เทศน์เช้า วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันพระ เรามีสามัญสำนึกของตัวเราเอง เห็นไหม เราทำกุศลเพื่อเรานะ ดูสิเขามีบุญกุศล ที่เขาเกิดดีเกิดชั่ว บุญพาเกิด บาปพาเกิด บาปพาเกิดแล้วทำไมเขาทำชั่วแล้วได้ดี อันนั้นเป็นเรื่องของเขานะ
คนเรามันทำดีทำชั่วมามันไม่เหมือนกันหรอก มันต่างๆ กัน เหรียญมี ๒ ด้านทุกคนทำดีและชั่วปนกัน มันเสวยตรงไหน แต่ถ้าเป็นคนดีเห็นไหม ดูคนดียังไงก็ดี คนชั่วเวลาบุญกุศลมันเสริมมา พอเสริมมาถึงที่สุดแล้ว มันไปไม่ได้เพราะว่าสันดานจิตพิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น แต่บุญกุศลมันส่งเป็นบางครั้งบางคราวนะ
เราทำบุญของเราเพื่อเรา ถ้าทำบุญเพื่อเรา เราขัดเกลาใจเราด้วย ถ้าเราขัดใจของเราให้มันดีมาจากข้างใน ไม่ใช่ดีจากข้างนอก ถ้าดีจากข้างในมันคิดแต่เรื่องสิ่งที่ดีๆ ความเป็นที่ดีๆ นะ ถ้ามันไม่ดีก็เข้ากันไม่ได้ เราเคยทำบุญทุกวันๆ เราเคยตักบาตร ถ้าไม่ตักแล้วมันขาดอะไรไปก็ไม่รู้ เราสวดมนต์ทุกวันๆ ทำให้เป็นนิสัย
ดูพระเราสิ เวลาบวชใหม่ต้องขอนิสสัยครูบาอาจารย์เห็นไหม เวลาไปอยู่ที่วัดไหนก็แล้วแต่ให้ดูกัน ๗ วัน ถ้านิสัยเข้ากันไม่ได้ นิสัยเข้ากันไม่ได้ ! เราเห็นแล้วว่าเข้ากันไม่ได้ ให้เก็บของไปซะ แต่ถ้าราตรีที่ ๗ ล่วงไปแล้วเป็นอาบัติปาจิตตีย์
เป็นอาบัติเลยนะ เพราะเกินราตรีที่ ๗ ไม่ขอนิสสัย ถ้าไม่ขอนิสสัยอาจารย์เขาสอนไม่ได้เพราะการสอนไปไม่ขอนิสสัย สอนไปนี่ เขาขอนิสัยเหรอ? เขาไม่สอนมันก็เหมือนกัน เขาไม่พร้อมที่จะให้สอน จริตนิสัยมันต้องดูกันนะ อุปัชฌายวัตร อาจริยวัตร วัตรต่างๆ มันต้องดูกันว่าเข้ากันได้ไหม
ถ้าได้ขอนิสสัยนะ เราได้นิสสัยครูบาอาจารย์มา ดูนะ พระที่ปฏิบัติมีชื่อเสียงมา พอบวชแล้วก็เป็นอาจารย์เลย ไม่มีนิสสัย ! พอไม่มีนิสสัยมันวินิจฉัยอะไรไม่ถูกหรอก ถ้ามีนิสสัยขึ้นมานะ เช่น หลวงปู่มั่น เวลาท่านดูแลลูกศิษย์ ให้เย็บผ้าก่อน ให้ตัดผ้าก่อน ให้ทำทุกอย่างเป็นก่อน พอเป็นแล้วพอบวชมามันไม่เป็นภาระของใคร ท่องปาฏิโมกข์ได้ ทำต่างๆได้ มันเป็นผู้นำเขานะ
เราจะเป็นผู้นำเขานะ เราไม่ใช่แม่ปู เอ็งเดินให้ตรงนะ ! แล้วเราเดินประสาเรานะ ลูกเดินให้ตรงสิ.. เดินให้ตรงสิ..แม่ปูไง ! ถ้าแม่ปูเดินตรงลูกมันก็จะเดินตรง ขอนิสัยครูบาอาจารย์เป็นอย่างนี้
เวลาพระบวชใหม่ สิ่งที่พระบวชใหม่เป็น สิ่งที่ทนได้ยากคือคำสอนของครูบาอาจารย์ พระใหม่ทนได้ยากเพราะอะไร เพราะมันเป็นนิสัยของคฤหัสถ์ สมณสารูปเห็นไหม นิสัยของบรรพชิต ความเป็นบรรพชิตมันต้องสำรวมระวัง เราต้องดัดแปลงใจเราให้มันมีนิสัย ถ้ามีนิสัยขึ้นมา นี่มันดีจากภายใน ดีจากภายนอกมันดีชั่วครั้งชั่วคราวแล้วบุญพาส่งนะ ดูสิ คนโกง คนต่างๆ ไปบริหารจัดการบริษัทพังหมดเลยนะ
