เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ต.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาทำบุญกันนะ เรามาทำบุญทำกุศล เราว่ามันทุกข์มันยาก แต่เวลาเราเกิดเราไม่รู้ว่ามันทุกข์มันยากขนาดไหน กว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วมันก็ทุกข์ยาก แล้วตายไปแล้วก็จะไปไหน ก็จะไปทุกข์ไปยาก มันทุกข์ยากไปหมดเลย ทุกข์เป็นความจริง แต่เพราะว่าถ้ามันมีความสุข ความสุขเพราะอะไร เพราะทุกข์มันเจือจางลง เพราะพอเราพอใจมันก็มีความสุข เราต้องแสวงหานะ เราต้องเสียสละ

เราทำทาน.. ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมบารมี บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีพื้นฐาน มีทานบารมี มีศีลบารมี มีขันติบารมี ความอดทน ความวิริยะอุตสาหะมันมีเข้ามา เราจะทำคุณงามความดีได้

แต่ถ้าเราเป็นคนอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอ เราจะทำอะไรได้ เราทำอะไรไม่ได้เลยนะ ทุกข์ไปหมด ยืนขึ้นมาไม่ได้เลย ขาสั่นไปหมดเลย แต่ถ้าเรายืนด้วยตัวของเราเองได้ เรามีความคิดของเราเอง เจตนาอย่างนี้มันเป็นบุญกุศล แต่เวลาชักชวนกันมา ดึงกันมา อันนั้นมันก็เป็นการสร้างบริษัทบริวาร มันสร้างบารมี การทำบุญกุศลมีบริษัทบริวารส่วนหนึ่ง ถ้าบริษัทบริวารมันหนักหนาเกินไป มันชักลากกันไปไม่ไหว เราก็ต้องทำของเรานะ

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลาเรานั่งสมาธิภาวนา เราจะไปห่วงหาอาลัยอาวรณ์กับใคร ทรัพย์สินเงินทองเราไปซื้อหามา เราไปซื้อแก้วแหวเงินทองมานี่ เรารักษาไว้มันยังหายเลยนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กว่าจะเป็นสมาธิขึ้นมา กว่าจะมีปัญญาขึ้นมาแต่ละหน แต่ละคราว มันทุกข์ยากขนาดไหน แล้วมันเป็นนามธรรม มันสูญหายไปแล้วยิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองอีก แก้วแหวนเงินทองสะสมไว้ ดูสิ เอาไว้ในคอของเราเขายังกระตุกเอาไปเลย เขาปล้น เขาชิงเอาไปได้

แต่ขณะที่เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา มันเสื่อมสภาพไปนะ สิ่งนี้เป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจัง การรักษามัน การถนอมรักษา การทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ การทำให้ถึงความสงบแสนยาก ทำได้แล้วเราจะถนอมรักษามันไปอย่างไร มันไม่ใช่เกิดขึ้นมา ดูสิ เขาเอานิพพานมาให้เราเอาไหม นิพพานนะเขาปั๊มมาให้เราเอาไหม.. เราไม่เอาหรอก เราต้องการนิพพานเป็นของๆ เรา เราต้องนิพพานเกิดขึ้นมาจากใจของเราใช่ไหม

ใจทุกข์ใจยากให้ทุกข์มันออกไปจากใจของเรา ให้ใจเราเป็นธรรม เป็นธรรมะขึ้นมา ไม่ใช่มรรคผลนิพพานนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรรคผลนิพพานเป็นของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วยื่นมาให้เราๆ เอาไหม เราอยากได้ อยากเอา แต่มันเอาไม่ได้ ! มันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริง

นี่ก็เหมือนกัน เราจะคิดเอา เราจะปรารถนาเอา ศีล สมาธิ ปัญญาก็เหมือนกัน เราจะไปก๊อบปี้เอา เราจะไปหาเอามาจากที่ไหน มันก็เอาจากจิตของเรา มาจากการแสวงหาของเรา มา จากการกระทำของเรา แล้วการกระทำของเรากว่ามันจะเป็นไปได้ มันจะทุกข์ยากไหม

ถ้ามันทุกข์ยากนะ เวลาเราถนอมรักษา ดูสิ เวลาพระประพฤติประปฏิบัติ เคร่งๆ ขรึมๆ เขาว่าพระพวกนี้มันมีความรู้สึกไปโกรธแค้นใครมา ไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับใคร ทำไมดูเคร่งๆ ขรึมๆ ไอ้เคร่งๆ ขรึมๆ นั่นน่ะเขาก็รักษาของเขา

ใจมันไวมาก มันปลิ้นปล้อนตลอด มันจะออกข้างนอกตลอด เรามีสติสัมปชัญญะเรารักษาไว้ เพราะกว่าจะสร้างได้ กว่าจะแสวงหามา หาใจของตัวนะ หาสมาธิ หาภพ หาสถานที่ของตัว หาแสนยาก ! หามาแล้วต้องรักษา ถ้าไม่รักษามันหายไป พอมันหายไป มันไปไหน มันหายไปแล้วเรายังอยู่ไหม

จิตเรายังอยู่ ทุกข์เรายังอยู่กับเรา ความรู้สึกยังอยู่กับเรา แล้วสมาธิมันหายไปไหน.. สมาธิมันหายไปไหน.. ปัญญามันหายไปไหน มันมีแต่คิดขุ่นมัว คิดแต่สิ่งที่ชั่วร้าย แล้วความคิดที่ดีๆ มันหายไปไหนล่ะ ความคิดที่ดีๆ การแสวงหาที่ดีๆ เราต้องแสวงหา เราต้องมีสติ เราต้องมีความเพียรต่อสู้กับกิเลส ความเพียรต่อสู้กับตัณหาความทะยานอยากของเรา ความเพียรต่อสู้กับสิ่งที่มันเป็นอวิชชา สิ่งที่มันไม่เข้าใจ แต่มันอยากไม่เคยพอ สิ่งนั้นมันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน ตั้งสติ ตั้งสมาธิขึ้นมา เพื่อที่จะต่อสู้

นี่เป็นงานเป็นอันละเอียดนะ เวลาพูดไปงานของใจมันเรื่องไร้สาระ งานอาบเหงื่อต่างน้ำ งานทำหน้าที่การงานเรายังไม่มีเวลาจะทำเลย แล้วจะไปพึ่งงานของใจ งานของใจอะไรกัน แต่เวลามันสุขมันทุกข์ล่ะ เวลามันเจ็บช้ำน้ำใจล่ะ ทำไมมันไม่หาทางออกล่ะ

งานของโลก.. ใช่ ! งานของโลกมันก็ต้องทำ คนมีตา ๒ ข้างนะ ข้างหนึ่งเกิดมาต้องเลี้ยงปากเลี้ยงทอง เรามีหู มีตา ตาอีกข้างหนึ่ง เราต้องหาหลักใจของเรา ถ้าเราเกิดมาเป็นคนที่ฉลาดเป็นนักปราชญ์ คนที่เข้าใจ ตาหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่การงาน พระยังต้องบิณฑบาตเลย ทำไมต้องบิณฑบาต ทำไมต้องทำข้อวัตร เพราะอะไร

เพราะร่างกาย ดูสิ นั่งนานก็ไม่ได้ เดินนานก็ไม่ดี มันต้องสมดุลกัน นี่ก็เหมือนกัน จะมาหมักหมมอยู่กับเรื่องของใจ แล้วร่างกายไม่ต้องกินเหรอ ไม่ต้องรับใช้หรือ มันก็ต้องเหมือนกัน เพราะเราเกิดมาโดยสัญชาตญาณ โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ มันมีกายกับใจ

เรื่องของกายมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของการเกิด มันเป็นผลของวิบาก แต่เรื่องของใจมันมหัศจรรย์ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันพัฒนาการได้ เรื่องของโลกเห็นไหมมีพัฒนาการ คนมีเชาว์ มีปัญญา มีอำนาจวาสนา มันก็เจริญเติบโตในทางโลก

ถ้าคนไม่มีทางธรรม ทางธรรมเจริญเติบโตในทางโลกขนาดไหน มันไม่ตื่นไปกับมันไง อยู่กับเขา เป็นเจ้านายเขา ไม่ใช่อยู่กับเขาเป็นขี้ข้าเขา อยู่กับเขาเป็นขี้ข้าเขานะ ตระหนี่ถี่เหนียว โอย.. ทุกอย่างนะ..จนไม่กล้าใช้สอยมัน หามาแล้วก็เป็นขี้ข้ามัน แล้วถนอมรักษาไว้ แล้วเวลาตายไป มันไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากจากมัน

พอเกิดมาเขาให้อาศัย เกิดมามีอำนาจวาสนา ถึงได้ทำหน้าที่การงานได้ขนาดนี้ ทำมาแล้วเราก็ใช้สอยไปตามสมควรแก่เรา ตามสมควรแก่เรานะ ต้องมีใช้สอย ต้องรักษาของเรา มีการเสียสละต่างๆ เสียสละเพื่อสังคม เสียสละเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ดูสิ เราเสียสละได้ ลูกเต้าเรา เราเสียสละได้หมด เพราะเรามีความรักความผูกพัน อันนี้เป็นสมบัติส่วนตน แล้วที่เป็นสาธารณะล่ะ สิ่งที่เป็นของคนอื่นเราเสียสละไม่ได้เห็นไหม

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบขึ้นมาเป็นของเรา ก๊อบปี้มาทั้งนั้น ทุกอย่างจะเอามาเป็นของเราๆ แล้วรักษามันได้ไหม ? การรักษามันต้องมีสติสัมปชัญญะ ข้อวัตรปฏิบัติมันถึงมีความสำคัญ เพราะข้อวัตรมันเป็นธรรมวินัย มันเป็นกติกา

กฎหมายบังคับคนไทยทุกคนนะ คนไทยทุกคนจะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายเมืองไทยไม่ได้ ถ้าทำผิดขึ้นมาต้องมีโทษทั้งนั้น ธรรมวินัยก็เป็นอย่างนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง แล้วจริตนิสัยของเรา คนชอบเดิน ชอบนั่ง ชอบความสงบสงัด ชอบหน้าที่การงาน อันนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวเราก็ต้องรักษาของเราเอง นี่เรื่องส่วนตัวของเรา

แต่ในเรื่องกติกาสากล กติกาที่เป็นมาตรฐาน เราต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกัน เพื่อรักษาไว้ สิ่งนี้ต้องเคารพสิทธิต่อกัน เคารพสิทธิต่อกันก็เท่ากับเคารพตัวเอง เพราะอะไร เพราะเราพูดออกไปแล้วเขาจะเชื่อเราหรือไม่เชื่อเรา พูดไปแล้วเราจะไปบาดหมางใคร เราพูดออกไปคำพูดของเรา เราเองเราก็ไปติดคำพูดของเรา ไปติดการกระทำของเรา เราทำไปแล้วจะกระเทือนคนโน้นไหม เราทำแล้วคนนี้จะพอใจไหม

ถ้าเราไม่ทำล่ะ เราทำตามกติกา ทำตามข้อวัตรของเรา แล้วรักษาใจของเรา เพราะอะไรเพราะแก้วแหวนเงินทองมันยังหายได้ ทองคำเอาไว้ในเซฟเขายังปล้นยังชิงเอาไป แล้วสิ่งที่เป็นคุณธรรมของเรา มันเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติของมัน เพราะมันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตา เพราะอนัตตามันต้องมียุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์คือเป้าหมาย เป้าหมายของเราคือเราจะพ้นจากทุกข์ใช่ไหม เป้าหมายเราต้องมีหลักการใช่ไหม แล้วเรารักษาเป้าหมายของเรา รักษาเป้าหมายยุทธศาสตร์มันเป็นสัจจะความจริงจากภายใน ยุทธศาสตร์ ! เราตั้งยุทธศาสตร์เอาไว้แล้ว สิ่งที่เป็นภายนอก สิ่งที่เป็นการกระทำยุทธศาสตร์ของเรา เรายึดยุทธศาสตร์ของเราไว้ มันจะเป็นอนิจจังขนาดไหน มันจะเป็นอนัตตาขนาดไหน ให้มันพัฒนา ถ้ามียุทธศาสตร์ มีเป้าหมาย เป้าหมายของเราคืออะไร ? คือพ้นจากทุกข์

เป้าหมายของเราคือให้ใจมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ใจมีหลักมีเกณฑ์นะ อย่าให้เป็นธรรมะที่มันจัดตั้งขึ้นมา ธรรมะที่กิเลสมันสร้างขึ้นมา ธรรมเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตสงบขึ้นมาสภาวธรรมมันจะเกิด จะรู้เห็นสิ่งต่างๆ เห็นแล้วมันเป็นความสุขไหม เหมือนเราไปร้านอาหารเลย เราสั่งอาหารมากิน เรามีความสุขไหม เรากินอาหารที่เราพอใจ เรากินอาหารที่เราชอบใจ เราจะมีความสุขมาก

จิตสงบขึ้นมาธรรมะมันเกิด เราได้สัมผัส เราสั่งอาหารมากิน มันเกิดสภาวธรรม สัจธรรมมีความจริง ความจริง ความชั่ว จิตสงบ จิตฟุ้งซ่าน เป็นสัจธรรมไหม ธรรมะ อธรรม.. กุศล อกุศล นี่ไง เวลามันเกิดขึ้นมาสิ่งที่เป็นสภาวธรรมมันเกิด มันเป็นสัจจะความจริงของมัน สัจจะความจริงของวัฏฏะ สัจจะความจริงของความเป็นอนิจจัง สัจจะความจริงของอนัตตาที่มันแปรสภาพ

แต่เพราะไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจ ฝนตกฟ้าร้องนะ ดูสิ ฝนตกแดดออกมันมีประโยชน์กับคนได้ ฝนฟ้านี่เขาเอามาทำประโยชน์ เอามาทำไร่สวนเรือกนา แดดออกเขาเก็บพลังงานเอามาใช้ได้ สภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับใจ เราก็ไม่เข้าใจมัน สิ่งที่เกิดขึ้นมามันก็เหมือนสภาวธรรม ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไง

สภาวะที่จิตมันสงบ จิตมันมีความสุข จิตที่มีความทุกข์ มันมีสภาวะที่เป็นธรรมชาติของมัน นี่ไงสัจธรรม มันเป็นความจริง สัจธรรม ! แต่ไม่ใช่ของเรา เราไม่รู้ อวิชชา ! มันมีอวิชชาในตัวมันเอง สิ่งที่เกิดขึ้นมากับเราแท้ๆ เลย แต่เราไม่รู้จักมัน เราใช้มันไม่เป็น เราไม่มีสติสัมปชัญญะใช้มันเลย

พอเรามาศึกษาธรรมะขึ้นมา เราตั้งสติ เอ๊ะ ! นี่มันอะไร ทำไมเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ ทำไมเดี๋ยวมันทุกข์ล่ะ ทำไมเดี๋ยวมันสุขล่ะ ทำไมมันมีกับเรา สุขก็มีกับเรา ทุกข์ก็มีกับเรา เอ๊ะ ! แล้วต้องทำอย่างไรล่ะ แล้วจะรักษาอย่างไรล่ะเห็นไหม ถ้ามียุทธศาสตร์มีเป้าหมาย ถ้าไม่มียุทธศาสตร์ มันไม่รู้อะไรเลย

ธรรมะคืออะไร ธรรมะก็คือพระไตรปิฎกไง พุทธพจน์ไง ธรรมะคือสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะคือธรรมชาติไง การเกิดและการตายก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติ ธรรมะ..อธรรม มันมีอยู่ในธรรมชาติของมัน มีแง่บวก มีแง่ลบ เหรียญมี ๒ ด้านตลอด ความรู้สึกมีดีมีชั่วตลอดไป

ธรรมะปฏิบัติขึ้นมา เจริญแล้วก็เสื่อมไปตามธรรมดาของมัน แต่อกุปปธรรม ! อกุปปธรรมไม่ใช่อธรรม อกุปปธรรม..ธรรมะที่คงที่ ธรรมะที่คงที่มันมี ใจที่โลเลนี่แหละ ใจที่ไม่มีหลักเกณฑ์นี่แหละ ใจที่เป็นสมาธิแล้วเสื่อมนี่แหละ แต่มันคงที่ได้ ไม่ใช่คงที่ด้วยสมาธิ มันคงที่ด้วยมรรคญาณ

ใจนี่มันกลั่นมาจากอริยสัจ มันเข้าไปในอริยสัจ ขบวนการของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วมันเข้ามาขบวนการนี้ มันเข้ามากลั่นกรองใจ ใจที่โดนกลั่นออกมานะ ใจกลั่นออกมาจากศีลออกมาจากธรรม มันกลั่นใจนี้ออกมาเป็นอกุปปธรรม จากน้ำสกปรกรีไซเคิลให้เป็นน้ำที่สะอาดไป จิตที่สกปรก จิตอวิชชาเปลี่ยนเป็นวิชชา วิชชาคือสัจธรรม วิชชาคือมรรคญาณ วิชชา.. อวิชชา เหรียญมี ๒ ด้านทั้งหมด

แต่วิชาการ สิ่งที่เป็นธรรมะไม่ได้เกิดขึ้นมากับเรา เราแสวงหาสิ่งนี้ เราทำสภาวะสิ่งนี้ สิ่งที่เราทำขึ้นมา เราทำขึ้นมาเพื่ออะไร.. เพื่อไม่ให้มันหายไป เพื่อไม่ให้กิเลสมันปล้นไป เพื่อไม่ให้มันพลัดพรากจากเราไป สิ่งที่พลัดพรากมันเป็นสัจธรรม

ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติมันแปรปรวน ธรรมชาติคือแกนของโลกมันแปรเป็นพลังงาน แม่เหล็กต่างๆ มันแปรปรวน พลังไฟฟ้ามันมีตลอดไป มันเสถียรหรือไม่เสถียรเท่านั้นเอง สิ่งที่ธรรมมันมีของมันตามธรรมชาติ

แต่ธรรมเหนือโลก ที่มันเป็นธรรมเหนือโลกมันมาจากไหน ? ธรรมเหนือโลกมันก็มาจากสภาวะที่ไม่เสถียรนี่แหละ แล้วจะทำให้มันเสถียรได้อย่างไร สิ่งที่มันโลเลนี่แหละ ที่มันเจริญแล้วเสื่อม.. เจริญแล้วเสื่อม จะให้มันคงที่อย่างไร แล้วให้มันเป็นสัจธรรมอย่างไร ครูบาอาจารย์ของเรา ผ่านวิกฤตอย่างนี้มา วิกฤตนะ !

เวลานั่งสมาธิภาวนา มันทรมานกิเลส แล้วมันสร้างสภาวะ สร้างต่างๆ มันหลอกมาตลอดนะ กิเลสมันหลอกเรา เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาเป็นเหยื่อล่อให้เราเห็นคล้อยตามมันไป แล้วเราก็จะเป็นเหยื่อของมันตลอดไป

แต่ถ้าเราทำขึ้นมาจนมันเห็นจริงขึ้นมา มันไม่ใช่เหยื่อล่อ มันรู้จริงเห็นจริง เราควบคุมได้เรารักษาได้ เราต้องรักษาของเราได้ เราถึงควบคุมได้เห็นไหม ดูสิ เวลามรรค ธรรมจักรมันเคลื่อนไป ปัญญามันเคลื่อนไป มีสติสัมปชัญญะพร้อมไป แล้วมันหมุนวงรอบอย่างไร มันปล่อยวางอย่างไร มันเป็นสภาวะอย่างไร

มันปล่อยวางเป็นตทังคปหาน มันเป็นของชั่วคราว มันก็เป็นอนิจจังอยู่วันยังค่ำ มันยังเป็นอนิจจังอยู่นะ มันยังเป็น สัพเพ ธัมมา อนัตตาอยู่ มีขยัน มีความหมั่นเพียร มีวิริยะอุตสาหะ มีข้อวัตรปฏิบัติถนอมรักษาจากภายนอก

