เทศน์เช้า วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันพระนะ วันพระในประเพณีวัฒนธรรมของเรา เป็นวันหยุดเมื่อก่อนน่ะเขาเข้าวัดเข้าวากัน แต่เดี๋ยวนี้มันทุนนิยม เวลาเราไปอยู่ภาคอีสานนะ มันเป็นสังคมเกษตร เขาจะตามมาที่วัด เขาเรียกไปจังหัน เวลาเขามาวัดมาวาจนเสร็จแล้วเขาถึงกลับ ถ้าเป็นทุนนิยมนะ อุตสาหกรรมมันไม่ได้หรอก เวลามันจะเข้ากะเขาต้องรีบมาก ทุนนิยม แล้วดูสิ เศรษฐกิจมันก็มีวงรอบของมัน นี่ใครจะเป็นที่พึ่งล่ะ เวลาวงรอบของมัน มันให้ผลของมัน เราไปตื่นเต้นกับวัตถุนิยม พอวัตถุนิยม เวลามันถึงวงรอบของมัน มันก็ต้องวนเวียนไปอย่างนี้ แล้วตอนนี้โทษกันนะ เพราะอะไร เพราะเมืองจีนน่ะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา เพราะอะไร เพราะออมดี ออมเงินไว้มาก มันเป็นวัฒนธรรมนะ ตอนนี้โทษนะ ทุกคนไม่มองมาที่เรานะ ถ้ามองที่เรา ศาสนา วัฒนธรรม
ศีลธรรม วัฒนธรรม ไม่ใช่ธรรม แต่เป็นวิธีการเข้าไปหาธรรม สัจธรรม-ความจริงนะ ถ้าสัจจะความจริง นี่มันเป็นวิธีการเท่านั้นน่ะ ศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม ไม่ใช่ตัวธรรมะ แต่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมมาจากไหน? มันมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางรากฐานไว้ วางรากฐานไว้ที่ไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการ อนุปุพพิกถา เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องเนกขัมมะ เรื่องของสวรรค์ เรื่องการประพฤติปฏิบัติ แล้วเทศน์อริยสัจ สิ่งที่เทศน์อริยสัจใจมันต้องควรแก่การงาน แต่ใจของเราทุนนิยม ใจมันฟูมาก แล้วเราจะไปฟังธรรมๆ เราไปตื่นเต้นกับวัตถุกันมากเกินไป ถึงเอาสิ่งนั้นเป็นที่พึ่ง
ศาสนาเรามันละเอียดอ่อนมากนะ ศาสนาไม่ปฏิเสธเรื่องวัตถุนะ แต่ศาสนามันเหนือโลก มันธรรมเหนือโลก ดูพระบวชมา พระต้องมีบริขาร ๘ ปัจจัย ๔ บริขาร ๘ บาตรเป็นอาหาร บาตรนี้ไว้บิณฑบาต เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย นี่ปัจจัย ๔ ศาสนาไม่ปฏิเสธ เพราะการดำรงชีวิตมันต้องเป็นไปธรรมดาของมัน แต่ใจของเราถ้ามีหลักแล้วนะ อย่างนี้ถึงเวลาเสร็จแล้ว เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหาเงินมาเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ทำทุนส่วนหนึ่ง แล้วเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือเราค่อยทำบุญ ไม่ใช่ว่าทำให้หมดนะ ที่เหลือค่อยทำบุญ
บุญกุศลเกิดจากศรัทธา เกิดจากความเชื่อ ถ้าใจมันเป็นธรรม สิ่งต่างๆ นี่เป็นสมมุติหมดนะ แล้วสมมุติหยาบ-สมมุติละเอียดด้วย สมมุติหยาบๆ ทั้งนั้นน่ะ ทุกอย่างเป็นสมมุติ วัตถุก็เป็นสมมุติ ทุกอย่างก็เป็นสมมุติ แม้แต่อัตตา-อนัตตาก็เป็นสมมุติ อัตตาเป็นสมมุตินะ อัตตา มีเหรอ อัตตา มีไหม? แม้แต่พระอินทร์ ดูสิ อยู่กับอาตมันๆ มันมีที่ไหนเป็นอาตมัน...ไม่มีหรอก วัฏฏะมันวนไปอย่างนี้ พระอินทร์ก็มีวาระ หมดอายุขัยของเขา พรหมก็หมดวาระ อายุยืน-อายุสั้นต่างหากต่างกัน
อนัตตาก็เป็นสมมุติ เพราะมันแปรปรวนตลอดเวลา สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมนี่เป็นสมมุติ ดูสิ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นธรรมะนะ มันมีสภาวธรรม แต่มันมีสมมุติเจือมานะ มันมีสภาวธรรมมา เพราะโสดาบันไม่เสื่อมจากโสดาบันเด็ดขาด อีก ๗ ชาติเท่านั้น แต่ถ้ามันเป็นอัตตา ธรรมะเป็นความจริงที่เด็ดขาด มันจะขึ้นไปสกิทาคามีได้ไหม ขึ้นเป็นอนาคามีได้ไหม แต่มันไม่ต่ำลงมา นี่มันเป็นความจริงอันหนึ่ง นี่ตัวธรรม
สัจธรรม ตัวธรรม เวลาเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นอฐานะที่จะไม่เสื่อมสภาพ แต่มันเจริญได้ มันเป็นสมมุติไหม? เป็นสมมุติ อรหัตตมรรค อรหัตตผล สัมปยุต วิปยุต คลายออกมา นี่นิพพาน ๑.. มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วตัวธรรมธาตุ ตัวสัจธรรมความจริงอันนั้นน่ะ สิ่งนั้นมันพ้นสมมุติไป สมมุติวิมุตติ แต่จะถึงวิมุตติ กว่าจะถึงวิมุตติ เราต้องอาศัยสมมุติไป ไม่ปฏิเสธสมมุตินะ อย่างเช่นเราปฏิบัติกัน บอกว่า โลกุตตรธรรมๆ โลกุตตรธรรมมันจะเกิดขึ้นได้มันต้องมีความสงบของใจเข้ามา ตัวสงบของใจ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีตัวสมาธิขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมามันไม่เกิดจากอัตตา อัตตา-อนัตตานี่คือความคิดเรานี่แหละ อัตตา ความยึดมั่นถือมั่นของใจนี่เป็นอัตตา อนัตตาล่ะ อนัตตา ความแปรสภาพของมัน สัจธรรมมันมีอยู่ แต่เราไม่เข้าใจมันเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ธรรมที่มีอยู่แล้ว เห็นไหม ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกแสวงหามา ๖ ปี สิ่งที่มีอยู่ในตัวนั่นน่ะ สิ่งที่มีอยู่ในหัวใจเรานั่นน่ะ แต่เราไปเที่ยวศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ แล้วก็มาทำทุกขกิริยา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมที่มีอยู่แล้วก็มีในหัวใจใช่ไหม แต่ในเมื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปกคลุมอยู่ สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันยังไม่มีใครตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถึงวางธรรมและวินัยไว้ วางธรรมวินัยนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางไว้แต่เป็นทฤษฎี แต่ของเราประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาเราไปศึกษามันก็เหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะน่ะ เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะนะ เพราะอะไร เพราะศึกษาธรรมๆ ตัณหาความทะยานอยากของเรามันปกคลุมอยู่ ตัณหาความทะยานอยากของเรามันปกคลุมในใจของเรา เราไปศึกษา เราไปตีความ สัจจะนั้นเป็นความจริง แต่ความรับรู้ของเรา อัตตา-อนัตตาในหัวใจเรา มันอัตตาเราก็ยึด มีมุมมองที่มันถูกใจ เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม มุมมองสิ่งใดที่ไม่ถูกใจ เป็นอนัตตาๆ แล้วธรรมะเป็นอนัตตา
อนัตตามันแปรสภาพ แล้วธรรมะเป็นอนัตตาได้อย่างไร?
