เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ธ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราเกิดมา เห็นไหม พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู เลี้ยงดูมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูนะ เกิดมาแล้วทิ้งไว้ มันจะช่วยตัวเองไม่ได้หรอกมนุษย์น่ะ มนุษย์สมบัติสำคัญมาก การเกิดเป็นมนุษย์ ชีวิตนี้สำคัญมาก เราไปเห็นกันแต่ว่าสมบัติพัสถานเป็นของสำคัญนะ มันเป็นเครื่องอาศัย

ของอาศัยจำเป็นไหม? จำเป็น จำเป็นเพราะอะไร? จำเป็นเพราะมันเป็นวัตถุที่จับต้องได้ คนจับต้องได้ คนเห็นได้ แต่คุณงามความดี ค่าน้ำใจคนเห็นไม่ได้ แต่คนเห็นได้หรือไม่ได้ เห็นไหม ธรรมะนี่ใจสัมผัส ความสุขความทุกข์ใจสัมผัสนะ บ้านเรือนเราแค่อาศัยนอนให้ร่างกายได้พักผ่อน แต่จริงๆ คือหัวใจนะ หัวใจมันสัมผัส

มนุษย์สมบัติสำคัญมาก ฉะนั้น ถ้ามนุษย์สมบัติมีความสำคัญมาก เรามีสติสัมปชัญญะ เราเข้าใจชีวิตเรา เห็นไหม ชีวิตนี้ถ้ายังมีจิตวิญญาณอยู่นี่สำคัญมาก เพราะจิตวิญญาณมันแก้ไขได้ ดูสิสมมติเทพ คนที่ดีนี่เขาเป็นสมมติเทพ อุบัติเทพ เวลาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนี่อุบัติเทพ แล้วสิ่งที่เป็นอริยสงฆ์ เห็นไหม นี่มันเกิดขึ้นจากหัวใจ หัวใจมันเปลี่ยนแปลงได้

สมมติเทพ คนดีเขาสมมุติให้เป็นเทพ เป็นคนที่ดี อุบัติเทพ เวลาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เวลาประพฤติปฏิบัติมันเกิดที่นี่ไง เกิดตายแล้วมันถึงไปเป็นใช่ไหม? แต่ถ้าหัวใจมันเป็นจากหัวใจ หัวใจมันเป็นเทพ มันเป็นเทพเพราะอะไร? เป็นเทพเพราะมันเข้าใจของมัน มันทำของมัน สมบัติอันนี้ล่ะอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้สำคัญมาก ทรัพย์คือชีวิตเรานี่สำคัญมาก

มนุษย์สมบัติสำคัญมากนะ พอมีมนุษย์มีเราแล้ว สมบัติที่เราสร้างขึ้นมาจึงเป็นของเรา สิ่งที่สร้างมา แก้ว แหวน เงิน ทองเป็นของๆ เราใช่ไหม? แต่ของๆ เราบางคนมีมากก็มีทุกข์กับมัน เห็นไหม บางคนมีแล้วใช้ไม่เป็นก็เป็นทุกข์กับมันใช่ไหม แต่ถ้าในหัวใจของเราล่ะ? หัวใจของเรานี่สมบัติของเรา สิ่งนี้มันเป็นคุณธรรมของเรา มันไปกับเรานะ

สมบัติภายนอก เห็นไหม บ้านโดนไฟไหม้ ถ้าใครได้ขนสมบัติออกจากบ้านนั้น สมบัตินั้นจะเป็นของเรา ถ้าบ้านมันมีไฟไหม้ แล้วเราไม่ได้ขนสมบัติออกไป สมบัตินั้นจะไหม้ ไฟมันจะไหม้บ้านไปหมดเลย สิ่งของ แก้ว แหวน เงินทอง ที่เราหามาได้นี่ของๆ เรา เราเสียสละออกไป การเสียสละออกไป สิ่งนั้นเป็นวัตถุเราเสียสละออกไป แต่คนที่ได้มา คือหัวใจที่มันเสียสละออกไปเป็นคนเสียสละใช่ไหม?

ทำบุญ มีเจตนามันถึงได้มีการกระทำ ถ้าไม่มีเจตนา ไม่มีความคิดจะทำได้อย่างไร? คนที่ทำกันอยู่นี้ทำเพราะอะไร? เพราะคิดจะทำใช่ไหม? เพราะมีเจตนาความเชื่อใช่ไหม? แล้วเจตนามันมาจากไหน? เจตนามันมาจากพลังงาน มาจากตัวหัวใจ สิ่งที่ออกไปนี่เสียสละ แต่คนหยาบเขาเห็นไม่ได้ คนหยาบเขาเห็นแต่วัตถุ เห็นแต่ข้าวของเงินทองนั้นเป็นของมีคุณค่า

ชีวิตของเราต้องมีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานมาเพื่ออะไร? เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เขาทำกัน ทำหน้าที่การงาน สิ้นเดือนเขารับเงินเดือนนะ เขามีสิ่งตอบแทน เวลาเรานั่งสมาธิ เราเดินจงกรม มีอะไรตอบแทนเรา มีแต่เหงื่อไหลไคลย้อยตอบแทนเราใช่ไหม? แต่ถ้าจิตใจมันสงบขึ้นมา คุณค่าของมันเกิดที่นี่ไง ถ้าคุณค่าเกิดขึ้นมา เราจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจนะ

เวลาเรากราบพระกัน เห็นไหม คนกราบพระนะกราบด้วยความซึ้งใจ กราบด้วยหัวใจ กราบถึงคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาคนไปกราบกันกราบอ้อนวอน พระพุทธรูปเป็นรูปเคารพนะ ให้คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คิดถึงศาสนาพุทธ

พระพุทธรูปไม่ใช่สิ่งที่เป็นอธิษฐาน สิ่งที่เป็นสิ่งต่างๆ ของเขา คนกราบหัวใจ สิ่งที่มันลึกซึ้งต่างกัน ความต่างกันอันนี้มันเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ ความสัมผัสได้คือใจมันสัมผัส ถ้าสัมผัสได้มันจะเห็นคุณค่าของศาสนา เวลาเราปฏิบัติกัน ปฏิบัติโดยที่จับต้องสิ่งใดไม่ได้ เห็นไหม เวลาพูดนะ เวลาพูดถึงธรรมะเราก็ส่งออก คิดถึงความเป็นไปจากข้างนอก แต่เวลาใจมันสัมผัสมันเกิดตุ๊กตานะ เกิดความสัมผัสของใจ

ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางๆ ปล่อยวางมันเป็นอาการของใจนะ มันยังไม่เป็นตัวใจหรอก เพราะเวลามันคิดฟุ้งซ่าน คิดแบกหามไง คิดสิ่งที่เป็นความตระหนี่ถี่เหนียว คิดสิ่งที่มันขัดใจ คิดต่างๆ มันไปแบกหามเพราะความคิดไม่ใช่เรา เราไปแบกไปหามมัน แต่เวลาเราคิดถึงธรรมะ สัจธรรมท่านบอกให้ปล่อยวาง สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา

ความคิดมันก็มีเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา แต่มันมีตัณหาความทะยานอยาก มีความขัดข้องหมองใจ มันไปยึดมั่นถือมั่น เราศึกษาธรรมมามันก็ปล่อย มันก็ว่างๆ ว่างอย่างนั้นมันเป็นว่างที่ความคิด มันว่างที่อาการของใจไม่ใช่ว่างที่ตัวใจ มันสัมผัสอย่างนี้มันยังไม่เกิดตุ๊กตา เพราะมันจับต้องไม่ได้ มันไม่รู้ไง แต่พอมันว่างโดยตัวมันเองนะ เอ๊อะ! เอ๊อะ! ตุ๊กตามันเกิดที่นี่ เห็นไหม ตุ๊กตามันเกิดขึ้นมาเพราะใจมันเป็นเอง มันสัมผัสเอง มันรู้ของมันเอง

สมาธิกับสิ่งที่ว่างๆ ว่างๆ มันต่างกันมากนะ ว่างๆ ว่างๆ นี่ใครเป็นคนพูดล่ะ? ถ้าเป็นสมาธินี่เรารู้เอง เหมือนอุณหภูมิ เห็นไหม อย่างน้ำร้อน น้ำเย็น มือเราสัมผัสเรารู้นะ น้ำอุ่น น้ำร้อน น้ำเย็น มันสัมผัสของเรามา ไอ้นี่เราไปยืนดูเฉยๆ ว่างๆ ว่างๆ น้ำนี่คาดว่ามันร้อน คาดว่ามันเย็น คาดเอาๆ พอคาดเอาเราไม่ได้สัมผัสสิ่งใดเลย เราก็ว่าว่างๆ ว่างๆ แต่พอมือเราสัมผัส มือเราไปจับต้อง มือเราสัมผัสโดน มันจะเป็นไป

จิตสัมผัสเหมือนกัน สมาธิสัมผัสเหมือนกัน เห็นไหม ชีวิตมีคุณค่าตรงนี้ไง เพราะชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือตัวพลังงานตัวนี้ไง ชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือไออุ่น พลังงาน

พระสารีบุตรตอบกับนักบวชนอกศาสนานะ

“ชีวิตนี้คืออะไร?”

