เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เมื่อวานไปเอากฐิน ไปดูช้างนะ เขาซื้อมาเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นช้างป่วย แล้วถ้าลงใต้ไป เขาว่ามันต้องไปทำงานหนัก ไปลากไม้ ไปลากอะไรต่างๆ ช้างนะซื้อมันมา พอซื้อมามันเป็นความสุขนะ เราเอามาเลี้ยงดูมันดีต้องเป็นความสุข แต่กลับเป็นความทุกข์นะ
เมื่อวานไปดูนะ มันยืนเฉยๆ อยู่ ๗ วัน ๗ คืนไม่ได้นอน ถามคนเลี้ยงช้างว่าทำไม คนเข้าคนออก คนเข้าคนออกทั้งวันเลย ใครๆ ก็ไปดูช้าง มันก็เลยไม่ได้นอน พอไม่ได้นอนแล้วมันก็กินมาก กินมากก็ท้องอืด ล้ม.. ล้มเลย เป็นตะคริว
เออ...เหตุปัจจัยนะ เลี้ยงมันดีเห็นไหม เลี้ยงมันดีแต่ไม่เป็นธรรมชาติมันก็ทุกข์ กล้วยเป็นกอง กล้วยเต็มไปหมดเลยนะ ใครๆ ก็รัก ของหลวงตาใครๆ ก็จะช่วยดูแล เอากล้วยไปให้ แล้วบอกว่ามันกินมากเกินไป แต่ต้องอดอาหารมันบ้าง ท้องมันอืด
เออ..มานั่งคิดดูคนเรากรรมมันแปลก ไปทำงานหนัก เขาเอาไปใช้งานมันก็ทุกข์ของมันอย่างหนึ่ง ซื้อมันมาเพื่อจะให้มันพ้นจากทุกข์มา มันก็มาเผชิญ..สุขจนเกินไป เด็กมาดู.. กลางคืนก็เข้าไป รถก็เข้าไป คนก็เข้าไป แล้วมันไม่ได้นอน มันยืนเฉยๆ ๗ วัน ๗ คืนนะ ยืนจนล้ม ตะคริวกินขามัน ล้มเลย เออ...กรรม ไปดูแล้วแปลก คนหวังดี เราหวังดี หวังจะช่วยเหลือเขา แต่ถ้ามันปรับได้มันก็คงจะดี แต่นี่มันนอนไม่ได้ เพราะไม่ได้นอน ๗ วัน ๗ คืน
เหตุปัจจัยของคน ย้อนกลับมาที่กรรม การกระทำของเราถ้ามีเหตุมีปัจจัย มีฐานที่ตั้ง เราจะทุกข์กันมาก เวลาศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นๆ สอนไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์เพราะอะไร เพราะมีเหตุมีปัจจัย ทำดีขนาดไหนความดีก็ส่งเสริมไป ทำชั่ว ทำอกุศลมันก็ส่งเสริมไป แต่เวลานิพพานมันทำลายฐานที่ตั้งไง ภวาสวะภพ ตัวที่รับเหตุรับผลไม่มี ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย คือไม่มีภวาสวะ ไม่มีฐานที่ตั้งของจิต จิตไม่มี อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ ทำลายจิตทั้งหมด ทำลายความรู้สึกทั้งหมด
ความรู้สึกเห็นไหม ทำลายความรู้สึกแล้วมันเหลืออะไรไว้ มันเหลือธรรมธาตุ เหลือความจริงอันหนึ่ง เฉพาะเป็นความรู้สึกก็ใช่ เพราะอะไร เพราะพระอรหันต์เห็นไหม พระอรหันต์ที่ท่านมีชีวิตอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตคือร่างกาย ร่างกายนี้เป็นเวรเป็นกรรม ร่างกายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ยังให้กระทบกระเทือนกันอยู่
แต่พอพระอรหันต์สิ้นชีวิตไปปั๊บ อนุปาทิเสสนิพพาน คือสิ้นชีวิตไปแล้ว ทิ้งแล้ว จิตนี้ ธรรมธาตุออกจากร่างกายไปแล้ว ใครจะตามหาไม่เจอแล้ว ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ใครก็จะไม่เห็นเงา
เวลาลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่านั่งสมาธิแล้วเสื่อม เสื่อม ถึง ๗ หน สุดท้ายแล้วทนไม่ไหว มันเสื่อมแล้วมันทุกข์มาก เอามีดโกนเชือดคอ ขณะที่เชือดคอเลือดมันพุ่งออกมา เพราะคนเคยทำสมาธิ ดีแล้วเสื่อม ดีแล้วเสื่อม มันก็มีหลักของมัน พอเลือดพุ่งมา มันพิจารณาเลือดตรงนั้น เป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นเลย เป็นพระอรหันต์ขณะที่ว่าเชือดคอปั๊บ เลือดพุ่งออกมาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย แล้วก็นิพพานไป
มารตามหาเห็นไหม มารตามหาจนฝุ่นตลบเลย ตามหาว่าจิตดวงนี้อยู่ไหน จิต ความรู้สึก ภพ สถานที่ตั้ง ภพคือฐานของความคิด ตรงนี้เป็นที่อยู่ของมาร เหตุปัจจัยมันเกิดตรงนี้ เพราะฐีติจิต จิตเป็นที่ตั้ง จิตที่ว่านามรูป นามรูปมันเกิดดับขนาดไหน มันมีผู้รู้อยู่ มันไม่สิ้นสุดหรอก สิ้นสุดไปไม่ได้ มันต้องทิ้งไปทั้งหมด แล้วมาทำลายภพ ภวาสวะ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ภวาสวะ คนเห็นกิเลสกับเห็นอวิชชา รู้และเข้าใจได้ แต่ภพคนไม่รู้จักมันว่าเป็นอย่างไร
เราถึงต้องว่า นิพพานหรือว่าสมาธิเป็นอุเบกขา อุเบกขานั้นคือตัวภพ คือตัวตั้งของมันเลย ตัวฐานที่ตั้งเลย ทำลายตัวนี้หมดไป สอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีภพ ไม่มีชาติ แต่มีเศษส่วน มีร่างกายที่เหลืออยู่ มีวันเวลาที่เหลืออยู่ที่จะต้องรอให้มันหมดไป กับพระอรหันต์ที่นิพพานไป ทิ้งร่างไป
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันอาหารเห็นไหม บอกว่าอาหารที่ทำบุญกับองค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผลมหาศาลอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งฉันอาหารของนางสุชาดา ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสในหัวใจสิ้นสุดที่นิพพาน อีกคราวหนึ่งฉันอาหารของนายจุนทะ ถึงซึ่งขันธนิพพาน
ขันธะ ! ขันธ์คือร่างกายไง นิพพานคือทิ้งมันไง ทิ้งมัน ๒ ส่วน พ้นออกไป ถ้ายังมีเหตุมีปัจจัยอยู่เนี่ย...เราก็ว่าสุข.. สุขนะ แต่สุขมันเป็นความคิดของแต่ละบุคคล บุคคลก็หวังปรารถนาดีอยากจะช่วยเหลือเจือจาน แต่มันไม่ตรงกับความคิดของเขาหรอก
อารมณ์ความรู้สึกบริหารยากมาก อารมณ์ความรู้สึกของคนบริหารยาก ดูสิ พ่อแม่นะปรารถนาดีกับลูก โอ๋ทุกอย่างเลยนะ แต่ลูกบอกว่าพ่อแม่ไม่รักนะ ลูกมันจะไปเถียงกันว่าพ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่ปรารถนาดี ไอ้พ่อแม่ โอ๋ๆๆ ขนาดไหนนะ แต่ลูกก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง
อารมณ์ความรู้สึกนี่บริหารยากมาก เพราะอะไร เพราะเขามีกรรมมีเวรของเขา คือเขามีความปรารถนาของเขา เขามีมุมมองของเขา มุมมองของผู้ใหญ่ ก็เป็นมุมมองของวิชาชีพ มุมมองของสถานะที่สังคมจะยืนอย่างไร มุมมองของเด็กมันให้เอาใจ เอาใจไม่ได้หรอก ! กิเลสนี่เอาใจขนาดไหนนะ มันอยู่ที่การบริหารจัดการ
พ่อแม่เห็นไหม เวลาโรงเรียนอนุบาล เขาว่าอย่างไร รู้ไหม เด็กเวลาร้องไห้นี่คืออำนาจต่อรองของเขา เวลาร้องไห้มันต่อรองผู้ใหญ่ว่าผู้ใหญ่ต้องทำตามมัน แล้วนี้ถ้าผู้ใหญ่เห็นเด็กลูกเราร้องไห้ ทนไม่ไหวหรอก มันก็ต้องโอ๋ พอโอ๋ไปมันจะไปเรื่อยๆ อำนาจต่อรองของเด็กคือการร้องไห้ของเขา คือการเรียกร้องของเขา
ที่นี้มันต่อรองขนาดไหน ถ้าเราเป็นพ่อเป็นแม่ เราจะรักของเรา เราต้องรักเห็นไหม โบราณพูดไว้ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่ทำไมครูบาอาจารย์บอกไม่ได้ การตีเป็นการโหดร้าย การตีเป็นการทำร้ายเด็ก มันต้องมีวิธีการที่เราจะฝึกฝนให้ดีขึ้น เวลาเราพูดถึงธรรมะนะ สัตว์ ดูซิ ดูวัว ดูควาย ดูช้างซิ เขาเอามาฝึกงานใช้งานได้ มนุษย์เราทำไมฝึกไม่ได้ มนุษย์เราต้องฝึกได้ แต่มนุษย์คนอื่นฝึกมันก็ฝึกไม่ได้ เพราะมนุษย์นี่คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง เวลาฝึกต่อผู้มีอำนาจยอมให้ทำนะ แต่หลังไม่มีผู้ควบคุมมันก็ไม่ทำ
การกระทำของเราเห็นไหม ฝึกตนเองสำคัญที่สุด อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เวลาเราต้องการเอาความคิดของเรา เอาอารมณ์ความรู้สึกของเรา เอาไว้ในอำนาจของเรา อันนี้ยากที่สุด ตั้งสติ พอยากที่สุด การชนะสงครามคูณด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรม มันมีเวรมีกรรมตลอดไป
แต่การชนะกิเลส บุญอย่างเดียวเลย บุญสะอาดบริสุทธิ์เลย แต่เป็นการชนะที่ยากมาก เพราะเราไม่รู้เป้าหมาย เราไม่รู้เห็นตัวมัน เราไม่รู้ใครเป็นข้าศึก เพราะอะไร เพราะกิเลสเป็นเรา ความคิดเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราหมดเลย เราอยากสุข อยากสบาย อยากดี อยากเด่นไปหมดเลย นั้นนะมันเป็นกิเลส มันเป็นกิเลสเพราะอะไร? เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก
แต่ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นไหม เรามีธรรมะ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเพียรชอบ งานชอบ สมาธิชอบ ทุกอย่างชอบ ความเพียรชอบ ความชอบคือความวิริยะอุตสาหะ การทำหน้าที่การงานโดยชอบ คือเรามีเหตุมีปัจจัยที่ทำมันโดยชอบ แต่ไม่ใช่ทำโดยตัณหาความทะยานอยาก คือการคาดจนเกินกว่าเหตุ สิ่งที่ทำงานชอบไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นหน้าที่ มันเป็นการทำงานเห็นไหม มันเป็นหน้าที่ เพราะคนเกิดมามีปากมีท้อง คนเกิดมามีกรรม
มีกรรมมานี่ สิ่งที่ทำมานะ คนที่มาจากพรหม คนที่มาจากสิ่งที่ดีจะมีอำนาจนะ คนที่มาจากพรหมสังเกตได้จะมีอำนาจเลย แล้วถ้าคนบริหารทางดี เขาจะมีประโยชน์ เขาจะมีประโยชน์กับทางโลกบ้าง ดูคนที่เขาเอาไปทำทางลบเห็นไหม เขามีอำนาจมาก เขาใช้ประโยชน์ของเขา เขาบริหารจัดการของเขา เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ นั่นเพราะอะไร ทำไมเขาบริหารคนเป็นล่ะ เนี่ยพรหมมีอำนาจมา คนเกิดมาจากบุญกุศลนี่ มันมีอำนาจของมัน
นี่ก็เหมือนกับ เราเกิดมาเรามีอำนาจ เรามีความคิดที่ดีๆ เรามีการทำบุญกุศลของเรา เราคิดถึงเห็นไหม แม้แต่เด็กในครอบครัว ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ความกตัญญูใครมีคุณกับเรา เราคิดถึงคุณของเขา ใครทำความดีเราคิดถึงความดีของเขา เราอยากให้คนอื่นทำดีกับเรา เราทำดีกับเขาก่อน เราทำดีเขาก็จะให้ตอบแทนความดีมา ถ้ากับเราทำดีกับเขา เขาตอบแทนมาด้วยความที่ไม่ดี อันนั้นก็กรรมของสัตว์ อันนั้นก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะเราทำดีของเราแล้ว
