เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ก.พ. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธ เช้าขึ้นมาต้องทำบุญตักบาตร พระออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาแจกอาหาร เห็นไหม ทำภัตกิจ เป็นกิจของสงฆ์ ทำภัตกิจก็เป็นงานอันหนึ่ง เป็นหน้าที่การงานอันหนึ่ง แต่เราเห็นว่าการกินการอยู่เป็นความสุข แต่หน้าที่การงานเป็นความทุกข์

เราเห็นคนย้ายถิ่นไหม คนอพยพ ศูนย์อพยพ เขาอพยพเพื่ออะไร เขาอพยพเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา เขาอพยพเพื่อความมั่นคงนะ เขาไม่มีงานทำ เขาไม่มีอาชีพของเขา ศูนย์อพยพ เห็นไหม ไปดูในศูนย์อพยพสิ เขาหาอะไรกันน่ะ แล้วเราเป็นชาวพุทธ เราหาอะไรกัน นี่เรามาหาอะไรกัน เราหาบุญกุศลเป็นหลักของใจนะ ถ้าใจมีหลัก เหมือนเรามีที่อยู่อาศัย คนมีหลักแล้ว

เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธทะเบียนบ้าน เห็นไหม ไปดูสนามหลวงสิ คนไม่มีบ้านนอนอยู่ตามสนามหลวงเท่าไหร่ เพราะเขาเคยมีบ้าน แล้วบ้านเขาไม่มี เราก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธนะ เกิดมาพ่อแม่ให้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนาสอนอะไร รู้จักพุทธะไหม รู้จักศีล ๕ ไหม เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม เราเป็นคนเร่ร่อน จิตใจเราเร่ร่อน จิตใจเราไม่มีที่พึ่งอาศัย เป็นผู้เสียเปล่าไง

แต่ถ้าเป็นชาวพุทธ พุทธคืออะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในอะไร ตรัสรู้ในอริยสัจ พ้นจากทุกข์ไปได้ เอาตัวเองพ้นจากทุกข์ไปได้ เรานี่ในหัวใจมีแต่หมักหมม มีแต่ความเศร้าหมอง มีแต่ความทุกข์ในหัวใจ แล้วเราจะทำอย่างไรให้พ้นจากความทุกข์นี่

ถ้ามีหลักใจ มีความเชื่อ เห็นไหม ใจเราจะมีที่พึ่งอาศัยไง เราไม่ใช่คนเร่ร่อน

ในทะเบียนบ้านเขาบอกว่า เขาไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เพราะศาสนาเอาเปรียบสังคม พระเป็นผู้เอาเปรียบสังคม พระเป็นผู้ไม่ทำงานแล้วเราทำงาน แล้วเราทำงานแล้วเรามีความสุขไหม เราทำงานถึงที่สุดแล้วงานนั้นให้ผลตอบแทนเราเป็นอย่างไร ให้ผลตอบแทนเรามาเป็นความทุกข์ เป็นความวิตกกังวล เป็นความเร่าร้อนในหัวใจ หน้าที่การงานนี่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย คนเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน

คนเกิดมา ดูสิ เกิดมา นี่ภัตกิจ การกินก็เป็นกิจอันหนึ่งนะ “ภัตกิจ” การกิน การอยู่อาศัยมันเป็นหน้าที่การงานอันหนึ่ง ลูกเรา ดูสิ เด็กแดงๆ ขึ้นมา มันนอนอยู่ มันกินอยู่เพื่ออะไร เพื่อดำรงชีวิตของมันขึ้นมา เห็นไหม หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงานของมนุษย์

แต่มนุษย์ การเกิดมา คนกับมนุษย์ต่างกันอย่างไร คนมันคนไม่ทั่ว คนมันสักแต่ว่าคน ดูสิ สัตว์เดรัจฉานมันก็มีชีวิตเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานมันก็มีคุณธรรมของมันนะ มันรักลูกของมัน มันดูแลลูกของมัน มันเลี้ยงลูกจนมันเติบโตขึ้นมา นี่สัตว์เดรัจฉาน

