เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ มี.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจทำบุญนะ เวลาเราทำบุญเราจะได้บุญไหม เวลาเราตั้งใจทำบุญน่ะ เราคิดว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ เพราะเราคิดว่าบุญมันอยู่ที่ไหน บุญมันอยู่ที่ตัวเลขในธนาคารใช่ไหม บุญมันอยู่ที่ปัจจัยเครื่องอาศัยจากภายนอกใช่ไหม แต่เราไม่เข้าใจเลยว่าบุญคือความสุขของใจ

ดูสิ เวลาเราเข้าใจผิด เรามีความเห็นผิด ถ้าเราแก้ไขความเห็นของเราให้มันถูกต้องได้ เราจะมีความสุขไหม ความสุขคืออะไร ความสุขมันปล่อยโล่งไง อะไรที่มันคาใจอยู่มันหลุดออกหมดเลยไง เห็นไหม บุญมันอยู่ตรงนั้น บาปอกุศลคือความเข้าใจผิด คืออวิชชา อวิชชามันปิดบังหัวใจเราไว้ ว่าหัวใจเรา ชีวิตเรา หัวใจที่เกิดมา ปฏิสนธิจิตเกิดในครรภ์ เกิดมาเป็นเรา สิ่งนี้มีคุณค่ามาก อวิชชามันปิดไว้ ปิดไว้ว่าเราเกิดมาแล้วเราต้องมีสถานะ เราต้องมีนู่นมีนี่ มีไปหมดเลย มีแต่ข้างนอกไง นักวิทยาศาสตร์รู้ไปทุกอย่างเลย แต่ไม่รู้เรื่องของตัวเอง เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องของตัวเอง เราถึงได้ทุกข์ได้ยากกัน

เราทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อฟังธรรม เพื่อสะท้อนกลับมาในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา บุญมันอยู่ที่นี่ จะทุกข์ยากดีมีจนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าหัวใจมันเป็นธรรมขึ้นมา มันเข้าใจนะ มันมองแล้วขำ มันมองแล้วมันเรื่องของโลกวิ่งเต้นกัน วิ่งกัน หากัน เสร็จแล้วตัวเองได้อะไร ตัวเองเหนื่อยยากมาก แล้วหัวใจก็ทุกข์ เห็นไหม บุญมันปลดเปลื้องความทุกข์ในหัวใจเรา นี่คือบุญ

ความเข้าใจผิดของเรา เราไปดูบุญกันข้างนอก เราไปดูนะ ไอ้นั่นลาภ ลาภสักการะ “โมฆบุรุษตายเพราะลาภ คนโง่เขลาตายเพราะเหยื่อ” เหยื่อมันอยู่ข้างนอก ถ้าเราตั้งสติของเรา มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่อาศัยดีมันเป็นคุณงามความดีขึ้นมา ถ้าอาศัยไม่ดีสิ ดูยาเสพติดสิ ทำให้คนเสียหายได้หมดเลย ทางการแพทย์เขาไปใช้เป็นมอร์ฟีน เขาใช้การบำบัดความเจ็บไข้ได้ป่วยนะ เขาใช้เป็น คนใช้เป็นนะ มอร์ฟีนเขาเอามารักษาคนไข้ได้ มันแก้ปวด แต่ถ้าคนใช้ไม่เป็น มันใช้แล้วมันทำให้เสียหายไปหมดเลย

เราอยู่ในศาสนากัน แล้วก็มองนะว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธประเสริฐมาก ศาสนาพุทธยอดศาสนา แล้วศาสนาพุทธ พุทธศาสนาทำไมโจรปล้นมันเยอะนักล่ะ ทำไมคนที่ขี้โกงมันเต็มศาสนาพุทธเลย นี่เขาก็ว่าศาสนานี้เป็นของดีๆ ทำไมมันมีแต่คนขี้โกง ไอ้คนขี้โกง แล้วมาโทษศาสนาๆ เหมือนกัน ทำบุญแล้วไม่เห็นได้บุญอะไรเลย เพราะเราไม่เห็น พอได้บุญขึ้นมา เราก็จะเอาแต่ผลประโยชน์ของเรา เราไม่ได้คิดถึงว่าบุญคือความสุขของใจ นี่ก็เหมือนกัน เวลาโจรมันจะปล้น คนมันจะขี้โกง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับศาสนา

เอ้า.. ศาสนามันสุดยอดอยู่แล้ว ศาสนา ถ้าใครได้เข้าถึงตัวศาสนานะ มันคิดอกุศลไม่ได้ ใจคิดดีคิดชั่วมันออกมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจมันชั่ว มันก็คิดออกมาแต่เรื่องชั่วๆ แล้วมันเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวอะไรกับศาสนาล่ะ เพราะศาสนาบอกให้ใจเป็นปกติใช่ไหม ความปกติของใจคือศีล.. ศีล สมาธิ ปัญญา

เราเป็นคฤหัสถ์ ถ้าคฤหัสถ์เริ่มจากทาน เพราะถ้าไม่ไปถือศีล พอถือศีล.. เวลาพระปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำตนให้ลำบากเปล่า เราจะเอาแต่สะดวกสบายกัน เพราะเราต้องการความสะดวกสบายโดยกิเลสนี่ไง มันถึงทำให้ผู้เห็นผิด เอาศาสนานี่มาเป็นเครื่องมือหากิน นี่สะดวกสบาย ทำอะไรปฏิบัติง่ายๆ ทั้งนั้นน่ะ...ง่ายๆ มันความมักง่าย ความมักง่ายมันเกี่ยวอะไรกับมรรค ความมักง่าย ความสะดวกสบายมันเกี่ยวอะไรกับศาสนา มันเกี่ยวอะไรกับศาสนาบ้าง

ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องปูพื้นฐานขึ้นมา มันต้องมีความวิริยอุตสาหะ มันต้องมีบริหารจัดการ หน้าที่การงาน บริหารจัดการ เรายังสู้เขาไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีการศึกษาที่ดี เราไม่มีการวางแผนที่ดี ในการจัดการเรื่องของวัตถุข้าวของ เก็บของไว้สิ แก้วแหวนเงินทองไปวางไว้กลางถนนให้เขาหยิบเอาเหรอ แล้วปฏิบัติจะทำอย่างนั้นกันง่ายๆ ได้อย่างไร นี่ปฏิบัติมันไม่ง่าย ปฏิบัติไม่ง่ายหรอก ปฏิบัติเอาชนะตนเองน่ะ แต่เพราะอะไร เพราะกิเลสมันหลอก เราก็เอาง่ายๆ กัน เราถึงเป็นเหยื่อ.. “โมฆบุรุษตายเพราะลาภ” ลาภจากข้างนอก ลาภจากข้างใน ลาภจากหัวใจไง

เขาบอกว่าได้ขั้นนั้นๆๆ น่ะ เขาเอายัดเยียดมาให้...ธรรมะยัดเยียดมีไหม?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้ทางใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะให้ใครไม่ได้เลย แล้วใครจะมาการันตีความบริสุทธิ์ความสะอาดของเราได้...ไม่มีหรอก! ไม่มี! ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก รู้จากหัวใจของเรา หัวใจนี่เรารู้เลย ดูสิ บุญ เราถึงเข้าใจ ถ้าคนปฏิบัติไปแล้วมันจะเข้าใจเรื่องบุญกุศล บุญกุศล ตั้งแต่ความปกติของใจ ถ้าศีลมันสงบเข้ามา จิตมันปกติอย่างไร จิตมันพัฒนาการของมันอย่างไร

ถ้าจิตมันพัฒนาการของมันขึ้นมา ดูสิ มรรคหยาบ มรรคละเอียด มรรคมีโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค.. มรรคมีหลากหลายมากเลย แล้วมรรคอันไหนมันจะแก้กิเลสอันไหน กิเลสอย่างหยาบๆ ความเห็นผิดเรานี่ สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด เพราะเราเห็นผิด เราถึงได้ทุกข์ยากกันอยู่นี่ เพราะเราเห็นผิด ถ้าเราเห็นถูกต้องขึ้นมา มันก็เห็นอันเดียว มันก็เป็นปกติธรรมดาร่างกายมนุษย์เรา แต่เราไม่เห็นผิด...มันเป็นสัจจะอันหนึ่ง