ถ้าเราไม่ทำดี เราก็ทำสิ่งที่เป็นแง่ลบไปกับเขา มันยิ่งตอบสนองให้เขาหนักขึ้นไปเห็นไหม แต่ถ้าเราทำดีกับเขา เราทำแต่สิ่งที่ดี เพราะเราบริหารจัดการ เราทำความเพียรชอบ เรามีงานชอบ สิ่งต่างๆ ในหัวใจของเราขึ้นมา เราทำความดีของเรา แล้วผลดีจะตอบมากับเรา
แต่เราทำดีกับโจรผู้ร้าย เราทำดี.. ดูซิ งูเห่า งูเห่าต่างๆ พวกสัตว์พิษร้ายเราไปทำดีกับเขา เขากัดเรานะ แต่เวลาสภากาชาดเขาเอาไปใช้ประโยชน์ของเขา เขาจะทำดีกับเขา เลี้ยงเขา เอาประโยชน์จากเขา ต้องใช้เป็น ต้องทำเป็น ถ้าทำไม่เป็นนะ มันก็ให้โทษกับเรา
นี่ก็เหมือนกัน ความคิดความรู้สึกของเรา ถ้าเราควบคุมมันได้ เราทำสิ่งที่ดีได้ มันจะมีสิ่งที่ดีกับเรามหาศาลเลย ดูสิ เวลาเรามีปฏิภาณไหวพริบในโครงการต่างๆ บริหารจัดการในธุรกิจของเราเห็นไหม ปฏิภาณมันเกิดมาจากไหน เวลาสละทาน เราทำบุญทำกุศล มันจะตอบเข้ามาด้วยสิ่งที่เป็นการเกื้อกูลกับเรา เวลาเรานั่งสมาธิ เราทำสติขึ้นมาเห็นไหม ทำให้เราไม่ประมาทไม่เลินเล่อ ถ้าเรานั่งสมาธิภาวนา จิตมันสงบเข้ามานะ มันมีความสงบ มันมีปัญญานะ
เด็กเวลาศึกษาเล่าเรียนเห็นไหม อ่านหนังสือไม่ออก มันตื๊อไปหมดเลย เพราะไร เพราะโลกยิ่งอ่านมาก ยิ่งศึกษามากจะรู้มาก แต่มาหาเรา เราบอกให้พักไว้ก่อน อย่าไปห่วงว่ามันจะเสียเวลา พักไว้ก่อนแล้วไปทำจิตใจให้สบาย มาทำแบบ พุทโธ พุทโธก็ได้ ทำใจให้สงบ ทำใจให้ผ่อนคลาย แล้วกลับไปอ่านใหม่สิ พออ่านใหม่ อ่านด้วยความเข้าใจ อ่านน้อยแต่เข้าใจหลักการ อ่านมาก อ่านจนเบลอ อ่านจนไม่เข้าใจ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ในหน้าที่การงานก็เหมือนกัน เราหักโหมเพราะเราจะเอาแต่ผลงาน ถ้าเอาแต่ผลงานแม้ทำหักโหมไปถึงที่สุดนะ เราจะได้ผลงานนั้นไหม แต่ถ้าเรามีเวลาของเรา เราบริหารจัดการเวลาของเราเป็นเห็นไหม สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาจากไหน .. ปัญญา ! ปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเห็นไหม ปัญญานี้ปัญญาโลกนะ แล้วถ้ามานั่งสมาธิภาวนา ปัญญาเกิดขึ้นมา มีคนมาถามบ่อย จิตสงบขึ้นมา รู้นั่น รู้นี่ รู้อะไร
ปัญญานี้เกิดจากธรรม ปัญญาเกิดจากธรรมคือปัญญาที่เกิดจากสภาวธรรมที่จิตมันสงบ จิตที่เป็นสัจธรรม จิตที่เป็นสัจธรรมนะ เวลาที่จิตเป็นสมาธิ จิตนี้มันเป็นสากล เพราะมันไม่มีเรามีเขา มีการเหยียบย่ำในหัวใจ มันจะมีพื้นฐานของมัน นี่เป็นสากลเฉยๆ นะ เวลามันเกิดสภาวธรรมขึ้นมา เราจะตื่นเต้น อันนี้เป็นอะไร อันนี้เป็นอะไร
แล้วเวลาเราบริหารจัดการขึ้นมา มันเป็นโลกุตตรปัญญา.. โลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลก โลกเข้าใจไม่ได้ วิทยาศาสตร์หรือการตรึก การพยายามทำวิจัยขนาดไหน จะเข้าใจถึงเรื่องภาวนามยปัญญาไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ !
เพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมเหนือโลก โลกเราเป็นโลกนะ โลกคืออะไร โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือความรู้สึก โลกคือสัตตะ โลกคือจิต โลกคือผู้ข้อง ในเมื่อมันข้องมันเกี่ยว มันศึกษา มันต้องมีเหตุมีผล มีปัจจัยขึ้นมา มันถึงจะคิดออกมาเป็นปัญญาของมัน
แต่เวลาจิตสงบขึ้นมา มันไม่ใช่โลก ! ธรรมเหนือโลก สภาวธรรม.. โลกุตตรธรรม โลกุตตรปัญญามันธรรมเหนือโลก มันเกิดมาอย่างไร มันเกิดมาจากไหน ตรงนี้นักภาวนาของเรา ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมานี่ ต้องมีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ มันถึงจะสอนลูกศิษย์ได้ไง เป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้บอกกล่าว เป็นผู้บอกธรรม เป็นผู้ชี้นำธรรม
สภาวธรรม ธรรมเหนือโลกมันเกิดมาอย่างไร มันถึงมองข้ามกัน เรามองกันเราเห็นแต่รูปร่างหน้าตานะ แต่เราไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเขาหรอก เราไม่เข้าใจถึงหัวใจของเขา แล้วจะไม่เข้าใจเลยหัวใจที่มันละเอียดเข้าไป ที่เกิดโลกุตตรธรรม โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล มันเกิดขึ้นมาอย่างไร
สิ่งที่เขาอธิบายกัน ธรรมะๆ... เวลาธรรมะนี่นะ สิ่งนี้เป็นธรรมะ ! ธรรมะ ! ธรรมะนี่เกิดจากโลก เกิดจากสัจจะ เกิดจากสัตตะผู้ข้อง เกิดจากหัวใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นสัตตะข้องในโลก อธิบายเป็นโลก อธิบายเป็นวิชาการ อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ที่เราเข้าใจได้ อธิบายเป็นตรรกะที่เราสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่ธรรม ! ไม่ใช่ !
สภาวธรรมจริงๆ มันธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลก ถ้ามันเฉพาะสภาวธรรม เราเข้าใจได้ เราต้องบริหารจัดการได้สิ ทุกคนอยากพ้นจากทุกข์ใช่ไหม ทุกคนบ่นว่าทุกข์ใช่ไหม ทุกคนจะพ้นออกไปจากมันใช่ไหม แล้วเราตรึกได้ เราทำได้ มันพ้นหรือยัง มันตรึกขนาดไหน มันก็ตรึกเฉยๆ เท่านั้นแหละ
แต่ถ้าเป็นสัจธรรมขึ้นมานะ มันมรรคสามัคคี มรรคนี้ ดูซิ ....ยารักษาโรคต่างๆ เราสั่งได้ เราหาได้ สมาธิเราสั่งไม่ได้ สติเราสั่งไม่ได้ ปัญญาเราสั่งไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากใจเราสั่งขึ้นมาไม่ได้ ญาณทัศนะ ญาณที่จะชำระกิเลส สั่งหาซื้อมาไม่ได้ มันต้องประกอบขึ้นมาจากความพากความเพียรของเรา
สติปัญญาต้องประกอบขึ้นมาจากความพากเพียรของเรา สติอย่างหยาบๆ สติอย่างกลาง สติอย่างละเอียด ปัญญาอย่างโลกๆ ปัญญาแค่เราสลดสังเวช เห็นสภาวธรรม เห็นสังคม เห็นปัจจัยต่างๆ แล้วเราสลดสังเวชขึ้นมา มันทำให้เราเห็นคุณค่าแล้วนะ สลดสังเวช ย้อนกลับมาที่ใจของเรา
สิ่งที่มีคุณค่าคือความรู้สึก คือหัวใจ แล้วมันพ้น มันพ้นที่นี่ แล้วพ้นที่นี่ มันเริ่มทำความสงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา เนี่ย...ปัญญามันเกิด ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันชำระล้างนะ
ถ้าใครเห็นนะ มันเหมือนสุดเอื้อม เอ๊อะๆ เข้าไปข้างในเรื่อย มันจะละเอียดเข้าไป เราคาดไม่ถึงหรอก เราคาดไม่ได้ เราคาดนรกสวรรค์ได้นะ เราคาดจินตนาการสิ่งที่เป็นไปได้นะ แต่เราคาดมรรคผลไม่ได้หรอก เราคาดโสดาบันไม่ถูก เราคาดพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ไม่ถูกหรอก ไม่ถูก !