เราไม่ใช่สัตว์ เราเป็นมนุษย์ เรามีปัญญา ปัญญาคืออะไร ปัญญาก็หน้าที่การงาน ปัญญาก็คือวิชาชีพ วิชาชีพมันหาไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ ปัญญาที่รู้จักตัวเองน่ะ ปัญญาที่รู้จักเราน่ะ เราอยู่ที่ไหน นั่งกันอยู่นี่ รู้จักเราไหม นั่งอยู่นี่ ชื่ออยู่ที่ทะเบียนบ้านนะ แล้วทะเบียนบ้านมันเปลี่ยนชื่อแล้วก็ต้องไปเปลี่ยนชื่อทั้งต้นขั้วเลย ถ้าเปลี่ยนชื่อไง ภพชาติๆๆ อยู่ในการเกิด “การเกิด” อะไรมันพาเกิด แล้วเกิดมามันทุกข์ยากอยู่ที่ไหน ทุกข์ยากน่ะอยู่ที่ไหน เราก็ว่านั่นทุกข์ๆๆ แล้วใครเป็นคนทุกข์ล่ะ ก็ไม่เห็น ก็ไม่รู้ แล้วทุกข์ก็ดิ้นรนแสวงหากัน แล้วมันก็จะตายไป ก็จะไปเกิดอีก ก็ยังไม่รู้จักตัวเองอีก

นี่ไง ศูนย์อพยพ ไปดูสิ มันน่าสังเวชไหม มนุษย์ด้วยกัน ทำไมเขาต้องย้ายถิ่นฐานเขามา แล้วจิตใจของเรานี่มันเร่ร่อนไปเกิดตายๆ น่าสังเวชไหม หัวใจของเรานะ ทุกคนน่ะต้องเรียกร้องให้ผู้ที่ช่วยเหลือ เรียกร้องให้ตัวเอง ให้มีสติปัญญาช่วยเหลือตัวเอง แล้วเรารู้จักตัวเองไหม แต่เวลาเราเกิดปัญญาขึ้นมาน่ะเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาน่ะกิเลสมันพาใช้ กิเลสเรา ปัญญาเกิดขึ้นมา มันต้องมีเราบวกตลอดเวลานะ เราไม่เห็นดีเห็นชอบ เรามีความขัดข้องใจ เรามีความไม่พอใจ เรามีผลประโยชน์ เราทั้งนั้นเลย เพราะเราเข้าไปบวกเห็นไหม มันเลยไม่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะมีเราน่ะ เพราะมันมีเรา มันเลยไม่มีอะไรเลยไง มันเลยเร่ร่อนไง

แต่ถ้าไม่มีเรา ทุกคนก็มีความคิด ทุกคนเกิดมา สัตว์ทุกตัวเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แล้วเราก็ปรารถนาเหมือนกัน ความปรารถนาเหมือนกัน แล้วปรารถนาแล้ววิ่งไปหากันเจอไหม ต่างคนต่างตะครุบเงานะ

พยับแดด เห็นไหม เห็นพยับแดด โอ้โฮ นึกว่าเป็นเพชรนิลจินดา ไปตะครุบมัน ไม่มีอะไรเลย พยับแดด ชีวิตเราทั้งชีวิตเป็นพยับแดด แล้วเร็วมาก ชีวิตของเรา ๑๐๐ ปี ๑๐๐ กว่าปี เราว่าชีวิตนี้ยาวไกลมาก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ วันคืนล่วงไปๆ นี่เร็วมากนะ ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๖๐ ปี ๑๐๐ ปี จะตายแล้ว มันผ่านไปชั่วครั้งแป๊บเดียวถ้าใจเรามีความสุข ถ้าใจเรามีความทุกข์นะ วันเวลานี้มันเนิ่นนานมาก มีแต่ความทุกข์นี้เหยียบย่ำหัวใจ เห็นไหม นี่มันอยู่ที่นี่นะ มันอยู่ที่ใจของเรานี่

เรามาเสียสละกัน เราแสวงหาของเรา ทำบุญกุศลเพื่อให้ตื่นตัวขึ้นมาก่อน ถ้ามีคนที่เริ่มทำบุญกุศล มันจะเห็นคุณค่า

