เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ม.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ เราอุตส่าห์ขวนขวายมากันนะ เอาบุญกุศล บุญ! บุญเกิดจากอะไร บุญเกิดจากการเสียสละ ถ้าไม่มีการเสียสละเลย บุญมันมาจากไหน เห็นไหม ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ เราเห็นธรรมชาติอยู่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การเกิดและการตายของเรามันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ ถ้าธรรมชาติอันหนึ่งแล้วก็งอมืองอเท้า เราจะไม่ได้อะไรเลย

ในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งต่างๆ ถ้าจิตใจคนสูงส่งนะ มันจะมองเห็นได้ ถ้าจิตใจคนไม่สูงส่ง เรามีแต่ตีอกชกตัวนะ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ เราพยายามสร้างบุญกุศลกันอยู่นี้ ทำไมเราไม่เห็นมีบุญกุศลเลย? ทำไมเราเหนื่อยยากมาก?

มือของเราทำงานนี่นะ มันต้องเหนื่อยยาก มือคนทำงานน่ะ แต่มือที่มองไม่เห็นมันทำงานในหัวใจเรา มันก็เหนื่อยยาก เห็นไหม อำนาจวาสนาของคนเกิดมาไม่เหมือนกันไง เราถึงมาสร้างบุญกุศล บุญเท่านั้นนะจะพาให้เราร่มเย็นเป็นสุข

บาปอกุศล เห็นไหม ดูสิ เวลามือเราทำงาน เราเหนื่อยยากมาก ไอ้มือในหัวใจ ไอ้มือที่มองไม่เห็นมันก็ดีดดิ้นของมัน เห็นไหม แล้วมันก็ทำตามใจตัวมัน ตามใจตัวมันนะ เพราะถ้ากิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเราแล้วเราทำอะไรไม่ได้เลย สรรพสิ่งเป็นเราไง เราก็น้อยอกน้อยใจไปหมดเลย แต่เราบังคับตัวเรา ถ้าจิตใจมันสงบเข้ามานะ กิเลสไม่ใช่เรา กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก แต่คนเกิดมามันเป็นสัจจะความจริงนะ เราเกิดมาต้องมีที่พึ่งอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ

คนเกิดมานี่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ “กำเนิด ๔” การกำเนิด ๔ ก็มีอาหาร ๔ ในวัฏฏะ เห็นไหม กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร เราเกิดในภพชาติใด เราต้องมีอาหาร มีปัจจัยเครื่องอาศัยในภพชาตินั้น มีในภพชาตินั้นนะ ต้องมีเครื่องอาศัยของมัน

จิตวิญญาณเขากินวิญญาณาหาร จิตวิญญาณ เห็นไหม เขาก็มีอาหารของเขา ไม่มีอาหารของเขา เขาจะอยู่ได้อย่างไร ดูสิ เวลาตกนรกอเวจี เห็นไหม หิวโหยขนาดไหนมันก็ไม่ตาย อาหารของมันก็คือกรรมไง หมดกรรมแล้วมันถึงจะหมดวาระของมัน เห็นไหม

ในปัจจุบันนี้ เราเกิดมาแล้วเราเลือกได้ ดีก็เลือกได้ ชั่วก็เลือกได้ แล้วถ้าเราไม่เลือกสิ่งที่ดีๆ น่ะ ใจของคนมันจะอยู่ได้ไหม มันก็เอนเอียงไปทางที่มือมองไม่เห็นมันชักนำไป มือที่มองไม่เห็นนะ แต่เราพยายามทำของเรา

กรรม อำนาจวาสนามันเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น พอสิ่งที่มองไม่เห็นแต่มันรู้สึกได้ สัมผัสได้ด้วยความอบอุ่นใจ จิตใจของคนที่อบอุ่น จิตใจของคนที่มีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม มืออันนั้นมันมั่นคง ถ้ามืออันนั้นไม่มั่นคง เราจะไหลไปตามกระแส

ในปัจจุบันนี้เราเป็นชาวพุทธนะ เราไม่กล้าว่าเราเป็นชาวพุทธ เราไม่กล้าพูดว่าเราเชื่อเรื่องศาสนา เราไม่กล้าพูดนะ เพราะมันเป็นคนครึ คนล้าสมัย แต่ถ้าเป็นอยู่ในวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เราเชื่อเหตุผล ปัจจัยต้องเป็นวิทยาศาสตร์

การประพฤติปฏิบัติมันยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์นะ เพราะวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้แล้ว เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ธรรมนี้มีอยู่แล้ว” เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม “เราจะสอนเขาได้อย่างไร?”

