เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.พ. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธนะ เวลาเราชาวพุทธ เราภูมิใจกันมากว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เราจะภูมิใจมากเลยว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ เราภูมิใจมาก แต่เหตุผลของเรากิเลสมันอ้างนะ เวลากิเลสมันอ้างนะ ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราแสวงหาของเราน่ะ กิเลสมันต่อต้าน มันลงไม่ได้ กิเลสของเรานี่ ทิฏฐิมานะของแต่ละคนมันมีอยู่ในใจของเรา แล้วถ้าเอาศาสนาเป็นที่พึ่ง

ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ...เชื่อในอะไร? ในรัตนตรัยไง ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ.. หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรม

พระธรรม.. เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะขึ้นมา สิ่งนี้มันมีอยู่โดยดั้งเดิม ลึกซึ้งมาก

พระสงฆ์.. พระอัญญาโกณฑัญญะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ! อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ!” ดีอกดีใจมาก เพราะมีคนรู้เป็นพยานไง เรารู้อยู่คนเดียว คนอื่นไม่มีความเห็นกับเรา เราพูดอยู่คนเดียวนะ คนอื่นเขาบอกว่าคนนั้นพูดเรื่องอะไรก็ไม่เข้าใจ เหมือนกันกับในปัจจุบันนี้เลย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เรานกแก้วนกขุนทอง เราก็พูดภาษาของเรานะ เราเข้าถึงศาสนาไหม

ดูสิ ดูเวลาเราทำบุญขึ้นมา เรามีความเชื่อ มีความศรัทธา เราต้องขวนขวาย ที่ไหนเราลงใจ ที่ไหนเราพอใจ เราอยากทำบุญที่นั่น เห็นไหม กิเลสมันไม่ยอมใคร แม้แต่ตัวเราเอง กิเลสมันยังต่อต้านเลย เวลาเราทำคุณงามความดี มันจะต่อต้าน.. คุณงามความดีทำไปทำไม ทำไปแล้วไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย...มันได้สิ! ได้เพราะเรายับยั้งกิเลสในหัวใจของเราไง กิเลสในหัวใจของเรามันต่อต้าน มันมีกำลังของมันนะ เราต้องยับยั้งมัน ยับยั้งมันแล้วต้องทำคุณงามความดี

เขาบอกว่า “เราต้องมีศีลธรรมๆ”

ศีล คือ ข้อห้าม

ธรรมล่ะ เราห้ามทำความชั่ว เราต้องทำคุณงามความดีสิ เรามีศีลใช่ไหม เราต้องห้ามมัน หักห้ามมัน มันเหมือนตอไม้ใช่ไหม ตอไม้มันไม่ทำร้ายใคร ก้อนหินมันทำร้ายใคร ก้อนหินมันอยู่ประจำที่ของมันน่ะ มันไม่มีชีวิต หัวใจของเรามีชีวิตนะ เราเป็นคนมีชีวิต มีจิตใจ เราหักห้ามทำความชั่วแล้ว เราต้องทำคุณงามความดีเพื่อส่งเสริมมัน ต้นไม้ เราไม่รดน้ำมัน ไม่พรวนดินมัน เราปล่อยให้มันโตของมันเองน่ะ มันแกร็นก็ได้ มันโตก็ได้ถ้าพื้นดินมันมีแหล่งน้ำ ถ้าพื้นดินไม่มีแหล่งน้ำ มันอยู่ของมัน มันตายหมดนะ คุณงามความดีในหัวใจของเราล่ะ เราเกิดเป็นมนุษย์น่ะ เราตั้งใจทำคุณงามความดี

พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาของเราชาวพุทธ แล้วเราก็ยืนดูมันเฉยๆ เราไม่มีขวนขวายมัน เราไม่กระทำ แล้วเราทำอย่างไร นี่ไง เราอุตส่าห์เสียสละมา ข้าวของเงินทองมันเป็นของสิ่งที่หามา ถ้าเราไม่มีเจตนา เราไม่ทำ มันมาได้ไหม? มันมาไม่ได้นะ เงินทองต่างๆ มันทำบุญไม่เป็นหรอก หัวใจของคนน่ะมันเสียสละ หัวใจของคนมันขวนขวาย

ถ้าเราไปตื่นเต้นกับข้าวของวัตถุนะ ไปดูโกดังสินค้าสิ มันล้นโกดังเลย มันมาไม่ได้หรอก คนเราไปแสวงหามันมาใช่ไหม น้ำใจของคนน่ะ น้ำใจของคนมันสำคัญ น้ำใจของคนมันเสียสละ น้ำใจของคนมันแสวงหาแล้วมันนำมาเสียสละ

เวลาอาหาร ๔ ในวัฏฏะ กวฬิงการาหาร อาหารในคำข้าว วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร ถ้าวิญญาณาหาร วิญญาณเป็นความรู้สึก เป็นความคิด ก็คิดเอาสิ.. เทวดาก็ไม่ต้องทำอะไร มันจะเป็นเทวดาเอง นึกเอาๆ...มันโกหกตัวเองไง ของเราไม่เสียสละ ของเราไม่มีการกระทำ มันจะเกิดขึ้นมากับเราได้ไหม

ดูสิ สันติธรรม.. สันติธรรม.. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติ

“สันติธรรม” นะ ธรรมะเป็นสันติ ธรรมะที่เกิดขึ้นมา เราก็ไปนั่งงอมืองอเท้ากัน ไอ้นั่นมัน “ขันติธรรม” ขันติ คืออดทน

“สันติธรรม” มันเป็นศาสนาแห่งปัญญา “สันติธรรม” ที่เข้ามาชะล้างกิเลสของเราไง มันไม่มีการกระทำ เราไม่รดน้ำพรวนดิน ต้นไม้มันจะเกิดไหม “หน่อแห่งพุทธะ” มันมีพื้นฐานของหัวใจ มันมีอยู่แล้ว หัวใจมันมีอยู่แล้ว แต่หน่อมันไม่ผุดขึ้นมา “หน่อแห่งพุทธะ” ถ้าหน่อมันผุดขึ้นมานะ เราจะมีความร่มเย็น เราจะซึ้งในศาสนามากนะ

เวลาใครทำความสงบของใจขึ้นมา แล้วยิ่งมีปัญญาขึ้นมา โอ้โฮ.. มันจะซึ้ง ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ ท่านเห็นคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รื้อค้นขึ้นมาน่ะ

สาวก สาวกะ ดูขนาดมีตำรานะ อ่านพระไตรปิฎกมาแล้วก็มาเถียงกัน ของใครผิดของใครถูกไง ทุกคนว่าของตัวเองถูก “ตัวเอง” เห็นไหม “ตัวเองถูก” คำว่า “ตัวเอง” คือใคร? คำว่า “ตัวเอง” คือความเห็นใช่ไหม แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมล่ะ มันสัจธรรม มันเป็นความจริงอันนั้น ไอ้ที่ว่าตัวเองๆ ทำไปก่อน มันยังไม่มีการกระทำ มันไม่รู้ผิดรู้ถูกหรอก มันยังไม่เห็นผิดถูกเพราะอะไร เพราะเรายังไม่สามารถเอาชนะตัวเราเองได้

ถ้าเราเอาชนะตัวเราเอง มานะ-ทิฏฐิ มันจะยุบตัวลง ถ้ามานะ-ทิฏฐิมันยุบตัวลง มันจะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ คือกดทิฏฐิมานะของเราไง ทิฏฐิมานะในหัวใจที่มันรู้ “เราถูกๆ” เราไง เรานี่มันลงไม่ได้ พอเราลงไม่ได้ ความจริงก็เกิดไม่ได้ เพราะเราขวางอยู่ เรานี่ขวางทุกคน ทุกคนว่าตัวเองเก่งมาก ทุกคนมีปัญญามาก ทุกคนจะเข้าข้างตัวเองมาก เข้าข้างตัวเองแล้วมันได้อะไรขึ้นมา...ก็ได้ทิฏฐิมานะไง