ใครเป็นคนทำบุญ

นี่สิ่งที่ทำบุญ ใครเป็นคนทำ

ที่มานี่ใครพามา

ที่มาทำบุญ ใครเป็นคนมาทำ

ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักตัวเอง แต่มันก็อยากจะได้บุญ มันอยากจะได้บุญ ก็ใจมันพามา มันมีความศรัทธา มีความเชื่อพามา มาทำบุญกุศล เห็นไหม เป็นอามิส สิ่งที่อามิส ดูสิ รถที่มาต้องเติมน้ำมันมา น้ำมันก็ต้องหมดเป็นธรรมดานะ เราต้องเติมน้ำมันไปบ่อยครั้งมันก็ไปได้ยาวไกล

บุญกุศลนี่มันพาให้เรามีความร่มเย็นเป็นสุขนะ ร่มเย็นเป็นสุขไปตรงไหน ตรงที่ว่าเวลาเราเกิดสิ่งใดขึ้นมา เราไม่รู้จะพึ่งใครเลย แต่ถ้าเรามีหลักใจของเรา เห็นไหม นี่ไง พอมีอะไรกระทบกระเทือนใจขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เป็นอริยสัจ เป็นความจริง ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่ง

ความสัมผัส ความทุกข์มีคนให้ค่า สิ่งที่เราพอใจ เราก็เป็นความสุข คนที่ไม่พอใจเขาก็เดือดร้อน ดูสิ บ้านใกล้เรือนเคียง บ้านเขาเปิดเสียงเพลงของเขาดังลั่น เขามีความสุขของเขา ไอ้บ้านข้างเคียงจะเป็นจะตาย เห็นไหม คนหนึ่งมีความสุข ทำไมคนหนึ่งมีความทุกข์ล่ะ ทุกข์คือการให้ค่า เราให้ค่าสิ่งใด เราพอใจสิ่งใด สิ่งนั้นเราก็เป็นความทุกข์ เราก็เป็นความสุข แต่ถึงมันไม่พอใจสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นความทุกข์ เราก็ผลักไส นี่ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง

แล้วถ้าเรามาศึกษาธรรมะ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา มันมีอยู่แล้ว เรานั่งอยู่นานๆ ก็เจ็บปวดเมื่อยเป็นเรื่องธรรมดา โดยสัญชาตญาณคนมันก็ขยับ มันก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะเอาชนะมันไง สิ่งที่เป็นเวทนา เจ็บปวดเป็นธรรมดา อะไรเป็นธรรมดา นี่ไง เวลาเรานั่ง เรานั่งเพลิดเพลินในชีวิตประจำวันของเรา เรานั่งคุยกัน นั่งสนทนากัน ๓-๔ ชั่วโมงนะ แป๊บเดียวนะ ไม่ปวดไม่เจ็บเลย ทำไมมันไม่ปวดไม่เจ็บล่ะ ก็จิตมันไม่รับรู้ไง จิตมันไม่รับรู้เลย ถ้าเรานั่งสมาธิภาวนา มันยิ่งชัดเจนขึ้นมา นั่งปกติมันเผลอ มันก็ไม่มีความเจ็บความปวด เวลาเรานั่งจริงๆ ขึ้นมามันก็มีความเจ็บความปวด

ความเจ็บความปวดมันมาจากไหน ความเจ็บความปวดเพราะใจมันไปรับรู้

จริงๆ แล้วจิตใจมันโง่เง่าทั้งนั้นเลยล่ะ มันอวดเก่ง มันรู้ไปหมดนะ รู้จักเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย ถ้ามันชนะตัวเองขึ้นมาได้ อะไรมันเจ็บมันปวด จิตใจมันเอาชนะตัวเอง เหนี่ยวรั้งความรู้สึกของเราไว้ เหนี่ยวรั้งความคิดของเราไว้ นี่ศาสนามันอยู่ที่นี่นะ

ศาสนามันอยู่ที่ใจสัมผัส ใจสัมผัสนะ ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ไง แล้วความเห็นโทษ ความเห็นคุณของมัน ถ้าเราไม่เห็นคุณ เราไม่เห็นเป้าหมายของเรา เราจะมาทนทุกข์ทรมานทำไม พระเราทำไมต้องนั่งสมาธิภาวนา พระมาอดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไร ก็เพื่อเอาชนะตัวเองให้ได้ ถ้าเอาชนะตัวเองให้ได้ เห็นไหม ชนะข้าศึกเท่าไร เรามีสมบัติมากเท่าไรนะ มันเป็นสมบัติสาธารณะหมดเลย

แต่ถ้าเรามีสมบัติของใจ ใจมีความสงบของใจ ใจเอาสมบัติอันนี้ไปกับใจ ใจมีปัญญาขึ้นมา ปัญญาคืออะไร ปัญญาโลกุตตรปัญญาไม่ใช่ปัญญาวิชาชีพ ปัญญาที่แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย ปัญญาที่รู้จักว่ามันไม่เจ็บไม่ปวด ปัญญาที่มันรู้ว่าสิ่งที่เจ็บปวดนี่มันเกิดขึ้น มันเป็นอนิจจัง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา แต่เพราะมันโง่ มันไม่เข้าใจ มันก็เลยไม่เป็นธรรมดา แล้วมันก็ไปผลักไส ยิ่งผลักไสมันก็ยิ่งบวกกำลัง ๒ เห็นไหม ยิ่งไม่ต้องการเจ็บ ยิ่งไม่ต้องการปวด ยิ่งไม่ต้องการทุกข์ ยิ่งไม่ต้องการอะไรเลยมันยิ่งเร่าร้อน

แต่ถ้ามาเผชิญหน้ากับมันนะ อะไรเป็นความจริง อะไรมันมีคงที่อยู่บ้าง โลกนี้มีอะไรเป็นคงที่อยู่บ้าง มีเพราะเรายึดทั้งนั้นเลย มันไม่มี ดูสิ อย่างเช่น ศาลามันมีเพราะอะไร มีเพราะเราก่อสร้างขึ้นมา แล้วมันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา แม้แต่วัตถุมันยังเสื่อมไปเป็นธรรมดา อารมณ์ทำไมมันไม่ยอมเสื่อมล่ะ ทุกข์ในหัวใจทำไมมันไม่ยอมผลักไสมันออกไปล่ะ สิ่งที่เศร้าหมองใจ สิ่งที่หมักหมมในใจ ทำไมไม่ละมันออกไปล่ะ ก็มันละไม่ได้ เพราะมันชอบ เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไปยึดมัน แล้วทำไมถึงยึด อะไรมันไปยึด นี่ถ้าเราไม่มีการประพฤติปฏิบัติ นี่ศาสนามีคุณค่าที่นี่มากนะ

ธรรมโอสถ เจ็บไข้ได้ป่วยไปโรงพยาบาลกัน ไปหาหมอ ไปกินยากัน ไปให้หมอตรวจกัน ธรรมโอสถ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ศาสนธรรม” ศาสนาคือตัวศาสนาอยู่ที่นี่ คือตัวสัจจะ สัจจะความจริง นี่คือตัวศาสนา

ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล เห็นไหม ไอ้นี่มันของชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ เราก็เป็นบุคคลคนหนึ่ง เกิดขึ้นมาก็เป็นพระ ไม่บวชขึ้นมาก็ศาสนบุคคล แล้วศาสนธรรมอยู่ที่ไหน ไปอยู่ในตู้พระไตรปิฎก นั่นมันกระดาษเปื้อนหมึก มันกระดาษน่ะ ไปอ่านมันถึงรู้ขึ้นมาไง

แต่ถ้าใจมันสัมผัสนะ ถ้าใครเป็นสมาธิขึ้นมามันจะฝังใจไปตลอดเวลา นี่ถ้าเกิดมีปัญญาขึ้นมา “โอ้โฮ! ทำไมเมื่อก่อนมันโง่ขนาดนี้ ทำไมเราไม่เข้าใจชีวิตเลย ทำไมชีวิตเรา เราปล่อยมันเสียเวลาไปเปล่าๆ คิดว่าหาสิ่งใดมันจะเป็นความสุขของเรา หาสิ่งใดมาจะเป็นของๆ เรา” นี่มันปล่อยชีวิตไปวันหนึ่ง แต่พอปัญญามันเกิดขึ้นมา โอ้โฮ! โอ๊ะ! โอ๊ะ! เลยนะ

ครูบาอาจารย์ พระธรรมมาถึงนี่น้ำตาร่วงๆ เลย “ชีวิตเป็นอย่างนี้เหรอ ชีวิตเป็นอย่างนี้เหรอ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นอย่างนี้เหรอ เป็นอย่างนี้เหรอ ทำไมโง่ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ของอยู่กลางหัวใจ อยู่ในหัวอกนี่”

สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป “อานนท์ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย เราจะเอาสมบัติของเราไปคนเดียวนะ”

เวลาพระอานนท์รำพึงรำพันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ว่าเมื่อไรมันจะหมดมรรคหมดผล หมดความรู้สึกในหัวใจ “อานนท์ เมื่อใดมีผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

พอพูดถึงพระอรหันต์ เราก็เข่าอ่อนนะ “มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันหมดยุค หมดกาลสมัย”

ทุกข์หรือเปล่า

ทุกข์ไหม

พระอรหันต์ก็คือดับทุกข์ไง ทุกข์ในใจมันมีมันดับได้ไหม ถ้ามันดับได้นั่นล่ะพระอรหันต์ แล้วทุกข์เรามีไหม อ้าว! ทุกข์เรามี ใครปฏิเสธบ้างว่าไม่มีความทุกข์ แล้วทุกข์มันดับได้ไหม เราก็ว่าดับไม่ได้ ดับไม่ได้เพราะอะไร เพราะอ่อนแอ เพราะไม่เข้มแข็ง เพราะไม่จริงจัง เพราะเราไม่เชื่อมั่นตัวเอง เพราะเราไม่คิดว่าตัวเองจะมีศักยภาพพอ นี่ไง ไฟเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่นใช่ไหม นี่ไฟดับไฟ ไฟมันก็ดับ มีทุกข์ในใจ ทุกข์ดับมันก็จะจบ

ดับทุกข์แล้วมันไม่มีได้อย่างไร มรรค ผล นิพพาน มันไม่มีได้อย่างไร ในเมื่อไฟมีที่ไหน แล้วดับไฟ ไฟมันก็ดับใช่ไหม ทุกข์ในหัวใจถ้ามันดับแล้วมันจะไปไหน แล้ววิธีดับมันอยู่ที่ไหน วิธีดับทุกข์ในใจ วิธีจะดับอย่างไร

ใจมันจะไม่เร่ร่อนนะ เราเห็นแล้วมันสังเวช ดูสิ เห็นคนอพยพมันน่าสังเวช เราเคยมีบ้านมีเรือน เกิดวิกฤตในชีวิตขึ้นมา คนจนไม่มีบ้านมีเรือนเขานอนกลางสนามหลวง เขานอนกันตามที่ร่มไม้ชายคา

เราเป็นชาวพุทธนะ ทะเบียนบ้านเราบันทึกไว้ตั้งแต่เกิดเลยว่าเราเป็นชาวพุทธ แล้วมันก็จะเผาบ้านตัวเอง ไม่มีที่พึ่งอาศัยไง ทั้งๆ ที่มีบ้านอยู่นะ แล้วก็ให้วัฏฏะมันยึดไปไง ให้ชีวิต ให้วัฏฏะคือการเกิดการตายมันยึดบ้านเราไป แล้วเราก็จะเร่ร่อนไป เราจะไม่มีบ้านที่อาศัย แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรานะ สร้างบ้านของเราให้ได้ จิตเป็นสมาธิ จิตมีหลักเกณฑ์นะ “อ๋อ!” นี่ไง มีบ้าน บ้านคืออะไร เพราะจิตมันมีที่พักอาศัย มันมีเรือนของมัน มันมีที่อยู่อาศัยของมัน เราจะไม่เป็นคนเร่ร่อน เราเป็นชาวพุทธนะ อย่าให้ใจเร่ร่อน เราต้องทำของเราให้ได้ เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง