เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถ้าศาสนานี่มันเรื่องของหัวใจ คนเราเรื่องหัวใจสำคัญมาก แต่! แต่เวลาเป็นโลกเขามองแต่ครอบครัว มองแต่ร่างกาย มองแต่วัตถุไง มองแต่วัตถุ วัตถุมันก็มีความจำเป็น ปัจจัยเครื่องอาศัยจำเป็นมากนะ แต่เวลาเรามีลูกมีหลาน เราต้องให้ลูกหลานเรามีการศึกษา เพราะการศึกษานั้นน่ะมันเป็นสิ่งที่จะติดตัวเขาไป
มรดกเราก็ให้ ถ้าเรามีเราก็อยากให้ แต่การศึกษา เห็นไหม การศึกษานี่เขาจะมีอาชีพของเขา เขาอยู่ในสังคมของเขาได้ ถ้ามีการศึกษาขึ้นมาเขาจะไม่เป็นเหยื่อของโลกนะ เหยื่อของโลก ดูสิถ้าเราไม่มีการศึกษา ใครพูดอะไรเราก็เชื่อ ถ้ามีการศึกษา เขาพูดอะไรนี่เขาจะมีปัญญาของเขา เขาจะแยกแยะของเขา เห็นไหม
ความสำเร็จของลูกนี่นะ พ่อแม่มีความชื่นใจมาก พ่อแม่ไม่ต้องการอะไรจากลูกเลย แต่ลูกมีความสุข แต่ความสุขของโลกคือหาปัจจัยเครื่องอาศัย หาสิ่งที่เป็นสมบัติพัสถาน ถ้ามันดีนะ ใจเราดีมันเป็นประโยชน์มาก ในครอบครัวถ้าใจเราไม่ดี มันจะมีมากมายขนาดไหนนะ ทำไมลูกเราไม่มีความสุขล่ะ? ทำไมครอบครัวไม่มีความสุขล่ะ? ไม่มีความสุขเพราะอะไร? เพราะมันเป็นขี้ข้าไง
เราไปถนอมรักษา คือใจเราต่ำกว่าข้าวของเงินทองของเรา ถ้าใจเราสูงกว่าข้าวของเงินทองของเรานะ เราเป็นผู้บริหารมัน เราเป็นคนใช้มัน คนใช้มันนี่คือการประสบความสำเร็จทางโลก แต่การประสบความสำเร็จทางธรรมล่ะ? ถ้าทางธรรมนะ ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายใน
ทรัพย์จากภายนอกแสวงหาก็ยากแล้ว เพราะทรัพย์จากภายนอกมันต้องอาศัยสังคม ต้องอาศัยการตลาดใช่ไหม? ถ้าไม่มีการซื้อการขาย มันจะเกิดผลกำไรขึ้นมาได้อย่างไร? มันต้องมีผู้ค้าและมีลูกค้า แต่ในการปฏิบัติของเรามันมีกิเลสกับธรรม เราชนะตัวเราเองยากกว่าลูกค้าอีก เวลาเราเป็นลูกค้า เห็นไหม เราไปหาลูกค้า เราจะขายของของเรา เราต้องบริการเขา แต่เวลากิเลสของเรามันไม่บริการเราเลย แต่เวลาธรรมะเราต้องแสวงหา
ธรรมะ เห็นไหม เราเสียสละ ตักบาตรทุกวัน ตักบาตรนี่คือเราทำบุญทุกวันนะ เราทำบุญกุศล น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน แต่นี่เราตักน้ำใส่ตุ่มทุกวันๆ เราสะสมของเราไป โลกเขาบอกการเสียสละ เห็นไหม การเสียสละมันเปิดความตระหนี่ถี่เหนียว เกิดความตระหนี่ถี่เหนียวคือเกิดการที่สมบัตินั้นมันจะมีอำนาจเหนือเรา นี่เราหามา แล้วเราใช้ประโยชน์ของเราด้วย แล้วเราใช้ประโยชน์ของเราต่อไปข้างหน้าด้วย ถ้าประโยชน์ต่อไปข้างหน้า เห็นไหม
กลิ่นของศีลหอมทวนลม
กลิ่นของศีลนะ! กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม เราเสียสละมันเป็นกลิ่นของอะไร? มันเป็นกลิ่นของคุณงามความดี มันหอมทวนลม แต่กลิ่นของเกสรดอกไม้ กลิ่นของกลิ่นหอมมันหอมไปตามลม.. นี่หอมไปทวนลม เห็นไหม ทวนลมเฉพาะโลกนี้หรือ? ทวนลมไปนะ ถ้าเราเสียสละ มีความชุ่มชื่นตลอดไป
นี่เวลาวันพระวันเจ้า เราทำบุญกุศลไป เราอุทิศส่วนกุศลไป นี่สัมภเวสีอยู่ตามสี่แยก อยู่ตามต่างๆ นะ เราไม่เห็น ตาเราไม่เห็นเพราะอะไรรู้ไหม? เพราะนี่ดูสิเวลาทางโค้ง เห็นไหม สิ่งที่ประสบอุบัติเหตุ เวลาเขาตายแล้วเขาอยู่ที่นั่นแหละ นี่เวลาเราภาวนากันนะ วันพระวันเจ้าเขายังตีฉิ่ง ฉับ เขายังไม่รู้ตัวเขาเลยนั่นน่ะ แล้วเวลาเขาหิวขึ้นมา เขาหิวเขาก็หาอะไรของเขา เราทำบุญกุศล เราอุทิศส่วนกุศลนี่ไป
กลิ่นของศีลหอมทวนลม หอมในโลกปัจจุบันนี้แล้วนะ ยังหอมในโลกของจิตวิญญาณ โลกของจิตวิญญาณคือว่าเขาตายแล้วนี่ อาหารของเขาคืออะไร? อาหารของเขาคือสิ่งที่เราเสียสละแล้ว เสียสละแล้วมันถึงเกิดขึ้นมา เขาขอส่วนบุญจากเรา เห็นไหม แล้วเราทำมันจะร่มเย็นเป็นสุขในบริเวณของเรานะ
นี่ที่ไหนผู้มีศีลมีธรรมไปอยู่ที่นั่น ที่นั่นจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ครูบาอาจารย์เราไปอยู่ที่ไหน ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล การเกษตรกรรมของเราก็ดี ความดำรงชีวิตของสังคมมันก็ดีขึ้น ทุกอย่างมันจะดีขึ้นไปหมดเลย แต่! แต่เวลาเป็นทุนนิยมขึ้นมา เห็นไหม เราต้องคิดแต่เรื่องกำไรขาดทุน เราต้องหาให้มาก ทรัพยากรต้องใช้ให้มาก ใช้มากเพื่อประโยชน์มาก
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องของโลก วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ธรรมะไม่ได้นะ วิทยาศาสตร์ เวลาเราพูดถึงวิทยาศาสตร์ของจิต เวลามีความทุกข์ล่ะ? มีความฟุ้งซ่านล่ะ? มีความสงบเย็นล่ะ? มีปัญญาที่ชำระกิเลสล่ะ? มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ แต่พูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่รู้เรื่องเพราะอะไร? เพราะเราคิดได้เท่านั้นไง จิตเรารับรู้ได้แค่นี้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม
นี่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล.. ฟังสิมันมีกี่ขั้นตอน ทำไมมันถึงเป็นอรหัตตมรรค ทำไมมันถึงเป็นอรหัตตผล?
อรหัตตมรรคมันเป็นการกระทำ นี่เราทำสินค้าของเรา เราทำอุตสาหกรรมของเรา เรายังไม่ได้ขายไป มันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา อรหัตตมรรคนี่การกระทำอยู่ แต่ผลยังไม่เกิดนะ แล้วผลมันเกิดขึ้นมานี่ทำจนเสร็จแล้ว เราทำงานเสร็จแล้ว เราอาบน้ำอย่างดีเลย เรานอนสบายเลย
นี่ผลของมันเป็นอย่างนั้น อรหัตตมรรคมันเป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกมันเป็นคนละอันกัน นี่ความรู้สึก เห็นไหม แต่พอเราอรหัตตมรรค เราพยายามแสวงหาของเรา เราว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา มันยังไม่เป็นผล สินค้าที่เราผลิตขึ้นมา ถ้ามันยังไม่ได้ส่งให้ลูกค้า มันหลุดออกจากมือเราไป มันเสียหายไป เราต้องซ่อมแซมไหม? เราต้องป้องกันมันสูญหายไหม?
อรหัตตมรรค ถ้ามันยังไม่เป็นอรหัตตผล มันเป็นอนิจจังอยู่ มันยังมีการเสื่อมสภาพอยู่ มันยังเสื่อมไปเป็นธรรมดา แต่ถ้าไปถึงผลแล้ว สินค้านั้นส่งให้ลูกค้าไปแล้ว เราเก็บเงินมาแล้ว มันเป็นอรหัตตผล ผลนั้นไม่มีเสื่อมนะ เพราะเงินสดอยู่ในกระเป๋าเรา เห็นไหม
อรหัตตมรรค อรหัตตผล ต่างกันอย่างไร? นี่มรรค ๔ ผล ๔ แต่ขณะที่เราแสวงหาเราต้องมีก่อน ดูสิเราจะมีโรงงานทำสินค้า เราต้องมีที่ทางก่อนใช่ไหม? เราต้องบุกเบิกปรับพื้นที่ใช่ไหม? เราต้องสร้างโรงงานของเราขึ้นมาใช่ไหม?
นี่ก็เหมือนกัน ปุถุชน กัลยาณปุถุชน.. ปุถุชนมันชนดะ ชนอะไร? ชนความคิดเรา ชนไง กิเลสตัณหามันพาชน ชนเข้าไปว่าสิ่งนั้นจะเป็นคุณงามความดี สิ่งนั้นจะเป็นความดี มันเรียกร้องไปหมด แล้วมันเป็นความจริงไหม? มันเป็นนามธรรม มันยังไม่ประสบความสำเร็จขึ้นมา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป ปุถุชน กัลยาณปุถุชน นี่เราเริ่มมีความสงบขึ้นมา เราหาพื้นที่ของเราได้
ความสงบของใจคือพื้นฐานของเรา คือตัวตนของเรา.. ตัวตนของเรานะ นี่ตัวตนของเรา แล้วทำลายตัวตนนั้น ถ้าไม่ทำลายตัวตนนั้น เห็นไหม ตัวตนนั้นมันยิ่งมีความเข้มแข็งขึ้นมา ยิ่งคิดละเอียด คิดลึกซึ้ง คิดสิ่งที่เบียดเบียนตน เบียดเบียนตนคืออะไร? เบียดเบียนตน อย่างน้อยก็เบียดเบียนชีวิตเรา นี่ชีวิตเราต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนถึงที่สุดแล้วต้องตายไปเป็นธรรมดา แล้วเราจะเอาสมบัติอะไรของเราไป
สมบัติของเรานะ ถ้าสมบัติที่เราหาไว้นี่เราได้เสียสละออกไป เห็นไหม ในธรรมะบอกว่า ของในบ้านเรา ไฟไหม้บ้านไหม้เรือนอยู่ คือพลังงานของเรา คือจิตของเรามันเผาผลาญตัวเอง มันเผาผลาญจนมันเสื่อมสภาพไป แล้วถ้าเสียสละออกไป เราได้ขนสมบัติเราออกไปจะเป็นของๆ เรา ถ้าเราไม่เสียสละสมบัติของเราออกไป นี่ไฟไหม้บ้านเรามันก็จะไหม้มอดไป
สมบัติของเรานี่ จิตใจมันไม่เสียสละ มันไม่รับรู้ สมบัติก็เป็นสมบัติของโลก เห็นไหม สมบัติของโลกคือว่ามันเป็นวัตถุธาตุ มันอยู่กับโลกนี้ แต่สมบัติของเรา เสียสละไปแล้วเป็นบุญกุศล อันนี้มันไปกับใจของเรา.. นี่พูดถึงสมบัติทางโลกนะ แล้วสมบัติของเราล่ะ? สมบัติของนักปฏิบัติล่ะ?
พระ! พระมีศีลสมบัติ มีสมาธิสมบัติ มีปัญญาสมบัติ สมบัติอันนี้ ดูสิทางโลก พ่อแม่ต้องการให้ลูกมีวิชาการเพื่อจะแสวงหา เพื่อจะดำรงชีวิตในโลก เห็นไหม นี่คือวิชาชีพ วิชาชีพในโลกนี้มันต้องมีสติมีปัญญาเพื่อจะทันโลก เราไม่เป็นเหยื่อของเขา เราต้องทันเขา แล้วเราบริหารจัดการเขา แต่ถ้ามันเป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติ ศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ สมบัติอันนี้มันไม่ใช่วิชาชีพ มันไม่ใช่สมบัติทางโลก มันเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาที่ไหน?
นี่ไงตัวตนของเรา ความรู้สึกของเรา สิ่งที่เป็นสมาธิ สิ่งที่เป็นสถานที่ของเรา นี่ตัวตนของเรา เห็นไหม ถ้ามันไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่อุตริมนุสสธรรม ธรรมที่เหนือมนุษย์.. สมาธินี่ เรามีสมาธิ เรามีปัญญา เรารอบรู้สิ่งต่างๆ เรามีความรู้เหนือเขา ทั้งๆ ที่ทำความสงบเข้ามาๆ แทนที่มันจะชำระกิเลสมันกลับไปเพิ่มกิเลสนะ เพิ่มให้ว่าเราเหนือเขา เราดีกว่าเขา เราแน่กว่าเขา นี่เพิ่มขึ้นมาหมดเลย
แต่ถ้ามันเป็นโลกุตตรธรรมขึ้นมา เห็นไหม โลกุตตรธรรมมันเข้ามาทำลายตัวมันเอง ตัวทิฏฐิมานะ ตัวความเห็นผิด ตัวความอหังการในหัวใจ สิ่งที่เข้ามาทำลายตัวมันเอง นี่ปัญญาอย่างนี้ ปัญญามันเกิดมาอย่างไร? ขนาดปัญญาวิชาชีพ ปัญญาโลกนะ เรายังต้องเท่าทัน แล้วมันเห็นนะ เห็นฝ่ายตรงข้าม เห็นทุกๆ อย่างเลย แต่เวลามันโลกุตตรปัญญานี่ อืม.. ความคิดก็เป็นเรา ปัญญาก็เป็นเรา สมบัติก็เป็นเรา แล้วมันจะกล้าทำลายเราไหม? มันจะกล้าทำลายเราไหม?
นี่ไงมรรคสามัคคี มรรคญาณมันย้อนกลับ มันทำลายกิเลสอย่างไร? ถ้ามันทำลายกิเลส นี่เรามีแต่เอารัดเอาเปรียบกันจากข้างนอก เรามีแต่สิ่งที่แสวงหาผลประโยชน์กัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเราไม่กล้าทำลายสิ่งนี้ ถ้าไม่กล้าทำลายสิ่งนี้ผลประโยชน์มันไม่เกิด
ผลประโยชน์คือความรู้จริง อรหัตตมรรค อรหัตตผล สิ่งที่เป็นอรหัตตผล ผลมันคืออะไร? ผลคือมรรคญาณ มรรคสามัคคีมันชำระ นี่สังโยชน์ ความร้อยรัดที่มันติดไว้ เห็นไหม สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันขาดออกไปจากใจ มันขาดอย่างไร? มันมีอะไรขาดออกไป กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วสิ่งใดที่มันขาดออกไป
มันรู้มันเห็นของมัน มันทำลายของมัน เห็นไหม ชนะตนเอง ชนะเรา นี่ปัญญาที่ชนะหัวใจของเรา มันจะไม่มีความเศร้าหมอง ไม่มีความเบื่อหน่าย นี่กิเลสอย่างหยาบๆ ไม่ต้องคิดให้มันฟุ้งซ่าน กระทบกระทั่งหรอก แค่เฉา แค่มันเจริญแล้วเสื่อมในหัวใจ มันก็เศร้าสร้อยในหัวใจ เรานั่งคอตกคนเดียวนะ นี่เวลาอยู่กับหมู่คณะ อยู่กับพรรคพวก ครึกครื้นมีความสนุกสนาน ไปนั่งอยู่คนเดียวทำไมมันคอตกล่ะ?