สอนเขาได้นะเพราะสมมุติ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นทฤษฎี เป็นสมมุติ เป็นสิ่งที่สื่อสารกัน แต่ธรรมะมันเป็นความสัมผัสของใจที่มันเหนือการสมมุติ แต่สิ่งที่จะเอาเข้าไปสัมผัสมันได้มันไปจากไหนล่ะ มันก็ไปจากสมมุติ ไปจากธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติเมื่อจิตใจของคนๆ นั้นเป็นธรรม เห็นสภาวะต่างๆ นี่มันสะเทือนใจ มันสะท้อนใจ

ถ้าจิตใจของคนนั้นไม่เป็นธรรมนะ จะเอาชนะธรรมชาติ เห็นไหม จะคิดค้นทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะเอาชนะธรรมชาติให้ได้ แล้วมันจะชนะได้ไหม? เราชนะชีวิตเราได้ไหม? เราจะเอาชนะการเกิดการตายของเราได้ไหม?

การเกิดและการตายมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นวิทยาศาสตร์อันหนึ่งนะ การเกิดมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราก็ต้องตายเป็นธรรมดา นี่เป็นสมมุติอันหนึ่ง เห็นไหม เราเอาสมมุตินี้ สมมุติแล้วบัญญัติ บัญญัติคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมมุติบัญญัติ สมมุติเห็นไหม สมมุติบัญญัติ บัญญัตินั้นก็เป็นสมมุติ แต่เป็นสมมุติที่เป็นธรรม สมมุติที่เป็นธรรมเพราะอะไร?

เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เพราะเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน เกิดมาโดยกรรมเหมือนกัน แล้วนี่เป็นญาติกัน เห็นไหม คำว่า “บัญญัติ” บัญญัติคือคำว่า “เสมอภาค” มนุษย์เป็นบุคคลที่เสมอภาคที่เรามีสิทธิที่เราจะมารื้อค้นของเรา เรามีสิทธิเสมอภาค แต่เราสละสิทธิ์ด้วยกิเลสไง สละสิทธิ์เพราะมือที่มองไม่เห็น เราอ่อนแอไง

พออ่อนแอขึ้นมามันบอกสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปได้ก็คือกรรมไง สิ่งที่เป็นไปได้ก็คือบาปอกุศลไง สิ่งที่เป็นไปได้คือความพอใจของมัน เห็นไหม สิ่งที่เป็นไปได้ แล้วแสวงหาแล้วมันสมกับความเป็นจริงไหม มันเป็นไปได้จริงหรือเปล่า มันเป็นไปได้โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่มันไม่เป็นธรรม

แต่การเสียสละนี่มันบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราเสียสละ เราไม่เห็นได้สิ่งใดๆ มาเลย สิ่งที่ได้มานะ มือที่มองไม่เห็นมันจะเข้มแข็งขึ้นมานะ ถ้ามือที่มองไม่เห็นมันไม่สามารถเสียสละได้ มันตระหนี่ถี่เหนียวของมัน เห็นไหม มันสงวนไว้เป็นสมบัติของมัน แล้วสิ่งใดจะไม่เป็นสมบัติของมันเลย มันจะไม่ได้สิ่งใดๆ เลย ได้แต่ความทุกข์ร้อน เพราะมันตระหนี่ถี่เหนียว มันต้องการสงวนเป็นของมัน..

มันเป็นของมันไม่ได้เพราะสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง! สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เก็บไว้มันเป็นอนิจจัง มันต้องย่อยสลายเป็นธรรมดา กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงไป เห็นไหม

ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา กลางวันกลางคืนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา มันก็เสื่อมค่าเป็นธรรมดา สรรพสิ่งมันเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีอะไรเป็นของเราบ้าง? มีอะไรเป็นของเราบ้าง? มันเป็นของเราชั่วคราว ชั่วคราวที่เราจะทำประโยชน์กับมันขึ้นมา

ถ้าเราเสียสละออกไป เห็นไหม การเสียสละ พระพุทธเจ้าบอกไม่ได้เสียสละให้หมดนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนวโกวาท เห็นไหม เราหาสิ่งใดมา เราต้องเก็บไว้เป็นทุนรอนเราไว้ส่วนหนึ่ง เราจะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ของเราเป็นส่วนหนึ่ง เราเอาเก็บไว้เพื่อยามแก่เฒ่าส่วนหนึ่ง สิ่งที่เหลือ สิ่งที่มีแล้วเราถึงทำบุญ

การทำบุญคือการฝังดินไว้ ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนการฝังดินไว้ เราฝังดินไว้ ฝังไว้ในหัวใจไง การเสียสละมันฝังไว้ในภพ ในภวาสวะ ในสิ่งที่เจตนา ความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากใจ ใจคืออะไร ใจคือภวาสวะ ใจคือภพ เห็นไหม เป็นสมาธิขึ้นมา จิตมันตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่งเดียว

ความจิตที่มันเป็นหนึ่งเดียว มันเกิดมาจากอะไรล่ะ เกิดมาจากเรามีศรัทธา มีความเชื่อในศาสนา แล้วเรารื้อค้นนะ เวลาเรารื้อค้น เราเปิดตู้พระไตรปิฎก เราเปิดหนังสือนะ เรารื้อค้นในตำรา แต่การรื้อค้นของเรา เห็นไหม เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราตั้งสติของเรา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

อาหารอันละเอียดนะ ออกซิเจนนี่เป็นอาหารอันละเอียดของร่างกาย เรากินแต่คำข้าวเป็นอาหารนะ เวลาพระเรา เห็นไหม เป็นทำภัตกิจ การกินการอยู่นี่เป็นกิจกรรม เป็นงานอย่างหนึ่ง มันต้องมีการกระทำ

ความคิด เห็นไหม สมองเวลามันคิด ความคิดมันเกิดขึ้นมา สมองมันทำงาน พอสมองมันทำงาน เป็นงานอันหนึ่ง เห็นไหม สมองมันสั่งให้ร่างกายเราเคลื่อนไหว เป็นการทำงานอันหนึ่ง

ถ้าจิตใจมันควรแก่การงานนะ เราจะเห็นคุณค่าไง การเหยียดการคู้ เรามีสติของเรา ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมีสติพร้อมกับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก สิ่งที่รับรู้นั้นคือตัวพลังงาน คือตัวใจ พลังงานมันรับรู้น่ะ มันเป็นตัวของมันเอง มันสละเข้ามา มันไม่อยู่กับความคิด ถ้าไปอยู่กับความคิดนะ ความคิดมันเสวยอารมณ์ เห็นไหม

ความคิด ร่างกาย ชีวิตนี้เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุตินี่มันเกิดจากปฏิสนธิจิตนะ จิตที่มีอยู่ ที่ไม่เคยตาย แต่เกิดเป็นมนุษย์เป็นสมมุติอันหนึ่ง แต่สมมุติอันนี้ เรามีศรัทธาความเชื่อในศาสนา เราถึงมารื้อค้นไง เราเปิดรื้อค้น เราไม่ใช่ค้นในหนังสือ เรารื้อค้นในใจของเรา ในหนังสือนะ ในธรรมะเราเปิดอ่าน เรายังลังเลสงสัยเลย

แล้วนี่เราจะประพฤติปฏิบัติ จิตอยู่ไหน ความรู้สึกอยู่ไหน ธรรมะเป็นอย่างไร หาทางออกไม่เจอ เพราะเราไม่เคยประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำใช่ไหม เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะนะ โดยวัย วัยของเด็ก เห็นไหม เป็นไปโดยวัย ทุกข์ตามวัยนะ

เด็กนะ มันก็มีความสุขของมันประสาเด็กๆ พอเราโตขึ้นมาเราต้องรับผิดชอบแล้ว เด็กมันก็คาดการณ์ว่าโตขึ้นแล้วมันจะมีความสุข พอโตขึ้นมาแล้วมันก็อยากว่าถ้าเราออกทำงานแล้วจะมีความสุข พอทำงานแล้วนะ ถ้าเรามีสมบัติเราจะมีความสุข แล้วพอมันจะแก่เฒ่าขึ้นมานะ เราต้องมีธรรมะถึงจะเป็นความสุข เพราะเราเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว เราจะต้องผจญภัยกับมรณกรรม เราต้องเผชิญภัยไปข้างหน้า เราจะเอาอะไรเป็นความสุข? เราจะเอาอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว?

ถ้ามันยึดเหนี่ยวนะ สิ่งนั้นยึดเหนี่ยวได้ไหม ถ้าจิตใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ เอาอะไรยึดเหนี่ยว ก็เอานี่ไง เอาใจเราไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องเอาใจของเราเป็นที่ยึดเหนี่ยว ถ้ายึดเหนี่ยวนี่รื้อค้นมันขึ้นมา เห็นไหม กิเลสไม่ใช่เรา ความเหนื่อยยากไม่ใช่เรา พักนะก็หาย ทุกข์ยากขนาดไหน ทำงานด้วยมือ ๒ มือนี่เหนื่อยยากมาก เราพักผ่อนมันก็ฟื้นขึ้นมา เห็นไหม กำลังก็ฟื้นแล้ว