ดูซิ ทางโลกเขาเงินหาทองมา ถ้าคนรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักเก็บรักษา ครอบครัวตระกูลของเขาจะมั่งคั่ง ตระกูลของเขาจะมั่นคง เพราะเขารู้จักถนอมรักษา ใครใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใครไม่รู้จักถนอมรักษามันก็เสื่อมไปตามธรรมดา

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดมากับเราก็เหมือนกัน เราไม่รู้จักถนอมรักษา เราไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักปัญญา ไม่รู้จักถนอมรักษามันขึ้นมา มันเป็นจินตมยปัญญากลายเป็นภาวนามยปัญญาอย่างไร กลายเป็นภาวนามยปัญญา แต่กำลังมันไม่พอ มันปล่อยวาง.. ปล่อยวางด้วยกำลังของใจที่มันยังไม่มีอำนาจเหนือกว่ากิเลส มันก็ปล่อยวางชั่วคราว มันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยชั่วคราวๆ เห็นไหม

คำว่าชั่วคราวคือมันยังไม่สิ้นสุดขบวนการ มันตีคืนได้ มันตีกลับได้ มันยังฉกฉวย ! ฉกฉวยผลงานที่เราทำมาให้ไปอยู่ใต้อำนาจของกิเลสได้ แต่เพราะอะไร เพราะมันยังก้ำกึ่งกันอยู่ แต่ถึงที่สุดเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรามีความขยันหมั่นเพียร พยายามทำบ่อยครั้งเข้า.. บ่อยครั้งเข้า ถึงที่สุดกำลังของธรรม กำลังของสัจธรรม กำลังของอริยสัจ กำลังของมรรคญาณถึงเต็มที่แล้ว มันต้องขาดออกไป !

นี่ขาดออกไป สักกายทิฎฐิ ความเห็นผิดของใจ มันปลดเปลื้องออกไปจากใจเลย นี่อกุปปธรรม ! จะทำอย่างไรให้แปรสภาพอีก เป็นไปไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้อีกเลย แต่ความรู้สึกอันนี้มีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ สัจธรรมความเห็นของเรามีอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นมา ถ้าสิ่งที่มันเป็นวัตถุมันก็ยังมีได้ มีหายได้ มีแปรปรวนได้ การประพฤติปฏิบัติมันมีการแปรปรวน โดยธรรมชาติของมันๆ แปรปรวน สัจธรรมที่มันเกิดขึ้นมา เดี๋ยวเจริญแล้วเสื่อมมันเป็นธรรมดาของมัน

แต่เพราะเรามียุทธศาสตร์ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีเป้าหมายของเรา เราขยันหมั่นเพียรของเรา เรารักษาของเราจนถึงที่สุดมันจะไม่มีการเสื่อมสภาพ มันเป็นความจริงของมันนะ มันอยู่กับเรานี่แหละ ที่ใจโลเลนี่แหละ ที่ทุกข์ๆ อยู่นี่ ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ มันสามารถยืนได้ แล้วสามารถทำเป็นจริงได้ จะเป็นสมบัติของเรา อยู่กับใจของเรา หาได้ที่นี่นะ

สมบัติข้างนอกเป็นสมบัติข้างนอก เราต้องอาศัยจริงๆ นะ ปัจจัยเครื่องอาศัยทุกคนต้องใช้มันทั้งนั้นแหละ แต่ใช้มันด้วยปัญญา ใช้มันโดยไม่เป็นขี้ข้ามัน ใช้มันด้วยความเป็นจริงของเรา แล้วเราจะมีหนทางของเรา

ลืม ๒ ตา ตาโลกกับตาธรรม โลกก็ต้องลืมตาข้างหนึ่ง ธรรมก็ต้องลืมตาข้างหนึ่ง ถ้าลืมตาขึ้นมาได้ เราจะมีสถานที่ไปของเรา เราจะอบอุ่นใจของเรา ศาสนาเห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจของเรา เราจะเข้าใจสัมผัสด้วยความเป็นจริงของเรา เอวัง