เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูหลักธรรมสิ หลักธรรมบอก “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” สัจธรรมบอกว่า “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” แล้วเราว่าเราทำดีกัน ความดี ! ทำความดีเพื่อโลก ทำความดีเพื่อความดีนะ แต่ถ้าเราทำความดีเพื่อหวังผลตอบแทนนะ เราเป็นทุกข์เลย

ดูสิ ดูทางโลกเขาเห็นไหม เขาเป็นความดีแบบของเขา ความดีแบบโลกๆ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่การทำความดีเพื่อเรา ดูซิ...เวลาประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนาทำเพื่อใคร ไม่ได้ทำเพื่อใจ มันทำด้วยอารมณ์ ความรู้สึกมันไม่ใช่ใจ

พอความรู้สึกที่ไม่ใช่ใจ ความอยาก.. ความต้องการเห็นไหม... มันยิ่งทำตามความต้องการว่าทำไมเป็นอย่างนั้น.. ทำไมเป็นอย่างนั้น.. มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก

โดยธรรมชาติของมัน พลังงานของมันเห็นไหม ดูสิ ไฟแต่ละกองที่รักษาไว้ ถ้าไฟแต่ละกองรักษาไว้ มันจะไม่ไหม้ลุกลามคนอื่น ตัวพลังงานมันเหมือนเป็นไฟ แล้วมันมีอวิชชา มีกิเลส เหมือนลมเลย.. ลมมันพัดให้ไฟเข้าไปหากองอื่น ถ้าเรารักษาไฟของเรา ดูไฟของเราเห็นไหม ถ้ารักษาไฟของเราได้ มีสติสัมปชัญญะได้ การปฏิบัติมันทุกข์ยากๆ ตรงนี้ แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่บอกหรอก

สงครามนะ...ชนะคูณด้วยพันนะ ไม่ใช่ชนะตนเองนะ ชนะตนเองนี่ ควบคุมไฟนี้ แล้วไฟจะควบคุมตัวมันเองได้อย่างไรล่ะ... แล้วตัวความคิดมันจะควบคุมมันได้อย่างไร ความคิดมันต้องคิดโดยทางวิชาการ คิดออกแล้ว นี่บริหารจัดการ ! การบริหารจัดการ ต้องทำอย่างไร มันคิดออกไป แต่มันไม่เคยเห็นตัวมันเองเลย

แล้วเวลาทำความสงบเข้ามา สิ่งที่มันเป็นพลังงานมันเคยใช้อย่างนั้น พลังงานที่มันใช้อย่างนั้นเป็นพลังงานทวนกระแส ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าทวนกระแส.. ทวนกระแสกลับเข้ามาตัวใจของตัว ถ้าทวนกระแสกลับเข้ามาที่ใจของตัว แล้วตั้งสติเห็นไหม

ดูสิเวลาเราคิด มีความฟุ้งซ่าน มีความทุกข์ พอมีสติปั๊บ ! มันหยุดเลย ถ้าสติปัฏฐานมันหยุดแล้ว สติมันยับยั้งได้นะ พอมันยับยั้งได้เราก็หาเหตุหาผล การหาเหตุหาผลมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิทั้งนั้น เป็นปัญญาอบรมสมาธิเพราะอะไร เพราะมันยังออกอยู่ มันหยุดๆ ด้วยอะไร หยุดด้วยความยับยั้งของสติ

เหมือนกัน ดูสิ...เชื้อไฟที่มันยังคงมีอยู่เห็นไหม เมื่อเราเอาน้ำสาดเข้าไป มันฟู่ !! มอดเฉพาะที่น้ำมันดับ พอเดี๋ยวไฟมันยังคงมีอยู่ มันก็จะไหม้จนกว่าน้ำมันจะแห้ง แล้วมันก็ไหม้ต่อ นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นสติยับยั้งไว้เฉยๆ ยับยั้งไว้มันก็เหมือนการเอาน้ำสาดเข้าไป มันก็ยับยั้งไว้ เดี๋ยวมันก็ไหม้ต่อ เดี๋ยวก็ไหม้ต่อ การยับยั้งเห็นไหม ถ้ามีสติแล้วกำหนดด้วยปัญญาหาเหตุหาผล หาไฟ.. ไฟเป็นประโยชน์กับเรานะ

