เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เด็กใหม่ เด็กๆ เหมือนดอกไม้แรกแย้ม มันสวยงามทั้งนั้นเลย แล้ววันต่อไปล่ะ ชีวิตเห็นไหม ในศาสนาพุทธ เราเป็นพุทธศาสนา เกิดมาในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วเราแสวงหาอะไรกัน เราอุตส่าห์มาเพื่ออะไร มาเพื่อคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีแบบโลกๆ การเสียสละ.. โลกที่มีการเสียสละ โลกจะร่มเย็นมากเลย แต่โลกที่มันมีแต่ความทุกข์ยากมันไม่ได้มีการเสียสละ มันมีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมันเป็นเรื่องของกิเลสนะ

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องการประกอบหน้าที่การงานนี้ หน้าที่การงานบริหารจัดการ ดูสิ ผู้ที่บริหารจัดการ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลยุ่งไปหมดเลย คนงานของเราคนหนึ่งมาทำงานในหน้าที่การงาน แล้วในครอบครัวเขาล่ะ ถ้าเขามีครอบครัวเขาล่ะ งานเสียหมดเลยนะ ผู้บริหารฝ่ายบุคคลเขาต้องบริหารจัดการเหมือนลูกน้องเขา ต้องในบ้านเขา ความเป็นอยู่ของเขา ทุกอย่างของเขา แล้วทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ ทำอย่างนั้นก็เพื่อให้สิ่งที่เราบริหารจัดการออกมาดี อยู่ที่การบริหารจัดการ แต่ไม่ได้คิดถึงเรื่องการบริหารจัดการเรื่องของหัวใจเลย

เรื่องของใจนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มโนกรรม ! มโนธรรม สิ่งที่เป็นมโนธรรมนะ ดูสิลูกเราเด็กๆ นะถ้าไม่มีสามัญสำนึก ถ้าสามัญสำนึกที่เป็นธรรม เราปลูกฝัง.. เราปลูกฝังนี้คือหน้าที่ของเรานะ เราปลูกฝังลูกของเรา อยากให้ลูกของเราเป็นคนดี แต่กรรมของเขาก็มี

กรรมของเขาดูสิ ลูกออกมาโดยธรรมชาติ เด็กเล็กๆ ครูจะสอนเลยนะ เด็กๆ นะห้ามสูบบุหรี่ แต่ครูสูบบุหรี่ปุ้ยๆ เลยนะ เด็กมันก็รู้ เด็กมันก็ถามพ่อว่าพ่อสูบบุหรี่ทำไม แต่พอมันโตขึ้นมา ด้วยความสำนึกของเด็กมันใสสะอาด แต่ความใสสะอาด มาสว่างไปมืด มามืดไปสว่าง สิ่งต่างๆ นี้มันเกิดขึ้นด้วยผลบุญผลกรรม

เราถึงพาลูกพาหลานเราเข้าวัด สิ่งที่เข้าวัดนะ วัดใจ ไปดูวัด วัดอะไร ไปอยู่วัดโดยสามัญสำนึกของโลก วัดคือโบสถ์วิหาร สิ่งปลูกสร้าง สิ่งนั้นเป็นวัด อาราม เวลาพูดถึงธรรมวินัยของ ๆสงฆ์ สิ่งนี้เป็นของๆ สงฆ์ สิ่งนี้สงฆ์มีต้องรักษา

โยมเข้ามาในวัด ถ้าของๆ สงฆ์ก็ต้องขอจากพระก่อน พระนะถ้าของๆ สงฆ์ ถ้าใช้ของๆ สงฆ์แล้วไม่เก็บของๆ สงฆ์เป็นที่เป็นทางก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ของๆ สงฆ์ ของในส่วนกลางเอามาใช้เป็นส่วนบุคคลก็ไม่ได้ เอามาใช้เป็นของชั่วคราว ถ้าใช้ของเป็นบุคคลต้องอุปโลกน์ ต้องแจกจ่ายกันเห็นไหม

ของของสงฆ์ถ้าพูดถึงสิ่งที่เป็นปลูกสร้างที่เป็นวัด วัดถ้าเป็นที่อาศัย อารามมิก.. คนที่ไม่มีเรือน ภิกษุผู้ออกจากเรือนแล้วอาศัยวัดอยู่ เราไปวัดไปวาไปดูแค่นั้นเองหรือ แค่นี้มันเป็นเปลือก เหมือนสามัญสำนึกของมนุษย์ที่อาศัยปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยเท่านั้นเอง

แต่วัตรปฏิบัติล่ะ ข้อวัตรปฏิบัติทำไมพระต้องถือธุดงควัตร ทำไมพระต้องฉันภาชนะเดียว ฉันหนเดียว ฉันมากๆ ไม่ใช่ฉันแล้วมันจะนอนสบายหรอ กินอิ่มนอนอุ่นไม่ใช่เป็นเรื่องของความสุขเหรอ กินอิ่มนอนอุ่นเป็นเรื่องของกิเลสตัวใหญ่ๆ กิเลสจะพองตัวมหาศาลเลย เราจะขัดเกลามันเห็นไหม กินพอประมาณ อาหารเราฉัน ฉันเพื่ออะไรเห็นไหม สัปปายะ ! สิ่งที่ฉันเข้าไปแล้วมันปรารถนาทั้งนั้น เราต้องหักห้ามมัน ถ้าหักห้ามมันได้ หักห้ามคืออะไร

กิเลสคือเรา กิเลสนี้คือเรานะ เรากับกิเลสเป็นอันเดียวกัน เพราะเราไม่ใช่จะเอากิเลส กิเลสคืออะไร ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เราไม่รู้จักกิเลสอะไรหรอก เราก็คิดว่าเราคิดถูกหมด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผจญกับกิเลสของท่านเอง ๖ ปี คิดว่าดี ทำดีทุกอย่างเลย อัตตกิลมถานุโยค ดีของกิเลส ไม่มีผลตอบแทนมา

แต่ถ้าเป็นดีมัชฌิมาปฏิปทาเห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุล ความสมดุล ระหว่างสิ่งที่มันสมดุลเข้ามาแล้ว แล้วก็ย้อนกลับออกไปชำระล้างมัน สิ่งที่ชำระล้างมันมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาของใคร

คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา ดูสิ เด็กเห็นไหม เราดูแลพอประมาณ มัชฌิมาปฏิปทาของเขา ให้เขาอยู่ของเขา ไม่ให้เขาเอาแต่ใจตัวเองเกินไปนัก ไม่ให้เขาสะดวกสบายเกินไปนัก มัชฌิมาปฏิปทาของเขา เด็กอ่อน.. ลูกเราเกิดมานะ โอ้โฮ.. ถ้ามันนอนดี มันรักษาดีนะ มันจะนอนได้อย่างนั้นตลอดไปได้ไหม โตขึ้นมามันก็ต้องหัดทำงานใช่ไหม มัชฌิมา มันก็มีหยาบ กลาง มีละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มัชฌิมามันจะตายตัวนะ มัชฌิมาของผู้บริหารจัดการ มัชฌิมาของผู้ที่ทำการงาน มัชฌิมาของใคร

มัชฌิมาของโลกเห็นไหม ดูสิ เลี้ยงชีพชอบ นี่มรรค ๘ มีสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เราก็มีมรรคกันแล้ว มรรคของคฤหัสถ์นะ ความดีจากข้างนอก แล้วความดีจากข้างในล่ะ ความคิดดีคิดชั่ว คิดชั่วนี้นะเลี้ยงชีพผิด เพราะความคิดเป็นอาหารของใจ ใจมันกินความคิดเป็นอาหาร เราเลี้ยงมันผิด

ถ้าเราคิดถูก คิดในสิ่งที่เป็นความดีเห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ เราไม่คบเพื่อนชั่ว ไม่คบสิ่งต่างๆ ชั่ว ต้องคบบัณฑิต แล้วเวลาเราคบความคิดของเราละ ความคิดมันก็เป็นสิ่งที่เราคิดบ่อย คิดซ้ำ คิดซาก คิดจนเป็นจริตนิสัยใช่ไหม ศีลธรรมจริยธรรมเท่านั้นจะควบคุมคนให้เป็นคนดีได้ กฎหมายเป็นแค่กติกาสังคมที่เราจะดูแลเมื่อพฤติกรรมเราทำผิดหรือถูกแล้วเท่านั้น แต่ศีลธรรมเริ่มต้นจากอุดมคติของชีวิตเลย ถ้าอุดมคติของชีวิต มันเกิดมาจากใคร เราจะเชื่อถือใคร

เห็นไหมแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกนะ เด็กมันก็นึกเห็นไหม พ่อแม่พาไปวัดไปวา พ่อแม่ได้ทำบุญทำกุศล แล้วก็ได้กินขนมสนุกสนานของเขาเห็นไหม แก้วสารพัดนึกของเด็ก ไปวัดไหม.. แม่ไปวัดหรือเปล่า.. จะได้สนุกสนานของเขา ผู้ใหญ่ไปวัดก็ต้องอุตส่าห์ไปดูใจเรา ไปวัดใจของเรา นี่ผู้อยู่ที่วัด

ผู้อยู่ที่วัดนะ.. ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ดูสิวัตรปฏิบัตินะ วัจกุฏีวัตร วัตรในห้องน้ำ ห้องส้วมมีวัจกุฏีวัตร พระจะเข้าห้องน้ำนะ ต้องกระแอมกระไอก่อน ว่าข้างในมีคนไหม ก่อนเข้าไปแล้วต้องปิดประตูให้ดีแล้วถึงเตรียมตัวจะถ่าย ถ่ายเสร็จแล้วต้องล้างให้ดีก่อน ทำให้สะอาดแล้วค่อยออกจากนั้น วัจกุฏีวัตรยังมีเลย ข้อวัตรปฏิบัติ นี่วัตรในวัด

แล้ววัตรของใจละ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจไม่ปกติ มันฟุ้งซ่าน มาอยู่วัดนะ ตัวอยู่วัดแต่ใจอยู่บ้าน คิดไปร้อยแปดเลย เนี่ยสิ่งที่ร้อยแปด ทำดีอย่างหยาบๆ แม้แต่มาทำบุญกุศล มาวัดมาวามันก็เรื่องที่ว่าเราต้องลงทุนลงแรงแล้ว แล้วพอมาวัดแล้วเราจะมาวัดใจเรา เราจะทำบุญอันละเอียดเข้าไปเห็นไหม

ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง.. ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับทำจิตเป็นสมาธิได้หนหนึ่ง.. จิตเป็นสมาธิร้อยหนพันหน..เห็นไหม ร้อยหนพันหน ถ้าไม่เกิดปัญญาขึ้นมา แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่ชำระกิเลสได้ เราถึงต้องมาบริหารจัดการการจากสัมมาอาชีวะจากภายใน มรรคญาณ.. มรรคญาณมันเป็นอาหารของใจ ใจที่ทุกข์ๆ ร้อนๆ อยู่นี่ ใจที่ความคิด

ถ้าเป็นวิชาชีพหน้าที่การงานเราต้องบริหารจัดการนะ อันนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นโลก คนจะดีหรือจะชั่วมันอยู่ที่หน้าที่การงาน งานที่เราทำดีขึ้นมาผลประกอบการดีขึ้นมา มันก็ประกอบด้วยเรื่องของการตลาด เรื่องของเวรกรรม เรื่องของอำนาจวาสนา มันสะสมมาด้วยอามิส ด้วยสิ่งที่สร้างมาเป็นความดีและความชั่ว มันจะสร้างมาเป็นโอกาส เป็นการกระทำของจิต

แต่ถ้ามันเป็นการภาวนาขึ้นมาล่ะ ถ้าเรามาวัดแล้วเห็นไหม เรามาวัดเพราะอะไร เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อจะมาวัดทำไม พอมาวัดแล้ว วัดข้างนอก เราก็ดูสิ สิ่งข้างนอกวัดคือสิ่งที่พระท่านอยู่ของท่านด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ภายในวัดนั้นพระท่านอยู่กันด้วยความสำรวมระวัง วัดนี้มันชื่นใจไหม มันรื่นเริงในหัวใจไหม ถ้ามันรื่นเริงในหัวใจปั๊บ เราก็วัดใจของเรา นี้ภิกษุจากข้างนอก

นางวิสาขาเป็นมหาอุบาสิกา ทำไมเรียกว่าพระโสดาบันล่ะ พระในหัวใจเห็นไหม ถ้าพระในหัวใจ เราต้องทำความดีจากข้างใน ถ้าเราทำความดีจากข้างในปั๊บ สุขทุกข์มันอยู่ที่ไหน แก้ว แหวน เงิน ทอง สิ่งปลูกสร้างขึ้นมามันเป็นสุขไหม สร้างศาลาโรงธรรมใหญ่โตมหาศาลขนาดไหน มันตั้งอยู่บนโลก แต่มนุษย์ตายไปผู้สร้างนั้นไปสวรรค์ ผู้สร้าง ! ผู้สร้างที่ทำคุณงามความดี สิ่งปลูกสร้างไม่ได้ไป ! หัวใจคนสร้างมันไป ! นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราแก้ไขหัวใจของเรา มันไปเดี๋ยวนี้นะ

ถ้าเรายังมีความลังเลสงสัยอยู่ เราจะเข้าใจเรื่องนรกสวรรค์ไหม นรกสวรรค์ถ้ายังติดข้องอยู่ เราจะพ้นจากกิเลสได้ไหม แล้วสวรรค์ในอกนรกในใจมันเป็นที่นี่ แต่เวลามันตายไป มิติที่มันรับล่ะ รับใจที่ทำคุณงามความดีที่จะไป มันเป็นอามิส แต่เวลาที่มันทำความสงบของใจเข้ามามันเป็นสัจธรรม ! ไม่ใช่อามิส

ความสุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี จิตสงบแค่เป็นสัมมาสมาธินะ แล้วจิตมันสำรอก มันคลายสิ่งที่เป็นความอาลัยอาวรณ์ คลายสิ่งที่เป็นเชื้อไข เนี่ยมันสงบเข้าเป็นชั้นๆ เข้าไป ความสงบแค่สงบเฉยๆ มันเป็นความสงบที่เอาหินทับหญ้าไว้ แต่เวลามันไล่ต้อนด้วยมรรคญาณ ด้วยปัญญาของมัน มันสำรอกออก.. มันสำรอกออก.. มันคลายออก

คำว่ากิเลส.. กิเลสมันอยู่ที่ไหน คำว่าสิ่งในสังคมคนนั้นเขาติฉินนินทาเรา คนนั้นเขาว่าเรา หัวใจเรามันหลอก พอมันคิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา มันก็เหมือนคนว่าเรานั่นล่ะ สิ่งที่เขาพูดข้างนอกเป็นโลกธรรม ๘ คำว่าโลกธรรม ๘ มันเป็นธรรมะเก่าแก่ มันมีประจำโลก มันเป็นการสื่อสาร มันเป็นเรื่องของโลกเขา

แต่สิ่งที่เกิดกระทบในหัวใจของเราเห็นไหม โลกธรรม ๘ มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สิ่งต่างๆ ชอบ มันเกิดเข้ามาเห็นไหม สิ่งเหล่านี้มันเป็นอาหารของใจ มันเป็นมรรคญาณที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาจากไหน..เกิดขึ้นจากศรัทธาความเชื่อ เกิดขึ้นจากพลังงาน เกิดขึ้นจากตัวจิต ถ้าไม่มีตัวจิตทำสมาธิ ใครเป็นคนทำสมาธิ สมาธิมันตั้งอยู่บนอะไร

ดูสิอวกาศ อากาศมันว่างๆ อยู่ ใครเป็นเจ้าของมัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของมันเลยเห็นไหมเขาไปสร้างอวกาศกันนะ แต่ความว่างของจิต จิตเราว่างขึ้นมาเอง จิตมันหมักหมม แล้วจิตมันฟุ้งซ่าน แล้วจิตมันว่างขึ้นมา แล้วใครเป็นเจ้าของความว่างนั้น จิตเป็นเจ้าของความว่างนั้น เรารู้จักกับความว่างนั้น แล้วจิตมันมีปัญญาขึ้นมานะ

เราทำเอง เห็นไหม สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง เราเป็นคนจัดการเอง เราทำกับเราเอง แล้วเราจะสงสัยไปได้อย่างไร นี่เราไม่ได้ทำ เราไปศึกษาทางวิชาการ เราไปศึกษา โอ๊ย.. รู้ไปหมดเลย ต้องเป็นอย่างนั้น บริหารจัดการเก่งมากเลย แต่ลังเลสงสัย.. เพราะมันไม่ได้ทำ มันไม่ได้ทำ ! มันเป็นสุตมยปัญญา มันเป็นการศึกษา เป็นวิชาการ

แต่ถ้าเราทำขึ้นมานะ เราทำมากับมือ ดูสิ เราทานอาหารของเรา รสชาติเปรี้ยว หวาม มัน เค็ม เรารู้หมด เราเป็นคนทำด้วย เราเป็นคนกินด้วย แล้วเราเป็นคนที่รับรู้รสด้วย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่จิตมันเป็นมรรคญาณ ที่มันเกิดขึ้นจากหัวใจ มันต้องมีการกระทำของมัน มันถึงมีกิจจญาณ มันมีสัจจญาณ ในธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนี่ย ปัญจวัคคีย์ไม่ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฉันอาหารของนางสุชาดา ทิ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการเห็นไหม

“อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี เธอเคยได้ยินได้ฟังไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ เราไม่เป็นเราก็ว่าเราไม่เป็นนะ บัดนี้เราเป็นพระอรหันต์แล้ว จงเงี่ยหูลงฟัง”

เป็นเพราะอะไร.. เป็นเพราะกิจนี้ไง กิจจญาณ สัจจญาณ ธรรมจักรมันเกิดขึ้นมาจากการกระทำ มันเกิดขึ้นมาจากข้อเท็จจริง มันเกิดขึ้นมาจากความจริงนี้ ความจริงนี้มันกระทำอย่างนี้ มันถึงประสบความสำเร็จอย่างนี้ จงเงี่ยหูลงฟัง.. ฟังอะไร ฟังวิธีการกระทำไง

ดูสิในมรรค ๘ เห็นไหม ดำริชอบ การงานชอบ ความเพียรชอบ สิ่งที่มันลงแล้วนะเกิดญาณทัศนะ เกิดความสว่าง เกิดญาณ เกิดทัศนะ เกิดวิชา เกิดต่างๆ ขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา กิจจญาณ การกระทำของมัน นี่ไง.. นี่ไงสิ่งที่เลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงด้วยมรรคญาณ มรรคญาณมันเข้าไปสำรอก คลายสิ่งต่างๆ จากหัวใจออกมา ถ้าสิ่งนี้ออกมานี่ นี้ความดี ดีจากข้างนอก

เรามาวัดมาวาก็มาวัดมาวาอันหนึ่ง มาอยู่วัดนะ มันทุกข์ ! ถ้าใครคิดว่ามาอยู่วัดแล้วมันมีความสุข ถ้าเราจะทำความเพียร ทุกข์นะ ทุกข์เพราะอะไร เพราะเราต้องควบคุมใจ แต่ถ้ามันเป็นความสุขขึ้นมานะมันสุขจากใจ ไม่ใช่สุขจากอามิส อามิสนั้นเกิดจากผลกระทบ เราทำสิ่งใดแล้วเราพอใจ เราจะมีความสุข

แต่ถ้ามันปล่อยวางของมันเอง ความสุขออย่างนี้หาไม่ได้ โลกไม่มี มันจะมีได้แต่ดวงใจของผู้กระทำเท่านั้น แล้วผู้กระทำนั้นถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเข้าไป ไปสำรอกกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ความสุขอย่างนี้ ความดีอย่างนี้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้เป็นข้อเท็จจริงมาก ในพระพุทธศาสนาเรา ทำได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ดีจากข้างนอก ดีจากข้างใน ดีถึงที่สุด ดีจนเราพ้นจากกิเลส เอวัง