ธรรมาภิบาล.. ธรรมาภิบาล.. คนเขาแสวงหากัน ถ้าคนมันมีจริงนะ ธรรมาภิบาลเขาไม่เอานะ สมัยโบราณกษัตริย์เขาจะทดสอบประชากรของเขา เขาจะเอาทองคำสิ่งต่างๆ ไปวางไว้ตามถนนหนทาง แล้วคอยเฝ้าดูว่ามีคนเก็บไหม ถ้ามีคนเก็บมันลักขโมยก็ลงโทษเลยนะ เขาทำกันขนาดนั้น เขาทำเพื่อดูจริตนิสัยของคน เขาต้องการให้ศีลธรรมจริยธรรมมันเกิดขึ้นมา
เรื่องของเรา เราต้องรักษาเรื่องของเรา วันพระ สามัญสำนึกเราทำบุญกุศลของเราก่อน ถ้ามีบุญกุศลของเราๆ รักษาใจเรา พอมีบุญกุศลแล้วทุกคนเป็นคนดีสังคมก็ดีด้วย
ในสังคมของชาวพุทธ เราว่าสังคมนี่เหมือนเป็นสังคมที่ดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ เราเกิดในสังคมที่ดี เราจะร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ความร่มเย็นเป็นสุขนะ เวลาให้อภัยกัน ต่างๆ กัน แต่ ! แต่มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ
ดูสิ ทางเอเชีย ทางตะวันออก ส่วนใหญ่ก็เป็นสังคมพุทธทั้งนั้นนะ แต่มันก็เกิดสงครามกันตลอดมาเห็นไหม สงครามเพราะผู้นำ ดูสิ พระเจ้าอโศกมหาราชรบชนะไปหมดเลยนะ แต่สังเวชเวลาคนตายมากถึงเผยแผ่ธรรมไป เผยแผ่ธรรมไป เอาธรรมไปถึงที่ไหนคนมันเป็นมหาราชขึ้นมา พระเจ้าอโศกมหาราช
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นชาวพุทธกันอยู่แล้ว ถ้าเกิดเป็นนานาสังวาส เกิดทิฐิความเห็น มันรุนแรงกว่าข้างนอกนะ ความเห็นต่างนี่ ความเห็นต่างในศาสนาเดียวกัน ถ้ารบกัน ดูสิ ในศาสนาต่างๆ ก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถือศาสนาเดียวกันแต่ก็มีปัญหากัน
สิ่งนี้มันเป็นเรื่องทิฐิมานะ แต่ถ้ามันเป็นนิสัยจากภายในเห็นไหม เขาเห็นต่างก็เห็นต่างสิ พิสูจน์กันไป ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สิ่งที่ทำแล้วประสบความสำเร็จของเขาไหม เขาประพฤติปฏิบัติจะประสบความสำเร็จของเขาไหม ถึงนิพพานแล้วเป็นอันเดียว
เวลาทำความสงบของใจขึ้นมา เวลาจะสงบมีหญิงมีชายไหม นิพพานมีหญิงมีชายไหม ดูสิ ภิกษุณีในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์เยอะแยะไปหมดเลย ภิกษุก็เป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์มันก็เป็นอันเดียวกันนั้นแหละ
พอเกิดมามันเป็นสมมุติ สมมุติว่าเราเกิดเป็นหญิงเป็นชายขึ้นมา จิตไม่มีเพศหรอก จิตไม่มีเพศ ไม่มีวัย ไม่มีอะไรต่างๆ เลย พอเวลาเกิดเห็นไหม เทวดาก็ยังมีนางฟ้า มีเทพบุตร มันก็จะแบ่งไป พอถึงพรหมล่ะ ถึงพรหมเห็นไหม พรหมจรรย์ ! สิ่งที่เป็นพรหมมันหญิงมีชายไหม
สิ่งต่างๆ มันเป็นไป มันพัฒนาของมันได้ ถ้ามันพัฒนาของมันขึ้นไปในสิ่งที่ดี เราถึงบอกว่า มองสังคมแล้วมามองเรา เราก็สลดสังเวช ปลงธรรมสังเวช สังคมเห็นไหม ทิฐิมานะของคน ทะเลาะกัน ๒ คน
ดูสิ เวลาสมัยโบราณที่กษัตริย์เขารบกัน กษัตริย์ ๒ คนทะเลาะกัน ยกไพร่พลเข้าห้ำหั่นกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าห้ามญาติ แย่งน้ำกันทำนา เห็นไหม น้ำกับชีวิตคนอันไหนมีคุณค่ากว่ากัน.. ชีวิตมีคุณค่ากว่า แยกกลับไปถึง ๓ หนนะ สุดท้ายแล้วก็รบกัน เพราะอะไร เพราะเป็นกรรมที่เขาสร้างของเขามา ก็รบแหลกไปหมดเลย ญาติข้างพ่อข้างแม่แย่งน้ำทำนากัน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามญาติ ปางห้ามญาติเห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่เวลากรรมมันให้ผลถึงสัจธรรมอย่างนั้น สัจธรรมนะ ผลของวัฏฏะมันหมุนไปตามสภาพ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พุทธศาสนามองโลกนอกและก็มองโลกใน ไม่ใช่พูดว่าให้ปล่อยวางนะ
เราต้องช่วยเหลือเจือจาน ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ ก็มีความร่มเย็นเป็นสุข แต่สังคมไม่เป็นสุข ถ้าสังคมภายนอกและสังคมภายใน ถ้าสังคมภายในนะ ทุกคนเป็นคนดีหมด ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าหัวหน้าเป็นคนดีมีศีลธรรมจริยธรรม มันจะเกิดอย่างนี้ไหม
ถ้ามันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา มันจะเป็นไปได้ยังไง พูดกันรู้เรื่องนะ คนนี่พูดด้วยเหตุด้วยผลมันลงกันด้วยเหตุด้วยผล นี้เหตุผลมันไม่ฟัง ไม่พูด.. ไม่พูดเลย คนที่พูดก็พูดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายหนึ่งไม่พูดอะไรเลย เพราะอะไร เพราะมันก็รู้อยู่
ความลับไม่มีในโลกนะ ใครทำชั่วทำดีก็รู้อยู่แก่หัวใจ มันพูดออกมาไม่ได้ มันพูดออกมามันก็ขายแต่ความชั่วของตัว เอาความชั่วมาหมักหมมไว้เพราะพูดออกมาไม่ได้
แต่เวลาสัจธรรมความจริง ทำดีทำที่ไหนก็ได้ แต่ดีจริงๆ เราก็ต้องแอบทำของเรา ทำชั่วทำที่ไหนไม่ได้เลย ทำชั่วต้องแอบทำ ทำต่อหน้าคนแล้วคนเขาก็เห็นหมด ปิดไว้.. ปิดไว้.. นั่งทับแต่ความไม่ดีและอกุศลไว้ ทำชั่วขึ้นมา แล้วโกงเขามา แล้วมันได้มาแล้วมันมีความสุขไหม มันเร่าร้อนในหัวใจของเขา
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเห็นไหม มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เรื่องข้างนอกเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องดูแลหัวใจของเรา สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือหัวใจของเรา หัวใจของเรานะมีคุณค่ามาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ดูสิ ทรัพย์จากภายนอกเขาหากัน แต่นี่เป็นอริยทรัพย์จากภายใน ทรัพย์จากภายนอกให้เป็นอริยทรัพย์ไม่ได้ มันเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา แต่สิ่งจริงๆ ขึ้นมา เราเกิดมาในสมมุติเห็นไหม ปฏิสนธิจิตมันเกิดในครรภ์ของมารดา เกิดมาเป็นเราแล้วออกบวชเป็นพระเป็นเจ้า เพื่อประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เป็นสมมุติทั้งนั้น
สมมุติสงฆ์ ! สงฆ์ ๔ องค์ขึ้นไปถึงเป็นสังฆะ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา นี่พระโสดาบันเป็นสงฆ์โดยสมบูรณ์ จิตใจมันพัฒนาอย่างนี้ไง จิตใจถ้ามันพัฒนาขึ้นมานะ ยิ่งให้มันนอนจมอยู่กับกิเลสนะ มันก็จะหมักหมมแต่สิ่งที่มันพอใจ
ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันไม่เอาสิ่งที่ดีหรอก แต่เราฝืนมัน ฝืนทำสิ่งที่ดีเห็นไหม ต้องฝืน ! พอฝืนทำสิ่งที่ดี มันทุกข์มันยากมันลำบากไปหมด ทุกคนว่าทำไมคนนี้ไม่มีความสุข คนนี้เคร่งเครียดอะไร ยิ่งภาวนาเห็นไหม ถ้ามันเอาไม่อยู่ จิตใจของเรานะ ถ้ามันพุทโธ พุทโธ ไม่อยู่ ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ทำได้ไง
คำว่าพุทโธนี่ พุทโธ พุทโธ แล้วเราเดินจงกรมไป พุทโธมันทำงานโดยกำปั้นทุบดิน มันซึ่งๆ หน้า แต่ถ้าเป็นพุทธจริต จริตของเรามันมีความรู้สึกมาก ความคิดมาก เราใช้ปัญญาของเราไปสิ ปัญญาไล่ความคิดไป
พุทโธไม่ต้องเป็นพุทโธ วางพุทโธเลย เพราะเป็นงานคนละแขนง ถนัดซ้ายถนัดขวา โดยสามัญสำนึกถนัดขวา พุทโธ พุทโธ พุทโธ แต่ถ้าเราใช้มือถนัดซ้าย เราทิ้งพุทโธเลย แล้วเราอยู่กับปัญญาใช้ตามความคิดไป มันคิดยังไงตามมันไป.. ตามมันไป ถ้ามันหยุด.. หยุดได้.. หยุดได้บ่อยๆ ครั้งเข้า เราจะรู้ทันมัน เราจะเข้าควบคุมอันใดอันหนึ่ง ทำอันใดอันหนึ่งทำได้ ตามความคิดไป แต่ถ้ามีสติตามความคิดไปเห็นไหม มีสติสัมปชัญญะตามความคิดไป แล้วความคิดมันหยุด เราจะเห็นโทษของมัน
แต่ถ้าเราพุทโธ มันต้องศรัทธาจริต มันต้องมีความเชื่อมั่นของมัน แล้วเราเปลี่ยนวาระ เราเปลี่ยนเห็นไหม เวลามันหยุดแล้ว เราหยุดพุทโธก็ได้ เวลามันหยุดใช้ปัญญาไล่เข้าไป พอมันหยุดมันเบา มันไม่มีความคิดอีก เราก็พุทโธไปเรื่อยๆ คืออย่าปล่อยให้มันตีกลับ
เราต้องดูแลไป ใครตีกลับ? กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง กิเลสมันตีกลับ ธรรมะไม่ตีกลับ ธรรมะต้องสร้างสมขึ้นมา แต่กิเลสมันมีอยู่โดยดั้งเดิม กิเลสมันมีกับใจอยู่แล้วเห็นไหม
จริตนิสัย เราจะควบคุมใจของเรา ใจที่ประเสริฐๆ เราควบคุมมันได้นะ เราคุมให้มันสงบเข้ามาที่นี่ เราเห็นแล้วมันปลงธรรมสังเวช มันเป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ ! สัตว์ที่มันมีกรรมของมันมา มันต้องมีปัญหากันไป
เราก็อยู่ในสังคม เราก็รับรู้ มันสะเทือนหัวใจนะ ความสะเทือนหัวใจ ดูสิ เวลาคนเขารังแกกัน คนที่เดินผ่านไปมาเขารับไม่ได้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาเก็บเอาไว้ในหัวใจว่าคนๆ นี้ใช้ไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นสังคมนี้มันมีปัญหานี่ มันใช้ไม่ได้ ! มันใช้ไม่ได้ ! มันทำไม่ได้แต่มันกรรมของสัตว์ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราไม่สามารถที่จะไปดัดแปลงแก้ไข มันเป็นกรรมของสัตว์ สังคมมันเป็นไป สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมเป็นสภาวกรรมอย่างนี้ แต่กรรมดีต้องชนะกรรมชั่ว ถึงที่สุดแล้วกรรมดีต้องชนะกรรมชั่ว
เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร กรรมดีต้องชนะกรรมชั่ว เพราะกรรมดีมันต้องรู้จักว่าเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรกัน เราให้อภัยกับเขา ยิ่งให้อภัยกับเขาเขายิ่งได้กรรมมากขึ้นไปใหญ่ เพราะเราไม่ตอบโต้ เขาทำสิ่งไม่ตอบโต้ ดูสิ อย่างพระอริยเจ้าเห็นไหม ถ้าไปติเตียนพระอริยเจ้าเป็นกรรมทั้งนั้น สิ่งนั้นเป็นกรรม ถ้าตอบโต้มันเป็นปัญหาขึ้นมา
วันนี้วันพระ พระผู้ประเสริฐ แต่ชาวพุทธเราทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะมันไม่ได้ถือพุทธะไง มันไปถือไสยศาสตร์ ถือทางโลก โลกเป็นใหญ่ ถ้าถือธรรม ธรรมเป็นใหญ่ ด้วยเหตุด้วยผล ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคืออริยทรัพย์ สัจธรรม เหตุและผล
ทำดีหรือทำชั่วก็พูดกันสิ เอามาพูดกันดีหรือชั่ว นี่มันไม่ยอมพูด ไม่พูด ! แล้วตะแบงกันไปเห็นไหม โลกมันเลยเป็นไป เพราะอธรรม.. อธรรมมันมีกำลังของมัน ชาวพุทธถึงต้องหลบ ผู้ดีเดินตามตรอกตามซอยเห็นไหม ขี้ข้าเดินถนน ผู้ดีจะเดินตามซอกตามซอย นี่กระเบื้องมันจะฟูลอย
ถึงกาลถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ แต่พยากรณ์ไว้ขนาดไหน ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราก็เข้าซอยสิ เราก็เข้าไปในโคนต้นไม้ของเราสิ เราเข้าไปในหัวใจเราสิ เราทำดีของเราสิ ทำดีเพื่อดี !
วันนี้วันพระ รักษาใจไว้ รักษาสติไว้ แล้วมองภาพนั้น เราจะได้ไม่ตื่นเต้นนะ เราจะไปแก้ไข เราจะช่วยเหลือเจือจาน ไม่ใช่เราเป็นส่วนหนึ่งก่อปัญหา เราอย่าเอาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เราแก้ปัญหา ดูปัญหาแล้วอย่าเอาเราไปเป็นปัญหา วุ่นวายไปหมดนะ ดูโลกและรักษาโลกนอกและโลกใน
วันนี้วันพระ พระต้องอยู่ที่นี้ ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้อะไรเลย มีความรู้สึก มีความคิด ไม่รับรู้ได้อย่างไร แต่รับรู้ด้วยสัจธรรม รับรู้ด้วยพระพุทธศาสนาเห็นไหม โลกนอกและโลกใน สติ มหาสติเราเข้าควบคุมของเรา แล้วช่วยเหลือกันให้เป็นประโยชน์กับโลก เอวัง