เทศน์เช้า วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราทำงาน มันต้องกระชับ ความกระชับมันเป็นการฝึกสติ ถ้าเราทำตามสะดวกสบายเรานี่มันเคยตัว การทำงานต้องมีการกระชับ ความกระชับ.. ถ้าเรามองทางโลกมันเป็นการที่ว่ามันไม่เรียบร้อย เรียบร้อยไม่เรียบร้อยมันอยู่ที่คนมองนะ แต่ถ้าการกระชับมีสติมันจะสวยงาม ถ้าการกระชับหรือทำให้รวดเร็วขึ้นมาแต่พลั้งเผลอ มันก็จะเกิดความขาดตกบกพร่อง เห็นไหม นี่เนื้อหาสาระกับรูปแบบ
ดูเวลาพระบวชมานะ ได้ห่มผ้ากาสายะ เป็นธงชัยพระอรหันต์ เป็นธงชัยพระอรหันต์นะ ประเพณีธรรมเนียมของเรานี่เราจะเคารพบูชา เวลาเราจะกล่าวพูดถึงพระ เราก็ไม่กล้า เพราะมันแบบว่ามันติดที่ผ้าเหลือง ถ้าผ้าเหลืองมีคุณค่านะ ร้านขายสังฆภัณฑ์น่ะ มีผ้าเหลืองเต็มตู้เลย คนขายสังฆภัณฑ์นั้นเขาต้องเป็นพระอรหันต์หมดเลยเพราะเขาขายผ้าเหลือง เอาผ้าเหลืองมาเป็นธุรกิจเห็นไหม
ผ้าเหลืองคือผ้าเหลือง ผ้ากาสายะนี่มันเพราะเราเคารพบูชา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ห่มผ้ากาสายะ ภิกษุบวชมาก็ห่มผ้ากาสายะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่กายเป็นธรรม กายเป็นธรรมเพราะจิตมันเป็นธรรม พอจิตเป็นธรรม ทุกอย่างน่ะ การกระทำนั้นมันจะเป็นคุณธรรมหมดเลย
แต่ของเราถ้าห่มแต่ผ้ากาสายะ แต่หัวใจเราไม่ได้ปฏิบัติ มันก็เป็นเปรตเป็นผีเหมือนกันนะ พระมาจากคน ถ้าพระมาจากคนน่ะ มาแล้วต้องฝึกหัด ไม่ใช่บวชพระแล้วจะแก้กิเลสได้ โกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้วกิเลสมันจะยอมแพ้.. ไม่ใช่ โกนหัวห่มผ้าเหลืองมันเป็นรูปแบบ มันเป็นเรื่องของร่างกาย เห็นไหม อาหารนี่เอาไว้เลี้ยงร่างกาย เราทำธุรกิจ เราทำหน้าที่การงานของเราก็เพื่อปากเพื่อท้อง แต่หัวใจมันทุกข์ไหม?