นี่ไงความทุกข์อันละเอียดไง มันไม่มีทางออก มันก็เป็นความทุกข์อันละเอียด ไม่ใช่ความคิดฟุ้งซ่านให้มันเป็นความทุกข์นะ แล้วเวลาเรานั่งสมาธิภาวนา เราเดินจงกรมของเราขึ้นมา สติมันเกิดขึ้นมา เราไล่ทันตรงนี้ออก เหมือนทอง ทองนี่เขาไล่ขี้ทองออก ทองมันจะบริสุทธิ์มากนะ
จิตนี่มันมีสิ่งเศร้าหมอง มีอุปกิเลสในหัวใจ เราเอาสติ เราเอาสมาธิ เอาตบะธรรม เผาผลาญมันนะ พอเผาผลาญมัน มันเห็นคุณเห็นโทษนะ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนมีความสุขมากนะ มันรื่นเริงอาจหาญเพราะเราทำของเรามาไง เราทำของเรา มันมีความสุขของเรา มันรื่นเริงอาจหาญ ทำไมผู้ภาวนาเป็นเขาเดินจงกรมได้ทั้งวันทั้งคืนเลย เขาเดินทำไม?
เหมือนเรามีงานทำ พอเราประสบความสำเร็จ เรามีงานทำขึ้นมา ผลประโยชน์เกิดจากเรา เราก็อยากได้มาก อยากได้มาก อยากได้มาก.. อยากได้มากก็ทำของเราไป เห็นไหม ประโยชน์มันก็เกิดขึ้นมาก ความเพียรชอบ สมาธิชอบ งานชอบ นี่มันเกิดทรัพย์จากภายใน
ทรัพย์จากภายนอกอันหนึ่ง ทรัพย์จากภายในอันหนึ่ง ถ้าคนเข้าใจนะ เราจะหาเวลาเพื่อความสงบของเราบ้าง เราหาเวลาเพื่อหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราทำใจของเราขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ผู้ที่เป็นอริยทรัพย์จากภายใน นี่ไม่ได้บวชไม่ได้เรียน มันบวชใจไง ใจมันเป็นเอง ใจมันเป็นขึ้นมาเอง แล้วเราจะเข้าใจโลก
เราอยู่กับโลก เราอาศัยโลกไป นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิต ดำรงชีวิตนี้ไว้ ดูสิในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
แล้วชีวิตของเราเป็นธรรมเสียเอง ชีวิตเรามันเป็นธรรม ธรรมกับชีวิตเป็นอันเดียวกัน เพราะอะไร? เพราะความรู้สึกจิตมันสัมผัส จิตมันเป็นปัจจัตตัง มันสัมผัสที่หัวใจ พอสัมผัสที่หัวใจนะ เราจะเห็นคุณค่าทรัพย์จากภายใน เห็นไหม
ทรัพย์จากภายนอกไม่ใช่ไม่ให้แสวงหานะ ต้องหา เพราะมีปากมีท้องต้องมีอาชีพ ต้องมีการกระทำ พระยังบิณฑบาต นี่เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เห็นไหม บิณฑบาตมาดำรงชีวิตเพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะค้นคว้า เพื่อทำคุณงามความดีที่ดีกว่านี้ขึ้นไป
ทำความดีของเรา ดีของเราดีทิ้งเหว คือดีไม่ต้องให้ใครยอมรับ ดีไม่ต้องให้ใครมาศรัทธา มามีความเชื่อ ดีเพื่อเรา.. ถ้าดีเพื่อเรา เห็นไหม เราจะไม่นั่งคอตก เพราะการนั่งคอตก มันเศร้าสร้อยเหงาหงอยมันมีอะไร? แต่ถ้ามันทำลายหมดแล้ว ความเหงาหงอย ความอาลัยอาวรณ์ไง
นี่กิเลสตัวอาลัยอาวรณ์นี้มันสำคัญมากนะ เพราะมันอาลัยอาวรณ์ แต่ถ้าถึงตัวมันแล้ว มันไม่มีอะไรอาลัยอาวรณ์เพราะอะไร? เพราะมันเป็นปัจจุบัน จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว มันไม่คิดถึงอดีต อนาคต การอาลัยอาวรณ์มันก็ต้องคิดใช่ไหม? มันพิรี้พิไรกับความรับรู้ นู่นอนาคตจะเป็นอย่างนั้น อดีตที่ผ่านมาแล้วก็พิรี้พิไร พิรี้พิไรมันก็เศร้าสร้อยหงอยเหงา แต่ถ้ามันเป็นปัจจุบันธรรม มันไม่มีอะไรพิรี้พิไร มันจะเอาอะไรไปเศร้าสร้อยเหงาหงอย แต่ถ้ามันยังไม่ทำลายมันอยู่ ตัวมันเศร้าสร้อยเหงาหงอย ตัวมันเองขณะในปัจจุบันนะ มันก็สว่าง เศร้าหมอง มันเป็นตัวมันเองอยู่อย่างนั้น ต้องมีสติสัมปชัญญะทำให้มันทรงตัวขึ้นมา
นี่การกระทำอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้ มันรู้เห็นอย่างนี้ ความรู้ความเห็นอย่างนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะเข้าใจ เข้าใจเพราะเหตุใด? จิตเราเป็นอย่างนี้ได้เพราะเหตุใด? จิตเราเป็นอย่างนี้ได้เพราะศีล จิตเป็นอย่างนี้ได้เพราะข้อวัตรปฏิบัติ จิตเป็นอย่างนี้ได้มันถึงเห็นคุณค่า ต้นทางไง ต้นทางที่มันจะมาตรงนี้ ต้นทางมันปูพื้นฐานมาอย่างไร?
เวลาเราบวช อุปัชฌาย์ท่านบอก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ต้องบอกรุกขมูล ถ้าอุปัชฌาย์ไม่บอก นี่พระที่บวชขึ้นมาเป็นพระไม่ได้ สมบูรณ์เป็นพระไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กับรุกขมูลนี่มันเป็นพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ส่งเข้าไปหาจิต แต่เราได้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ได้รุกขมูลมาจากอุปัชฌาย์ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำ เห็นไหม นี่เหตุผลมันมีอยู่ แต่เราทำไม่ถึง เราทำไม่ได้ เราไม่ได้ทำขึ้นมามันก็ไม่เกิด แต่ถ้าเราทำขึ้นมานี่เห็นคุณค่าของมัน ถ้าเห็นคุณค่าของมันเราจะสงวนรักษา
สิ่งนี้มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นเครื่องดำเนิน มันจะเข้าไปหาเป้าหมาย เป้าหมายคือหัวใจของเรา เพราะมันละเอียดเข้ามา งานของเรา งานของพระ เห็นไหม นี่สิ่งนี้ปัญญามันเกิดอย่างนี้ พอมันเกิดอย่างนี้เพราะมันเห็นที่มาที่ไปอย่างนี้ มันถึงรักษา รักษาไว้เพื่อกุลบุตรสุดท้ายภายหลังไง
ดูสิเวลาพระกัสสปะ เห็นไหม เป็นพระอรหันต์นะ ถือธุดงควัตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแลกสังฆาฏิ เพราะสังฆาฏินี่ปะชุนๆ เพราะใช้ผ้าบังสุกุล
กัสสปะเอย เธอก็มีอายุเท่าเรา ๘๐ ปีเท่ากัน เธอก็เป็นพระอรหันต์แล้ว แล้วทำไมเธอต้องถือธุดงควัตรอีก
นี่พระอรหันต์นะ คือไม่ต้องปฏิบัติแล้ว จิตนี้พ้นหมดแล้ว พระกัสสปะตอบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
ข้าพเจ้าปฏิบัติเพื่ออนุชนรุ่นหลังให้ได้มีคติ มีตัวอย่าง เวลาธุดงค์ เวลาอยู่ป่าให้ทำอย่างไร
แม้แต่ตัวเองไม่มีกิเลสแล้ว มันไม่ต้องทำแล้วก็ได้ แต่นี้ทำไม่ใช่เพื่อตัวตน ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพื่ออนุชนรุ่นหลัง เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านมีหลักมีเกณฑ์ ท่านเห็นแก่อนุชนรุ่นหลัง ท่านถึงรักษาข้อวัตรปฏิบัติไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง เหมือนเรารักษาถนนหนทางให้รถมันวิ่ง เรารักษาถนนให้ดี ทำให้ดี เห็นไหม ดูสิเวลาเราทำแหล่งน้ำ เราสร้างถนนขึ้นมานี่ได้บุญกุศลมาก เพราะอะไร? เพราะประชาชน สังคม เขาใช้ประโยชน์จากเรา
นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์รักษาข้อวัตรไว้ให้สังคมทั้งหมดนะ ให้สังฆะได้ศึกษา ให้สังฆะได้ประพฤติปฏิบัติ ให้สังฆะนั้นได้ประโยชน์กับเขา นี่เพื่ออนุชนรุ่นหลัง เห็นไหม ถึงบอกว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ
เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง...
กล่าวแก้นะ กล่าวแก้กิเลสตัณหาในหัวใจของลูกศิษย์ลูกหาไง เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมามันว่ามันถูกหมดแหละ กล่าวแก้สิ่งที่มันจาบจ้วง จาบจ้วงสัจธรรม เพราะมันเป็นกิเลส มันยังไม่เป็นความจริงมันก็จาบจ้วง แต่ถ้าเป็นสัจธรรมกล่าวแก้อย่างนั้นขึ้นมา นี่ชี้ธรรมขึ้นมา ถึงที่สุดศาสนาเราจะมั่นคง.. ศาสนาเราจะมั่นคงที่ไหน? มั่นคงในหัวใจ
นี่ถ้าเรามีปัญญาในหัวใจ เราทำอะไรได้หมดเลย แต่ถ้าศาสนาอยู่ในตู้พระไตรปิฎก หัวใจมันไม่รู้เรื่อง แล้วมันจะมั่นคงได้อย่างไรล่ะ? เพราะพระไตรปิฎกมันโดนไฟเผาได้ มันโดนทำลายได้ แต่ความรู้ที่ในหัวใจเราไม่มีเลย ถ้ามันไม่ตำราแล้วเราจะไปศึกษามาจากไหน? แต่ถ้าใจมันมั่นคงขึ้นมา มันรู้จริงขึ้นมา นี่ศาสนาเจริญที่นี่ เจริญในหัวใจผู้ประพฤติปฏิบัติ เจริญในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา เจริญในหัวใจที่รักษาข้อวัตรปฏิบัติให้พวกเราได้ดำเนิน
นี่เราเกิดเป็นชาวพุทธ เราเกิดมากึ่งกลางพุทธศาสนา ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญหนไหน? เจริญตรงที่กำลังค้นคว้า เร่งกัน เราต้องทำของเรานะ เพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา นี่อย่าท้อถอย มันต้องเข้มแข็ง เพราะกิเลสมันเจาะยางเราทุกวันแหละ ถ้าเราเข้มแข็งแล้วเราตั้งสติของเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเราเองนะ เอวัง