เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ม.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเขาคิดกันว่าวันตรุษจีนคือเมื่อวานนี้ เพราะเมื่อวานนี้เขาไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ มันคึกคัก เห็นไหม แต่วันนี้วันเริ่มต้นเนาะ วันนี้วันถือ วันถือนี่เขาให้พรกัน ให้พรนะ เหมือนปีใหม่ เห็นไหม ความเริ่มต้นปีใหม่ เขาให้เอาฤกษ์เอาชัย เราตั้งต้นชีวิตใหม่ สิ่งใดที่ไม่ดีแล้วปล่อยทิ้งไป เอาใหม่

นี่ก็เหมือนกัน วันถือ เห็นไหม เอาฤกษ์เอาชัย ถ้าเอาฤกษ์เอาชัยนะ เราเอาฤกษ์เอาชัยในสังคม ในโลก เอาฤกษ์เอาชัยเพราะอะไร? เพราะมันสภาคกรรม คนเราเกิดมามีกรรมหลากหลาย มีกรรมแตกต่างกัน อย่างเช่นเราเป็นคนที่มีบารมีมากเลย ถ้าบารมีมาก เราอยู่ของเราคนเดียว บารมีของเรามันส่งเสริมเรามาก แต่นี้เราอยู่คนเดียวได้ไหมในสังคม สังคมต้องมีบริษัทบริวารใช่ไหม นี้บริษัทบริวารของเรามันทอนบารมี เพราะบางคนมันทุกข์ยากมา

ดูทางพรหมศาสตร์ เขาดูฤกษ์ดูยาม คนตกฟาก คนเกิดตกฟากอย่างไร นั่นเขาดูฤกษ์ดูยามของเขา สิ่งนี้เราเลือกไม่ได้ แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญนะ เขาตกคลอดไง เขาเลือกเวลาเลยล่ะ แต่เลือกเวลาอย่างนี้มันไม่เป็นธรรมชาติ มันไม่เป็นสัจจะความจริง

“กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน”

กรรมที่การกระทำมามันจะให้ผลนะ สิ่งที่ให้ผลมา เราทำกรรมดี เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ในศาสนาพุทธเราสอนว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เราทำคุณงามความดีของเรา เราจะเชื่อสิ่งใดก็แล้วแต่ ความเชื่ออันนี้ เห็นไหม ความเชื่อเป็นศรัทธานะ ความเชื่อเป็นหัวรถจักร ความเชื่อในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเชื่อนี้เป็นอริยทรัพย์

ถ้าเราไม่มีความเชื่ออะไรเลย เห็นไหม เราไม่เชื่ออะไรเลย แล้วเราทำอย่างไรล่ะ? เราก็จะไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย เราเชื่อสิ่งใด เห็นไหม นี้ความเชื่อของเรานี่เชื่อในศาสนา เชื่อในศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อในลัทธิความเห็นต่างๆ เห็นไหม ความเชื่อเป็นความศรัทธา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อแล้วเราต้องพิสูจน์ เห็นไหม ในศาสนาบอกต้องให้พิสูจน์

“ทำดีดีกว่าขอพร”

เราทำคุณงามความดีของเรา สิ่งต่างๆ อาชีพ ความประสบความสำเร็จทางโลก ทุกคนก็ปรารถนา ทุกคนปรารถนานะ ไม่มีใครหรอกจะไม่อยากประสบความสำเร็จ นี้ประสบความสำเร็จทางโลกนะมันก็เป็นเรื่องของโลก เห็นไหม เพราะถ้าเราประสบความสำเร็จ เรามีพออยู่พอใช้ของเรา แล้วเราดูสิว่าหัวใจเราเป็นอย่างไร เห็นไหม หัวใจเรามันก็ยังดิ้นรนต่อไป

แต่ถ้าเราควบคุมใจเราได้ เราหาที่พึ่งของใจเราได้ หาที่พึ่งของใจนะ หาที่พึ่งของใจ ใจต้องการอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ?

ร่างกายเราต้องใช้ข้าวปลาอาหารนะ ร่างกายมันต้องมีที่อยู่ที่อาศัย หัวใจนี่เราไปอยู่ที่อาศัยในที่พอใจขนาดไหน เดี๋ยวมันก็เบื่อ เดี๋ยวมันเบื่อเพราะมันคุ้นชินแล้ว เห็นไหม หัวใจไม่เคยอิ่มเต็มหรอก หัวใจอิ่มเต็มได้ต้องมีคำบริกรรมไง

น้ำ เห็นไหม น้ำเราใส่ในภาชนะ ถ้าภาชนะนั้น น้ำนั้นเต็มแล้ว มันใส่อีกไม่ได้ หัวใจมันเต็มได้นะ ทะเลนี่ถมไม่เต็ม ทะเลนี่เขายังวัดได้นะ หยั่งได้ว่าความลึกเท่าไหร่ ความกว้างเท่าไหร่ หัวใจของคนมันหยั่งไม่ได้

เราให้ขอพรกันระหว่างทำธุรกิจ ทางสังคมเห็นไหม มันมีการตลาด มันมีสิ่งตอบสนอง หัวใจเรานี่ใครเป็นคนตอบสนองมัน ถ้าไม่มีใครจะตอบสนองมัน เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไงตอบสนองมัน หัวใจนะ คำว่า “มัน” มันอยู่ไหนล่ะ ทั้งๆ ที่เป็นของเรานี่ มันเป็นมันเพราะเราหาไม่เจอ แต่เราตั้งสติปั๊บ เจอทันทีเลยนะ ตั้งสติระลึกรู้ กำหนดพุทโธนี่ตั้งสติ

พอตั้งสติ ตัวตั้งสติ ความระลึกรู้เห็นไหม ระลึกรู้ในอะไร? สติมันอยู่ที่ไหน? สติมันตัวสอเสือ ตอเต่า สระอิ สตินะ สติมันเป็นชื่อ แล้วอย่างสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันมีสติไม่ได้ แต่ความรู้สึกของเรา ถ้ามีสติเห็นไหม มีสติได้

พอมีสติได้ พอสติยับยั้ง ยับยั้งนะ แล้วหักห้าม สิ่งใดที่ไม่ดีไม่ควร.. ไม่ควรกระทำ ไม่ควรคิด สิ่งที่คิดแล้วมันไม่มีประโยชน์.. เตือนมัน! เตือนหัวใจนะ! พอมีสติมันก็ระลึกได้ใช่ไหม สิ่งนี้ไม่ดีเลย สิ่งนี้ไม่ดีเลยไม่ควรทำ เห็นไหม

นี่ขอพรอย่างนี้ เรามีสติ เรายับยั้งตัวเราเอง เราให้พรเราเอง เราทำของเราเอง พอมันยับยั้ง เห็นไหม เราไม่ย้ำคิดย้ำทำนะ จริตนิสัยเราจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ร่องน้ำเราจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ร่องน้ำให้น้ำมันไหลไปอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้น สติเรายับยั้งไป

เราเกิดมามันไม่มีอะไรสมบูรณ์ ๑oo เปอร์เซ็นต์หรอก ความสมบูรณ์ ๑oo เปอร์เซ็นต์ไม่มี ทีนี้ในเมื่อความสมบูรณ์ ๑oo เปอร์เซ็นต์มันไม่มี สิ่งที่เราได้อยู่ เรามีอยู่นี่ก็พอใจตรงนี้ พอใจตรงนี้มันก็มีความสุขใช่ไหม หน้าที่การงานเราทำของเราไป ถ้ามันสมประโยชน์ มันเป็นไปตามอำนาจวาสนา อันนั้นก็ทำไป แต่ถ้ามันเป็นเท่านี้ก็เท่านี้ พอเท่านี้แล้วใจเราก็ไม่ดิ้นรน เห็นไหม มันไม่มีอะไรเต็มร้อย

โลกนี้.. ทางวิทยาศาสตร์ ค่าของความสมบูรณ์ ๑oo เปอร์เซ็นต์ไม่มี แต่ธรรมะมีนะ ร่างกายเราจะพิกลพิการขนาดไหนแต่หัวใจเรามีความสุข หัวใจเราสุขได้ ร่างกายเราเป็นอย่างนี้ ความสุขหามันไม่ได้ กินอิ่มหนำสำราญก็เท่านี้ แต่หัวใจสุขได้นะ หัวใจพอได้นะ ถ้าหัวใจพอขึ้นมา มันมีความสุขนะ เห็นไหม ความสุขของใจ

แล้วความสุขของใจ ถ้าเรามีความสุขเขาก็ว่าเราเป็นคนที่ว่าไม่ขวนขวาย.. ขวนขวาย! ความขวนขวายนี่เป็นความเพียรชอบ การขวนขวาย ความวิริยะอุตสาหะ เราทำของเรา ทำแล้วไม่เดือดร้อนด้วย ทำแล้วใจมีความสุขด้วย เพราะใจมันอิ่มเต็มแล้วใช่ไหม อิ่มเต็มแล้ว

คนอิ่มเต็ม ดูสิ ดูพระโสดาบันสิ พระโสดาบันทำไมยังขวนขวาย ยังประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ยิ่งพระอนาคามีนะ เวลาจิตมันหมุนขึ้นมา ธรรมจักรมันหมุน มันยิ่งแสวงหา ยิ่งทำ อย่างนี้เป็นความงกไหม? ถ้าเป็นกุกกุจจะ..

“รูปราคะ อรูปราคะ มานะ กุกกุจจะ อวิชชา”

กุกกุจจะนะ! กุกกุจจะนี่คือการทำเพลินในงาน มันไม่ใช่อุทธัจจะกุกกุจจะ เราไปอุทธัจจะกุกกุจจะ มันความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านของเรา ความฟุ้งซ่านความเกิดจากใจ เราควบคุมไม่ได้เป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ แต่ถ้ากุกกุจจะนี่มันความเพลิดเพลิน เหมือนเราทำแล้วประสบความสำเร็จทั้งหมด มีแต่แง่บวกหมดเลย มันทำจนเพลินในงาน พอเพลินในงาน มันหยุดไม่ได้ หยุดไม่ได้นะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ กุกกุจจะ อวิชชา มันเพลิน มันนึกว่าผลงานของมันจะเป็นอย่างนั้น

เวลาหลวงตาท่านเทศน์ในตำรา เห็นไหม จิตเป็นมัธยัสถ์ พอจิตเป็นมัธยัสถ์ จิตมันหยุดของมัน พอจิตมันเป็นมัธยัสถ์ จิตมันก็กลืนตัวของมัน พอจิตกลืนตัวของมันปั๊บ มันทำลายตัวของมัน เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ ตัวจิตมันทำลายตัวมันเอง แต่ก่อนที่จะมาทำลายตัวเอง มันต้องพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม มาก่อน เวลาเข้าไปถึงที่มัน เห็นไหม กุกกุจจะ ความฟุ้ง ความเพลินของการกระทำ เราขวนขวายของเรา ความเพียรชอบ ความเพียรชอบ..

ถึงที่สุด พอมันกลืนกินตัวมันเองปั๊บ นี่คือจบแล้ว ไม่มีสิ่งใดแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลย จะไม่มีการกระทำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่มีอยู่ มีโดยธรรมธาตุ เห็นไหม

เราให้พรเรานะ หัวใจมันทำได้ วัตถุสิ่งของนี่มันเป็นแร่ธาตุ มันจะให้มันมีความสุขของมัน หรือให้มันถึงที่สุดแล้วจะพกพาไปไม่ได้ เราจะพกพาแต่บุญกุศล บุญกุศลของเรานี่เราจะไปกับใจเรา เห็นไหม เราทำดีทำชั่ว มันฝังลงที่ใจ

แล้วเวลาจิตมันวิปัสสนาไป มันภาวนาไป มันถึงที่สุด ตัวมันเองเป็นนะ ตัวเองน่ะสันทิฏฐิโก จิตเป็นเอง จิตรู้เอง จิตเข้าใจเอง สิ่งที่เป็นเองนะ จิตเป็นเอง ไม่ต้องมีใครมาการันตี ไม่ต้องมีใครมาบอก ไม่ต้องมีใครทั้งสิ้น มันเป็นเอง มันเป็นของมันเอง

พอมันเป็นของมันเอง เห็นไหม แต่ในปัจจุบันนี้มันเป็นอะไรล่ะ มันเป็นสิ่งที่เร่าร้อนในใจ มันเป็นสิ่งที่เราแสวงหา ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติ มันก็คาดการณ์ไปนะ มรรคผลเป็นอย่างนั้นๆ มันคาดการณ์ของมันไป คาดการณ์ไปนะเป็นธรรมะด้นเดา มันไม่เป็นเอง เห็นไหม คาดอะไร ใครเป็นคนคาด จิตเป็นคนคาด เวลาความคิดนี่ใครเป็นคนคิด? เวลามันว่าง ใครเป็นคนคิดว่าว่าง? แต่ถ้าตัวมันเองว่างล่ะ?

ถ้าตัวมันเองว่างนี่สัมมาสมาธิ แล้วเวลาวิปัสสนาไป เห็นไหม มันปล่อยหมดแล้ว แต่ตัวมันเองปล่อยหรือยัง? มันมีความว่าง ความว่างของขั้นสมาธินะ ว่างในตัวของจิตหรือตัวสมาธิ ว่างในอารมณ์ไม่ใช่สมาธิ ว่างในอารมณ์ ว่างในความคิดที่ฟุ้งซ่าน คิดแล้วมันสบาย ถ้าเวลาวิปัสสนาไป เวลามันปล่อยขึ้นมา มันปล่อยอารมณ์ มันไม่ได้ปล่อยตัวจิต

ถ้าจิตมันปล่อย มันถอนอุปาทาน ถ้าปล่อยตัวจิต มันถอนอุปาทานนะ ถอนศรที่ปักอยู่ในหัวใจ ถอนออกหมดเลย ถอนๆๆ ถอนจนไม่มีอะไรจะถอน มันเป็นภวาสวะ เป็นภพ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แล้วจิตเดิมแท้มันจะพลิกคว่ำของมันทำอย่างไร เห็นไหม

สิ่งนี้ เราเริ่มต้นชีวิต ชีวิตเราก็ต้องดำเนินไป เวลาเราเกิดมา เห็นไหม ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ตั้งแต่เริ่มต้นเกิดมาจนตายมันจะขาดไม่ได้เลย แต่เวลาจิตมันตายไปนะ เวลาเราตายจากชีวิตนี้ไป จิตมันไม่เคยตาย จิตมันไม่เคยมีเว้นวรรค มันจะเกิดอีกตลอดไป เหมือนกับเราต้องหายใจตลอดเวลาเพื่อดำรงชีวิตไว้ เราขาดอากาศหายใจไม่ได้ ถ้าขาดอากาศหายใจนะ ออกซิเจนไม่มีในร่างกายแค่ไม่ถึง ๒-๓ นาทีก็หมดแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันไม่มีเว้นวรรคหรอก มันเป็นไปสภาวะแบบนั้น มันยังหมุนของมันไปในวัฏฏะ

แต่ถ้ามันถึงที่สุด เห็นไหม เวลาโสดาบันนี่ ๗ ชาติ ชีวิตเกิดอีก ๗ รอบถ้าอย่างมาก แต่ถ้ามันข้ามไป ๓ ชาติ สกิทาคามี อนาคามี อนาคามีไม่เกิดแล้ว เกิดบนพรหมแล้ว แต่ยังเกิดอยู่ เกิดบนพรหม เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วมันไม่เกิด ไม่เกิดแล้วมันมีนะ มันมีคือชีวิตนี้มันทำลายไม่ได้ มันมีของมันนะแต่มันสะอาดบริสุทธิ์ได้ ถ้าสะอาดบริสุทธิ์ ความสุขอย่างนี้เราปรารถนานะ นี่อาหารของใจ

อาหารของกายนะ เราก็ทำปัจจัยเครื่องอาศัย อาหารของใจเป็นธรรมะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะเป็นธรรมะของเรา เป็นสมาธิ.. สมาธิของเรา เป็นสติ.. สติของเรา เป็นความเพียร.. ความเพียรของเรา ทุกอย่างเป็นของเราหมด นี้เราถึงมีความรื่นเริงอาจหาญในการนั่งสมาธิ ในการเดินจงกรม

เพราะในการนั่งสมาธิ ในการเดินจงกรม ความเพียรชอบมันเป็นมรรคอันหนึ่งนะ ความเพียรชอบ งานชอบ เห็นไหม หน้าที่การงานของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา ทางโลกประกอบสัมมาอาชีวะ หน้าที่การงานของพระ นั่งสมาธิภาวนา เพราะงานมันเกิดจากใจจะย้อนทวนกระแสกลับ

พลังงานทางโลก บริหารจัดการนี่ออกไปจากความคิด แต่ของเราจะเอาความคิดทวนกระแส นี้เอาความคิดทวนกระแสกลับเข้าไปในตัวของภพ ตัวของใจ มันถึงต้องเดินจงกรมย้ำอยู่กับที่ แล้วให้สติระลึกย้อนกลับ ย้อนกลับเห็นไหม พอย้อนกลับนี่อาหารของใจ

ใจที่มันส่งออกเหมือนตาน้ำ ตาน้ำนี่นะผุดออกมาแล้วไหลรวมตัวเป็นแม่น้ำมา ความคิดมันออกมาจากใจ แล้วมันก็ไหลออกไปเป็นตัณหาความทะยานอยาก เป็นความทุกข์ความยาก เห็นไหม เราจะทวนกลับไปที่ต้นน้ำ ทวนกลับไปที่ใจ แล้วไปดับที่ตาน้ำนั้น ไปทำตาน้ำนั้นให้สิ้นสุดกระบวนการของมัน นี้คือความสุขแท้จริง เป็นสุดยอดปรารถนาของใจ ใจต้องการธรรมะอย่างนี้ เห็นไหม

ตาน้ำคือหัวใจที่มันไหลออกมาเป็นความคิด เราเข้าไปถึงตาน้ำแล้วปิดตาน้ำ จบสิ้นซักที! แล้วเราจะมีความสุขจริงๆ ไม่มีการไหลออกไปอีกแล้ว มันเป็นตัวของมันเองนะ แต่สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่นี่ สิ่งที่เหลือเศษส่วนคือร่องน้ำนั้น แต่ความคิดความเห็นมันเป็นเรื่องของโลกไง นี่เป็นสสาร เป็นวัตถุ ความคิดก็เป็นวัตถุอันหนึ่งนะ สื่อสารกันเพื่อสังคมโลก

แต่หัวใจนั้นมันอิ่มเต็ม มันเข้าใจจริง พูดจริง ทำจริง แล้วมันจะเป็นความจริงหมดเพราะรู้จริง แต่เรายังรู้จำอยู่ เห็นไหม พูดก็เป็นความจำ แต่! แต่มีความจำก็ให้มีศรัทธา แล้วเปลี่ยนแปลงไง เปลี่ยนแปลงจากจำให้เป็นจริง ถ้าเปลี่ยนแปลงจากจำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เราจะมีความสุขอย่างยิ่ง เอวัง