เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เราทำบุญกุศลนะ เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ทาน ศีล ภาวนา เพราะเรามาทำทาน ทำทานด้วยการเสียสละวัตถุ วัตถุนี้ถ้าจิตใจไม่คิดถึง ไม่มีเจตนามันก็เสียสละไม่ได้ การร่วมบุญกุศล เรื่องทำทาน เรื่องเจตนานั้นนะใจเราเปิดกว้างถึงเรื่องบุญกุศล นี่บุญจากข้างนอก

การทำบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา ทำบุญกุศลนะ ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดโลกุตตรปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง หนเดียว ! หนเดียว ! เห็นไหม

แต่เราไปคิดกันว่าเราทำบุญกุศลต้องหาวัตถุ ต้องหาสิ่งไทยทานมาทำบุญกุศล อันนั้นมันเป็นการขวนขวาย เป็นการเครื่องแสดงออกของใจ ใจมันแสดงออกนะ แสดงออกทางบุญกุศลมันแสดงออกมา น้ำใจมันแสดงออกได้อย่างไร น้ำใจอยู่ในหัวใจนะ แต่มันแสดงออกถึงคุณงามความดี คุณงามความดีเราต้องมีเครื่องวัตถุเครื่องใช้สอยของเราครบบริบูรณ์ ให้สังคมยกย่องนับถือ อันนั้นมันก็เป็นอันหนึ่งนะ คนมีบุญกุศลมันมาของมัน คนขาดแคลนมันขาดแคลนเพราะใครล่ะ

ดูสิ ทำงานมาด้วยกัน บางคนประสบความสำเร็จ บางคนตกทุกข์ลำบาก มันเพราะเกิดจากตรงนี้ เกิดจากการเสียสละมา เกิดจากการกระทำมา เหมือนกับความรู้สึกความคิด ความคิดของคนแตกต่างกันเพราะอะไร พ่อแม่เดียวกันลูกๆ มีความคิดแตกต่างกัน เพราะจิตของเขา ! ปฏิสนธิจิตมันเกิดในครรภ์มารดา DNA ของพ่อแม่ ร่างกายนี้ กรรมพันธุ์เป็นของพ่อแม่หมดเลย แต่หัวใจเป็นของเขานะ เราเลี้ยงลูกได้แต่ตัว เราเลี้ยงใจของเขาไม่ได้

แต่เวลามาบวชเรียน พ่อแม่ครูอาจารย์เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เราเป็นพ่อเป็นแม่ได้ ครูบาอาจารย์ก็จะเป็นพ่อแม่ เป็นแม่เพราะดูเขาแลรักษาเหมือนพ่อแม่นั้นแหละ แต่มีครูบาอาจารย์ด้วยไง พ่อแม่ครูบาอาจารย์เลี้ยงทั้งร่างกาย เลี้ยงทั้งจิตใจ ต้องเลี้ยงจิตใจด้วย เพราะจิตใจนะมันการแสดงออก

การคึกคะนองของใจ กิริยามารยาท การเคลื่อนไหว มันแสดงออกของใจ ใจแสดงออกมาอย่างไร ใจมันคิดอย่างไรแสดงออกอย่างนั้น ดูทางโลกสิ ตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถ้าความคิดอกุศลไม่กล้าสบตาเรานะ จะหลบตาเราตลอดเวลา แต่ถ้าความคิดดีมันองอาจกล้าหาญมันเข้าได้ตลอดไป

บุญกุศล.. บุญกุศลทำเป็นอามิส สิ่งที่เราประสบเราใช้เป็นเครื่องเสบียงกรังเพื่อในวัฏฏะ เกิดในวัฏฏะ บุญพาเกิด คนมีบุญพาเกิด บุญพาเกิดทำให้เราประสบความสำเร็จ บุญพาเกิดทำให้เราไม่ทุกข์ยากจนเกินไป แต่เวลาเป็นอริยสัจ ! ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นสัจจะความจริง

เวลาเราเข้าไปเผชิญทุกข์ ทางตะวันตกเขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาทุกข์นิยม ไม่ใช่ ! เป็นสัจจะนิยม เป็นสัจจะนิยม มันเป็นความจริงอันหนึ่ง ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง เกิดมานี่ ปวดเจ็บ ปวดเหมื่อย นั่งนาน นอนนาน มันขบมันเมื่อยทั้งนั้นแหละ นี่ทุกข์ทั้งนั้นแหละ มันเป็นความจริง เราปฏิเสธไม่ได้หรอก จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนนะ จะนั่งอยู่เฉยๆ จะนอนอยู่เฉยๆ มันก็ทุกข์ มันอยู่ไม่ได้ มันต้องพลิกแพลงตลอดไป