เราว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมดา...ธรรมดาก็คือกิเลสไง ภวาสวะ ภพไง ความเป็นภพ ความเป็นธรรมดา ธรรมดาอะไร ธรรมดาโดยไม่รับผิดชอบมันเหรอ แต่ถ้ามันรู้จริง ทำความเป็นจริงของมันแล้ว เราปล่อยไว้ตามความเป็นจริงเป็นธรรมดา อันนั้นต่างหากล่ะ มันต้องรู้จริงเห็นจริงแล้วมันถึงจะเป็นธรรมดา ถ้าไม่รู้จริงเห็นจริงมันจะเป็นธรรมดาได้อย่างไร ธรรมดาป่วยทำไม ธรรมดาเจ็บไข้ได้ป่วยทำไม ธรรมดาต้องโอดโอยทำไม แล้วว่าธรรมดาๆ...นี่กิเลสมันหลอก

ว่าทำไมโจรปล้น โจรในพุทธศาสนามันเยอะนัก เพราะนั่นเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเอาศาสนาเป็นเครื่องมือหากินกัน

ศาสนานี้ ดูสิ พระเรา เวลาเราประพฤติปฏิบัติ.. ศีลเอาไว้ทำไม? ศีลเอาไว้จับผิดตัวเราเอง ศีลเอาไว้แก้ไขเรา มันเป็นธรรมาวุธ มันเป็นอาวุธ ดูสิ อาวุธในสัจธรรมน่ะ เราเอาอะไรไปสู้กับกิเลส ดูคนเขาสู้เสือสิ นายพรานเขาเข้าป่า เขามีปืนนะ เวลาเสือมาเขายิงเสือตายนะ เราเอามือเปล่าๆ ไปสู้กับเสือ นี่ก็เหมือนกัน เราเอาอาวุธอะไรที่ไปสู้กับกิเลสของเรา เราเอาอะไรบ้างที่จะกลั่นกลองว่ากิเลสเรามันอยู่ที่ไหน แล้วพอจะถือศีลขึ้นมามันเป็นอาวุธที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้ มันเป็นคุณสมบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าให้อาวุธไว้ ไว้ต่อสู้กับกิเลสของตัว

อัตตกิลมถานุโยค ทำไม่ได้ มันลำบาก...มันจะลำบากไปที่ไหน ในเมื่อเราเห็นคุณค่าของมันน่ะ เราเห็นคุณค่าของการจะชำระกิเลสของเรา กิเลสมันอยู่ในใจจะเอาชนะมัน ถ้าเอาชนะมัน มันจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่เอาชนะมัน อ่อนแอตั้งแต่หัวหน้าลงมาเลย หัวหน้าอ่อนแอ ลูกน้องอ่อนแอไปหมดน่ะ ถ้าหัวหน้าเข้มแข็ง มันพาเข้มแข็ง เห็นไหม โคนำฝูง โคที่ดีมันจะนำฝูงโคขึ้นฝั่งนะ มันจะพาฝูงโคนั้นขึ้นจากฝั่งได้ ถ้าโคมันโง่นะ มันจะพาฝูงโคไปวังน้ำวน แล้วมันก็จะโดนดูดไปอยู่ในใต้วังน้ำวนนั้นน่ะ นี่แล้วเอาอกเอาใจกันไง พากันไปหาวังน้ำวน.. โอ้.. ที่นี่มันสบาย มันลอยไป มันวน มันดูดไป แหม.. ชื่นใจๆ...แล้วพอจะฝืนมันฝืนไม่ได้ อัตตกิลมถานุโยค นี่เพราะอวิชชามันปิดหัวใจของเรา

แล้วเวลาพระจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันหลีกเร้นนะ ความหลีกเร้นเพื่ออะไร หลีกเร้นเพื่อหาตัวเรา การประพฤติปฏิบัติก็เพื่อหาตัวเรา เราหลีกเร้น กายสงบ กายวิเวก จิตวิเวก.. กายไม่วิเวก จิตจะวิเวกได้อย่างไร ถ้ากายไม่วิเวก พอกายวิเวกไป จิตมันยิ่งฟุ้งซ่าน เพราะอะไร เพราะอยู่ด้วยกันมันเกื้อกูลกัน มันพึ่งพาอาศัยกัน อุ่นใจนะ มันมีความสุขใจ พอออกกายวิเวก.. กลัวผี กลัวเจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่มีใครดูแล นี่เวลาแยกออกไป กายวิเวก จิตมันจะฟุ้งซ่านมาก กายวิเวก จิตมันจะดิ้นรนมาก จิตมันกลัวมาก จิตมันต้องการการคลุกคลี จิตมันต้องการพึ่งพาอาศัยกัน พอแยกจิตออกไป กายวิเวก จิตมันจะวิเวก จิตจะวิเวกขึ้นมาเพราะเราต้องเข้มแข็ง เราต้องตั้งสติ เราต้องต่อสู้กับมัน กายวิเวกนะ แล้วจิตมันไม่วิเวก มันนอนจมของมัน อันนั้นก็ต้องขุดคุ้ยหามัน ขุดคุ้ยหามันนะ

นี่คุณค่าของหัวใจ คุณค่าของจิตมีคุณค่ามาก แต่คุณค่าอันนี้เราต้องมารื้อฟื้นมัน คุณค่าอันนี้ไม่ใช่คุณค่า.. ตะกอนนอนก้นไง.. ว่างๆ ธรรมชาติ ธรรมดา ชีวิตนี้มันเป็นธรรมดา...การเกิดการตายก็เป็นธรรมดา การที่เกิดมาแล้วนั่งอยู่นี่เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง การเกิด จิตมันต้องเกิดเป็นธรรมดา แล้วมันก็ต้องตายเป็นธรรมดา ธรรมดาไปข้างหน้านะ มันจะทุกข์ยากไปข้างหน้า

ในปัจจุบันนี้เรามีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ เรายังมีความรู้สึกตัวอยู่ เราจะเตรียมพร้อมไหม ถ้าเราเตรียมพร้อมขึ้นไปน่ะ เวลาเราตายไป เราติดมือเราไปนะ เราเป็นคนทำ ทำดีทำชั่วมันจะติดตัวเราไป แต่ถ้าเราไม่ทำสิ่งใดไปนะ เวลาตกทุกข์ได้ยากนะ เมื่อไหร่คนนั้นจะดูแล เมื่อไรคนนั้นจะรักษา เหมือนให้คนเขาส่งไปน่ะ

ถ้าคนส่งไปนะ.. ทำบุญ บุญเกิดจากอะไร บุญเกิดจากอริยสัจ เกิดจากความจริง เราเสียสละไปนั่นเป็นบุญ เขาบอกว่าทำบุญฝากพระไปแล้วพระเอาไปให้ พระเป็นบุรุษไปรษณีย์ ถ้าบุรุษไปรษณีย์มันโกงน่ะ...ไม่ได้หรอก ของนั้นส่งไปให้ไม่ถึงหรอก เห็นไหม ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับถ้าบริสุทธิ์น่ะ ของนี่จะบริสุทธิ์ผุดผ่องมากเลย เพราะสิ่งที่ให้มันเป็นวัตถุ แต่คนที่ให้คือหัวใจ หัวใจผู้ให้ มีเจตนา หัวใจคิด หัวใจทำนั้น เจตนานั้นเป็นบุญ พอบุญเสียสละไปแล้ว บุญอยู่ที่ไหน บุญมันอยู่ที่ความรู้สึก ความพอใจของเรา ไอ้ความพอใจของเราตรงนั้นน่ะ นี่อุทิศส่วนกุศลไป! อุทิศส่วนกุศลไป! เพราะใจถึงใจ ใจของเรา ความรู้สึกของเราน่ะ อุทิศส่วนกุศลไป แล้วผู้ตาย ผู้ที่เขาจะรอรับอยู่นี่มันก็เป็นความรู้สึกอันนั้นน่ะ ความรู้สึกนั้นมันจะถึงกัน

ไม่ใช่ว่าเอาวัตถุนี้ยัดเยียดกันไปหรอก มันคนละภพ คนละสถานที่ การอยู่ การกิน การใช้ การสอย ไม่เหมือนกัน เรากินกวฬิงการาหาร ในนรกอเวจี ในเทวดา อินทร์ พรหม เขากินวิญญาณาหาร อาหารที่เป็นทิพย์ อาหารที่เป็นวิญญาณาหาร อาหารที่เป็นทิพย์ ถ้ามันไม่มีวัตถุ ไม่มีธาตุที่เป็นอาหารในมนุษย์ อะไรเป็นอาหาร อาหาร เห็นไหม ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหม เวลาเขาทำบุญกุศลไปแล้วเขาไปเกิดเป็นเทวดา เขาจะกินอาหารอย่างนี้อีกไหม อาหารที่มาใส่บาตรนี่เขากินไหม ไม่มีร่างกาย เขาไม่มีปาก เอาอะไรไปกิน เขากินทิพย์ของเขา มันเป็นความรู้สึกใจอันนั้น

