เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลามันล่วงไปเร็วมาก ชีวิตคนนะ...แป๊บเดียวเท่านั้น แต่เวลาทุกข์นั้นนานมาก เวลาทุกข์นะกว่ามันจะผ่านไปแสนเนิ่นนาน แต่ชีวิตนะแป๊บเดียว ขนาดแป๊บเดียวนะ ดูสิ เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติกัน.. จะกลับแล้ว เวลากลับนะ ถ้าคนภาวนาดี เวลากลับมันจะอาลัยอาวรณ์.. แต่ถ้าเวลามันภาวนาไม่ดีนะ มันจะนับวันเวลาว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ มากี่วัน.. จะกลับเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันภาวนาดีนะ มันจะอาลัยอาวรณ์มาก

สิ่งที่อาลัยอาวรณ์เห็นไหม... เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่ขาวบรรลุธรรมที่โรงขอด เวลาใครบรรลุธรรมที่ไหน มันเห็นบุญเห็นคุณไง นี่ก็เหมือนกัน จิตเราสงบที่ไหน จิตมีความผูกพันที่ไหน ที่ไหนมันดูดดื่มใจ เห็นไหม มันเป็นไง มันรู้ เวลาพูดถึงสถานที่ เหมือนเราไปกินอาหารร้านไหน เวลาบอกว่าเป็นอย่างนั้นๆ เขาบอกว่าอวดอุตริ ถ้าไม่อวด ไม่พูดความจริง มันจะรู้ความจริงได้อย่างไร ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน ว่ามันสิ้นสุดกันที่ไหน

เหมือนระยะทางไง ระยะทางเห็นไหม...เราถึงปลายทางเมื่อไหร่ เราเริ่มต้นทางที่ไหน เราไปถึงปลายทางที่ไหน แต่ถ้ามันผูกผัน สนามไหนเราแข่งรถ สนามไหนเราเคยได้แชมป์ สนามไหนเราเคยได้คะแนนที่ดีนะ มันจะผูกกับสนามนั้น สนามนี้ยากมาก สนามนี้เราลงทีไรไม่ได้คะแนนเลย

ความผูกพัน ความรู้สึก ความอาลัยอาวรณ์ ความพลัดพราก นี่พลัดพรากจากสถานที่เฉยๆ นะ แต่...ดูสิ...เวลาตายจิตมันพลัดพรากจากกาย เราว่าพลัดพรากนะ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม เวลาคนไปเยี่ยมจะถามถึงญาติพี่น้อง ถามถึงทรัพย์สมบัติ อันนู้นว่าอย่างไร อันนี้ว่าอย่างไรนะ พอจวนตัวเข้ามาแล้วนะไม่ถามหาถึงใครแล้ว เพราะอะไร เพราะจิตกับกายมันจะพลัดพรากจากกัน

ถ้าจิตกับกายมันพลัดพรากจากกัน สิ่งนี้มันจะมีอะไรติดไม้ติดมือไป แต่ถ้าคนมีบุญมีกุศลติดไม้ติดมือไป มันองอาจกล้าหาญนะ มันพร้อมจะไป ดูสิ...เวลาเราออกเดินทางเสบียงเราเต็มรถเลย ทุกอย่างพร้อมเลย เราเดินทางไปด้วยความสบายใจนะ แต่ถ้าเราจะออกเดินทาง ไม่มีอะไรเลย แล้วเราจะไปอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้ามันไม่มีบุญกุศลไม่ทำอะไรเลย มันว้าเหว่นะ แต่ถ้ามันมีสัมภาระของมันเห็นไหม ทำจนเคยชิน คนสวดมนต์ทุกวันนะ สวดมนต์กลางคืน ถ้าไม่ได้สวดก่อนนอนมันเหมือนขาดอะไรไป เหมือนขาดอะไรไป !

การทำบุญกุศลก็เหมือนกัน ถ้าเราทำของเราจนชินนะ ทำจนเป็นความปกติ พอไม่ได้ทำแล้วมันจะเหมือนขาดอะไรไป เหมือนเราไม่ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เห็นไหม มันเป็นธรรมชาติของมัน พอเป็นธรรมชาติของมัน มันทำโดยธรรมชาติ

แต่ถ้าเราทำบุญแรกๆ มันจะ พะวักพะวน พะว้าพะวัง นั่นคืออะไร ตระหนี่ถี่เหนี่ยว.. ความตระหนี่ เห็นไหม กิเลสเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเวลาทำทาน แค่ทำทานเฉยๆ ทำทานเฉยๆ ก็เป็นการภาวนาอย่างหนึ่งนะ เวลาเราสวดมนต์เห็นไหม... นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต พุทโธ พุทโธ นะต่างกันไหม นี่ไง...คำบริกรรมก็มาจากคำสวดมนต์นั่นแหละ

พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สิ่งนี้มันเอามาจากตรงนั้นแหละ แต่สวดมนต์มันยาว มันต้องตั้งสติ มันต้องต่อเนื่อง เหมือนการกำหนดลมหายใจ ลมหายใจต้องเข้าออกไหม ตามลมหายใจตั้งแต่ปลายจมูกเข้าไปถึงทรวงอก เข้าไปถึงท้อง แล้วออกมา เห็นไหม เราตามไป เหมือนสวดมนต์

ถ้าพุทโธ พุทโธ มันก็อยู่ปลายจมูก ไม่ต้องกำหนดอะไรเลย อยู่ที่ปลายจมูก เฝ้าไว้ที่ปลายจมูก เหมือนเฝ้าประตูบ้าน คนเข้าคนออกมันจะรู้ มันจะเห็น เห็นไหม...ลมเข้าลมออกแล้ว เราจะรู้เราจะเห็นของเรา ลมเข้าลมออก เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ นี่ไง..ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ นะ

ชีวิตหนึ่งคำนวณเลยสองหมื่นกว่าวัน แล้วเราหายใจวันละกี่หน แล้วหายใจได้ประโยชน์อะไร ดูลมมันพัดซิ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้ามีสติปั๊บ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าบอกเลยนะ คนมีสติแม้แต่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกหนหนึ่ง ดีกว่าคนที่ปล่อยตัวเอง ปล่อยชีวิตไปตามกระแสหนึ่งร้อยปีหนึ่งชีวิตเลย

ตั้งสติหนเดียว นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้านะ แล้วเราตั้งสติ พุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่นี้ เรากำหนดลมอย่างนี้อีกหนหนึ่งเพราะอะไร เพราะมันมีสติไง ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ดูสิ...เวลาคนจะสิ้นชีวิต เขาคอยดูลมหายใจ ดูชีพจรมันจะหยุดเต้นเมื่อไหร่

แต่คนทุกข์เวลาจะตายนะ คนมีบุญตายมันตายด้วยความรื่นเริงอาจหาญ คนทุกข์ตายนะมันจะดิ้นตกเตียงเพราะอะไร เพราะมันมีกรรมนิมิต กรรมนิมิต ดูสิ...เวลาเราหลับตาไป เห็นแต่สิ่งที่ชั่วร้ายคอยขยุ้มคอเรา เราจะคิดอย่างไร

คนไม่ตายยังไม่เห็นหรอก คนไม่ตายบอกว่า ทำไมคนนั้นตายเป็นอย่างนั้น คนนี้ตายเป็นอย่างนี้ บางคนตายแบบราบเรียบ ตายแบบเขาสบายใจ

นี่มีนะบางคน.. ในปัจจุบันก็มี เวลาตายไป รถม้าจากเทวดา รถม้าบนอากาศมารับเลย เขาไปสวรรค์ทันทีเลย แล้วตกนรกก็ไปทันทีเหมือนกัน แต่เวลามันกรรมนิมิตขึ้นมา มันกรรมนิมิต มันเห็นของมัน ถ้าเห็นของมัน เห็นไหม สิ่งที่เห็นของมัน ใครเป็นคนเห็น นี่ใจมันเห็น

เหมือนวิปัสสนาเลย วิปัสสนานี้ก็ใจเห็น ถ้าใจไม่สงบเอาอะไรไปเห็น ถ้าเห็นโดยความคิด เห็นโดยสามัญสำนึกไง ศาสนาเป็นอย่างนั้น ศาสนาเปลือกๆ ศาสนาของเล่น ศาสนาตุ๊กตา สมมุติบัญญัติ

ศาสนธรรม ศาสนความจริงที่มันเกิด มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ใจ แล้วใจมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าใจไม่มีพื้นฐานเลย เพราะพื้นฐานเห็นไหม...จะว่าเป็นมิติก็ได้ มิติอีกมิติหนึ่ง ความคิดอีกมิติหนึ่ง ความคิดในโลกียปัญญา ความคิดในโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันเป็นความคิดของใจ ไม่ได้เป็นความคิดด้วยสมอง

ความคิดด้วยสมอง ความคิดด้วยสถิติ ความคิดโดยข้อมูล ความคิดโดยข้อมูลคือสัญญา แต่มันก็ต้องใช้สัญญาไปก่อน เพราะอะไร เพราะโดยสามัญสำนึก มือเรานี่ เราใส่ถุงมือหยิบอะไรไป ถุงมือต้องถูกของนั้นก่อน เราถอดถุงมือแล้วมือเราหยิบอะไรก็หยิบโดยเนื้อหนังของเราใช่ไหม จิตมันมีอาการของใจคือความคิด มันครอบคลุมจิตอยู่ มันเหมือนเราใส่ถุงมือ พอเราใส่ถุงมือ เราจับอะไรไป ถุงมือมันรับรู้ก่อน มันต้องผ่านสัมผัสของถุงมือก่อน แต่ถุงมือมันไม่มีชีวิต

ขันธ์ก็เหมือนกัน ! ขันธ์ถ้ามันมีชีวิตจริงนะ ขันธ์ถ้ามันเป็นความจริงนะ พระอรหันต์เวลาสิ้นกิเลสแล้วเห็นไหม ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภาระขันธ์ ขันธ์ ๕.. ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระ คำว่าภาระเป็นความจริงไหม.. ไม่ใช่ความจริงใช่ไหม

ดูสิ...อย่างปุถุชนเรานี่ ขันธมาร ขันธ์เนี่ย..ถุงมือเป็นเรานะ ถุงมือเนี่ย....ถุงมือก็หลงว่าถุงมือกับมือเป็นอันเดียวกัน คิดว่าถุงมือ เพราะว่าจับโดยผ่านถุงมือ เรายังไม่รู้เลยว่าถุงมืออยู่ที่ฝ่ามือหยิบของแล้วต้องผ่านถุงมือ แต่ความรู้สึกมันก็มีอยู่ เห็นไหม แต่เวลามันปล่อยวางหมด ถอดถุงมือออกหมด เนี่ย...ขันธ์ ละขันธ์หมด เหลือจิตล้วนๆ จิตล้วนๆ นี่เป็นปัจจยาการ

อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ จิตเดิมแท้ ตัวจิตไม่มีถุงมือแล้ว ไม่มีขันธ์ ๕ แล้ว ทำลายมันอีก พอทำลายมันอีกสิ้นกิเลสไปเห็นไหม พอสิ้นกิเลสไป ขันธ์ก็ทิ้งมาแล้ว ตัวเองก็ทำลายแล้ว แต่ทำลายแล้วพ้นออกจากสมมุติบัญญัติ เวลาจะพูดธรรมะมันก็ต้องอาศัยสมมุติบัญญัติ อาศัยขันธ์นี้ไง

จิตพระอรหันต์ ธรรมของพระอรหันต์แสดงออกมาเป็นสิ่งที่เห็นกันไม่ได้ แต่มันมีอยู่ มันรู้อยู่ มันพ้นไปจากการครอบงำของอวิชชา พ้นจากการครอบงำของวัฏฏะ พ้นจากการครอบงำต่างๆ มันพ้นออกไป เห็นไหม

นี่ไง พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ กับพระอรหันต์ที่ตายไปแล้ว ถึงมีคุณค่าเท่ากัน มีคุณค่าเท่ากันนะ เพราะจิตมันเป็นตั้งแต่กิเลสตาย กิเลสตายแล้วการเกิดการตายก็ไม่มี พอกิเลสตายแล้ว จิตนี้จะไม่เคยตายอีกเลย และจะไม่เกิดอีก

แต่ถ้ามันยังมีข้อมูล ยังมีการครอบงำมันอยู่ มันต้องเกิดต้องตายโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นผลสภาวะของมัน... สิ่งที่เป็นการกระทำ เพราะมันทำไปแล้ว มันจะเห็นเข้าใจจริง ว่าอะไรเป็นถุงมือ อะไรเป็นมือไง มันถึงเข้าไปที่ฐานของจิต ถ้าจิตมันภาวนาไป ความเป็นไปของความคิดนะ

ปัญญามันเกิดขึ้นแต่ละวงรอบหนึ่งวงรอบหนึ่ง มันเกิดขึ้นมาขนาดไหน เราก็ศึกษา หมั่นศึกษาไป มันเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญามันสมดุลของมันขึ้นมา เราจะเห็นสัจจะความจริง นี่ไง... “ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น” สว่างโพลงไง ความสว่างโพลง.. สว่างโพลง.. มาจากไหน จิตมันเป็นจิต มันรู้ จิตมันเข้าใจ แต่ตอนนี้เรารู้โดยสมอง เรารู้โดยผ่านถุงมือไง ถุงมือสัมผัสไง ธรรมะคือถุงมือสัมผัส

ความคิด มันเป็นความคิดผ่าน มันเป็นพลังงานตัวจิต มันผ่านความคิด คือข้อมูล ข้อมูลก็ออกมาเป็นความรู้สึกเป็นความคิดต่างๆ เนี่ย เหมือนมือใส่ถุงมือนั่นแหละ... แต่ถ้ามันสงบเข้าไปมันจะเป็นตัวจิต มันเป็นความคิด ปัญญาใจ.. ปัญญาใจมันไม่ใช่ปัญญาสมอง

ปัญญาสมองมันเป็นปัญญาข้อมูล ปัญญาอดีตอนาคต เพราะมันต้องคิด ต้องระลึกขึ้นมาถึงจะรู้ แต่ถ้าเป็นระลึกรู้ อวิชชาครอบงำมา ความโลภครอบงำมา ตัวตนครอบงำมา เพราะมันต้องระลึกรู้ ระลึกจากตัวตน ระลึกจากข้อมูล ระลึกจากพลังงานของเรา

แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นปัจจุบัน ระลึกไม่ได้ ! คาดหมายไม่ได้ ! ผู้ใดปฏิบัติสมควรแก่ธรรม สมควร ! กาลเวลาของมัน ! เห็นไหม ..ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น สว่างโพลงพลั๊บ ! นี่ไง มรรคสามัคคี ความเป็นไปของธรรมจักรที่มันเป็นไปมหัศจรรย์มาก !

แต่ถ้าคนรู้จริงมหัศจรรย์ขนาดไหนก็ต้องพูดได้ เพราะ ! เพราะเขารู้เขาเห็น เขาทำของเขา แต่อธิบายไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร.. อธิบายไม่ได้ เพียงแต่อธิบายได้กว้างขวางเปรียบเทียบได้แนบเนียน เปรียบเทียบได้เห็นชัดเจน เปรียบเทียบได้มากน้อย

นี่ไง ธรรมเสนาบดีพระสารีบุตร พระอรหันต์เหมือนกันทั้งนั้น ในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์เหมือนกันทั้งนั้น แต่คนที่แจกแจงธรรมะได้ลึกซึ้ง กว้างแคบ มันเป็นประสบการณ์ มันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นเชาว์ปัญญาไง รู้จริงเหมือนกันแต่อธิบายได้มากได้น้อยต่างกัน นี่ไง สิ่งที่เป็นไปเนี่ย อำนาจวาสนา

แต่คนรู้ก็คือคนรู้ รู้จริงต้องอธิบายได้ ต้องสอนได้ ต้องบอกได้ รู้ผิดถูกเลย ไปถามเรื่องธรรมะรู้ผิดหรือถูก แต่อธิบายน่ะ มันฮื่อ... ฮื่อ... คือมันรู้อยู่แต่มันอธิบายไม่ถูก ไอ้คนฟังก็งงๆ เอ๊ะๆ เหมือนกับท่านไม่รู้.. ท่านรู้ของท่าน ถ้าคนรู้จริงต้องรู้จริง มันพูดได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จริง อธิบายขนาดไหน ก็ถุงมือไง อย่างไรก็ต้องผ่านถุงมือออกมาก่อน มันเป็นความรู้อันหนึ่งมาก่อน

นี่พูดถึงความเป็นไปของที่เราเป็นที่ไหน ความเป็นไปมันผูกพัน มันเห็นคุณนะ สิ่งที่เป็นคุณเห็นไหม แต่ถ้าเราจากไปที่ไหนก็แล้วแต่ ในเมื่อใจมันอยู่กับเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ความสุขความทุกข์หัวใจเราเนี่ย ที่ไหนเราก็ต้องทำได้ เราต้องทำได้นะ !

อุปัฏฐากใจของเรา เราไปที่ไหน เราอยู่ที่ไหน ร่างกายเราอยู่ที่ไหน ใจก็อยู่ที่นั่น เราจะอยู่ที่ไหนไม่ต้องไปติดสถานที่ ถ้ามีโอกาสเราก็ไปประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่มีโอกาสเราก็ปฏิบัติในใจของเรา มันจะอยู่ที่มีความพลุกพล่าน มันอยู่ไหน ตั้งสติไว้ ดูใจของเรานะ รักษาใจของเรา อะไรเสียให้เสียไป

ครูบาอาจารย์ท่านว่า เห็นไหม “ไม่ให้เสียหัวใจ สิ่งใดที่เสียไป สิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องไป ช่างหัวมัน ! แต่หัวใจไม่ให้ขาดตกบกพร่อง” รักษาใจของเรา สุข-ทุกข์มันอยู่ที่นี่ไง สิ่งใดขาดตกบกพร่อง แล้วหัวใจก็ขาดตกบกพร่องไปกับเขา มันก็เดือดร้อนไปกับเขา

เขาขาดตกบกพร่อง สิ่งแวดล้อมขาดตกบกพร่อง ความดำรงชีวิตขาดตกบกพร่อง แต่รักษาใจไว้ เหมือนให้มันรู้ว่ามีสติ เหมือนลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มีสติแล้วพิจารณา ทำไมถึงเป็นอย่างนี้.. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้.. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้แล้วเราไม่เดือดร้อนไป เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะกรรม เพราะการกระทำ ตั้งสติไว้

ถ้ามีปัญญานะมันสะท้อนกลับมา มันจะปลงธรรมสังเวช แต่ถ้าไม่มีสติน่ะ มันจะน้อยเนื้อต่ำใจ เราจะทุกข์เราจะยาก มันมีอารมณ์ร่วมไปกับเขา คือเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้น คิดตามปัญหานั้นไป

แต่ถ้ามีสตินะ เรากันตัวเราออกจากปัญหานั้นแล้วปัญหานั้นก็คือปัญหานั้น แล้วเราจะแก้ปัญหานั้นด้วยสติสัมปชัญญะ ปลงธรรมสังเวช ! ชีวิตเป็นอย่างนี้หนอ.. ชีวิตเป็นอย่างนี้หนอ.. มันเห็นแล้วสังเวชนะ แล้วจะเกิดอีกไหม จะมาทุกข์อีกไหม จะมาให้มันเหยียบย่ำอีกไหม มันทุกข์ยากอย่างนี้ยังจะเกิดอีกหรือ ทำไมไม่หาทางออก

ถ้ามีปัญญามันปลงธรรมสังเวช ถ้าไม่มีปัญญามันจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา คือปัญหากับเรา เรากับปัญหา แล้วดิ้นรน แล้วทุกข์เห็นไหม ถึงว่าอยู่ที่ไหน รักษาใจ ถ้าใจไม่เสีย ใจมีสติ มันจะมีโอกาส มันมีสัมปชัญญะของมัน มีสติ มีสัมปชัญญะ มีสติระลึกรู้อยู่ มีสัมปชัญญะล้อมรอบตัวของมัน มันจะดูแลตัวของมัน ใจไม่เสีย เสียสิ่งใดไม่เท่ากับเสียใจ เสียสิ่งใดไม่เท่ากับเสียความรู้สึกอันนี้

เวลาเพื่อนฝูงที่รักกันมาก เวลามีปัญหากัน บอกเสียความรู้สึก รักกันมานาน แล้วมาทำให้กระเทือนใจ เงินทองข้าวของไม่สำคัญ สำคัญถ้าเสียความรู้สึกเห็นไหม เขาเสียใจของเขา รักษาใจของเขา เรารักษาใจของเรา เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา จะเป็นประโยชน์ของเรา เอวัง