ดูสิ ! สมาธิเขาว่าคิดไม่ได้ มันตรึกในธรรมนะ เวลามีสติสัมปชัญญะมันจะตรึกในธรรม นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ! ให้มันสงบเข้ามาโดยมีเหตุมีผล ปัญญาอบรมสมาธินะ มันจะเห็นโทษไง

ไฟ ! ถ้านำไปเผาผลาญคนอื่นมันก็เป็นโทษนะ ไฟ ! ถ้านำมาใช้ประโยชน์นะ ถ้าไม่มีพลังงานร่างกายก็จะไม่อบอุ่นนะ ร่างกายเรานี้มันมีไฟ.. มีธาตุไฟนะ มีพลังงานเผาผลาญอาหารของเรา อาหารที่กินเข้าไปแล้วไม่ย่อย เป็นทุกข์แล้ว... มันเผาผลาญให้อาหารมันย่อย มันเผาผลาญเพื่อให้ร่างกายให้เลือดลมมันฉีดไปได้ เราขยับเหยียดคู้กันได้เพราะอะไร เพราะไฟ.. เพราะตัวพลังงาน.. ลองพลังงานออกจากใจไป ออกจากร่างกายไป เราก็แข็งเป็นท่อนไม้ท่อนฟืนเลย ร่างกายนี้แข็งไปหมดเลย แล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร มันไม่เป็นประโยชน์กับใคร

แต่ในปัจจุบันนี้ ถ้ามันมีปัญญาเห็นไหม มันแยกแยะ มันเห็นคุณเห็นโทษ ถ้าเห็นคุณเห็นโทษ ควบคุมความคิด เมื่อควบคุมความคิด มันก็จะไม่ทำลายความคิด มันทำลายความคิดไม่ได้หรอก

ชีวิตนี้เหมือนพยับแดด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีธรรมนะ เห็นชีวิตเราเหมือนพยับแดด ดูสิ...เวลากลางวันเราขับรถไปบนถนนเห็นไหม พยับแดดมันเป็นอะไร มันเป็นไอ.. มันโดนความร้อนขึ้นมาเป็นพยับแดด

ชีวิตนี้สั้นมากนะ แต่เวลาเราใช้ชีวิตกันเห็นไหม เป็น ๑๐๐ ปี ยาวมาก...ทุกข์มาก แบกโลกมาก.. ทำไปมาก.. ทำไปเถอะ สิ่งที่เราทำก็ทำไว้เพื่อโลก เพื่อสังคม สัตว์สังคมที่อยู่ในสังคม สัตว์สังคมต้องเป็นสัตว์สังคมอยู่ในสังคม ถ้าสัตว์สังคมมันก็อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม เราก็เป็นสังคมคนหนึ่ง

ปลาอยู่ในน้ำ.. ถ้าน้ำออกซิเจนดี น้ำไม่เย็นเกินไปและไม่ร้อนเกินไป ปลาอยู่สุขสบาย สังคมอยู่สุขสบาย ถ้าสังคมดีเห็นไหม นี่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ผู้นำเป็นสัปปายะ อาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ถ้าสัปปายะเราทำได้ก็ทำเพื่อเรา

เพราะสังคมร่มเย็นเป็นสุขเราก็ร่มเย็นเป็นสุขไปด้วย ถ้าสังคมเราไม่เป็นสุขเราก็ทุกข์ร้อนไปด้วย แต่ถ้ามันมีกิเลสในหัวใจ มันไม่เห็นแก่สังคม ให้ตัวเองเป็นใหญ่ เราเป็นใหญ่ ความทุกข์ยากเป็นใหญ่ ตัวเป็นใหญ่นะ แล้วเวลาคิดมานะ...เบียดเบียนตนก่อน