ถ้าหัวใจมันทุกข์ เราต้องมีศีลธรรม ศีลธรรม เห็นไหม มีความปกติ ศีลมันจะมีความสุขได้อย่างไรในเมื่อหัวใจมันเร่าร้อนน่ะ ศีลมันข้อบังคับมันจะมีความสุขได้อย่างไร ก็บังคับไม่ให้มันได้ดั่งใจไง ว่าความคิด มโนกรรม มันคิดของมันตามแต่อำนาจของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พอมีศีลเข้าไปเป็นรั้วกั้นสิ่งต่างๆ มันก็อึดอัดขัดข้องเริ่มต้น แต่ทำๆ ไปแล้ว เห็นไหม
คนเราอยู่ในบ้าน บ้านเรามีความร่มเย็นเป็นสุข เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม ในบ้านเรามีแต่ปัญหา บ้านเรามีแต่ความเดือดร้อน มันจะมีความสุขไปได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจเรามันเร่าร้อนอยู่ในหัวใจเราน่ะ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ก็เอาศีลเข้าไปกั้นมัน เอากั้นไว้เห็นไหม
เวลาเริ่มต้นมันจะอึดอัดขัดข้องบ้างเป็นธรรมดา แต่เราฝึกฝนไปบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้านี่มันจะเป็นความปกติของใจ ศีลคือความปกติของใจ ใจมันปกติ มันอิ่มเต็มของมัน เหมือนในครอบครัวเราน่ะ มีความสมานฉันท์ มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม สมาธิมันก็ทำให้เกิดทำสมาธิได้ง่าย ความเกิดสมาธิได้ง่ายมันก็เกิดปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดขึ้นมา นี่อาหารของใจ
ถ้าอาหารของกาย อาหารของกายก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย บวชมาแล้วห่มผ้ากาสายะ มันก็ต้องมีสติ มันก็ต้องมีปัญญา มันต้องมีการฝึกฝน นี่ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม เป็นการฝึกฝน ยิ่งออกมาศาลา เวลาแจกอาหาร ตักอาหารกัน มันรับรู้ ถ้าพูดถึงนะ การดำรงชีวิตนี่มันต้องมีอาหารดำรงชีวิตใช่ไหม
แต่ถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ใช่ดำรงชีวิต มันกินเพื่อให้กิเลสมันอ้วนๆ มันพอใจมันน่ะ เห็นไหม เราถึงต้องกระชับ กระชับเพื่อเป็นข้อวัตร ในเมื่อจิตใจมันยังไม่เป็นไป แต่ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เราเป็นไป เวลาเราประพฤติปฏิบัติก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เวลามาวัดมาวา เห็นไหม เรามาอยู่วัดน่ะ อะไรก็ได้ เพราะว่าวัตรปฏิบัติ เวลาเราบวช เราไปนั่งอยู่โคนต้นไม้ พระไปนั่งอยู่โคนต้นไม้ พระกำหนดพุทโธ มันก็เป็นคำบริกรรม มันก็เป็นปฏิบัติขึ้นมา เราเป็นคฤหัสถ์ เรามาอยู่โคนต้นไม้ เรามาอยู่เรือนว่าง ถ้าเรากำหนดพุทโธขึ้นมา มันก็เป็นการประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน เห็นไหม ถ้ามันเป็นการประพฤติปฏิบัติ นี่เนื้อหาสาระมันอยู่ที่นี่
แต่ถ้ารูปแบบนะ ดูสิ ดูนกกระยาง เห็นไหม ดูสิขาวปลอดหมดเลยนะ แต่เวลามันยืนนิ่งๆ นะ มันรอปลาผ่านมา มันจิกกินเลยนะ อีแร้ง เห็นไหม มันสกปรกนะ แต่มันไม่กินสัตว์ มันไม่กินของมีชีวิต
นี่เหมือนกัน รูปแบบ ถ้าเราดู เห็นไหม มันเนื้อหาสาระที่มันเป็น อีแร้ง เห็นไหม เราว่ามันกลิ่นเหม็น มันเป็นสัตว์ที่ไม่เป็นมงคล แต่ในความเป็นอยู่ของมันนะ ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้วนะ อีแร้งนี่มันเป็นสัตว์ที่มันทำสภาวะแวดล้อมให้ดีขึ้น สิ่งใดที่มันจะของเสียเน่าเสีย มันกลับเป็นประโยชน์ในสภาวะแวดล้อม แต่เราคิดของเราไปเอง ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้ว เขาทำวิจัยแล้ว