แต่หัวใจที่มันล้าอยู่ มือที่มองไม่เห็นมันยิ่งสงสัย มันสงสัยอยู่นี่มันพักอย่างไรมันก็ไม่หาย ถ้ามันพักไม่หายอย่างไร เราถึงตั้งสติของมันเข้าไปรื้อค้นมัน อะไรที่มันลังเลสงสัยในหัวใจนั้น? ถ้าเรารื้อค้นเข้าไป สิ่งนี้เราทำบุญกุศลมามากมายขนาดไหนนะ ถ้าเราไม่ภาวนานะ นั่นมันเป็นอามิส มันเป็นบุญกุศลที่ขับเคลื่อนไป แล้วเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็มีภพมีชาติ เรามีภพชาติ มันเวียนไปในวัฏฏะมันก็กลับมาใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนั้น เห็นไหม

แต่ถ้าเรารื้อค้นที่หัวใจ มันจบสิ้นกระบวนการที่นี่ได้ เชื้อไขมันอยู่ที่นี่นะ ถอนอุปาทาน ถอนศรที่ปักอยู่คาหัวใจนี่ แล้วจะถอนอย่างไร?

เห็นไหม ถ้าจะถอนอย่างไร มือที่มองไม่เห็นมันกำไว้ ถ้ามันคลายออก มันต้องมีสติ มีปัญญาเข้าไปใคร่ครวญมัน ใคร่ครวญเข้าไปที่หัวใจ แล้วมันรื้อค้นออก มันคลายออกได้ กิเลสไม่ใช่เรา สรรพสิ่งนี้ไม่ใช่เรา สิ่งที่ไม่ใช่เรา เพราะมันเป็นเรา เราถึงสงสัย พอไม่ใช่เรา เราหายความสงสัย เห็นไหม

ถ้าใจเป็นธรรม ธรรมะนี้เหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติเพราะอะไร เพราะความคิดก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเป็นความจริงอันหนึ่งนะ สรรพสิ่งนี่เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่เพราะเราไม่เข้าใจมัน เราถึงไปยึดมัน เห็นไหม

มันทุกข์เพราะอะไร? ทุกข์เพราะเราคิด ทุกข์เพราะเราตระหนี่ถี่เหนียว ตระหนี่ถี่เหนียวในอะไร ตระหนี่ถี่เหนียวในความคิดไง เราคิดแล้วเรากลัวไม่คิดแล้วเราจะไม่รู้ สรรพสิ่งที่เราไม่คิดเราจะไม่มีความเข้าใจเลย เราต้องคิด ความคิดอันนี้มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม มันล้นฝั่ง มันคิดจนล้นนะ

ดูสิ น้ำล้นฝั่ง เห็นไหม มันเป็นน้ำพิษ น้ำกรดที่มันล้นออกมาเผาผลาญความรู้สึกของเรา เผาผลาญตัวเราเอง มันกัดกร่อนหัวใจเราเอง แล้วเราก็ไม่เข้าใจมัน เรากลัวจะไม่รู้ ทั้งๆ มันเป็นความคิดน้ำกรด

ถ้าเป็นความคิดของธรรมที่เราเจือจางมันล่ะ มันเจือจาง เห็นไหม เราใช้ปัญญา.. “มรณานุสสติ” เราต้องตายเป็นธรรมดา สรรพสิ่งนี้มันต้องตายเป็นธรรมดา ถ้าเราเอาความตายมาเตือนหัวใจนะ มันจะยั้งคิดยั้งทำนะ สิ่งที่ทำมานี่เราก็แสวงหา มันจะทุกข์ มันจะยาก มันจะลำบากขนาดไหนนะ มันก็เป็นงานหน้าที่ของเรา เราก็ต้องทำตามหน้าที่นั้น หัวใจนี่ให้มันปลอดโปร่ง มันกัดฟันทน ถึงที่สุดแล้วนะ เหตุการณ์นี้มันต้องผ่านไป ไม่มีสิ่งใดคงที่

ดูเข็มนาฬิกามันกระดิกตลอดเวลา เห็นไหม โลกหมุนตลอดเวลา ชีวิตเรามันก็เคลื่อนไหวไปตลอดเวลานะ มันไม่คงที่ของมันหรอก วาระที่มันถึงเวลาเสวยกรรมนะ มันจะมีทุกข์มียากของมัน ถ้ามีบุญกุศล บุญกุศลจะเจือจาน แต่ถ้าไม่มีบุญกุศล เราไม่ได้สร้างสิ่งของเราไว้ มันยิ่งกดทับ มันยิ่งไม่มีทางออก แต่ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา บุญกุศลเอาอะไรมาทำล่ะ?