ถ้าใจอันนั้นรู้จักบุญกุศลอันนี้ เราอุทิศส่วนกุศล ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง

แต่ถ้าเราไม่ต้องการรอให้ใครอุทิศส่วนกุศลให้เรา เราทำของเราเสียบัดนี้

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เราทำบุญกุศลเพื่อครูบาอาจารย์ๆ ท่านจะเอาสมบัติของเราเหรอ สมบัติหยาบๆ นะ ของหยาบๆ เขาไม่เอาหรอก อย่างของเรา เรามีสมบัติแก้วแหวนเงินทองมหาศาลเลย เขาไปเอาพวกวัตถุแร่ธาตุต่างๆ ที่ไม่มีค่า เราจะเอาไหม? เราก็ไม่เอา เรามีของดีอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน ในชีวิตปัจจุบันนี้ ถ้าเราเข้าใจของเรา สิ่งที่มันเป็นประโยชน์ เป็นโทษจากข้างนอก ทำบุญก็ไม่รู้จักบุญกุศลเป็นอย่างไร เวลาว่าศาสนานี้มีคุณค่ามาก ทำไมคนมันทุจริต คนคดโกงกันมหาศาล อันนั้นเรื่องภายนอกนะ เรื่องของเขา เรื่องของเราดูใจเรา ถ้าใจเราพัฒนาขึ้นมาแล้ว เราจะเห็นโทษหมดเลย ถ้าความเห็นผิด อวิชชา แม้แต่ตัวศาสนาเราก็ตีความมันผิด มีความเห็นผิด เราก็ใช้ชีวิตของเราผิดๆ ไป แล้วมันจะเข้าไปถึงทางที่ถูกต้องได้อย่างไร

สัมมาทิฏฐิ-มิจฉาทิฏฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิจะใช้ชีวิตของเรา ข้อวัตรปฏิบัติ ทำข้อวัตรปฏิบัติว่าเป็นความลำบาก มันเป็นความลำบาก มันเป็นการเคลื่อนย้าย เป็นการเคลื่อนไหวของหัวใจของจิตที่เคลื่อนไหวเพื่อจะหาสิ่งต่างๆ ที่มันฝังใจอยู่น่ะ ถ้ามันเคลื่อนย้าย มันมีการแสวงหา มีการค้นหาอยู่

ความไม่พอใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความคับแค้นใจ...กิเลสทั้งนั้น! แล้วเราเวลาทำงานมันพอใจไหม มันขัดแย้งทั้งนั้น! แล้วทำไมไม่จับมัน ทำไมไม่ดูมัน ทำไมสิ่งที่ขัดแย้งในใจ ทำไมไม่จับมันมาพิจารณาว่าไอ้นี่มันคืออะไร

การเคลื่อนไหว การกระทำของเรา ข้อวัตรปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธจริต ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาล วางไว้ให้เป็นวิธีการให้เราเป็นเครื่องดำเนิน ให้เราค้นหากิเลสของเรา แต่เราไม่เข้าใจ เราเห็นว่าเป็นความทุกข์ยาก ถ้านอนจมกับกิเลสมันเป็นความดี เห็นไหม เป็นธรรมดา.. เป็นธรรมชาติ...รู้ไปหมด กิเลสมันพารู้ไปหมดเลย นี่กล่าวตู่พุทธพจน์ กล่าวตู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวความเป็นจริงของมัน มันไม่รู้อะไรเลย

แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันรู้ของมันนะ มันจะซึ้งใจตั้งแต่วิธีการ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุด จะสอนได้อย่างไร มันก็สอนที่ข้อวัตรปฏิบัติ สอนที่วิธีการนั้นน่ะ เพราะวิธีการนั้นมันจะเข้าหาเป้าหมาย เป้าหมายที่ได้มาเพราะวิธีการกระทำอันนั้นน่ะ แต่พวกเราปฏิเสธวิธีการว่าวิธีการนี่เป็นของลำบากลำบน แต่ต้องการผล.. ว่างๆ ว่างๆ...ขี้ลอยน้ำ.. ขี้ลอยน้ำ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาน่ะ มันจะมีวิธีการของมัน แล้วเห็นมาก ทะนุถนอมมาก