นี่มันเป็นคติธรรมไง เพราะเราเห็นกัน มันเป็นบุคคลาธิษฐานว่าสิ่งที่เราทำ กลิ่นของศีลหอมทวนลม คุณงามความดีจะหอมทวนลม สิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นบาปอกุศลในหัวใจมันเหม็นไปทวนลม เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน อีแร้งมันเป็นสัตว์ที่มีกลิ่นเหม็น นี่รูปแบบ แต่ดูน้ำใจมัน น้ำใจของมันน่ะ น้ำใจของมัน เห็นไหม มันไม่ผิดศีล มันไม่ผิดธรรม มันจะอัปลักษณ์ มันจะอย่างไร นั่นเป็นรูปแบบกายภาพของมัน แต่หัวใจของมันล่ะ นี่เนื้อหาสาระของการประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่นี่ อยู่ที่ความดีงามของเรา ถ้าความดีงามของเรา เห็นไหม เรามาดัดแปลงเรา
ถ้าเรามีความอยาก มีตัณหาความทะยานอยาก ไปตั้งกาลเวลาขึ้นมา มันจะอึดอัดขัดข้องนะ แต่เราทำของเรา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ในการประพฤติปฏิบัติถ้ามีสติ ด้วยความปฏิบัติที่สม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติของพวกเราที่มันไม่ได้ผลนะ เวลาเขาจะตีเหล็ก เห็นไหม เขาต้องเผาไฟให้มันแดงก็เพื่อจะตีเหล็ก
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตใจที่มันมีศรัทธา มีความเชื่อ มีความต้องการของมัน เหมือนเหล็กมันแดงน่ะ ควรตีต้องการรูปแบบใด เหล็กเรานี่เราทำเป็นรูปแบบใด เราต้องตีต้องตบแต่งให้มันเป็นรูปแบบนั้น ถ้าเหล็กมันมอดนะ เหล็กมันเย็นลง เราจะไปตีมันก็ตีได้ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะตีแล้วเหล็กมันจะแตก มันจะไม่เป็นวัตถุที่เราต้องการขึ้นมา
เวลาศรัทธา เรามีศรัทธา มีความเชื่อของเรา เวลาเราตั้งสติของเรา ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ในการปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย แล้วสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมคือให้เป็นทาน เราสละทาน เห็นไหม เป็นทาน คำว่า เป็นทาน มันเป็นที่ไหน มันเป็นที่เจตนา
เราเอาอาหารถวายพระ เห็นไหม อาหารนี่ที่ไหนมันก็มี ดูร้านอาหารเต็มไปหมดเลย มันเป็นทานไหม? ไม่เป็นเพราะไม่มีหัวใจเอามันมา หัวใจมันอยู่ที่ไหน หัวใจอยู่ในร่างกายของมนุษย์ มนุษย์มีศรัทธา มีความเชื่อ เห็นไหม บุญกุศล ทานน่ะมันออกมาจากใจของคน
ถ้าออกมาจากใจของคน ใจของคนนั้นมันทำแล้ว มันจะย้อนกลับมาที่ใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นได้เสียสละ ได้เปิดกว้าง ได้เปิดสิ่งที่หมักหมมในหัวใจออกไป เห็นไหม ทานก็ให้เป็นทาน ศีลก็ให้เป็นศีล สมาธิให้เป็นสมาธิ ปัญญาให้เป็นปัญญา มันเกิดด้วยสัจจะความจริง มันข้อเท็จจริง เป็นเนื้อหาสาระ ไม่ใช่เราทำกันสักแต่ว่า! ทำกันสักแต่ว่า ปฏิบัติกันนะ ว่างๆ ว่างๆ มันสักแต่ว่าทำน่ะ สักแต่ว่าทำ
ดูสิ พระห่มผ้าเหลือง เห็นไหม ห่มมาแล้วไม่ปฏิบัติ ศึกษาธรรมมา ศึกษามาเป็นอาวุธนะ ธรรมวินัยนี้เอาไว้แก้ไขเรานะ เราศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญานี่ ถ้าเราไม่ดัดแปลงใจให้เป็นศีล มันจะเป็นไหม? ไม่ดัดแปลงให้ใจเป็นสมาธิ มันจะเป็นสมาธิไหม? ไม่ดัดแปลงใจให้เป็นปัญญา ปัญญามันจะเกิดมาจากไหน? ปัญญามันเกิดในตำราหรือ?
ตำรามันเป็นชื่อ มันเขียนไว้เฉยๆ เขียนไว้ให้เป็นธรรมวินัยให้เราฝึกฝนขึ้นมา แต่ถ้าปัญญามันเกิดมาจากใจ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันสัมผัสได้น่ะ มันเป็นปัจจัตตัง จิตนี้สัมผัส มันมีความรู้ มันมีความพอใจของมัน มันมีความสุขของมัน สุขเกิดที่นี่ เห็นไหม แต่เราไปเกิดสุข เกิดจากสิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องการ นี่เป็นอามิสนะ มันต้องการสิ่งใด เราหามาปรนเปรอมัน มันก็พอใจ เอ้อ.. พอ อิ่ม สุข สุขโดยอามิสไง
แต่ถ้าเป็นสมาธิ มันสุขโดยตัวมันเอง มันไม่มีอะไรเข้ามา มันสุขในตัวมันเอง เห็นไหม มันกำหนดสติเข้ามา มันกำหนดคำบริกรรมเข้ามา มันหดสั้นเข้ามานี่ด้วยเพราะพลังงานมันส่งออก เห็นไหม ส่งออกข้างในก็ว่างเปล่า ส่งออกหมดเลย พุทโธ พุทโธ ตั้งสติแล้วดึงกลับ นี่มันปิดกั้นพลังงานนั้นไม่ให้ส่งออก มันสะสมพลังงานของมัน
พอมันสะสมพลังงานของมัน ตัวใจมันได้สะสมพลังงานของมัน เห็นไหม มันมีพลังงานของมันขึ้นมา พอมันมีพลังงานขึ้นมา มันเป็นสมาธิขึ้นมา มันมีความสุขขึ้นมา ความสุขอย่างนี้ไง ความสุขในตัวมันเอง
แต่ความสุขที่เกิดจากอามิส ความสุขที่เกิดเราแสวงหาจากข้างนอก ดูสิ ร่างกายของเรา เราแสวงความสุขจากมัน ทั้งๆ ที่มันไม่มีนะ มันไม่มีหรอก เรากินอยู่ต่างๆ มันกินอยู่เพื่อดำรงชีวิต แล้วมันแปรสภาพไปเป็นธรรมดา เพียงแต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีร่างกาย ร่างกายนี่มันแสดงออก มันแสดงออกเพราะอะไร?
สิ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วย มันเจ็บไข้ได้ป่วยที่ไหน มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยที่ร่างกาย นี้ร่างกายมันแสดงออก มันบีบคั้นเราให้ตื่นตัวไง ไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยงมัน มันก็ร้องนะ กระเพาะน่ะ มันร้องต้องการเรียกร้องอาหาร เห็นไหม เราก็ต้องวิ่งไปหามาให้มัน แล้วถ้าหัวใจล่ะ?
เวลาการเปลี่ยนแปลงของใจ ใจมันจะพัฒนาขึ้นมา พัฒนาเพราะอะไร เพราะมันบีบคั้นขึ้นมาให้มันตื่นตัวไง เหมือนคนนอนหลับ นอนหลับอยู่มันทำอะไรไม่ได้ คนตื่นตัวขึ้นมา คนตื่นจากหลับมันจะแสวงหามาเพื่อเขา ใจมันตื่นจากเห็นทุกข์ ใจมันตื่นจากสัจธรรม ใจมันตื่นจากโลก เพราะอะไร เพราะร่างกายนี้บังคับต้องใช้มัน ต้องเป็นไป เห็นไหม
แต่ถ้าเราคิดทางโลก เห็นไหม ใช่ มันเรื่องธรรมดา ในเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีหน้าที่การงาน ไอ้นี่มันศีลธรรมจริยธรรมของปุถุชน ของมนุษย์น่ะ แต่ศีลธรรมจริยธรรมของอริยทรัพย์ เห็นไหม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ศีลธรรมจริยธรรมของผู้ที่มีคุณธรรม ศีลธรรมจริยธรรมมันจะเกิดจากข้างใน
เราทำความผิดมาน่ะ เราเป็นคนทำความผิดมา เราปิดเราได้ไหม เราเป็นคนทำมาเอง เรารู้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตมันการกระทำมา มันไม่เป็นศีลขึ้นมา มันต้องมีความขับดันเป็นธรรมดา แล้วมันจะทำสมาธิขึ้นมาได้อย่างไร?