อนัตตามันเป็นวิธีการ มันเป็นสภาวะที่จะเข้าไปหาสัจธรรมใช่ไหม ถ้าสัจธรรม สัจธรรมอยู่ที่ไหน? ไปวิ่งหาที่ไหน? โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม.. แล้วเรารู้อะไรเราถึงจะเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม นี่เราไม่รู้นี่ นี่ไง สมมุติบัญญัติ มันเป็นสมมุติทั้งนั้น สมมุติบัญญัติ ก็วิมุตติมันข้ามพ้นจากสมมุติไป แล้ววิมุตติมันเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นสันทิฏฐิโก ไม่รู้จักด้วยตัวเอง มันลูบคลำนะ มันยังลังเลสงสัยอยู่ สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ คาดการณ์ไปทั้งหมดน่ะ แล้วทำไมพอจิตใจมันเข้าไปสัมผัส มันเป็นวิปัสสนูปกิเลสนะ โอภาส วิปัสสนูปกิเลส ว่าง.. ว่าง.. กิเลสทั้งนั้น กิเลสอย่างหยาบ
เรามีกิเลสอย่างหยาบๆ อยู่แล้ว เวลาทำไป มันกิเลสภายนอก กิเลสภายในไง ดูสิ เรามีร่างกายกับมีจิตใจ ร่างกายต้องการอาหารเป็นเครื่องดำรงชีวิตของมัน ร่างกายต้องการอาหาร แต่หัวใจ ธรรมมันกินอาหารอะไร หัวใจกินอาหารอะไร หัวใจถ้ามันกินสิ่งที่มันเป็นธรรม เป็นธรรมหมายถึงว่า เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม เหตุและผล มันใช้เหตุ ตรรกะ เหตุและผลนะ เราใช้ตรรกะ เราใช้ปัญญาเราใคร่ครวญ มันรวมกันนะ รวมกันหมายถึงว่ามันลงใจไง ว่าสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา เราต่างหากมีทิฏฐิมานะไปให้ค่ามัน ไปยึดมัน ไปหลงในความเห็นอันนั้น ถ้ามันปล่อยเข้ามา สิ่งนั้นเราปล่อยเข้ามา เราปล่อยที่ใคร มันปล่อยที่ใจเรานะ ปล่อยที่ใจเรา ปล่อยเข้ามาแล้วเป็นอะไร ปล่อยเข้ามาก็ฐีติจิต ก็เป็นตัวมันทั้งนั้นน่ะ นั่นน่ะตัวกิเลส
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส
มันปล่อยความรู้สึกอะไรเข้ามา คือเข้ามาหาอวิชชาไง เข้ามาหาตัวภพตัวชาติไง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีสัจธรรม เรามีคุณธรรม เรามีครูบาอาจารย์เราคอยชี้นำ
เวลามันสงบเข้ามา นี่คือสมาธินะ นี่คือสมาธิ นี่คือสมถะ การกระทำต่างๆ ที่มันหดตัวเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา เป็นสมถะทั้งหมด ไม่ใช่วิปัสสนา เพราะมันเป็นความคิดจากสัญญา เป็นความคิดจากอาการของใจ ไม่ใช่ตัวใจ อาการของใจมันปล่อยอาการ ปล่อยความกระเพื่อมเข้ามา มันต้องมาเป็นตัวมันใช่ไหม มือเราปล่อยสิ่งของเข้ามา มือเราหดเข้ามาใช่ไหม จิตเวลามันใช้ปัญญาอยู่ มันปล่อยอารมณ์ความรู้สึกเข้ามา มันก็เป็นตัวมันใช่ไหม นั่นน่ะมันเป็นสมถะ
ทีนี้มันเป็นสมถะแล้วมีว่าเป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมาไง ถ้าเป็นมิจฉา มันก็บอกว่านี่คือนิพพานน่ะ นี่คือวิมุตติ นี่คือความเป็นธรรม มันว่างๆ ว่างๆ เห็นไหม อัพโภกาสิกังคะ มันเป็นอุปกิเลส มันเป็นกิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบก็ทำให้เราเดือดร้อน มีความแบกหาม แบกหามอารมณ์ความรู้สึกของตัว แบกหามนะ ความคิดน่ะ หนักหน่วงมาก ความคิดเหมือนภูเขาเลากาเลย ไปแบกมัน ไปทุกข์มัน แล้วพอมันปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามาเป็นตัวมัน พอปล่อยเข้ามาเป็นตัวมันก็เป็นอะไร? ก็เป็นอุปกิเลส เป็นโอภาส เป็นความสว่างไสว มันเป็นอุปกิเลส
แต่ถ้าเราเข้าใจ เรามีสติสัมปชัญญะ มันปล่อยเข้ามา นี่คือสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันจะมีกำลังของมัน มันจะมีความชุ่มชื่นของมัน แล้วน้อมออกไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม อาการ ธรรมารมณ์ อารมณ์กับสัจธรรม มันเป็นธรรม ถ้าจิตที่มันมีความสงบอยู่ ความคิดที่เราใช้พิจารณาอยู่นี้ ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นโลกียปัญญา ที่ว่าตรึกในธรรม ศึกษาธรรม มันเป็นโลกียะเพราะอะไร โลกียะเพราะจิต เพราะจิตมันไม่รู้ จิตมันไม่เข้าใจ พอศึกษามันก็เป็นอาการของใจใช่ไหม เป็นความคิด ไม่ใช่ใจ พอมันศึกษามันก็ปล่อยเข้ามาๆๆ เราก็ว่ามันเป็นธรรม...มันเป็นมิจฉา! มิจฉาเพราะไม่รู้
ถ้าเป็นสัมมา สัมมาเป็นสติใช่ไหม สติเราไล่เข้าไป สิ่งที่เป็นความคิดมันเกิดดับ นามรูปเกิดดับๆ มันเป็นนามเป็นรูปทั้งนั้นน่ะ แล้วมันปล่อยเข้ามา มันก็เป็นรูปละเอียด จากนามรูปข้างนอกมันปล่อยเข้ามาเป็นนามรูปของมัน พอปล่อยเข้ามา เราว่านี่เป็นปัญญาได้อย่างไร มันเป็นโลกียปัญญา เพราะมันเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก เกิดจากความรู้ของเรา พอมันปล่อยเข้ามา ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะมันจะเป็นสัมมาสมาธิ คือดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความดำริชอบ คือดำริสมควร ดำริโดยข้อเท็จจริง ดำริคือมันเป็นความจริงในตัวมันเป็นความจริงอย่างนั้น แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น แต่เราคาดหมายผิด เราคาดว่าสิ่งนี้เป็นวิปัสสนา สิ่งนี้มันปล่อยวางเข้ามาเป็นตัวธรรม มันไม่เป็นธรรม เพราะมันไม่เป็นความจริงอย่างที่เราคิด ผลของมันก็ไม่เป็นความจริง เพราะผลของมันก็คือความจริงของมันที่เป็นผลอย่างนั้น มันถึงเสื่อมสภาพ มันถึงไม่คงที่ มันถึงไม่มีกำลัง มันถึงเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้ามันมีสติ มันมีสัมปชัญญะ เราใคร่ครวญความคิด ความคิด อาการของใจ มันปล่อยเข้ามาเป็นตัวใจ มันปล่อยเข้ามาเป็นตัวสมาธิ แล้วตัวสมาธิมันมีกำลังของมัน มันชุ่มชื่นของมัน พอชุ่มชื่นของมัน เราน้อมไปเห็นกาย พอน้อมไปเห็นกาย พอเห็นกายขึ้นมาน่ะ มันสะเทือนหัวใจ เพราะมันเห็นโดยสัจธรรม เพราะไม่เห็นด้วยตัวเรา ถ้าเห็นด้วยตัวเรา เห็นด้วยโลกนะ เห็นด้วยตัวเรามันจะบอกสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ไม่ดี เช่น ถ้าเห็นด้วยตัวเราใช่ไหม เราขยะแขยง ถ้าเห็นกาย เห็นผี เราเข้าใจว่ากายนี้เป็นผี ภูตผีปีศาจมันจะมาเป็นร่างกาย สิ่งที่ขยะแขยง เวลาเราเห็นไป มันเป็นกาย กายที่มันเป็นไตรลักษณ์ กายที่เป็นไตรลักษณ์มันแปรสภาพ
มันแปรสภาพเพราะอะไร มันแปรสภาพเพราะจิตเราไม่มีมานะ ไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตา-อนัตตา ไม่มีอัตตา ไม่มีอนัตตา คำว่า อัตตา-อนัตตา เราสร้าง เราอยากให้เป็น เพราะเราศึกษาธรรมะมา แต่พอจิตสงบขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมา มันเป็นไปโดยสัจธรรม คือมันเป็นไปโดยสัจธรรม แล้วจิตมันเป็นผู้การกระทำ มันเป็นผู้เห็น มันสะเทือนหัวใจมาก มันถึงหลุดได้ มันถึงปล่อยได้ มันถึงถอนอัตตานุทิฏฐิ นี่สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในกาย อัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิตัวยึดมั่นถือมั่นในตัวของมันเอง พอยึดมั่นถือมั่น นี่ไง จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกมันยึด เวลาเราพูดกัน เราพูดกันจิตสำนึก จิตสำนึกคือว่ามันเป็นอย่างนั้นๆ ธรรมะเป็นอย่างนั้น นี่มันจิตสำนึก แต่จิตใต้สำนึกมันก็ค้าน มันก็สงสัย มันก็มีอะไรฝังใจอยู่ แต่ถ้ามันละเอียดเข้ามา มันไปถอนที่จิตใต้สำนึก เวลาสังโยชน์ขาด มันขาดที่จิตใต้สำนึกนะ พอขาดที่จิตใต้สำนึก มันเป็นผู้ปล่อยวางเอง
สันทิฏฐิโก.. ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม
ทำไมเมื่อก่อนเราโง่เง่าเต่าตุ่นนัก! ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจอะไรเลย! ศึกษาธรรม เราก็ว่าเข้าใจๆๆ ทำไมเราไม่เข้าใจถึงระดับนี้ มันเข้าใจแต่เปลือก มันเข้าใจที่รากฐาน มันโล่ง มันโถง มันปล่อยหมดเลย เห็นไหม นี่อฐานะที่มันจะเสื่อม
อฐานะนะ สมมุติ วิมุตตินะ สมมุติบัญญัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสมมุติบัญญัติ เป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นกิริยา เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติออกมาจากจิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่วิมุตติสุข แล้วบอกกิริยาอาการของความคิด
เวลาเป็นโลกียปัญญา มันก็เป็นความคิดนะ เป็นความคิดที่เกิดจากตัวตน เกิดจากรากฐานที่มันยึดถือ แต่เวลาเราใช้ปัญญา เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันก็เป็นความคิด แต่ความคิดที่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าสมาธิเป็นพื้นฐาน สมาธิคืออะไร? สมาธิคือไม่มีตัวตน ถ้ามีตัวตนคือเราขวางอยู่ มีเรา สมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิยิ่งลึก ความเป็นตัวตนก็น้อยลง ความเป็นตัวตนน้อยลง ถ้าสมาธิน่ะ อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่ารู้ เห็นไหม สักแต่ว่า ไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่รู้อยู่ มันเป็นพลังงานสะอาด พลังงานที่ไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากบวก นั่นน่ะ เวลามีสมาธิเป็นพื้นฐาน
พื้นฐานน่ะ ความคิดออกจากพื้นฐานไป จรวดยิงออกไปจากฐานของฐานยิง ความคิดออกไปจากใจ.. จิตแก้จิตไง.. ความคิดอันหนึ่งเป็นความคิดเป็นโลกียปัญญา เป็นความคิดของกิเลส ปัญญาอันหนึ่ง ปัญญาที่เป็นสัจธรรมมันเกิดจากสมาธิ เกิดจากที่ไม่มีตัวตนบวก ค่ามันสะอาดบริสุทธิ์ เวลามันวิปัสสนาออกไป มันเห็นแล้ววิปัสสนาออกไป พอมันวิปัสสนาออกไป พอกำลังมันอ่อนลง สมมุติก็แทรกเข้ามา สมมุติคือตัวตนเราก็แทรกเข้ามา.. แทรกเข้ามา.. ปัญญาอันนั้นใคร่ครวญมันก็ไม่ปล่อย ไม่ปล่อยแล้วกลับมาทำสมถะ กลับมาทำให้ตัวตนนี้สงบตัวลง สงบตัวแล้วออกไป มันชั่วคราวๆ จนถึงที่สุด มันถอนหมด ตัวตนทั้งหลายมันทำลายหมด นี่สิ่งที่ทำลาย
ถ้าเราไปตื่นในวัตถุ กิริยาท่าทางจากภายนอกเป็นวัตถุหมดนะ ความคิดนี้ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ให้หลานพระสารีบุตรฟังที่เขาคิชฌกูฏ ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง จิตที่มันสงบแล้วนี่นะ มันจับความคิดได้อันหนึ่งเลย แล้วแยกแยะเป็นวิปัสสนา มันเกิดญาณทัศนะ มันเกิดความเห็น เกิดความรู้ มันปล่อยวางเข้ามา
เป็นวัตถุ ถ้าเราตื่นเต้นในวัตถุจากภายนอก เราก็จะไปยึดมั่นถือมั่นในความคิดของเรา ถ้าเราพึ่งธรรม วัฒนธรรมของชาวตะวันออก วัฒนธรรมตะวันออก แล้วทำเรื่องจากศาสนา ศาสนาสอนเรื่องอนัตตา เรื่องที่ว่ามันไม่มีอะไรคงที่หรอก มันแปรสภาพ มันเป็นอนัตตา แต่จิตมันไม่เคยเห็นอนัตตา มันก็ยังพูดแต่ปาก แต่พอจิตมันสงบเข้าไป ไม่มีตัวตน แล้วไปเห็นสภาวะของอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ถึงที่สุดแล้วนะ มันเป็นอกุปปธรรม มันพ้นออกไปจากอนัตตา
เวลาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี.. ไม่ใช่อนัตตา! มันเป็นธรรม มันเป็นสัจธรรม สัจธรรมที่เป็นอฐานะที่จะไม่เสื่อม แต่เจริญรุ่งเรืองได้ เพราะมันถึงที่สุดแล้ว จนวิมุตติแล้วไม่มีสิ่งใดเลย แต่มีความเข้าใจอยู่ มันมีชีวิตของมัน มันเป็นไปของมัน นั้นคือสิ่งที่ปรารถนาของเรานะ
ถ้าเราไม่ตื่นเต้นไปในวัตถุ วัตถุเราก็อาศัย เป็นผู้ใหญ่ จะรู้ถึงการดำรงชีวิต จิตที่มันพ้นจากกิเลสแล้ว มันก็เข้าใจทุกๆ อย่างหมด แล้วมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะคนเกิดมามันมีชีวิต มันต้องดำรงชีวิต มันเป็นอาหาร ๔ ของวัฏฏะ แล้วจิตนี่เกิดในวัฏฏะ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง วัฏฏะ แล้วเวลาเราทำใจถึงวิวัฏฏะ มันออกจากวัฏฏะไป แล้วจะไปค้านอะไร? ไม่ค้านอะไรเลย มันถอนที่เรา ทำที่เรา แล้วสิ้นกระบวนการที่เรา
วันพระ เราประพฤติปฏิบัตินะ วันพระ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า รัตนตรัย แก้วสารพัดนึก แล้วถ้าเรากระทำ เราจะเห็นนะ พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมที่ใจ.. พุทธะอยู่ที่ความรู้สึกเรา นี่สัจธรรมอันนี้จะกังวานในหัวใจเรา แล้วเราจะไม่ตื่นเต้นกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
ชนะคนอื่นหมื่นแสน มันสร้างเวรสร้างกรรม ชนะเรา.. เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา จะมีความสุขที่สุด เอวัง