หลวงปู่มั่นท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ “เก็บเล็กผสมน้อย” หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ท่านจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ เป็นปาปมุต ปาปมุตหมายถึงว่าไม่เป็นอาบัติ พ้นจากอาบัติไปแล้ว อาบัติเป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ ธรรมวินัยนี่เป็นสมมุติบัญญัติ วิมุตติพ้นจากบัญญัติทั้งหมด เป็นปาปมุต ทำอย่างไรก็ไม่เป็นอาบัติ เพราะใจไม่มี ความเจตนาที่ทำนั้นไม่มี แล้วท่านทำ ท่านดำรงชีวิตอย่างไรล่ะ ท่านดำรงชีวิตเป็นแบบอย่าง ท่านไม่เอาตามความสะดวกสบายของธาตุขันธ์เลย การอยู่การกิน การดำรงชีวิตของท่าน ท่านอยู่เพื่อเป็นคติตัวอย่างกับลูกศิษย์ลูกหา

ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วไม่มีกิเลส ไม่มีอาบัติ อาบัติไม่มี แต่ทำไมท่านถึงดำรงชีวิตอย่างนั้น เก็บเล็กผสมน้อย นี่เป็นชีวิตแบบอย่าง เป็นที่ยึดเหนี่ยวของลูกศิษย์ลูกหา นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีที่ยึดที่เหนี่ยว ถ้ามีครูมีอาจารย์คอยยึดเหนี่ยวนะ เรายึดเหนี่ยว แต่กิเลสมันจะไม่ยอม ไม่ชอบ มันชอบสิ่งที่ตามความเห็นมัน ชอบตามความสะดวกสบายของมัน

ถึงว่าศาสนามีคุณค่ามาก แต่มีคุณค่ามากต่อเมื่อเราเห็นผลของเขา เราเห็นคุณงามความดี แล้วเราปฏิบัติความดี “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เราสร้างเหตุที่ดีๆ ทำสิ่งที่ดีๆ ชีวิตเราจะประสบความสำเร็จ มันจะไปเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฉะนั้น ถ้าชีวิตของเรา เราไม่ทำดีของเรา เพราะอะไร เพราะว่าทำไมศาสนานี้ดี ทำไมพระปฏิบัติในศาสนาทำไมทำตัวเหลวไหลกัน เพราะเขาเข้าไม่ถึงสัจธรรม เขาเข้าไม่ถึงรสแห่งธรรม เขาเข้าไม่ถึงสัจจะความจริง แล้วเราจะเข้าถึงไหม ถ้าเราเข้าถึง เราจะไม่มีกิริยาการกระทำอย่างนั้นออกมา

สิ่งที่การกระทำ พูดอย่างใดทำอย่างนั้น ทำอย่างใดพูดอย่างนั้น ไม่ใช่ทำอย่างพูดอย่าง ถ้าพูดอย่างใดทำอย่างนั้น มันเป็นความจริงอันเดียวกัน ครูบาอาจารย์ท่านบอก ไม่ลูบหน้าปะจมูก มันเป็นความจริงอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นกิเลสของเรานะ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่เราไม่พอใจ เราชอบใจอันหนึ่ง เราจะบอกสิ่งที่เราชอบใจนั้นถูกต้อง เห็นไหม มันถูกตามกิเลส ผิดตามกิเลส แต่ถ้าเป็นความจริงนะ กิเลสไม่เกี่ยว มันต้องเป็นความจริงของมัน แล้วเรายึดอันนั้น ถ้ายึดอันนั้นมันขัดแย้งกับกิเลสของเรา นี่โจร โจรมันดิ้นแล้ว เราไปมองแต่โจรข้างนอก เราไม่มองโจรในหัวใจของเรา

ใครบ้างไม่ปรารถนามรรคผล ทุกคนก็ปรารถนามรรคผล แต่มรรคผลของธรรมหรือมรรคผลของกิเลสล่ะ ถ้ามรรคผลของกิเลส มันก็ทำแต่ตามใจตัว.. มรรคผลของธรรม มันจะบังคับตนให้เข้าหาธรรม แล้วมันจะเป็นธรรมจริงๆ ตามความเป็นจริงนั้น เอวัง