แล้วมรรคหยาบๆ เห็นไหม ความคิดหยาบๆ ความคิดว่ากายเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา สักกายทิฏฐินี่ความคิดหยาบๆ พระโสดาบันนี่ละสักกายทิฏฐิ พระสกิทาคามีเห็นกายกับจิตแยกออกเป็นสัจธรรม พระอนาคามีเห็นความพอใจนะ กามราคะ กามฉันทะมันขาดออกไปจากใจ สิ่งที่พระอรหันต์น่ะ ทำลายพลังงานอันนั้น พลังงานจิตเดิมแท้ที่ผ่องใสๆ น่ะ มันทำลายออกไป
สิ่งที่มันลึกเข้าไป ปัญญาที่มันเกิด ปัญญาถ้ามันไม่มีการเกิดขึ้นมา ไม่มีการสัมผัส ไม่มีการกระทำ ไม่มีมรรคญาณขึ้นมา มันจะเป็นอริยทรัพย์ขึ้นมาได้อย่างไร?
ปัญญาหยาบๆ ของเรา ปัญญาที่ใช้ประกอบสัมมาอาชีวะ เราว่าปัญญานี้เราเก่งมาก เป็นศาสตราจารย์ มีวุฒิภาวะ มีคุณวุฒิต่างๆ คุณวุฒิน่ะมันหามาเพื่อเลี้ยงปาก!
หาสมบัติมาไว้ในบ้าน เดินไปเดินมาในบ้าน สมบัติเต็มบ้านเลยน่ะ สมบัติกับเราใครมีคุณค่ากว่ากัน? สมบัติในบ้านเรากับชีวิตเราใครมีคุณค่ากว่ากัน?
สมบัติที่อยู่ในบ้าน ของเราทั้งนั้นเลยน่ะ ตัวสมบัติกับตัวเราใครมีค่ากว่ากัน?
ตัวคุณวุฒิที่เขาให้มาเป็นกระดาษคนละแผ่นๆ กับความรู้สึกเรา ใครมีคุณค่ากว่ากัน?
คุณค่าความสุขความทุกข์ในหัวใจ ใครมีคุณค่ากว่ากัน?
แล้วสิ่งที่มีคุณค่ากว่าเรา ทำไมเราเผลอล่ะ? ทำไมเราไม่เข้าใจถึงมีชีวิตล่ะ? ทำไมเราไปตื่นเต้นกับสิ่งที่โลกเขามอบให้?
วุฒิบัตรๆ มันบัตรบ้า! บ้าให้เราอยู่ในโลกไง หลอกใช้กันไง หลอกให้เราอยู่กับโลกเขา เราก็ต้องมีหน้าที่การงานกับโลกเขาไปใช่ไหม เราเป็นวุฒิบัตร นี่เป็นศีลธรรมของมนุษย์นะ สิ่งที่เป็นศีลธรรมของมนุษย์ปุถุชน มันเป็นศีลธรรม โลกร่มเย็นเป็นสุขเพราะคนดีนะ โลกนี้ร่มเย็นเป็นสุขเพราะว่าจิตใจผู้นำเป็นสาธารณะ จิตใจผู้นำเป็นผู้ที่ดี เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ไง
ถ้าจิตใจของผู้นำไม่เป็นสาธารณะ เห็นแก่ตัวนะ มันจะบีบคั้นสิ่งต่างๆ มาเป็นสมบัติของเรา เราแค่อยู่ในใต้ปกครองเท่านั้นน่ะ ถ้าคนดีขึ้นมา ศีลธรรมจริยธรรมสิ่งนี้มาจะทำให้เราเป็นคนดี จะทำให้เรามีความสุข แล้วมีความสุขแล้วนะ นี่ก็ปกครองโลก
แต่.. แต่ธรรมของเรานี่มันปกครองใจ โลกทัศน์ ภวาสวะ ตัวภพ ตัวเกิดตัวตายนี่ใครจะปกครองมัน มันเรียกร้องหาคนช่วยเหลือนะ ความทุกข์ความยากในใจมันเรียกร้อง มันต้องการคนช่วยเหลือ ต้องการคนปลดเปลื้องความหมักหมมของใจ ใจที่มันต้องโดนขับดันไปนี่ แล้วเอาอะไรจะไปปกครองมัน?
ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล เห็นไหม มันปกครองให้มีปกติ ให้มีสถานที่ทำงาน ให้มีชัยภูมิ สถานที่ไว้ให้เกิดปัญญา ปัญญาเกิดมาจากไหน ปัญญาเกิดมาจากจิต ปัญญาเกิดมาจากจิตก็เข้าไปชำระจิต ปัญญาเกิดจากมันสมองก็ปัญญาของโลก ปัญญาเกิดจากสมองก็ปัญญาบริหารจัดการ เพราะบริหารจัดการทางวิชาการ
ทางวิชาการ ศึกษามาน่ะ ทางการบริหารปกครอง เห็นไหม ดูสิ ทางวิจัย เขาวิจัยขึ้นมา มันจะมีวิชาการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เราตามไม่ทันน่ะ พอตามขึ้นไป มันเป็นสาขาวิชาชีพของเขา แต่มันจะสาขาวิชาชีพของใครก็แล้วแต่ ถึงที่สุดแล้วก็หามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยบริหารจัดการโลก ให้โลกร่มเย็นเป็นสุขเท่านั้น
แต่โลกภายใน โลกของเรา ธรรมะนะ พุทธปัญญา สิ่งที่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธศาสน์ของเรานี่จะเข้าไป พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือความรู้สึก คือพลังงานนั้น ศาสตร์คืออริยสัจ ศาสตร์คือสัจจะความจริง สัจจะความจริงอันนี้มันจะเข้ามาอย่างไรถ้าเราไม่ฝึกฝน เราไม่สัมผัส มันจะเกิดมาได้อย่างไร?
เห็นครูบาอาจารย์ท่านพูดน่ะ กาลามสูตรนะ อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์เรา อย่าเชื่ออาจารย์พูด อาจารย์พูดโกหกก็ได้ ถ้าอาจารย์พูดขึ้นมาแล้วต้องพิสูจน์สิ ทำขึ้นมาให้เป็นสิ ถ้าทำขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมาน่ะ ถ้าเราปฏิบัติมา ถ้ามันขัดแย้ง ถาม.. เข้าไปหาอาจารย์ อาจารย์โกหก.. เพราะอะไร เพราะความรู้สึกเราเป็นอย่างนี้ ทำไมปฏิบัติทำไมมันขัดแย้งกับเราล่ะ?
ธรรมะไม่มีสองนะ! มันเป็นสัจจะ อริยสัจจะ มันมีหนึ่งเดียว ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมาแล้ว มันต้องลงในทางเดียวกัน ลงที่ไหน? ลงที่ภพไง! ลงที่อวิชชาไง! ลงที่ไปรื้อค้นในใจ! โลกทัศน์ในใจที่มันพาเกิดพาตายน่ะ มันต้องถอนมัน แล้วเอาอะไรไปถอน ถ้าไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ เอาอะไรไปถอนมัน?
สิ่งที่ถอนมัน เห็นไหม สิ่งที่ถอนมันคือมรรคญาณ มรรคญาณมันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา ธรรมะนี้มีอยู่ดั้งเดิม แต่ทฤษฎีอันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดค้นขึ้นมา แล้วคิดค้นมาจากไหน ก็จากการกระทำของใจ จากการกระทำของที่ไม่มีวัตถุ มันเป็นนามธรรม ไม่มีสิ่งที่เป็นสินค้า สิ่งที่เป็นการเจือจานจากข้างนอก เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้ทาง เป็นคนบอกเทคโนโลยีอันนี้ บอกความรู้อันนี้ แล้วเราทำขึ้นมานะ นี้ความรู้เราวุฒิภาวะเราอ่อนแอมาก พออ่อนแอมากท่านบอกว่าให้ย้อนกลับเข้าข้างใน เราก็ส่งออก บอกมีปัญญา ปัญญาเราก็คิด ความคิดกับความเป็นจริงของใจมันคนละเรื่องกัน สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้หรือปัญญาฆ่ากิเลส
ปัญญาฆ่ากิเลสน่ะมันคนละที่ มันคนละสถานที่ มันคนละมิติ คนละต่างๆ ไม่เหมือนกันซักอย่างหนึ่งเลย แล้วไม่เหมือนกันอย่างไร?
ถ้าคนไม่รู้ไม่เห็นจะรู้อย่างไร มันไม่เหมือนกันอย่างไร มันต่างกันตรงไหน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันต่างกันอย่างไร สิ่งที่ต่างกัน มันต้องต่างกัน ไม่ต่างกันพระพุทธเจ้าไม่สอนมรรค ๔ ผล ๔ ท่านสอนมรรคเดียวก็พอนี่นา ก็ของมันพออยู่แล้วใช่ไหม มันแค่นี้ก็พอ ทำไมต้องสอนถึงมรรค ๔ อาวุธถึง ๔ ชนิด ชำระกิเลสคนละชนิด ถึงที่สุดแล้วมันพ้นจากกิเลสไปน่ะ พ้นอย่างไร มันพลิกอย่างไร ใจนี้มันจะพ้นจากกิเลสไปอย่างไร
สิ่งที่ทำ เห็นไหม เนื้อหาสาระ รูปแบบนี่มันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมเฉยๆ ประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าทำได้มันก็สวยงาม แต่ถ้าเราไปติดรูปแบบนะ เราจะไม่มีเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระมันอยู่ข้างใน ถ้าเนื้อหาสาระอยู่ข้างใน เพราะเนื้อหาสาระมั่นคงแล้วน่ะ รูปแบบนะดีไปหมด ทุกอย่างก็ดีไปหมด เราทำของเราได้
นี่เห็นไหม ห่มผ้ากาสายะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติแล้วนะ ท่านว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง เห็นไหม ผ้ากาสายะนี่นะเป็นธงชัยพระอรหันต์ ทำไมเป็นผ้าขี้ริ้ว มันห่ออะไรล่ะ ห่อหัวใจที่เป็นธรรมไง ห่อร่างกายที่เป็นธรรมนี้ไง แต่ถ้ามันร่างกายเราสกปรก เราเป็นเปรต เป็นผ้ากาสายะที่เป็นทองคำห่อขี้ แต่ผ้าขี้ริ้วห่อทองกับผ้ากาสายะห่อขี้ ห่อขี้ ขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลงไง
เราต้องค้นคว้า เราต้องจัดการเพื่อเป็นคุณธรรมของเรา เพื่อเป็นสมบัติของเรา ปัญญานี่ว่าฟังเทศน์แล้ว เห็นไหม อย่าเชื่อว่านี่ครูบาอาจารย์ของเรา แต่ทำให้เป็นประเด็นแล้วกลับไปคิด กลับไปใคร่ครวญ กลับไปพิจารณา มันถึงเป็นการจุดประกายไง ฟังธรรมนี่เป็นประเด็น แล้วเราค้นคว้าเพื่อประโยชน์ของเรา ให้เป็นสมบัติของเรา นี่ปัญญาของครูบาอาจารย์นะ
แล้วถ้าเราไปคิดค้น เราไปตีให้มันแตกแขนงออกไป นี้คือปัญญาของเรา เห็นไหม สมบัติมันเกิดที่นี่ สมบัติมันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา นี้เป็นสมบัติของเรา เอวัง