“ชีวิตคือไออุ่น คือพลังงาน”

พลังงานมันตั้งอยู่บนอะไร? ตั้งอยู่บนกาลเวลา ตั้งอยู่บนอายุ เพราะมีอายุขัยเราถึงมี นี่มีวัน เดือน ปีขึ้นมา อายุขัยมากน้อยแค่ใด แต่เวลาหายใจเข้าและไม่หายใจออก พลังงานนี้มันเคลื่อนออกจากกายไปมันก็คือตาย ตายในร่างกายของมนุษย์ แต่หัวใจมันเคยตายไหม? มันก็ไปตามสภาวะของมันแล้วแต่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะ มันเวียนตายเวียนเกิดไปในผลของวัฏฏะ เห็นไหม แล้วสิ่งที่เป็นผลของวัฏฏะที่มันเกิดขึ้นมา ถ้าไม่มีผลของวัฏฏะ คนไม่มีการเปลี่ยนแปลงไง ดูสิเวลาเรามีความทุกข์ ความยาก มีการเปลี่ยนแปลงใช่ไหม? คนเกิด บุญพาเกิด เกิดดีเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ทำบาปอกุศลเกิดให้ต่ำต้อยลง ต่ำต้อยลงนี่มันเกิดในผลของวัฏฏะนะ แต่เวลามันเกิดในใจของเราล่ะ? เกิดเป็นสัตว์นรก มันเที่ยวทำลายเขาหมดเลย เห็นไหมนี่มนุสสเดรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ จิตใจเป็นเดรัจฉาน มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ จิตใจเป็นเทวดา จิตใจเป็นผู้เสียสละ จิตใจโอบอ้อมอารี เห็นไหม มันเกิดตาย ความเกิด ความตาย ความคิดที่มันเกิดภพหนึ่งๆ ความคิดชั่ว คิดดี มันก็เกิดตายๆ ในความเกิดดับอย่างนี้ มันเกิดดับโดยธรรมชาติ

“สวรรค์ในอก นรกในใจ”

แต่เวลาจิตที่มันออกจากร่างไปนี่สวรรค์จริงๆ ก็มี สวรรค์จริงๆ คือว่ามิติที่จิตนี้ต้องไปพัก สิ่งที่เราทำคุณงามความดี สิ่งที่ทำมามันจะเอาอะไรสัมผัสมัน? ดูสิเรามาอยู่ที่นี่บนศาลา เห็นไหม พอเราออกจากศาลาเราไปอยู่กุฏิ นี่เราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

จิตที่มันเปลี่ยนแปลงไป เหมือนสถานะที่ว่ามันเคลื่อนออกไป ใจมันเคลื่อนออกไป มันต้องมีสถานที่ที่รองรับมัน วัฏฏะนี่รองรับจิต จิตนี้มันไปในวัฏฏะต้องเกิดเป็นภพเป็นชาติของมันตลอดไป ใครจะปฏิเสธ ใครจะว่ามีหรือไม่มี ฆ่าความรู้สึกไม่ได้ ฆ่าความคิดไม่ได้ ความคิด ความรู้สึกนี้มันอยู่กับเราตลอดไป ใครฆ่ามัน ใครทำลายมัน? มรรคญาณทำลายมันนะ มรรคญาณนี่ไปทำลาย ทำลายตรงไหน?

ทำลาย เห็นไหม กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตที่มันสกปรกโสโครก มันด้วยตัณหาความทะยานอยาก สมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก ความต้องการ ความปรารถนาแต่ไม่เป็นความจริง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป ปรารถนาหรือไม่ปรารถนามันก็เป็นความจริงเพราะมันสัมผัส ดูสิอาหารที่เรากินเข้าไป ใครจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธมันต้องลงไปที่กระเพาะเด็ดขาด อาหารนี่กลืนเข้าไปลงคอแล้วมันต้องตกไปที่กระเพาะอาหารเด็ดขาดเลย

สิ่งที่สัมผัสเข้ามา สิ่งที่กระทำแล้วมันตกที่ใจเด็ดขาดเลย ทำดีเป็นดี ทำชั่วเป็นชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่! แต่ถ้าเราทุกคนบ่นนะ เกิดเป็นมนุษย์นี่สิ่งที่เป็นชีวิตมีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากเพราะอะไร? เพราะเรามีสติ เรามีปัญญา เราเลือกได้ เราจะเลือกดำรงชีวิตของเราได้ ชีวิตเรานี่เราจะเลือกดำรงชีวิตอย่างไรก็ได้ แล้วเวลามีสิ่งเร้า สิ่งที่เป็นผลตอบสนองมาทำไมเรายับยั้งไม่ได้

ถ้าเรายับยั้งได้นี่มันฝึกจิตไป ถ้าฝึกจิตไปเรายับยั้งได้ ใครจะติฉินนินทาว่าเราเป็นคนที่โง่ เป็นคนที่ไม่เอาผลประโยชน์ นั้นมันเรื่องของเขา นั่นมันเรื่องของคนโง่มันติเตียน แต่คนที่ฉลาด เห็นไหม มนุสสเทโว เขาเห็นว่าคนนี้เป็นคนดีนะ พอสิ่งเร้ามันเกิดขึ้นมานี่เรายับยั้งมันได้ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงจิต จิตมันเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของมัน พัฒนาของมันขึ้นไป พันธุกรรมมันเปลี่ยน

พระโพธิสัตว์เกิดตายๆ นี่เกิดตายมาชาติหนึ่ง ดูสัตว์สิ สัตว์เดรัจฉานมันเกิดตายขึ้นมา มันก็เลี้ยงครอบครัวของมัน เห็นไหม มันรักหมู่รักคณะของมัน มันก็พัฒนาการของมัน จิตได้มีพัฒนาการขึ้นมามันถึงเกิดเชาว์ปัญญา เชาว์ปัญญาเวลาเกิดขึ้นมานี่อยากฉลาด อยากมีปัญญามาก แต่ทำในสิ่งที่เลวๆ มันก็เป็นสิ่งที่กดถ่วงใจตลอดไป

แต่สิ่งที่มีปัญญามาก ดูสิคนจะเกิดปัญญา เห็นไหม ดูสิเวลาทุกคนมาภาวนา ทำไมเราเป็นโลภจริต โลภะคือหลงง่าย โลภะคือเชื่อคนง่าย โลภะคือเห็นสิ่งใดแล้วก็ตามเขาไปหมดเลย แต่ทำไมไม่เกิดปัญญาล่ะ? เราก็นั่งสมาธิ นั่งสมาธิก็เกิดสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ในธรรมครั้งสุดท้ายเลย บอกว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทเลินเล่อ ชีวิตเราทั้งวันเลยปล่อย ปล่อยไปตามแต่อารมณ์จะพาไป เราไม่เคยตั้งสติเลย เราไม่เคยฝืนใจตัวเองเลย เราไม่เคยตั้งตัวเลย นักกีฬาเวลาเขาจะมีกำลังขึ้นมาเขาต้องออกกำลังกาย เขาต้องวิ่งทุกวันเพื่อทำร่างกายให้แข็งแรง จิตใจของเรา ใครเคยดูแลจิตใจตัวเองบ้าง ใครเคยมีสติสัมปชัญญะควบคุมใจตัวเองบ้าง

เวลาตัวเอง เห็นไหม เรื่องของร่างกายเราก็ควบคุมได้ แต่จิตใจควบคุมมันได้ไหม? แล้วทำไมไม่ควบคุมล่ะ? หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงานนะ จะบอกว่าโอ้โฮ.. เกิดมานี่หน้าที่การงาน ไม่มีเวลาเลย.. หายใจเข้าและหายใจออกนี่มีสติได้ตลอดเวลา อานาปานสติ หายใจเข้าและหายใจออกสติเรากำหนดไว้

งานก็คืองาน เราก็ทำไป ถ้าเรามีสติขึ้นมายิ่งทำให้งานดีขึ้น เวลาเรารีบพยายามทำงานของเรา งานนั้นกลับมีความผิดพลาด แต่ถ้าเรามีสติของเรา งานจะสมบูรณ์ขึ้นมา พองานสมบูรณ์ขึ้นมา งานมันก็เสร็จในเวลาที่น้อยลง เวลาเราก็เหลือมากขึ้น แต่ถ้าเรามุมานะในการทำงาน มุมานะๆ เราทำงานโดยที่ไม่มีสติปัญญา งานนั้นก็จะเสร็จได้ช้าขึ้น เวลาก็ต้องใช้มากขึ้น แล้วก็บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลามันก็เหยียบให้ไม่มีเวลาเรื่อยๆ ไป แต่ถ้ามีสติขึ้นมาเวลามันจะมีมา เราจะเห็นคุณค่าของมันเอง

ทำไมเวลาเราเหนื่อยเราพักได้ล่ะ? ทำหน้าที่การงาน เวลาเหนื่อยเราพักได้ เวลาใจมันเหนื่อยมันล้าทำไมมันพักไม่ได้ มันพักไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันมีสิ่งเร้า มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสๆ นี่มันมาจากไหน? กิเลสนี่โดยสามัญสำนึกทุกคนที่เกิดมามีหมด มันจะหยาบจะละเอียดต่างกัน มันจะมีลึกซึ้งแตกต่างกัน มีทุกคน

ในเมื่อมีทุกคนแล้ว เห็นไหม เวลาเกิดมานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมนะ เกิดมาทุกคนถือขวานมาคนละเล่มเอาไว้ถากกัน ปากนี่ไง ปากนี่เวลาพูดถากกันไป ถากกันมา แต่เวลาธรรมะล่ะ? ธรรมะถากไหม? ธรรมะถากเหมือนกัน ถากกิเลสไง ถากความเห็นของเรา ถากสิ่งที่เราเห็นผิด

ความเห็นผิดนี่เพราะจิตมันเห็นผิด มันถึงเห็นแต่เรื่องโลก เห็นแต่ความเป็นไปของสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พิสูจน์ได้โดยการภาวนานี่มันไม่เห็น มันเป็นการทวนกระแส เส้นผมบังภูเขานะ มันเป็นเรื่องชีวิตเรา เรื่องความเป็นสุขของเรา เรื่องชีวิตจิตใจของเรา แต่เรามองข้ามไปไง มองข้ามออกไป เราต้องการสิ่งที่เป็นโลกธรรม ๘

โลกธรรมเป็นธรรมะเก่าแก่นะ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันมีเป็นของดั้งเดิมมาตลอด แต่เราก็ต้องการสิ่งนั้น มันอยู่กับเราไม่ได้ตลอดไปหรอก มันเป็นเครื่องอาศัย ถ้ามันมีเองนะ เราสร้างบุญกุศลมา มันมีเอง มันเป็นไปเอง เราทำคุณงามความดีนี่ปิดลับไม่ให้ใครรู้เลย ทำความดีไปนี่เขารู้เอง พอเขารู้เอง เขายอมรับในหัวใจของเขาเอง แต่ถ้าเราต้องการให้เขายอมรับนะ เขาไม่ยอมรับหรอก ไม่มีใครยอมรับใครหรอก

เพราะตัณหาความทะยานอยากของคน คนไม่ยอมรับใคร กิเลส มานะทิฐิ ไม่มีใครยอมรับใคร แต่ถ้าเราทำของเรานี่เขายอมรับของเขาเอง เขายอมรับของเขาเอง แล้วเขาเชื่อฟังเอง ธรรมมันเป็นอย่างนี้ไง สัจธรรมเพราะอะไร เพราะสัจธรรมมันเป็นสัจธรรมในตัวของมันเอง มันไม่ต้องการพึ่งพาใคร มันไม่ต้องการให้ใครยอมรับ มันไม่ต้องการสิ่งใดๆ เลย ถ้าต้องการแล้วมันต้องพึ่งคนอื่นอยู่ มันยังไม่เป็นธรรม เพราะมันยังอาศัยคนอื่น

ดูสิพลังงานของเรามันอาศัยอะไร? อาศัยความคิดมันถึงแสดงตัวออกมาใช่ไหม พลังงานนี่มันเป็นของคู่ เพราะความคิดกับใจไม่ใช่อันเดียวกัน ความคิดเป็นความคิด พลังงานที่ความรู้สึกเฉยๆ เป็นพลังงานอันหนึ่ง มันอาศัยกัน มันกระทบกระเทือนกัน มันคิดสัมผัสกันตลอดเวลา มนุษย์ก็เหมือนกัน ในเมื่อยังต้องอาศัยเขาอยู่ มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร มันไม่เป็นความจริงหรอก มันไม่ต้องอาศัยใครเลย มันจะอยู่ของตัวมันเองของมันได้ แล้วทำอย่างไรมันถึงอยู่ตัวมันเองของมันได้

ดูสิความคิดเรา เวลามันเกิดขึ้นมามันอาศัยตัวมันเองไม่ได้เลย มันโดนตัณหาความทะยานอยากดึงไปตลอดเวลา แล้วทำอย่างไรไม่ให้มันโดนตัณหาความทะยานอยากดึงออกไป แล้วมันจะทรงตัวได้อย่างไรถ้าไม่มีสติ ไม่มีคำบริกรรม คำบริกรรมทำให้มันอยู่โดยตัวมันเองได้ เห็นไหม สิ่งนี้แค่เป็นสมาธินะ แค่มีรากฐานนะ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมานี่โลกุตตรปัญญา ไม่ใช่ปัญญาอย่างที่เราคิดๆ กันหรอก

ปัญญาที่เราคิดๆ กันอยู่นี้เป็นปัญญาของกิเลส ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี้มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นปัญญาโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ แต่โลกุตตรปัญญา ปัญญาในธรรมมันต้องมีฐานของสมาธิมารองรับ มันจะลึกซึ้งกว่านี้มากนัก ที่ว่าปัญญาๆ นี่ปัญญากิเลสพาใช้ กิเลสเอาไปใช้หมดเลย เพราะมันมีตัวตน มันมีเรา เราเป็นคนคิด เราเป็นคนทำ เราเป็นคนให้คะแนน เราเป็นคนพอใจ มันถึงเป็นโลกียปัญญาไง

ปัญญากิเลส แต่ต้องใช้ปัญญาบ่อยเข้าไปจนเห็นโทษของมัน จนมันปล่อยวางของมัน เหมือนกับไดร์มันหมุนในตัวมันเอง แต่มันหมุนนิ่งเลย เห็นไหม นิ่งแต่หมุนอยู่ สมาธิคือสิ่งที่นิ่งแต่เคลื่อนไหวอยู่ จิตมันเคลื่อนไหวอยู่ มันมีกำลังของมัน มันถึงมีการกระทำของมันออกมา มันจะเป็นประโยชน์กับมัน มันมาจากไหนล่ะ?

พระไตรปิฎกนะมันก็เป็นทฤษฎี มันเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ในกระดาษ ทุกอย่างมันก็เป็นสิ่งที่เป็นวิธีการทั้งหมด สิ่งที่จะเป็นไปก็คือความรู้สึกเรานี่แหละ สิ่งที่มีคุณค่า ชีวิตถึงมีคุณค่าไง เพราะมันเป็นประสบการณ์ของจิต เป็นประสบการณ์ของความรู้สึกเรา ความรู้สึกเรานี่ทุกข์ๆ ยากๆ มันควบคุมได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันทำได้ แล้วมรรคญาณมันประหารกิเลสได้ มันถึงเป็นความมหัศจรรย์

นี่ไงสิ่งที่ว่าเป็นสมมติเทพ.. สมมติเทพ อุบัติเทพ แล้วถ้าจิตใจมันเป็นขึ้นมานี่มันเป็นเทพ มันเป็นความจริงของมันขึ้นมา แล้วมันรู้ของมันนะ มันรู้ของมัน มันเป็นประโยชน์ของมัน เห็นไหม นี่มนุษย์ทำได้ ถึงบอกว่ามนุษย์สมบัติสำคัญมากนะ ถ้ามนุษย์สมบัติสำคัญมาก หน้าที่การงานเราก็ทำเพื่ออาศัยกันดำรงชีวิตนี้ เกิดมาแล้วเราต้องมีหน้าที่การงาน เพราะคนเกิดมามีปากมีท้อง แต่หัวใจที่มันเรียกร้องให้เราช่วยเหลือ จิตใจที่มันแสวงหา จิตใจที่มันทุกข์ยาก ใครจะทำมัน แล้วใครจะแก้ไขมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทางเท่านั้น เราเท่านั้น ใจของเราเท่านั้นจะแก้ใจของเรา ถ้าใจของเรามีวุฒิภาวะที่มันจะแก้ไข ถ้าใจของเราไม่มีวุฒิภาวะ มันไม่เห็นตัวมันเอง มันไปเอาแต่สิ่งที่เป็นสมบัติข้างนอก มันเหยียบย่ำตัวเอง แล้วก็จะตายไปโดยที่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไป แต่ถ้าเรารู้จักตัวเอง เห็นไหม หน้าที่การงานก็ทำ ทำไปกับเขา

อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก เพราะโลกนี้มันมีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันต้องพลัดพรากจากกันเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องตายกันไป ต่างคนต่างพลัดพรากไปทั้งนั้นแหละ แต่เรานี่ เราจะเอาที่ไหนเป็นที่พึ่ง แล้วเราจะอาศัยอะไรเป็นสมบัติของเรา ถ้าคนเข้าใจตัวเอง เห็นไหม มันจะมีคุณค่ามาก ความรู้สึกมีคุณค่ามาก แต่พูดถึงว่าเวลาพระพูดอย่างนี้ บอกว่าความรู้สึกมีคุณค่ามาก ทำไมแสวงหาสมบัติล่ะ?

สมบัตินี่มันเป็นสมบัติผลัดกันชม มันเป็นเรื่องของโลก พระเป็นผู้บาลานซ์สังคม คือได้มาก็เจือจานออกไปให้สังคมอยู่กันได้ไง สิ่งใดได้มาก็เสียสละออกไป ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม ให้สังคมอยู่กันได้ แต่ถ้าเป็นกิเลสนะ ได้มามันจะสะสม ได้มาจะเป็นของกู ของกู กูก็ไม่มี กูก็ต้องตาย แล้วมันเป็นของใครล่ะ?

แต่ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม ชีวิตมีคุณค่ามาก ครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง แต่ละองค์ถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้วนะ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงที่ได้สัมผัสมา ใจดวงที่ได้แก้ไขมา เอาชีวิตแลกมา ไม่ได้มาง่ายๆ หรอก เพราะเวลากิเลสมันเกิดนะ มันจะเอาความเจ็บ ความไข้ ความตายมาหลอกเราทั้งนั้นแหละ มันต้องแลกมากับความจริงจัง แลกมาแล้วมันจะพ้นไง ถ้าเราไม่แลกมานะ มันเอาสิ่งนี้มาล่อแล้วเราก็ยอมจำนนกับมัน แล้วกิเลสมันก็ขี่หัวเราไปตลอด เราถึงบอกว่าการกระทำมา มันถึงจะเป็นประโยชน์กับโลก

ร่มไม้ ถ้าต้นไม้มีร่ม มีใบ นกกาจะอาศัยได้ ต้นไม้มันมีแต่กิ่งก้าน แล้วมันจะยืนต้นตายไปนะ มนุษย์เราก็เหมือนกัน เกิดมานี่มีกิ่งมีก้าน แล้วทำขึ้นมาได้ไหม ถ้าทำขึ้นมาได้นะจะซึ้งใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์กึ่งกลางพุทธศาสนา แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบครูบาอาจารย์ที่ชี้นำไปที่ถูกทาง ถ้าครูบาอาจารย์ชี้นำไม่ถูกทางนะ โคนำฝูงมันจะพากันไปอยู่วังน้ำวน แล้วมันจะโดนวังน้ำวนดูดตายอยู่ที่นั่น แต่โคมันฉลาดมันจะพาขึ้นฝั่งได้

นี่มันเป็นอำนาจวาสนาของคน ใครเชื่อใครไง มันเป็นสายบุญสายกรรม เขาเห็นกัน เขาเชื่อกันนั่นก็เรื่องของเขาไง อุดมคติของใจ เราจะไปเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? แต่ถ้าเขามีบุญกุศลของเขามันสะกิดใจไง คนเรามันจะคิดได้มันต้องสะกิดใจก่อน “เอ๊ะ! เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้” เอ๊ะ! ได้คิดแล้ว ถ้ายังไม่เอ๊ะ! มันไหลไปตามเขา ได้เอ๊ะ! เอ๊ะ! ขึ้นมามันสะเทือนใจ แล้วมันจะหาเหตุหาผล แล้วมันจะเอาตัวมันรอดได้ เอวัง