ทุกข์เป็นอริยสัจ แต่เราไม่เคยดูมัน เราไม่เคยสนใจมัน เราคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมดา เพราะมันเป็นสัญชาตญาณที่เราเปลี่ยนแปลง เราเคลื่อนไหวจนเราเห็นสิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมดาเห็นไหม หายใจเข้าและหายใจออกนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้ามันมีสติ มีศรัทธา มีความเชื่อ สิ่งที่เราทำบุญกุศลมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่หัวใจเรามีอะไรอาศัย หัวใจเราต้องมีธรรมะเป็นที่อาศัย แล้วธรรมะเป็นอะไร ธรรมะเราเอาความเห็นของเรา เอาเรื่องโลกๆ ของเรา ศึกษาธรรมะมา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่วิปัสสนา สิ่งนี้ยกขึ้นสู่วิปัสสนา พุทธพจน์.. พูดอะไรปากเปียกปากแฉะ แล้วบอกว่าไม่เห็นขันธ์ ๕ จะเห็นได้อย่างไร มันจะเห็นได้อย่างไร

เปลือกส้ม ! เราจะหยิบผลไม้หรือส้มลูกหนึ่ง หยิบไปมันโดนเปลือกส้มทั้งนั้นแหละ ความคิดโดยสามัญสำนึกของคน ความคิดไม่ใช่จิต จิตคือความรู้สึก ความรู้สึกกับความคิดคนละอันนะ ความรู้สึกเราไม่ได้คิดอะไรเลย เรามีความรู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกคือตัวใจ ความรู้สึกของเรานี่

แต่ความคิดเป็นอีกอันหนึ่ง แล้วเราใช้ความคิดเราไปเห็นขันธ์ ๕ ก็ตัวความคิดมันเป็นขันธ์ ๕ แล้วมันจะเห็นได้อย่างไรในเมื่อจิตไม่สงบเข้ามา เราจับไปเมื่อไรมันก็โดนเปลือกส้ม เราหยิบส้มลูกหนึ่งหยิบอะไรมันก็โดนเปลือกส้มทั้งนั้นแหละ เปลือกส้ม.. เปลือกส้ม.. แต่เราปอกเปลือกออกมามันถึงเนื้อส้ม ความคิดปอกเปลือกความคิด ปอกความคิดออกไป

มันถึงต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ไม่ใช่ดูเฉยๆ ดูเฉยๆ ก็เพ่งไปที่เปลือกส้ม เราจะปอกเปลือกส้มได้ไหม ปัญญาอบรมสมาธิคือการแยกแยะไง คิดถูกคิดผิด คิดดีคิดชั่ว ความคิดนี่พอมันคิดขึ้นมาเราแพ้ความคิดตัวเราเอง คิดแต่สิ่งที่มันเหยียบย่ำหัวใจ เจ็บปวดแสบร้อนอยู่ทุกที ก็คิดซ้ำคิดซาก อะไรที่มันฝังใจเรื่องสิ่งที่มันบาดหมางนี่ชอบคิดนัก สิ่งที่ดีงามคิดไม่ค่อยได้ คิด แล้วมันก็จืดชืด แต่ถ้าอะไรมันมีรสชาติมันชอบคิดนัก คิดแล้วก็เจ็บปวดใช่ไหม พอคิดแล้วน้ำตาไหล มันก็ยังอยากจะคิด เพราะอะไร เพราะมันไม่มีปัญญาแยกแยะไง ว่าสิ่งนี้นะมันเป็นของเก่าของดั้งเดิม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “โลกธรรม ๘ มันเป็นธรรมะเก่าแก่” ธรรมะเก่าแก่ มีศาสนาหรือไม่มีศาสนา มนุษย์มีนินทากาเลเป็นเรื่องธรรมดาของเขา ทำดีขนาดไหนเขาก็นินทากาเล มันเป็นเรื่องธรรมดาของเข า แล้วมันจริงตามเขาว่าไหม ถ้ามันไม่จริงตามเขาว่า เรามีปัญญา เรามีสติของเรา เราก็คิดของเรา เราเป็นอย่างเขาว่าหรือเปล่า เราเป็นอย่างที่เขาว่าไหม

ถ้าเขาสรรเสริญขนาดไหน เราไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า มันก็ไม่ได้ผลหรอก ฉะนั้นสิ่งที่เป็นจริงคือความรู้สึกของเรา คือใจของเรา เราก็ดูแลของเรา เราตั้งสติของเรา เราจะหักห้ามใจของเรา เริ่มหักห้าม เริ่มตั้งสติเข้าไป จนจิตมันปล่อยวางเข้ามา จิตมันปล่อยวางเข้ามาเป็นตัวของมันเอง แล้วมันเสวยอารมณ์ ส้ม..เปลือกส้ม.. เปลือกส้มกับส้มมันอยู่ด้วยกัน แต่ไม่มันรู้เรื่องนะ เปลือกส้มก็ไม่รู้ว่าเป็นว่าเปลือกส้ม ส้มก็ไม่รู้ว่าเป็นเปลือกส้ม มันเป็นวัตถุ มันไม่มีชีวิต

แต่ความคิดของเรามันมีชีวิต ความคิดของเราตัวจิตมันมีชีวิต มันมีความรู้สึก แต่ธรรมชาติของมันความคิดมันไม่ใช่จิต แต่มันห่อหุ้มจิตไว้ แล้วเราเอาความคิดจะไปหาขันธ์ ๕ นี่มันจะหาที่ไหนล่ะ มันตามตำรา พูดตามตำราไปนะ แล้วบอกสมาธิไม่สำคัญ มันเสียเวลา อุ๊ย.. วิปัสสนาใช้ความคิด ใช้ปัญญา.. ปัญญาของโลกไง ปัญญาของกิเลสไง ปัญญาของสามัญสำนึกไง แล้วมันจะฆ่ากิเลสได้อย่างไร

ให้โจรมารักษาสมบัติของเรามันน่าไว้ใจไหม ให้ขโมยมารักษาสมบัติเรา ขโมยมันก็ขโมยหมดสิ กิเลสตัณหาความทะยานอยากจะมารักษาจิตเรามันรักษาได้ไหม.. รักษาไม่ได้ ต้องเอาธรรมะ ต้องเอาสติ เอาปัญญารักษามัน ต้องเอาธรรมะนะ เราต้องเอาเจ้าหน้าที่ เอาตำรวจ เอาการ์ด เอาผู้รักษาสมบัติเรา เราต้องดูแลเอามารักษาสมบัติเรา ไม่ใช่เอาโจรมารักษาสมบัติของเราหรอก นี่เอาโจรมารักษาสมบัติเราไง

ธรรมะของพระพุทธเจ้า.. ธรรมของพระพุทธเจ้าของพระพุทธเจ้าจริงๆ แต่เราเป็นโจร มารมันเป็นโจร ตัวมาร ตัวอวิชชา ตัวไม่เข้าใจมันคือโจร ! มันเป็นมหาโจร ! ถ้าเป็นมหาโจรทำไมมันครอบงำชีวิตเรา ทุกคนอยากพ้นทุกข์ ทุกคนอยากทำคุณงามความดี แต่ทำไมไม่พ้นมันล่ะ ทำไมพ้นมันไปไม่ได้ พ้นไปไม่ได้เพราะเอาโจรรักษาโจรไง

เอากิเลสตัณหา ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามันก็เหมือนโจร โจรเสื้อนอก ! มันแต่งตัวมันใส่สูทนะ มันปล้นๆ นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่มันปล้น ! มันปล้น ! มันปล้นมันจะเห็นได้ไหม มันเห็นไม่ได้

เราถึงต้องทำสงบของใจเข้ามา จะต้องมีสติสัมปชัญญะ หดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามากระแส เราไม่เคยเข้าบ้านของเราเลย ในบ้านเราสมบัติเอาไว้ที่ไหนเราก็ไม่เข้าใจเลย อยู่แต่นอกบ้าน วิตกวิจารณ์กัน สมบัติบ้านนี่ต้องไว้ที่นั่น ต้องไว้ที่นั่น สมบัติธรรมดาก็ต้องไว้ในตู้เซฟ สมบัติธรรมดาก็ต้องเก็บเอาไว้อย่างดี ต้องมีตู้เอกสาร เคยเห็นไหม.. เคยรู้จักมันไหม.. ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก ปากเปียกปากแฉะโม้กันไป

แต่ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจคือตัวเข้าบ้านของตัวเอง จากส้ม จากเปลือกส้ม มันจะปอกเปลือกส้มเข้าไปถึงเนื้อส้ม แล้วเนื้อส้มกับเปลือกส้มมันสัมผัสกัน มันอยู่ด้วยกัน มันอยู่แนบติดกัน แต่ไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็น ไม่รู้ ไม่รู้ไม่เห็น

แต่พอจิตมันสงบเข้ามา มันเสวยอารมณ์ อ้าว ! ความคิดไม่ใช่เรา ทำไมเมื่อกี้มันคิด คิดมันฟุ้งซ่าน มันทุกข์ อ้าว ! แล้วมันปล่อยวางเข้ามา อ้าว ! มันปล่อยวางแล้วทำไมมันสบายล่ะ อ้าว ! ปล่อยวางขึ้นมาแล้วทำไมมันดีล่ะ แล้วดีแล้วมันออกไปคิดอีกทำไม ทำไมมันถึงไปคิด คิดเพราะเหตุใด คิดเพราะไม่มีปัญญา คิดเพราะไม่รู้เท่า นี่ไง

นี่ไง เห็นขันธ์ ๕ จิตเสวยอารมณ์ ความสงบเข้ามาเป็นตัวธรรมชาติของใจ สามัญสำนึกนะตัวใจ แล้วมีสติสัมปชัญญะมันถึงเป็นเอกัคคตารมณ์ ถึงตั้งมั่นถึงเป็นกำลัง คนจะทำงานต้องมีกำลังนะ คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนอ่อนแอ คนพิการ ทำงานก็สักแต่ว่าทำกันไป ถูๆ ไถๆ ไป จิตมันอ่อนแอ จิตมันโดยสามัญสำนึก จิตมันโดยโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาโดยสามัญสำนึก ปัญญาที่เกิดมาโดยสัญชาตญาณ มันก็ทำงานโดยสัญชาตญาณไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ทำไปโดยสัญชาตญาณ มันก็ว่าทำดี ทำดีแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกให้ทำดีเราก็ทำดีแล้ว ดีของใคร ดีของโจรมันก็ปล้นนะ ถ้าดีของคนมีคุณงามความดีมันเสียสละนะ ดีของใคร.. ดีของใคร.. ดีเอาอะไรมาเปรียบเทียบ คนทำความดี แล้วดีมีหยาบมีละเอียดขนาดไหน ความดี..ทำความดี มันมีปัญญาขนาดไหน ความดีของเราต้องมีศีลมีธรรมเข้ามาตรวจสอบ

ดูสิ ดูอย่างศีล ๕ มนุษย์สมบัติ คนที่มาเกิดมนุษย์สมบัติมีศีล ๕ ครบนะ ศีล ๕ ดูสิ ไม่ปาณาติปาตา คนมีอายุยืน คนเกิดมาทำไมมีอายุสั้น คนตายในท้องก็มี ทำไมมันเกิดมาแล้วทำไมมันต้องตายในท้องล่ะ เกิดมาเป็นเด็กเล็กมันก็ตายแล้ว ทำไมเราคนอายุยืน นี่ ! มันมีเวรมีกรรมกันมานะ แต่วิทยาศาสตร์เขาบอกว่า ไม่ใช่หรอก ! มันเป็นอุบัติเหตุ มันเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เจ็บไข้ได้ป่วยมันคือกรรม อุบัติเหตุมันก็คือกรรมนะ กรรมมันทำมาทั้งนั้นแหละ มันมีกรรมของมันมา แล้วอย่างนี่มันแยกแยะได้

ดูสิ ดูในพระไตรปิฎก เห็นไหม สามเณรอายุที่มันจะตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปลาญาติ พอไปลาญาติ จะตาย.. ต้องตายอยู่แล้ว เพราะกรรมมันกำหนดว่าต้องตาย ไปถึงมันก็ไม่รู้ เด็กมันไม่เข้าใจ สามเณรไม่เข้าใจ ไปเห็นแหล่งน้ำ ปลามันอยู่ในน้ำตื้นก็ช่วยไปวิด เอามันไปปล่อย ไปลาญาติลาโยม กลับมาไม่มีตาย

นี่ไง ถ้ากฎมันตายตัว มันต้องเป็นกฎตายตัว ถ้ากฎมันตายตัวคนเราเกิดมาด้วยกรรม คนเราเกิดมามีกรรม เกิดมาแล้วมันต้องตายตัว มันเป็นกรรมของอดีตที่สร้างมา แต่กรรมของปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่ปัจจุบันธรรม แก้กิเลสแก้ที่นี่ ! จิตสงบขึ้นมา ไม่มีกาลไม่มีเวลา เป็นหนึ่งเดียว แล้วมันออกวิปัสสนาของมัน ไม่มีมิติ ไม่มีสิ่งต่างๆ ทั้งสิ้น

แล้วมันทำลายอวิชชา ทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ปัจจุบันธรรมเห็นไหม แต่เราเป็นอดีตอนาคต แล้วปัจจุบันอยู่ไหน ปัจจุบันคือจิตตั้งมั่น จิตเป็นสมาธิ คิดเป็นอดีตเป็นอนาคตไปแล้ว เพราะมันคิดมาจากใจ

ตัวใจคือตัวภพ ความคิดมาจากไหน.. พลังงานมาจากไหน ดูเราเปิดไฟฉาย ไฟฉายส่องออกไปจากไหน แสงไฟฉายมันไปถึงไหน มันไปจากกระบอกไฟฉาย ความคิดที่ออกมาจากใจมันออกมาแล้ว มันเป็นอดีตและอนาคตไปแล้ว ไม่ทันหรอก ! มันต้องกลับไปที่สงบก่อน แล้วเราปฏิเสธได้อย่างไรเรื่องสมาธิ ปฏิเสธได้อย่างไรเรื่องฐานของจิต ปฏิเสธไม่ได้ !

แต่เราไปคิดกันเองว่า สมถะมันไม่มีประโยชน์ โอ๊ย.. มันต้องใช้ปัญญา ปัญญาของกิเลส ปัญญาของโจรนะ ปัญญาของอวิชชา อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ มันออกมาจากอวิชชา แล้วทำไมมันเป็นวิชชาล่ะ วิชชาคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิชชาเกิดที่ไหน วิชชาในตำราก็เป็นตำราเห็นไหม ตำรามันเขียนวิชาในตำรามันก็เป็นตำรา ศึกษามามันก็จำเขามา ไปก๊อบปี้เขามา แล้วทำเป็นไหม แต่ถ้าเราเป็นวิชชาของเรานะ จิตมันสงบขึ้นมา แล้วถ้าไม่ฝึกฝนปัญญาเกิดไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ !

แต่ถ้าไม่มีสมาธิมันเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาของโจร แต่ถ้ามีสมาธิขึ้นมามันเป็นพื้นฐานเป็นทุน แล้วใช้ปัญญาเป็นหรือเปล่า ถ้าใช้ปัญญาไม่เป็นก็ต้องฝึกฝน การฝึกฝนนี่เห็นไหม อริยมรรค ! สิ่งที่เป็นมรรคญาณ มันจะเกิดขึ้นมาจากการฝึกฝน มันไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ หรอก มันไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้าหรอก ปั๊มมาเลย ปั้มอริยทรัพย์มาเลย ปั้มมาใส่หัวใจเลย เอาไหม ! เขามายัดเหยียดใส่หัวใจเราเอาไหม.. ก็ไม่เอา

เราต้องฝึกของเราขึ้นมา มันทุกข์ที่นี่ เราต้องแก้ที่นี่ใช่ไหม มันต้องปลดเปลื้องกันที่นี่ใช่ไหม มันปลดที่นี่มันถึงต้องมีการกระทำใช่ไหม ถึงเวลาทำความสงบก็ต้องทำความสงบเข้ามาก่อน เพื่อให้มันทวนกระแสเข้าไป ให้เข้ามาในหัวใจของเรา ให้เข้าไปถึงเนื้อส้ม แล้วเนื้อส้มมันสัมผัสกับเปลือกส้มได้ เนื้อส้มมันสัมผัสกับความคิดได้ มันเสวยความคิด

ความคิด ! ความคิดเกิดดับ เดี๋ยวคิด เดี๋ยวไม่คิด มันมาจากไหน มันมาจากตัวใจ ตัวใจเป็นตัวอวิชชา มันถึงไม่เข้าใจ พอตัวใจเป็นวิชชา เพราะอะไร เพราะมีสติ มีปัญญา ถ้ามีสติมันก็เป็นวิชชา วิชชานี้มาจากไหน วิชชานี่คือตัวธรรมะ สติธรรม ปัญญาธรรม ขันติธรรม ความอดทน ความขยันหมั่นเพียรมันจะเกิดเป็นธรรมขึ้นมา พอเกิดธรรมขึ้นมานี่ เนื้อส้ม.. เนื้อส้มมันก็สัมผัสกับเปลือกส้ม สัมผัสกับความคิด

ความคิดเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ความคิดมันเป็นรูป เป็นอารมณ์ ความรู้สึก ตัวเวทนาชอบดีหรือชั่ว สัญญาคือข้อมูล สังขารคือปรุงแต่ง มีวิญญาณรับรู้ ถึงเห็นขันธ์ ๕ การเห็นขันธ์ ๕ นั่นคือวิปัสสนาญาณ วิปัสสนามันเกิดอย่างนี้ไง ไม่ใช่มั่วนิ่ม วิปัสสนา.. วิปัสสนาของโจร ! โจรมันจะวิปัสสนากัน โจรมันจะทำกัน แล้วมันก็เป็นโจรอยู่วันยังค่ำ เป็นอวิชชาอยู่วันยังค่ำ เป็นมารอยู่วันยังค่ำ เป็นสิ่งที่เป็นเรื่องของมารทั้งหมด

แล้วถ้าเป็นวิชชา วิชชาเป็นธรรม “สัพเพ ธัมมา อนัตตา.. สภาวธรรมเป็นอนัตตา”เป็นการกระทำ ผลของมันล่ะ.. ผลของมันคืออกุปปธรรม ! ผลของมันคือสัจจะความจริง ผลของมันไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่สิ่งต่างๆ ทั้งสิ้น ขบวนการสิ้นสุดของวิปัสสนามันปล่อยอย่างไร มันเป็นอย่างไร สัจจะมันเป็นอย่างไร

สัจจะความจริงอันนี้มันอยู่กับเรานะ อยู่กับทุกข์ๆ ยาก ๆ นี่บุญกุศล บุญจากข้างนอก วันนี้เราทำบุญกัน เราทำบุญขึ้นมาเพื่อชักเห็นไหม มีศรัทธาเหมือนรถจักร ดึงร่างกายเรามา เพราะมีศรัทธาความเชื่อในหัวใจ มันมีเจตนามันดึงร่างกายเรามา ดึงหูมาฟังธรรม ดึงสิ่งต่างๆ มาสัมผัสกับวัตรปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วัตรปฏิบัติเห็นไหม เราได้สัมผัสธรรม ไปวัดไปดูข้อวัตร ไปดูการกระทำ ดูพฤติกรรมของพระภิกษุสงฆ์ นั่นคือวัตร ! วัตรไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง ข้อวัตรปฏิบัติ นี่สัจธรรม ! สัพเพ ธัมมา อนัตตา สัจธรรมสิ่งที่มันเป็นสัจจะความจริง ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ศาสนธรรม ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวก สาวกะปฏิบัติขึ้นมา บรรลุธรรมขึ้นมาเป็นสงฆ์ สงฆ์ก็ต้องบรรลุธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องบรรลุธรรม สัจธรรมอันนี้อยู่ท่ามกลางหัวใจของเรา อยู่ในหัวอกของเรา เรียกร้องให้สัจธรรมนี้เข้าไปเปิด เข้าไปค้นคว้า เข้าไปศึกษา เพื่อให้เป็นสัจจะความจริงของเรา เราถึงต้องมีศรัทธามีความเชื่อ แล้วมีการกระทำของเราขึ้นมา

ความเชื่อนะ.. ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้ามีความเชื่อ หัวรถจักรไม่ดึงเข้ามา เราก็ไม่มีโอกาสกระทำ ต้องมีการกระทำ วิธีการ.. การกระทำวิธีการต่างๆ มันเป็นวิธีการ ไม่ใช่ผลหรอก ไม่ใช่เป้าหมาย

เป้าหมายคือ สัพเพ ธัมมา อนัตตา พ้นออกไปเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมอันเป็นเป้าหมาย เป็นสัจจะความจริง

นี่ธรรมแท้ๆ มันอยู่ที่ใจของเรา ไม่ใช่อยู่ที่สมอง สมองนี่คิดเอา สมองนั่นขี้โกง โกงเขามา ก๊อบปี้เขามา ขโมยเขามา แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมขึ้นมา มันเกิดขึ้นที่นี่ มันรู้ที่นี่ แล้วมันจะเป็นของเรานี่ จะไม่ต้องฟังใครเลย เป็นสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเองในหัวใจของเรา เอวัง