แต่เพราะมันเหนือการคาดหมาย เหนือสัจจะ เหนือความจริงทั้งหมดเลย ธรรมเหนือโลกเห็นไหม แล้วมันหนุนเข้าไป โลกุตตรธรรม สัจธรรม แล้วมันมรรคสามัคคี มรรคญาณที่มันเข้าไปทำลาย นี่ไง ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้ เชาว์ปัญญาที่เกิดกับโลก มันก็เป็นประโยชน์กับเรานะ
เชาว์ปัญญาของคน สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ มันเกิดขึ้นจากการภาวนา การภาวนานี้ทำให้คนฉลาด การภาวนา การทำความสงบของจิตใจเนี่ย ทำให้คนมีจุดยืน คนมีสติ คนมีปัญญา แล้วจะเข้าใจเรื่องจากสภาวะของโลก เพราะสภาวะของโลกคือสังคม คือการบริหารจัดการ
แล้วสภาวะของธรรมคือความรู้สึกของจิตแต่ละดวง แล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมานะ เราถึงต้องหาที่มันสงบสงัดนะ แต่โลกเขาก็ดูถูกเหยียดหยาม บอกว่าไม่แน่จริง ถ้าแน่จริงต้องอยู่กับสังคม ต้องทำได้เหมือนกัน แต่เพราะสังคมมันดึงเราออกตลอดเวลา เห็นไหม
แต่ถ้าเราเข้าไปในที่สงบสงัด ความคิดของเรามันจะพุ่งออกมา เราไปอยู่คนเดียวความคิดมันจะพุ่งออกมา ยิ่งเราไปอยู่คนเดียว ไปกลัวผี กลัวสาง กลัวสัตว์ มันจะพุ่งออกมาเลย เราบริหารจัดการมันไม่ได้ เราทำไม่ได้ เพราะเราต้องการที่สงบสงัด หาที่วิเวก เพื่อจะค้นคว้าวิจัยจิตของเรา ทำลายจิตของเราพ้นจากภวาสวะ พ้นจากภพ ทำลายถึงที่สุดเห็นไหม
ขณะจิตที่มันพลิกคว่ำหมดไปนะ สิ้นกิเลสไป.. สิ้นกิเลสไปแล้วเหลืออะไร เหลือธรรมธาตุ ธรรมธาตุอยู่ที่ไหน.. ก็อยู่ในร่างกายที่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน ร่างกายที่เหลืออยู่ มีเหตุมีปัจจัยให้กระทบกระทั่งกันได้ จะมีการติเตียนได้ มีการติฉินนินทาได้ เขาติฉินนินทามา แต่หัวใจนั้นมันรับรู้หมด มันเข้าใจหมดแล้วมันปล่อยวางไว้หมดเห็นไหม แล้วถึงที่สุดออกไป หมดเหตุหมดปัจจัย
มีเหตุมีปัจจัยก็ยังทุกข์ ปรารถนาดีกับเขาขนาดไหน ถ้าเขาไม่เข้าใจก็สร้างเวรสร้างกรรม ถ้าเขาเข้าใจก็ซาบซึ้งใจของเขา มันเป็นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เป็นธรรมะเก่าแก่ประจำหัวใจของสัตว์โลก ไปติ ไปแนะนำเขา เขาก็ว่าไปนินทาเขา ไปส่งเสริมเขา เขาก็ว่าไปแย่งชิงเขา ถ้าคนพาลคิดอย่างนั้น
แต่ถ้าเป็นปัญญาชน เป็นบัณฑิตนะ แม้แต่เห็นกิริยาการเคลื่อนไหว พระสารีบุตรเห็นพระอัสสชิเดินด้วยความนุ่มนวล เดินด้วยความสงบเสงี่ยม จิตมันยังเปิดกว้างเลย นี่ก็เหมือนกันท่านแสดงธรรมที่ไหนก็แล้วแต่ แต่มันสะกิดใจเรา เราเอาเหตุเอาผลเอาประโยชน์กับเรา นี่ไง ประโยชน์เกิดตรงนี้ไง ประโยชน์เกิดที่เราเอาเข้ามาในหัวใจของเรา โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เรียกร้องสภาวธรรมในหัวใจของเราขึ้นมา เปรียบเทียบกับมัน ให้มันตื่นตัวขึ้นมา ให้มีเหตุมีผลเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง