลงไปในเหว นั่นคือบุญที่สะอาดบริสุทธิ์มาก ปฏิคา ๖ ผู้ให้ก็ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ตั้งใจให้ เจตนาตั้งใจให้ ขณะให้แล้วเห็นไหม ผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ขณะที่ฉันขณะที่ใช้แล้วมีความสุข ใช้แล้วเห็นไหม นี้จะได้บุญมาก

การทำบุญที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนการโยนทิ้งเหว แต่เราทิ้งกันไม่ได้หรอก ยึกยักยึกยักกันไปอยู่อย่างนั้นเห็นไหม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตใจมันไปติดข้อง ถ้าจิตใจของคนที่เขาสูงส่ง เขาเสียสละไปแล้วเห็นไหม ผู้รับรับมาแล้วเห็นไหม สิ่งนั้นเป็นประโยชน์สาธารณะ อารามมิกะ อารามชน วัดเป็นที่อยู่ของผู้มีศีล

ภิกษุต้องอยู่วัดห้ามอยู่บ้าน ภิกษุไปอยู่บ้านมันผิดนะ บ้านเป็นเรื่องของคฤหัสถ์ พวกครองเรือนเขา เราเป็นพวกของวัด วัดเป็นที่สาธารณะ ทีนี้สาธารณะมันเป็นเหมือนสระน้ำ เหมือนในที่สาธารณะเห็นไหม เราก็ต้องรักษาความสะอาด เราต้องรักษาคุณงามความดีไว้ คนจะมาใช้มาพึ่งพาอาศัย มันเป็นการพึ่งพาอาศัย แต่คนที่จะมาพึ่งพาอาศัยนี้ มันก็ต้องรู้กติกาของวัด ถ้าผู้รักษามีจุดยืนที่ดี ถ้าผู้รักษารักษาไว้ดี สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับสังคมมากเลย

ถ้าผู้รักษาเจอสิ่งที่ไม่ดีเห็นไหม ในที่สาธารณะแต่เอาไว้เสพยาเสพติดกัน เอาไว้มั่วสุมกัน มันไม่เป็นที่สาธารณะที่เป็นประโยชน์ ถ้าที่สาธารณะเอาไว้ออกกำลังกาย พอไปแล้วไม่มีอบายมุข ที่นั้นจะเป็นประโยชน์ แล้วในที่สาธารณะนั้นเห็นไหม ดูสิ คนได้ออกกำลังกายแล้วร่างกายเข้มแข็งขึ้นมา

ในการภาวนาไปวัดไปวาก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเข็มแข็งนะ พอจิตมันเข็มแข็งมันจะดูแต่เรื่องของเรา ความผิดของเรานี้สำคัญที่สุด ความผิดของคนอื่นไม่สำคัญหรอก ความผิดของเราสำคัญที่สุด เพราะความผิดมันเป็นกิเลส แล้วความผิดมันก็มีตั้งแต่แบบหยาบๆขึ้นมาเห็นไหม ความผิดอย่างหยาบ ความผิดอย่างละเอียด

อุเบกขา การที่วางเฉย อุเบกขานั่นก็ยังเป็นความผิด ความผิดเพราะอะไร เพราะอุเบกขานี้เดี๋ยวมันจะเอียงไปทางดีและชั่ว แต่ขณะที่อุเบกขา เรารักษาใจให้มันปล่อยวางได้ อันนี้มันก็สุดยอดแล้วนะ แต่ถึงจะสุดยอดเห็นไหม เวลาองค์หลวงตาท่านภาวนาไป จิตนี้ว่างหมด ว่างหมดจนคิดว่าเป็นนิพพานนะ แต่พอมันผ่านขึ้นไปนะ ความว่างนี้เหมือนกองขี้ควาย ความว่างที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนกองขี้ควาย เพราะมันเป็นภพ แต่เวลาผ่านขึ้นไปเห็นไหม กองขี้ควาย แต่ในการประพฤติปฏิบัตินั้นถูกต้องนะ

ในการประพฤติปฏิบัติ คนบ้า ๕๐๐ จำพวก คนบ้าสิ่งใดก็แสวงหาสิ่งนั้น เราก็บ้านิพพาน เราก็บ้าความจริง ถ้าบ้าความจริงมันก็ต้องแสวงหา การแสวงหานี้เป็นความ ถูกต้อง ท่านบอกว่าบ้าอันหนึ่ง ขณะที่เป็นความว่างนี้ นั่นก็เป็นความบ้าอันหนึ่ง การเร่งความเพียร การทำความเพียรชอบ การวิริยะอุตสาหะ นี่ก็เป็นบ้าอันหนึ่ง แต่บ้าที่ถูกต้อง บ้าที่เป็นมรรค ถ้าเราจะไม่บ้าในสิ่งใดเลย เราไม่ขวนขวายในสิ่งใดเลย “ อันนั้นจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำอย่างนั้นจะเป็นความทุกข์”

ก็เราจะเอาความทุกข์แก้ทุกข์ จะเอาความเพียรชอบ จะเอาความจริงจังของเราแก้ทุกข์ ถ้าแก้ทุกข์มันก็ต้องเป็นทุกข์เป็นธรรมดา แล้วเราจะอ่อนแอได้อย่างไร

เราจะบอกว่าความวิริยะอุตสาหะนี้เป็นความผิดพลาดไม่ได้ ความผิดพลาดเห็นไหม ถ้ามันผ่านไปแล้วก็คือบ้าอันหนึ่ง แต่บ้าอันนี้เราก็ต้องมีความเพียรชอบ ต้องกระทำ ถ้าไม่มีบ้าอันนี้ ไม่มีมรรคญาณ ไม่มีความจริงใจอันนี้ เราจะเข้าถึงสัจจะความจริงอันนั้นไม่ได้ สัจจะความจริงอันนั้นเห็นไหม

ในการประพฤติปฏิบัติมันถึงเริ่มตั้งแต่สมถกรรมฐาน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าจิตใจยังไม่สงบขึ้นมานี้ความคิดมันจะเป็นโลกียปัญญา แต่ขณะที่เป็นโลกียปัญญามันก็เป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง เหมือนมือเราสกปรกมา จะไปหยิบสิ่งใดมันก็ต้องไปติดความสกปรกใช่ไหม มันเป็นความจริงอันหนึ่งใช่ไหม ถ้ามือสกปรกเราก็ต้องล้างมือเราก่อนใช่ไหม

ใจมันสกปรก ใจของคนเกิดมาสกปรกหมด ไม่มีใจดวงไหนสะอาด ถ้าสะอาดมันจะไม่มาเกิด ถ้าใจมันสกปรกแล้วไม่ทำความสะอาดมัน ใจนั้นจะเอาไปทำอะไรกัน จะทำสิ่งใดมันก็เป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาของกิเลสทั้งนั้น ถ้าเป็นปัญญาของกิเลสทั้งนั้น ถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา มันจะสงบมาก สงบน้อย หรือว่าถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาวิมุตติ มันจะไม่สงบมากขนาดไหน มือเรามันเลอะสิ่งใด ถ้าเลอะสิ่งที่แนบแน่น มันเลอะโดยสิ่งที่ติดไม้ติดมือ การล้างการเช็ดมันก็ยาก แต่ถ้ามือเราเลอะฝุ่นเลอะทราย เราล้างทีเดียวมันก็สะอาดได้ง่าย

จิตของคนมันไม่เหมือนกัน จิตของคนที่ยึดมั่นถือมั่น ทำไมเวลาทุกข์ เวลาที่คนเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจ เวลามันทุกข์ขึ้นมาทำไมบางคนมันปล่อยวางได้ง่ายล่ะ บางคนบอกว่าสิ่งนี้เป็นของเล็กน้อย จะไปทุกข์ทำไม แต่ไอ้คนที่มันยึดมั่น มันบอกว่าเป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก สิ่งที่หนักหนามาก มันจะละได้ยาก แต่ถ้าคนที่ปล่อยวางได้เห็นไหม

เห็นไหม จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ในเมื่อจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน การกระทำถึงต้องไม่เหมือนกัน ถ้ามันล้างแล้ว มือสะอาดขึ้นมาได้ง่าย มันก็วิปัสสนาได้ง่าย มันก็เป็นไปง่าย ถ้าคนมันล้างแล้ว มือมันยังสกปรกอยู่ไปหยิบสิ่งใดมันยังสกปรกอยู่ ก็ต้องเร่งความเพียรเข้าไป การทำความเพียรเข้าไปก็ทำสมถกรรมฐาน ต้องมีสมถะ มีจุดยืนก่อน

จิตตภาวนา ถ้าไม่เอาจิตของเราภาวนา ไม่เอาโลกียปัญญาออกวิปัสสนา มันไม่ใช่จิตตภาวนา มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันอาศัยมือสกปรกนั้นเที่ยวหยิบสิ่งต่างๆ ไป แล้วมันก็ว่าสิ่งนั้นเป็นของมัน ทั้งๆ ที่มือสกปรกมันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นปัญญาของกิเลส มันเป็นกิเลสเห็นไหม

เขาบอกว่า “สมถกรรมฐานนี้ไม่มีประโยชน์ พุทโธนี่ติดสมาธิ สมาธินี้ไม่มีประโยชน์”

สมาธินี้คือตัวทำให้มือสะอาด มือสะอาดจะทำสิ่งใดก็เป็นประโยชน์ มือสกปรก ใจสกปรกทำสิ่งใดก็เป็นโทษ เพราะมันสกปรกที่ใจ ใจเป็นคนกระทำเห็นไหม นี่มันถึงต้องมีสมถกรรมฐาน เพื่อเป็นสัจจะของเราขึ้นมาเห็นไหม

การปฏิบัติมันต้องเป็นขั้นเป็นตอน แล้วมันยังซับซ้อนเป็นชั้นๆขึ้นไป มีความสงบของใจแล้วออกวิปัสสนา ตทังคปหาน คือ การปล่อยวางชั่วคราว สมุจเฉทปหาน คือการปล่อยวางที่แท้จริง การปล่อยวางที่แท้จริงคือการปล่อยกิเลสขาดออกไปอย่างแท้จริง พอปล่อยกิเลสที่แท้จริง มรรค ๔ ผล ๔ ก็ขยับเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำนะ

การทำทานเป็นความทุกข์อันหนึ่ง เป็นความตระหนี่ถี่เหนียว เราต้องต่อสู้กับความรู้สึกของเราอันหนึ่ง

แต่การประพฤติปฏิบัติมันยิ่งกว่านั้น มันต้องทำความรู้สึกอันนี้ให้สงบ ให้มันเป็นมือที่สะอาดขึ้นมา แล้วพอมันเกิดปัญญาก็จะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัจธรรม ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากความรู้สึกของเรา ถ้าเกิดจากความรู้สึกของเรามันคือตรรกะ มันเป็นปรัชญา มันจะแก้กิเลสได้ไหม ไม่ได้หรอก มันมาจากมือที่สกปรก เพราะมือสกปรก ใจมันสกปรก สกปรกคือมันไม่รู้จริง มันเป็นอวิชชา แล้วความคิดที่ออกมาจากมัน แล้วจะเอาไปทำลายมัน มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันถึงต้องให้มือสะอาดก่อน ถ้าจะทำให้มือสะอาดต้องทำอย่างไร แต่เราไปปฏิเสธเสียก่อนไง เราปฏิเสธเพราะเราไม่รู้

เราปฏิเสธสิ่งที่เป็นการทำความสงบของใจ เหมือนที่เขาปฏิเสธกันเห็นไหม ทำไมต้องไปวัด ทำบุญที่ไหนก็ได้ ใช่ทำบุญที่ไหนก็ได้ เราควรอยู่ในห้องพักของเรา เราควรนั่งภาวนาเห็นไหม มีทาน มีศีล มีภาวนา ภาวนานี่สุดยอดเลย แต่เราทำได้จริงไหม ตั้งใจทำจริงไหม แต่ถ้าเราไปวัดไปวานี้มันเหมือนไปโรงพยาบาลไปตรวจร่างกายไปอะไรนี่ ไปวัดไปวามันเป็นสถานที่ไง มันเป็นสัปปายะ มันทำให้เรามีความตั้งใจ มีความจงใจ มีความดูดดื่ม มีการต่างๆขึ้นไป แล้วถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา ในโรงพยาบาลนั้นก็มีหมอ

ถ้าภาวนาขึ้นมาเห็นไหม ถ้าภาวนาอยู่ที่บ้าน “เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็น อย่างนี้” วิตกวิจารไปหมดเลย แต่เวลาไปอยู่วัดล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านนั่งอยู่ที่นั่นแล้ว เราพร้อมหรือยัง เรามีปัญหาขึ้นไปหาท่านไหม จะไปหาหมอร่างกายเราเจ็บไข้ได้ป่วยหรือยัง หาโรคให้เจอสิ แล้วหมอจะรักษาจะวินิจฉัยให้ แต่นี่เราหาไม่เจอ เราหาโรคของเราไม่ได้ เราก็ว่าไม่จำเป็น ไม่จำเป็นเพราะคนๆ นั้นยังไม่เคยทุกข์

ดูสิ อย่างเรานี้แสวงหาบุญกุศลเพราะอะไร เพราะเราเข้าใจใช่ไหม เราเข้าใจว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป เราก็แสวงหาของเรา แต่ของเขานะ บอกว่า “ เฉยๆ นี้เป็นบุญนะ” อุเบกขาไง พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง อยู่บ้านฉันก็มีความสุข ทุกคนจะบอกว่า เราเป็นคนดีแล้วจะต้องไปวัดทำไม ความดีอย่างนี้นะ โทษนะ สัตว์เดรัจฉานมันก็ดูแลรักษาลูกมันนะ สัตว์เดรัจฉานมันรักลูกมันมาก สัตว์เดรัจฉานนี่มันก็ดีแล้ว แต่สัตว์เดรัจฉานเขาเห็นคนเขาอิจฉาคนมาก อิจฉาคนเพราะอะไร เพราะคนมีสิทธิที่จะทำคุณงามความดีได้มากกว่านั้น ดูสิ สัตว์เดรัจฉานมีร่างกายที่ไปในท่านอนขวางโลกไปจะเข้าถึงนิพพานไม่ได้ แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำคุณงามความดีของมันได้ ท้าวโฆษกะคือสุนัขที่ไปเกิดเป็นเทวดา เขาก็ทำบุญกุศลของเขาได้แต่เขาไม่มีสมอง เขาไม่มีภาวะที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

แต่มนุษย์ทำได้ มนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ทำได้ เพราะอะไร เพราะมันตั้งไปกับบนโลก ไม่ขวางไปกับโลกเห็นไหม สัตว์เดรัจฉานเขาเห็นการเกิดเป็นภพมนุษย์ สิ่งที่เกิดมานี้บุญพาเกิด แค่เกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ มนุษย์สมบัตินี้เป็นอริยทรัพย์แต่เราเกิดแล้วเราจะใช้สมบัติของเราไปทางไหน ถ้าเราใช้สมบัติในทางโลก เราก็อยู่กับโลกไป อยู่กับโลกนะแล้วเกิดมาในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาชี้ให้เห็นถึงการสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม

“เดี๋ยวนี้ฉันเป็นคนดีแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางก็วางแล้ว” มันก็วางแบบขี้ลอยน้ำ วางแบบเรือไร้หางเสือ วางแบบนั้นเห็นไหม วางแล้วเดี๋ยวมันก็เป็นดีหรือชั่ว วางอย่างนั้นมันวางไม่ถูก วางเพราะไม่มีเหตุมีผล แต่การวิปัสสนามันจะวางของมันต่อเมื่อมันรู้จริง แล้วต้องมือสะอาดด้วย ถ้ามือมันสกปรกมันวางไม่ได้ มือมันสกปรกมันก็ลังเลสงสัยตั้งแต่เริ่มต้นคิดแล้ว

เริ่มต้นก็ว่าเรามีปัญญา เรารู้ธรรมะ เรารู้กันทุกคน แล้วปล่อยกิเลสได้สักตัวไหม รู้หมดนะสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว ทุกคนรู้หมดโดยสำนึกก็รู้ แต่ก็ยังทำผิดกัน รู้ๆ อยู่นี่ ทำทั้งรู้ๆ นี่ เพราะอะไร เพราะมันหักห้ามใจไม่ได้ แต่ถ้ามันมีสติ มือมันสะอาดนะ มันรู้ๆ อยู่มีสติของมันนะ มันยับยั้งได้ มันช่วยตัวมันเองได้ ใช้ปัญญาได้ วิปัสสนาได้จนถึงที่สุด มันเห็นเลยนะดั่งแขนขาด กิเลสขาดออกไปจากใจ สัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วกิเลสมันขาดออกไปจากใจ มันขาดด้วยวิธีการใด มันขาดอย่างไร ขาดกี่ขั้น ขาดอย่างไร

นี่ไง อาจารย์ของเราจะบอกเราได้ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การปฏิบัติ การศึกษาเล่าเรียนมันทันกันได้ อำนาจวาสนาเห็นไหม บางทีลูกศิษย์ทำได้สูงส่งกว่าอาจารย์อีก แล้วลูกศิษย์ไปแก้อาจารย์ก็มี ในตำรานะ

เราเองถ้าทำได้ตามสัจจะความจริง อันนี้จะมีประโยชน์มาก ถ้าไม่ทุกข์เราจะไม่เห็นประโยชน์ของศาสนา เวลาทุกข์ขึ้นมา ก็ร่ำๆ ว่าทุกข์มาก ศาสนาเป็นที่ระบาย ศาสนาเป็นการเปิดออก ในเรื่องของทาน อามิส เปิดให้น้ำมันไหลเวียน แต่ในการประพฤติปฏิบัตินะ ต้องถอนมัน ทำลายมัน ชักมันขึ้นมาให้หมด ถึงสัจธรรมอันนี้ แล้วสิทธินี้มีทุกคนเพราะเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นญาติธรรม เกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เรานี้มีปากมีท้อง มีสุขมีทุกข์เท่ากัน สัจธรรมอันเดียวกัน ถ้าถึงที่สุดแล้วนะจะแก้ไขได้ โดยสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ไงเกิดเป็นมนุษย์ แล้วได้พบพระพุทธศาสนา นี้ประเสริฐที่สุด เราคบมิตรดี มิตรคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะพาเราพ้นจากทุกข์ แล้วเราก็เกิดมาในกึ่งพุทธกาลเห็นไหม พระธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา ถ้ามีธรรมวินัยเห็นไหม คบพระพุทธเจ้า คบสัจธรรม ต้องพยายามสร้างขึ้นมา ทำขึ้นมาให้เป็นประโยชน์ นี่ไปวัดไปวาก็ไปเพื่ออย่างนี้ ไปวัดไปวาไปเพื่อวัดใจ เด็กก็มาวัดมาวาเพื่อความชุ่มชื่นของมัน ได้เล่นของมัน มันก็เป็นความเห็นเด็กๆ พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ก็เพื่อให้จิตใจรื่นเริงอาจหาญ ผู้ที่อยู่วัดก็ให้มีจุดยืน แล้วทำของเราให้เป็นประโยชน์กับเรา เอวัง