ดูสิ...ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเบียดเบียนใคร มันเกิดมาจากไหน ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดมาจากวิทยาศาสตร์ที่ไหน มันเกิดมาจากทฤษฎีอะไร.. มันเกิดมาจากใจของคน เพราะคนมันโลภ มันโกรธ มันหลง พอมันคิดแล้วมันก็เหยียบย่ำใจของมันก่อน เหยียบย่ำใจดวงนั้นนะ พอเหยียบย่ำใจของตัวเราเองแล้วนะ ต้องคิดวางแผน แล้วมันเป็นการทำความดีไหม

ความดีนะ มันต้องมีศีลมาควบคุม ปาณาติปาตา ไม่ลุกลานเขา ไม่เบียดเบียนเขา ไม่ทำลายเขา แต่เวลาพ่อแม่สอนลูกเป็นการรุกรานไหม พ่อแม่สอนลูกต้องการให้ลูกเป็นคนดี ต้องบังคับมัน เด็กที่มันไม่รู้ นี่ไม่ใช่การรุกราน เห็นไหม

ผู้ที่มีปัญญาเราจะชี้นำเขา เราจะบอกเขาได้อย่างไร ถ้าเขามีอำนาจวาสนานะ แล้วออกรบมันแพ้แน่นอน เมื่ออำมาตย์จะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง เขาไปถึง เขาไปโก่งไม้ ไปโก่งคันธนูกับกระรอก พอกระรอกไปแล้วไปโก่งคันธนู เท่านั้นแหละ ! พอกษัตริย์เห็นจึงพูดว่า

“เอ็งจะบ้าเหรอ ! ไปโก่งคันธนูทำไม” ก็บอกเลยนะว่า

“ก็เหมือนกัน เวลาไปรบกับเขา กระรอกมันไปแล้ว ไปรบกับเขามันแพ้อยู่แล้ว” มันมีอุบายไง มันมีอุบายเพื่อไม่ให้เป็นโทษ

การเตือน การบอก การสอน มีต้องอุบายอ้อมมาก่อน แต่ถ้าไม่ฟังก็จี้เข้าไป จี้เข้าไป ถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องหมัดตรง มันก็ต้องสาวกันเข้าไป ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม... อุเบกขา ! พรหมวิหาร ๔ ของผู้บริหาร ถึงที่สุดแล้วอุเบกขา เรามีผู้บริหารใช่ไหม เราเป็นหัวหน้าเขา เราก็สามารถจัดการได้ทั้งนั้น เราจัดการได้ด้วยหัวใจของเรา

“ชนะสงครามคูณด้วยล้าน เป็นการสร้างเวรสร้างกรรม”

เราจะสั่งสอนเขา เราจะบอกขุมทรัพย์ให้เขา แต่มันเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม แล้วเขาจะเชื่อไหม แต่ถ้าเป็นหน้าที่ของเรานะ เราเอาหัวใจของเราไว้ก่อน เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราเห็นไหม ชนะตน !

ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า.. พระอริยเจ้ารู้นะ ! รู้ถึงใจของเรา จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง

ไฟทุกกองพลังงานมันเหมือนกันไหม กิเลสในหัวใจเราก็เหมือนกัน กิเลสในหัวใจคนอื่นก็เหมือนกัน มันเหมือนกันไหม.. มันเหมือนกัน ! แล้วคิดดูสิ กว่าเราจะสามารถควบคุมใจของเราได้ กว่าเราจะวิปัสสนา เราจะแยกแยะ เราจะทำลายกว่าจะให้มันสะอาดได้ มันยากขนาดไหน มันทุกข์มันยากขนาดไหน คนจะเอาชนะตนเองได้มันทุกข์ยากขนาดไหน

ความทุกข์ยากอันนี้ ใจของเขากิเลสก็เหมือนเรานี่ ถ้าเขายังทำไม่ได้ เขายังควบคุมไม่ได้ มันจะทุกข์ยาก มันจะเผาผลาญเขา แล้วเราไปบอกเขา เขาก็ไม่เชื่อด้วย เขาไม่เชื่อเห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจที่ได้ดับไฟในใจของตัวเองแล้ว จากไฟดวงอื่น เราแค่บอก แต่บอกทางเขาเพื่อประโยชน์ เพื่อชี้ขุมทรัพย์แต่มันกลับเป็นโทษ ถ้ากลับเป็นโทษเห็นไหม

นี่ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า ! ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าเพราะอะไร เพราะพูดออกไปแล้วมันเป็นโทษไง รู้อยู่เห็นไหม พูดแล้วเป็นคุณงามความดี นิ่งอยู่ ! แต่โลกไม่มีตรงนี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เจตนาดี ทุกอย่างปรารถนาดี ความปรารถนาดีพาคนตายเยอะมากเลย ความปรารถนาดี ปรารถนาดีกับใคร

นี่จะย้อนกลับมาว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แต่กาลเทศะความเป็นไปนะ เราต้องมีสติสัมปชัญญะของเรา ว่าควรหรือไม่ควร ถ้าไม่ควรมันก็เป็นกรรมของสัตว์ไง คำว่า “กรรมของสัตว์” มันถึงกาลถึงเวลานะ กาลเป็นอย่างนั้น เราจะบังคับให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

ดูสิ... วุฒิภาวะของเด็ก ขณะที่เด็กมันยังไม่มีความเห็นของมัน พอโตขึ้นมาเวลาเขาเห็นได้ว่า “ทำไมพ่อแม่ไม่สั่งสอนเรา ทำไมพ่อแม่ไม่บอกเรา” พ่อแม่บอกจนหูแทบฉีก แต่ตอนเป็นเด็กๆ มันยังไม่เชื่อ พอโตขึ้นมามันก็จะไปทุกข์เสียใจทีหลังนะ “ทำไมพ่อแม่ไม่บอก ทำไมพ่อแม่ไม่สอน” เห็นไหม

วุฒิภาวะนี่กรรมของสัตว์ เวลาที่จะบอกเขาก็ไม่ฟัง เวลาที่เขาไปทุกข์ไปยากขึ้นมาเขาก็น้อยเนื้อต่ำใจว่า “ทำไมไม่บอก.. ทำไมไม่บอก..” บอกแล้วเชื่อไหมล่ะ นี่ไง กิเลสมันร้ายขนาดนี้ มันไม่เห็นโทษของมันเลย มันไม่เห็นโทษของตัวมันเองที่มันไม่ฟังเขา เวลามันไม่ได้ดั่งใจ มันก็ยังไม่เห็นโทษอีกว่า เขาบอกแล้วเตือนแล้วมันก็ไม่เชื่อ มันก็ไม่รู้ มันคิดไม่ออก มันคิดไม่ได้ มันคิดไม่ออก มันคิดไม่ได้หรอก

แต่ถ้ามันมาสว่างไปมืด.. มามืดไปสว่างเห็นไหม ถ้ามามืดไปสว่างก็ยังดีนะ มาสว่างไปมืด มาเนี่ยดีไปหมดเลย แต่เวลาไปๆ ด้วยความมืดบอด มันมืดบอด ถ้ามาสว่างไปสว่าง มันจะหาเหตุหาผล มันจะฟังเหตุฟังผลนะ

ถ้ามีเหตุมีผลเห็นไหม...กรรมของสัตว์ พันธุกรรมของจิต จิตได้ตบแต่งมาดี จิตได้ทำมาดี เขาขวนขวายของเขา เขาพยายามแสวงหาของเขา มันก็เป็นแบบลุ่มๆ ดอนๆ มันเป็นอารมณ์นะ มันเป็นกาลเป็นเวลา เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ไม่ดี มันมีการกระทบกระเทือนกันเห็นไหม เราถึงจะต้องมีสติ มีขันติบารมี อดทนนะ ! ความอดทนนะเห็นไหม พระใหม่จะอดทนคำสอนของครูบาอาจารย์ได้ยาก มันไม่อดทนไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “การอดทนของเรา การอดทนของสัตตบุรุษ ให้เหมือนกับช้างที่ออกศึก” เวลาช้างที่มันออกศึกมันจะโดนธนู มันจะโดนทุกอย่าง เพราะช้างจะมีแม่ทัพอยู่ที่นั่น เขาต้องเข้าไปทำลายช้างก่อน ช้างเวลามันโดนยิง มันจะอดทนของมัน แล้วมันจะต่อสู้ของมัน มันจะเข้าไปเห็นไหม แต่ถ้ามันโดนสะกิด โดนอะไร แล้วมันถอย มันวิ่งหนีนะ กองทัพนั้นแพ้เลยเห็นไหม

ขันติบารมีของเราต้องมีความอดทน ถ้าเราอดทนของเราได้เหมือนช้างศึก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เปรียบเหมือนช้างศึกเข้าสงคราม มันจะต้องโดนธนู ต้องโดนหอก โดนหลาว โดนแหลน ต้องทิ่มแทงมันตลอดเวลา มันจะทนของมันเพื่อผลประโยชน์ของกองทัพ เพื่อผลประโยชน์ของแม่ทัพ เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน เรามีขันติบารมีไหม เราจะทนของเราไหม เราจะสู้ของเราไหม นี่เป็นขันติธรรมไง พระโพธิสัตว์มีบารมี ๑๐ ทัศ มีขันติบารมี มีอธิษฐานบารมี มีทานบารมี มีสมาธิ มีสติ มีบารมี ๑๐ ทัศ ต้องมีบารมีของเรา ถ้าเราสร้างของเรามันจะมีความอดทน มีความยับยั้ง ความอดทนจะทำให้สิ่งที่วิกฤตมันเบาบางลง แล้วเราค่อยหาทางแก้ไข

เราจะแก้ไขของเรา เราแก้ไขขึ้นมาเพื่อบุญกุศล ทำดีต้องได้ดี ใครจะเห็นหรือไม่เห็น.. แต่เทวดาฟ้าดินเห็น ถึงที่สุดเราเห็น ทำดีแทบตายเลย มีแต่คนติเตียน ช่างหัวเขา ! เพราะว่าคนโง่หรือคนฉลาดมาก ครูบาอาจารย์ท่านว่านะ

“โลกนี้คนโง่หรือคนฉลาดมาก ขนโคกับเขาโค”

มีแต่ขนโค ภูมิปัญญามีเท่านั้น เขาโคมีสองเขา นี่ก็เหมือนกัน คนที่จะเห็นคุณงามความดีแท้ๆ คุณงามความดีที่นั่งสงบ พุทโธ พุทโธ อยู่ที่โคนต้นไม้ เขาจะบอกเลยนะว่าพวกนี้เวลาว่างเยอะเนาะ ไม่รู้จักทำงานทำการมานั่งอยู่เฉยๆ นะ

หลวงปู่ฝั้นท่านว่านะ “เราหายใจเข้าและหายใจออกทิ้งกันเปล่าๆ !” ถ้าลมหายใจเข้านึก “พุท” ลมหายใจออกนึก “โธ” ไม่ประมาทในชีวิตนะ มันเป็นปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ภิกษุทั้งหลาย ! เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

อย่าประมาทเลินเล่อในชีวิต อย่าประมาทในการกระทำของเรา อย่าประมาทในอารมณ์ความรู้สึก ตั้งใจในขันติบารมี สติบารมี ศึกษาใคร่ครวญแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา ทำดีเพื่อเรา ทำดีทำไปเถิด ทำขนาดไหน ทำเพื่อจิตไง ไม่ได้ทำให้ใครยกย่อง ให้ใครสรรเสริญ

ใครจะติฉินนินทามันเรื่องของเขา คำติฉินนินทามันไม่ใช่ความจริง ! ความจริงเรารู้เอง ทำดีขนาดไหนเราก็รู้ เราทำชั่วขนาดไหน เขาจะยกยอปอปั้นขนาดไหน เราก็รู้ ทำชั่วไว้นะ.. หัวใจมันสะดุ้งกลัวตลอดเวลา แล้วจะให้เขายกย่อง ยิ่งยกย่องยิ่งสะเทือนใจเห็นไหม

มันเป็นกรรม การกระทำ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ขณะในปัจจุบันเรามีโอกาสได้ทำดีและทำชั่ว เราพยายามของเรา ทำดีเพื่อดี ! แล้วมันจะเป็นคุณงามความดีของเรา เอวัง