อเสวนา จ พาลานํ บัณฑิตานํ จ เสวนา.. อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต

คบคนพาล คนพาลจากไหน? คนพาลจากข้างนอก จะดูเขา ให้ดูเขาคบเพื่อนนะ ดูเพื่อนเขาน่ะ เพื่อนรอบข้างเขาน่ะเป็นคนอย่างไร เขาจะเป็นคนอย่างนั้น ความคิดที่เป็นพาลน่ะ มันชำรอกหัวใจอยู่แล้ว มันจะดึงหัวใจนี้ไปเป็นพาล

แล้วคบบัณฑิต ดูสิ เรามาคบบัณฑิตกัน คนที่เสียสละ คนที่จิตใจที่เป็นสาธารณะ นี่เป็นบัณฑิต แล้วบัณฑิต คนมีปัญญาใช่ไหม แล้วบัณฑิตใครถูก? บัณฑิตก็ทะเลาะกันแบบบัณฑิต เวลาเราขึ้นว่าเราดี เราดีอย่างไร? บัณฑิตมันอยู่ที่ไหน บัณฑิตอยู่ที่ไหน นี่ไง มันถึงต้องเอาตัวเราลงให้ได้ก่อน ถ้าเอาตัวลงให้ได้นะ มันจะเห็น

ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ถ้าใจคนเป็นธรรมนะ สิ่งใดที่เกิดขึ้นมา เราเห็นแล้วมันสลดสังเวชทั้งนั้นน่ะ ดูสิ อย่างใบไม้ใบหนึ่งหล่นจากต้น มันแก่แล้วมันหลุดจากขั้วมัน แต่ชีวิตเราก็เป็นอย่างนี้ ถ้าคนที่ใจเป็นธรรมเห็นแล้วมันสลดสังเวช มันมองสิ่งใดมันจะชักนำไง เห็นไหม เราเกิดมาต้องตายทั้งหมด นี่สมบัติที่หาไว้ๆ จะเป็นของเรา จะเป็นที่พึ่งอาศัย จะเป็นความมั่นคงของชีวิต จะเป็นความมั่นคงของชีวิตนะ

“เป็นความมั่นคงของชีวิต” แล้วทำไมหัวใจมันเศร้าหมองล่ะ ทำไมหัวใจมีความทุกข์ล่ะ มันมั่นคงไหมล่ะ มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย

ความมั่นคง คือสติของเรา

ความมั่นคง คือคบบัณฑิต คบกับใจเรานี่

ถ้าหัวใจมันมั่นคงขึ้นมา อันนั้นมันเครื่องอาศัยใช่ไหม ถ้ามันเครื่องอาศัย เราพอหาอาศัยได้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราเป็นชาวพุทธน่ะ ที่ไหนเขาก็เจือจานกันได้ เรื่องวัตถุนี่เจือจานกันได้นะ ถ้า “แผ่นดินธรรม”

ถ้า “แผ่นดินทอง” ทุกคนต่างแสวงหา ทุกคนต่างแก่งแย่งกัน ทองก็ทอง สมบัติก็เป็นสมบัติ แต่คนที่ไปขัดแย้งกันทำลายกัน ทำลายกันเพราะใคร ถ้ามันเป็นธรรม มันทำลายไหม?

ของเราก็จุนเจือในชีวิตเรา เหลือเราก็แบ่งปันกัน สิ่งนี้ถ้า “แผ่นดินธรรม” จะเกิดขึ้นมา ถ้ามันเป็นธรรม ใจเป็นธรรม เราต้องตั้งสติ

ทำบุญกุศลขนาดไหนนะ ทำบุญกุศลนี่สุดยอดมาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็เสียสละมา เสียสละทุกๆ อย่างนะ เสียสละวัตถุ เสียสละทั้งตัวเอง เสียสละชีวิตนะ เพราะพระโพธิสัตว์ เป็นสัตว์เสียสละชีวิตเพื่อให้บริวารได้หนีเอาตัวรอดไปก่อน เสียสละทุกอย่างเลย การเสียสละนั้นคือบารมีธรรม บารมีธรรมจะให้เกิดเชาวน์ปัญญา ดู สังเกตได้ คนมีเชาวน์ปัญญา ทำไมคนซื่อบื้อ คนซื่อบื้อก็คนนี่ไง ขันติธรรม สันติธรรม คือธรรมของการชำระกิเลส มรรคญาณมันทำลายตัวเองไง

การชนะศึกหมื่นแสน การชนะข้าศึกคูณด้วยล้าน ก่อเวรก่อกรรม การชนะตัวเอง.. ถ้ามันสันติธรรม ไม่มีการแพ้มีการชนะ มันจะเป็นสันติธรรมได้อย่างไร สิ่งที่เป็นสันติธรรม คือความขัดแย้งในหัวใจของเรา คือสิ่งที่โต้แย้งในหัวใจของเรา มันเป็นสิ่งที่โต้แย้งในหัวใจของเรา มันโต้แย้งนะ กิเลสมันไม่เคยกลัวใครเลย เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา มันอยู่ในความคิดของเรา มันคิดว่ามันเป็นความลับไง มันจะโต้แย้ง แล้วมันจะคิดเบียดเบียนตัวเรา แล้วจะคิดเบียดเบียนข้างนอก แต่มันกลัวอะไร.. กลัวธรรมะ นี่สันติธรรม จะเป็นสันติได้ มันต้องมีมรรคญาณ มีสติ มีปัญญา มีการกระทำของมัน สติปัญญา มันเป็นภาวนามยปัญญา เป็นโลกุตตรธรรม สิ่งที่โลกุตตรธรรมมันต้องเกิด เกิดจากเราเสียสละทาน การเสียสละมันเปิดหัวใจกว้าง สิ่งที่หมักหมมจะทำให้อากาศเสีย อากาศไม่ถ่ายเท สิ่งที่อากาศถ่ายเทน่ะ น้ำเสีย เราเอามาทำความสะอาดของมัน น้ำจะกลับมาใช้ได้

อารมณ์ความรู้สึกมันเกิดจากใจ สิ่งที่คิดเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดแล้วมันกดถ่วงหัวใจไว้ เราคิดเป็นธรรมะ มันเป็นโลกียธรรม โลกียะ คือการเสียสละทานนี่ไง การเสียสละ คือการเสียสละตระหนี่ถี่เหนียว การเสียสละความคิดนั้น ความคิดนั้นมันมีการเสียสละ มันได้ฟังธรรม ฟังธรรมคืออะไร? ธรรมะคืออะไร? ฟังธรรม คือฟังเรื่องของความสัมผัส ผัสสะของใจ ใจมันสัมผัสกับความคิด พลังงานมันกระทบกับความคิด เรายังไม่รู้จักตัวเราเลย คนว่าเกิดมามีกายกับใจ...แล้วใจมันอยู่ไหน? ใจมันอยู่ไหน? เราก็คิดไปว่าใจมันอยู่นั่นๆ มันก็คิด มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ ถ้าหยุดความคิดอันนั้น แต่การหยุดความคิดอันนั้น ความคิดหยุดได้อย่างไร?

ดูสิ ไฟมันร้อนอยู่ เราไปจับว่าไฟไม่ร้อนได้ไหม ไฟมันร้อนอยู่ ถ้าเราจับมือก็พองหมด แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มันทำให้ไฟเย็นได้ เพราะพลังงานเหมือนกัน พลังงานอันหนึ่งเป็นพลังงานร้อนที่แผดเผา พลังงานอันหนึ่งเป็นพลังงานที่สงบเย็น ความสงบเย็นมันเกิดจากอะไร นี่ไง สัจธรรมมันเกิดอย่างนี้ขึ้นมาได้ไง มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ในหัวใจเราร้อนๆๆๆ อยู่นี่ เวลามันสงบขึ้นมานะ มันจะมีความชุ่มชื่นในหัวใจ สิ่งที่ความชุ่มชื่นในหัวใจ เห็นไหม จิตมันสงบเข้ามา แล้วสงบเข้ามาๆ ถ้ามีวุฒิภาวะ มันออกใช้ปัญญาอีกรอบหนึ่ง มันออกมาใช้จากอะไร ออกมาจากไฟที่เร่าร้อน ไฟคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากแผดเผาไปทั้งโลกเลย แต่ถ้าเป็นตบะธรรม คำว่า “ตบะธรรม” ก็เปรียบเหมือนความร้อน แต่มันเป็นความเย็น มันตบะธรรมที่เป็นความเย็น ที่มันจะไปแผดเผากิเลส กิเลสกลัวอย่างนี้มากนะ ถ้าจิตสงบขึ้นมาน่ะ ถ้าเกิดปัญญา ปัญญาเกิดในอะไร? ปัญญาเกิดในสิ่งที่เราข้องแวะ

ทุกคนเกิดมายึดตัวตนก่อน ตัวตนนะเป็นตัวตนของใจ ภพของใจกับภพของมนุษย์ ภพของการเกิดเป็นมนุษย์ มันจะยึดว่า “สรรพสิ่งนี้เป็นเรา... สรรพสิ่งนี้เป็นเรา...” มันเป็นเรามาเพื่อให้เรามีชีวิต เป็นเรามาเพื่อจะให้เรากระทำในสิ่งที่ดี ดูสิ ม้าแข่ง เวลาเขาเอามาใช้ประโยชน์ เขาแข่งม้า เขาเล่นการพนันกัน เขาเล่น มันได้รับรางวัล พอมันหมดอายุการใช้งานน่ะ เขายิงมันทิ้ง เขาไม่มีเวลาจะเลี้ยงมัน ม้าแข่ง เวลาเขาเอามาใช้ประโยชน์ เขาเอามาแข่งม้า พอเสร็จแล้วเขาไม่เลี้ยงมันนะ เพราะมันเยอะ เลี้ยงไม่ไหว เขายิงทิ้งนะ

ชีวิตเรา ขณะที่มันทำงาน ขณะที่ใจมันเป็นธรรม ขณะที่มันขึ้นมา ชีวิตนี้คืออะไร ที่ว่าสรรพสิ่งนี้ไม่ใช่เราๆ เรามาเกิดชีวิตนี้มา แล้วกาลเวลา ตะวันขึ้นแล้วตก วันคืนล่วงไปๆ มันกินเวลาเราไป กินชีวิตเราไปตลอด มันเหมือนกับม้าแข่งที่มันมีโอกาสที่ได้ใช้ประโยชน์ เขาจะประคบประหงมมันเต็มที่เลย พอหมดอายุการใช้งาน มันสู้ไม่ได้ ที่บางที่เขาเลี้ยงไว้จนเป็นภาระของเขา เราเกิดมาชีวิตนี้ ถ้าเรายังยึดมั่นของเราอยู่ นี่ชีวิตการใช้งาน ขณะที่จิตเรายังมีชีวิตอยู่ เรายังใช้งานได้ เวลาเราจะตายไป เวลาหมดอายุขัย สิ่งที่อายุขัยมันหมดอายุขัย นั่นมันเป็นความจริงอันหนึ่ง มันเป็นสมมุติไง มันเป็นสมมุติที่ให้เกิดมาเพื่อทำความดี ความดีจากข้างนอกนะ

เราแสวงหาความดี ทำคุณงามความดีทำกุศล เราเป็นทุกข์มาพอแรงแล้ว แล้วเวลาเราปฏิบัติธรรมขึ้นมา งานแบบหยาบๆ งานของโลก งานหยาบๆ การอาบเหงื่อต่างน้ำ งานของพระ การนั่งอยู่โคนไม้ การทำวิเวก การนั่งอยู่แล้วเอาใจให้สงบได้ นี่งานอันละเอียด เหมือนกับในบริษัท เราทำงานข้างล่าง ผู้ที่บริหารเขานั่งอยู่บนโต๊ะนะ เขาต้องบริหารจัดการทั้งหมดเลย นี้เราจะบริหารจัดการหัวใจของเรา งานอันละเอียด นั่งเฉยๆ เดินจงกรม เดินไปเดินมานี่ทำไม่ได้ มันเป็นงานที่ละเอียด เป็นงานที่เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเราเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา นี่ไง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา.. ปัญญาตรงนี้! ปัญญานี่เป็นโลกุตตรปัญญาที่เอาเรา เอาช้างสารตกมัน เอาความคิดไว้ในอำนาจของเรา คิดดูสิ ถ้าความคิดเรา เราควบคุมได้ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วมันหยุดนิ่งที่สุด พลังงานมันจะมีแค่ไหน แล้วใช้ประโยชน์มันขึ้นมาเพื่อกำจัดความเร่าร้อนในใจให้หมดออกไปได้ ถ้ากำจัดสิ่งนี้ออกไปได้ สันติธรรมมันจะเกิดกับใจ

“สันติธรรม” มันเป็นสิ่งที่เป็นการเอาชนะตนเอง เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วเราทำได้นะ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญามันมีหลายระดับมาก เวลามีการศึกษา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา.. เราอธิบายกันไม่ถูก แล้วเราทำกันไม่เป็น อันนั้นมันเป็นชื่อนะ มันเป็นอักษร แต่เวลามันเกิดจริง ดูสิ อาหารที่เราเห็นว่าเมนูอาหารมันมา กับเราสัมผัสอาหารที่ปลายลิ้น รสชาติมันต่างกันอย่างไร จิตได้สัมผัสธรรมนะ จิตได้สัมผัสธรรม นี่เราสัมผัสแต่ความเร่าร้อน เราสัมผัสแต่สัญญา สัมผัสแต่เมนูของมัน แต่เรายังไม่เคยได้สัมผัสรสชาติ ถ้าจิตได้สัมผัสรสชาติ ความสงบสุขมันจะสงบแค่ไหน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ พระเราบวชมา ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมาไม่ขาดจากสงฆ์ ถ้าขาดจากสงฆ์ บวชพระไม่ได้นะ เพราะพระสืบต่อกันมาๆ ยกเข้าหมู่ๆ ต้องสงฆ์ ๑๐ องค์ขึ้นไป มีอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ ไม่ขาดจากสงฆ์ นี่ ๒ พันกว่าปี ภิกษุเราอยู่กันมาอย่างไร มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้นะ พิสูจน์ได้เพราะสัจจะความจริงของเรา เราก็พิสูจน์ได้

“พระที่ใจ” นางวิสาขาไม่ได้บวช เป็นพระโสดาบัน “พระที่ใจ” ถ้าใจเป็นพระผู้ประเสริฐ ใจประเสริฐแล้วนะ มันจะร่มเย็น แล้วมันจะรู้จริง ความรู้จริง มันจะเข้าใจ ไม่ใช่ดูแต่เมนูแล้วไม่เคยสัมผัส แต่เราเข้าใจ เราทำได้ด้วย มีเมนูด้วย เราประกอบขึ้นมาเป็นอาหารได้ด้วย แล้วเราได้กินด้วย เราได้มีความสุขด้วย อันนี้ศาสนานี้ไม่แห้งแล้งไง

ศาสนานี้มีมรรคมีผล มีสัจจะความจริง รอแต่เราเข้าไปเปิบ รอแต่เราเข้าไปหยิบในหัวใจของเรา เราจะตั้งใจทำไหม เราจะเอาจริงไหม มันจะเป็นสมบัติของเราถ้าเราจริง เอวัง