สิ่งที่จะทำนะ อนุโมทนาทานก็ได้ นั่งสมาธิภาวนา เข้าห้องพระ ทำบุญกุศลมาขนาดไหนเพื่อมีศรัทธามีความเชื่อ แล้วเรานั่งประพฤติปฏิบัติ ถ้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ความคิดที่มันทุกข์มันยาก สิ่งที่เป็นพิษเป็นน้ำกรดที่มันล้นกัดกร่อนหัวใจเรา เติมน้ำไปให้มันเจือจาง เห็นไหม จนถึงที่สุดน้ำที่เป็นกรดมันจะไม่เป็นกรด น้ำที่เป็นกรดๆ มันเป็นอมตธรรม สิ่งที่อมตธรรม มีสติ มีสัมปชัญญะแล้วกำหนดพุทโธ ตั้งปัญญาอบรมสมาธิ นี่มรณานุสสติเห็นไหม

สมบัติที่เรามีอยู่ เราเก็บไว้มันเสื่อมค่านะ บุญกุศลที่เราทำมันก็เป็นอามิส แต่สิ่งที่ไม่เสื่อมค่ามันคืออะไร?

ใจที่มันผ่องแผ้วนะ ใจของเรานี่ผ่องแผ้วได้ สิ่งที่ทุกข์นี่มันทุกข์ได้ มันเป็นปัจจัย มันเป็นเครื่องอาศัย สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยเราเป็นเจ้านายมัน เราหามันมา เราใช้สอยเพื่อประโยชน์มัน สิ่งที่เป็นประโยชน์นะ เราเจือจานกันได้ เราไม่ตระหนี่ถี่เหนียวยึดไว้จนใครแตะต้องไม่ได้ ถ้ายึดจนแตะต้องไม่ได้ ใครมาแตะต้องเราก็เจ็บปวดก่อนนะ แล้วเราก็ต้องต่อสู้เพื่อจะปกป้องสิ่งนั้น

ถ้าเราหามาเพื่อประโยชน์ เห็นไหม ประโยชน์เราด้วย ประโยชน์กับสิ่งที่เราจะเสียสละด้วย มันเป็นประโยชน์ สมบัตินั้นเป็นประโยชน์กับเรา แล้วถ้าใจมันผ่องแผ้ว มันก็จะเริ่มต้นจากลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ปัญญาอบรมสมาธิ

คิดถึงชีวิตของเรานะ เกิดมาชาติหนึ่งมนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ แล้วเอามนุษย์สมบัติที่เราเสียสละ มือเราเสียสละ เราเสียสละนั้นออกไป ใจเป็นคนคิด ใจเป็นคนทำ ใจอ่อนน้อม ใจสิ่งดีๆ มันจะมีการกระทำ ใจแข็งกระด้างนะ ใจที่มันทิฏฐิมานะ เห็นไหม ใจมันพลิกแพลงได้ เราเปลี่ยนแปลงได้ด้วยฟังธรรม เอาธรรมนี่ไปกล่อมเกลี้ยงมัน เอาธรรมไปกลมกล่อมมัน ให้มันดีขึ้น พัฒนาขึ้น แล้วเราตั้งใจกระทำของเรานะ

ชีวิตนะ คนจะมั่งมีศรีสุขร่ำรวยขนาดไหนก็เหมือนเรา คนที่ทุกข์จนเข็ญใจก็เหมือนเรา มีปากมีท้อง มีลมหายใจ มีความสุขความทุกข์ มีค่าเท่ากันนะ

ฉะนั้นชีวิตมีค่าเท่ากัน เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับทิฏฐิมานะของเรา ให้เห็นคุณค่าของความเสมอภาค แล้วเรามีโอกาส คนที่เขาไม่ทำต่างหากเขาไม่สนใจ เขาไม่มีโอกาส เราสนใจ เรามีโอกาสแล้วตั้งสติแล้วทำของเรา ไม่ต้องไปดูคนอื่น ใจเขาใจเรา ใครจะคิดอย่างไร มันดีชั่วมันใจของเขา

ใจของเรา เราถนอมรักษาใจของเรา แล้วคิดสิ่งที่ดีๆ เอาหัวใจเราพ้นจากกิเลสของเราเอง พ้นจากทิฏฐิมานะ ความคิดที่เป็นกรดให้คิดให้เป็นด่าง เป็นต่างๆ ให้มันเจือจางกัน แล้วคิดไปเป็นนามธรรม คิดเป็นสิ่งที่เป็นคุณธรรม คิดเป็นสิ่งที่ดีเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง