เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ มี.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอ้า.. ฟังธรรมนะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน เป็นวันพักไง มันพักของกิเลส แต่กิเลสมันไม่พักหรอก กิเลสมันอยู่กับเรา วันพระ วันโกนน่ะ พระพุทธเจ้าให้เราออกแสวงหาบุญกุศล ให้บุญกุศลนี่ยับยั้ง สติ เห็นไหม มีสติยับยั้งชีวิตให้รู้จักมีสติยับยั้ง รถนะ ไม่มีเบรก รถนี่ไปไม่ได้หรอก รถนี่มีคันเร่ง เวลาเราตั้งใจทำคุณงามความดีต้องเหยียบคันเร่ง เวลามีความศรัทธา มีความเชื่อ มีความสุข เวลาเราทำหน้าที่การงาน งานถ้ามันจะประสบความสำเร็จ เราต้องมีความหมั่นเพียร แต่เวลามันทุกข์มันยาก เราต้องมีเบรกห้ามล้อ เห็นไหม วันพระ วันโกน เบรกกิเลสตัณหาความทะยานอยากเพื่อจะให้เรามีสติสัมปชัญญะบ้าง

ชีวิตนี้สำคัญมากนะ เราไปเห็นแต่สิ่งที่เป็นสมบัติพัสถานมีความสำคัญ เวลาเราจะพลัดพรากจากมันน่ะ สิ่งที่เป็นหัวใจเราดีนะ ดูสิ คนที่เขามีสติสัมปชัญญะ ก่อนที่เขาจะตายนะ เขาจะเอาสมบัติแบ่งปันไว้ให้เรียบร้อย เพื่อจะไม่ให้มีความแก่งแย่งไปข้างหน้า เขาคิดของเขาไว้เรียบร้อยนะ แต่ถ้าเราไม่คิดว่าอายุเราจะสั้นใช่ไหม แล้วเราต้องตายไปน่ะ สมบัติยังไม่ได้แบ่งไว้นี่มันเป็นภาระกับคนอื่นนะ

ความคิดคนไม่เหมือนกันหรอก ความคิดว่าของเล็กน้อย แต่คนที่มันทุกข์มันยากนะ ของเล็กน้อยเป็นของมากนะ ดูลิ้นกับฟันสิ ลิ้นกับฟันในปากเรามันขบกัน มันขบนะ มันเจ็บปวดเรานะ เวลามันขบกัน ลิ้นกับฟันเราแท้ๆ เวลาอยู่เป็นประโยชน์กับเรา เราไม่มีลิ้นเราจะกินอาหารอย่างไร เราไม่มีฟันเราจะบดเคี้ยวอาหารได้อย่างไร ไม่มีลิ้นไม่มีฟัน อาหารจะลงไปกระเพาะได้อย่างไร ร่างกาย อาการ ๓๒ มันต้องสามัคคีกัน เราจะมีความสุขนะ แต่ทำไมมันขบกันล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ในสังคมของเรา ในร่างกายกับจิตใจของเรา มันก็ขบกันนะ มันขบกัน มันกัดกันด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเราไม่เข้าใจมัน

ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราจะไม่เห็นความรู้สึกความขัดแย้งในหัวใจของเรา ความขัดแย้งนะ ฤๅษีชีไพรเขาแสวงหาทางออกกัน เขาพยายามแสวงหาทางออกนะ เขาทำความสงบของใจ เขาว่าเขามีความสุขนะ กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ ไปนอนบนพรหมด้วย ยังเอาตัวรอดไม่ได้นะ เอาตัวรอดไม่ได้ เขาเป็นสุภาพบุรุษนะ เพราะเขาเอาตัวรอดไม่ได้ เขารู้ว่าเขามีกำลังของเขา แต่เขาไม่มีปัญญาของเขา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาโลกธาตุหวั่นไหว อยู่บนพรหมไหวหมดเลย เขาลงมาดู ทั้งดีใจทั้งเสียใจ ดีใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดแล้ว ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นคนชี้ทางเรา เราพร้อมอยู่แล้ว แต่เราไปไม่ได้ เพราะเราไม่มีปัญญา ปัญญาที่จะย้อนกลับมา เป็นไปไม่ได้ แต่เวลาร้องไห้เสียใจเพราะว่าชีวิตเราต้องตายก่อน คนพร้อมอยู่แล้วแต่ยังไม่ถึงโอกาส

แต่เรานี่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีโอกาสมาก พระพุทธศาสนาสอนอะไร เราไปมองกันนะ พระพุทธศาสนาไปมองที่วัดวาอาราม ไปมองที่สิ่งต่างๆ พระนี่เป็นศาสนวัตถุนะ เป็นศาสนบุคคล วัดวาอารามเป็นศาสนวัตถุ ภิกษุสงฆ์เป็นศาสนบุคคล ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากล่ะ ศีลธรรมจะยับยั้งใจเรา ศีลธรรมน่ะ คนเชื่อไม่ได้! บุคคลเชื่อไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกบุคคลเชื่อไม่ได้ เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เว้นไว้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ครูบาอาจารย์เราที่ใจเป็นธรรม แล้วเราจะมีวุฒิภาวะอย่างไร รู้ว่าใครเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ในเมื่อเราคนตาบอด เราตาบอด เราจะไม่เห็นสิ่งใดข้างนอกหรอก ใจมันบอด ถ้าหัวใจมันบอด มันไม่รู้สิ่งต่างๆ ว่าใครดีหรือใครไม่ดีหรอก ทีนี้ใครดีใครไม่ดี เราถึงต้องดูการกระทำ ดูพฤติกรรม พฤติกรรมมันบอกนะ ดูสิ ถ้าใจคึกคะนอง การแสดงออกมาของใจ

แต่ถ้าสงบเสงี่ยม ดูสิ พระสมัยพุทธกาลนะ เขาเห็นว่าภิกษุองค์หนึ่ง สันตกาย มีความสงบเสงี่ยมมากเหมือนพระอรหันต์เลย ไปบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ให้เรียกเข้ามา” พอเรียกเข้ามา พระพุทธเจ้าเทศน์ด้วย สันตกาย กายสงบเสงี่ยมมาก กายมันเป็นโทษไง เห็นไหม ลิ้นกับฟัน กายกับใจมันเป็นโทษ กายเป็นโทษเพราะกายไม่ใช่ของเรา มันเกิดมานี่มันบีบคั้น เจ็บไข้ได้ป่วยมันจะบีบคั้นมาก เทศน์ให้พระสันตกายฟัง พระสันตกายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลยจากฟังเทศน์นั้น แต่กิริยาท่าทางจากภายนอก แล้วพระก็ถามว่าทำไมสงบเสงี่ยมขนาดนั้นน่ะ สงบเสงี่ยมเพราะเขาเคยเกิดเป็นราชสีห์มา ๕๐๐ ชาติ ความเกิดเป็นราชสีห์มา ๕๐๐ ชาติ ราชสีห์ สิงโตนี่มันจะออกหากิน สติมันจะดีมาก มันจะควบคุมตัวมันตลอดเวลา

พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์แท้ๆ เลย พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์แท้ๆ เป็นอัครสาวกเบื้องขวาด้วย เขามีกิจนิมนต์ไปฉันที่บ้าน พอไปฉันที่บ้านมันเป็นเรือกสวน มันเป็นคลอง โดดข้ามๆ พระไปด้วยกันน่ะ พระสารีบุตรนะ ด้วยความยกย่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ทำไมกิริยาท่าทางไม่น่าเลื่อมใสเลย กระโดดข้ามคลองไป ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ว่าทำไมพระสารีบุตร พระพุทธเจ้ายกย่องมากเป็นผู้ที่เป็นเลิศในทางปัญญา ทำไมมีกิริยาอย่างนั้นน่ะ “เขาเคยเกิดเป็นลิงมา” กิริยาของลิงมันยังมีอยู่ กิริยาของลิงในอดีตชาติที่เคยเป็นมา แต่ในปัจจุบันนี้เป็นพระสารีบุตร เป็นเลิศทางปัญญา

บุคคลทั้งๆ ที่มีคุณธรรมในหัวใจ แต่เราดูไม่ออกหรอก พระสารีบุตรโดดข้ามคลอง สันตกาย ปุถุชนธรรมดานี่แหละ แต่เราไปเห็นเขาสงบเสงี่ยมเจียมตน โอ้โฮ.. นั่นพระอรหันต์แน่ๆ เลย พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณ ตาไม่บอด ตาในเห็นชัดเจนมาก

ดูความคิดเราสิ เวลาความคิดเราเกิดขึ้นมา เราเห็นกระดาษขาวไหม เวลาเราเขียนตัวอักษรลงไป เขียนหนังสือไปมันจะมีตัวอักษรใช่ไหม “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ใสน่ะ ความคิดเหมือนกับอักษรที่เขียนลงไป ทำไมเวลารู้วาระจิต ทำไมเรารู้ไม่ได้ รู้ได้ไม่ได้ รู้แล้วเป็นประโยชน์กับใคร รู้สิ่งต่างๆ ขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์อะไรกับเรา เราต้องรู้จิตเราสิ เราต้องแก้ไขเรานี่ ลิ้นกับฟันนี่มันขบกัน มันเจ็บปวด แล้วลิ้นกับฟันมันเป็นวัตถุ ลิ้นกับฟันมันเป็นธาตุ มันขบกัน มันขบ จิก กัดกัน แล้วทำไมมันเจ็บปวดที่ไหน มันเจ็บปวดที่ใจ ใจไปรับรู้

นี่ก็เหมือนกัน เรากลับมาที่ใจของเรานะ มาดูที่ใจของเรา ถ้าใจของเรา นี่ไง ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ศาสนธรรมคำสั่งสอน ศาสนธรรม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์ธัมมจักรฯ พระอัญญาโกณฑัญญะ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดขึ้นมาแล้วหนอ” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา”

เราก็คิดกันไปจินตนาการนะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” เรามีของก็โยนทิ้ง นี่เกิดได้เป็นธรรมดาใช่ไหม ก็โยนทิ้งไปธรรมดา....แล้วเหลืออะไร? ก็เหลือมึงโยนทิ้ง มึงโยนทิ้งแล้วมึงได้อะไร

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” แล้วมันเหลืออะไร? ผู้รู้การเกิดดับ ผู้เห็นการเกิดและผู้เห็นการดับ แล้วผู้ที่รับรู้อยู่ไหน รับรู้อยู่ไหน “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” ก็เอามาสิ แล้วก็โยนทิ้งไป ไอ้กูก็ทุกข์อย่างเก่านี่ แล้วมันมีอะไรขึ้นมาล่ะ มันเข้าไม่ถึงใจ เพราะใจหยาบ

ถ้าใจมันละเอียดนะ ความคิดที่เกิดกับใจ ความทุกข์ความสุขที่เกิดกับใจน่ะ สิ่งต่างๆ ข้างนอกมันเป็นที่พึ่งอาศัยทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่อาศัยจากภายนอก แต่สิ่งภายในที่มันเกิดขึ้นมา นี่ภพมันเกิดที่นี่ ภพมันเกิดที่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิ ความคิดเกิดที่ไหน ภพเกิดที่นั่น ชีวิตมันอยู่ที่ไหน ชีวิตมันอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ชีวิตอยู่ที่หายใจเข้าๆ ออกๆ นี่หรอก ชีวิตหายใจเข้าๆ ออกๆ มันเป็นวิบากแล้วนะ เรามีผลบุญผลกรรม เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เรามีผลบุญผลกรรม เรามาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี่มันเป็นวิบาก เป็นผลเกิดขึ้นมาจากกรรม จากการกระทำ

แต่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะเกิดมาแก้ไขเรา แก้ไขหัวใจของเรา ถ้าเราแก้ไขหัวใจของเราได้ เราทำจิตใจเราให้พ้นจากกิเลสได้ สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่มีคุณค่าที่สุด แล้วมันมีคุณค่าที่สุดจากอะไร ดูสิ ข้าวสารเก็บไว้ เรากินไม่ได้ แต่สัตว์มันกินได้ แต่เราจะกินข้าว เราต้องเอาข้าวสารมาหุงเป็นข้าวสุก พอข้าวสุกเราถึงกินข้าวสุกได้ หัวใจเรานี่ดิบๆ หัวใจของเราเป็นอวิชชาครอบงำ แต่มีวิชชา วิชชาทำให้มันสุก วิชชา ตบะธรรมไง ถ้ามีตบะธรรม ถ้าตบะธรรม ทำให้ถูกต้อง ดูสิ เวลาเขาทำกัน หุงข้าวน่ะ เขาซาวน้ำเสร็จ เขาลืมกดปุ่มหม้อข้าว มันอยู่อีกปีหนึ่งมันก็ไม่สุก อยู่อีกปีหนึ่งข้าวนั้นก็กินไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเรา เราเตรียมพร้อมทุกอย่างพร้อม แต่หัวใจเรามันไม่เป็นไป ถ้าหัวใจไม่เป็นไปเพราะอะไรล่ะ เพราะใจมันด้าน จากใจบอดไม่สนใจสิ่งใดเลย จากใจบอด ปฏิเสธทั้งหมด มันจะเอาแต่ความสะดวกสบายของมัน พอถึงประพฤติปฏิบัติมีความเชื่อมั่นขึ้นมาก็ยังด้านอีก ดื้อด้าน พอดื้อด้านขึ้นมามันต้องมีข้อวัตร มันต้องมีการกระทำ ดูสัตว์สิ เขาเอาสัตว์มาใช้งาน เขาต้องฝึกต้องซ้อมมัน ต้องฝึกมัน ดูวัวควายเขามาไถนา วัวควายที่มันไถนาไม่เป็นราคาหนึ่ง วัวควายที่เขาฝึกดีแล้วเป็นราคาหนึ่ง

จิตที่ฝึกดีแล้ว แต่จิตเรามันยังไม่ทันฝึก ถ้าจิตนี้ฝึกดีแล้ว มันจะมีคุณค่าขนาดไหน

ทีนี้พอมีคุณค่าจะฝึกขึ้นมา.. ก็ลำบากๆ...วัตรปฏิบัตินี่ไม่ลำบากนะ วัตรปฏิบัติเป็นเครื่องดำเนินไปถึงที่เป้าหมาย เราทำงานกัน เราลำบากไหม เราทำงานเอางานเหรอ เราทำงานขึ้นมาเพื่อเอาผลของงานใช่ไหม เราทำธุรกิจการค้ากันเพื่ออะไร ก็เพื่อเงินทองใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติเพื่ออะไร นี่เราปฏิบัติเพื่อผลใช่ไหม เราปฏิบัติเพื่อจิตพ้นจากทุกข์ใช่ไหม เราไม่ใช่ไปเอาความปฏิบัติเป็นเป้าหมายไง นี่เหมือนกับเตรียมหุงข้าวแล้วไม่กดปุ่ม ไฟมันไม่มา ไฟมาไม่ได้ นี่ไง สักแต่ว่าทำ ทำกันไปนะ.. ธรรมชาติ ธรรมดา...ธรรมดาก็คือกิเลสไง กิเลสก็ธรรมดาไง การเกิดการตายก็กิเลส การเกิดการตายหมุนไปมันก็ธรรมดาไง แล้วก็ธรรมดานะ นอนจมอยู่กับกิเลสไง แล้วก็บอกว่านั่นเป็นการปฏิบัติ...มันเป็นไปไม่ได้

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าตรัสรู้ได้ ๖ ปีนะ มีการกระทำ มุมานะ การมุมานะของเรา เราเดินจงกรม เรานั่งสมาธิภาวนา มันเป็นความรู้ความเห็นของเรานะ มันเป็นการขัดเกลากิเลสของเรานะ ใครเขาจะดูถูกดูแคลน ใครจะว่าเราเป็นคนที่ไม่สู้โลก ใครเขาว่าเราจะไม่ขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียร การนั่งเฉยๆ การเอาจิตเอาไว้ในอำนาจของเรา ความขยันหมั่นเพียรอันนี้ยากลำบากมาก การขยันหมั่นเพียรจากภายนอกนะ เราทำเองก็ได้ เราไหว้วานคนอื่นให้ทำได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ความเป็นสมาธิ ความสงบของใจ ไหว้วานคนอื่นทำไม่ได้ ข้าวของเงินทองแลกเปลี่ยนมาไม่ได้ เราต้องลงมือลงทำ คนทุคตะเข็ญใจ เศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน สมัยพุทธกาล กษัตริย์ออกบวชมาก เวลาปฏิบัติถึงที่สุด “สุขหนอ! สุขหนอ!” จนพระด้วยกันไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่ากษัตริย์คงบ่นพร่ำเพ้อถึงราชวัง เพราะมาอยู่โคนไม้แล้วมันสุขมาก ไปฟ้องพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็เรียกพระองค์นั้นมาถามว่า “จริงไหม.. เธอว่าสุขหนอจริงไหม”

“จริงครับ จริง สุขหนอ สุขหนอ”

“ทำไมถึงว่าสุขหนอล่ะ”

“โอ้โฮ.. เป็นกษัตริย์อยู่ในราชวังนะ การปกครองมันจะทุกข์ยากมาก แล้วอำนาจ ทุกคนต้องการมาก มันระแวงเขาไปหมดเลย หัวใจนี่ทุกข์มาก..” เวลามาอยู่โคนไม้ ไม่มีใครมาแย่งเรานะ โคนไม้ไม่มีใครเอาน่ะ ถ้าพูดถึงใจเอาไว้ไม่ได้นะ ทุกข์นะ อยู่โคนไม้เราจะอยู่ด้วยความทุกข์ลำบาก แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วถึงที่สุด นี่อยู่โคนไม้ หนึ่ง สถานที่ก็ไม่มีใครมาแย่งชิง หัวใจที่เราเอามาไว้ในอำนาจของเราแล้วมันไม่เหมือนลิ้นกับฟัน มันไม่ขบกัน มันไม่กัดกัน มันไม่กดทับกัน มันอิสรภาพ มันปล่อยของมันเองนะ “สุขหนอ สุขหนอ” ชีวิตมีเท่านี้ ชีวิตเรา ปัจจัยเครื่องอาศัยก็มีเท่านี้ แล้วอยู่ไปวันๆ รอสิ้นอายุขัยเท่านั้น พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ รอถึงเวลาของเขานะ

ถ้าเราบอกว่าเรามีบุญสมบัติมาก ทำไมเราไม่เอาสมบัตินั้น คนบอกว่าทำบุญมากจะได้ไปสวรรค์ ทำไมไม่รีบๆ ตายจะได้ไปสวรรค์ล่ะ การรีบๆ ตายจะไปสวรรค์ ไอ้นั่นมันเป็นความคิดอกุศลใช่ไหม คนทำความดีจะคิดอกุศลได้อย่างไร มันก็ต้องรอถึงเวลาไง เทียนหมดเล่มมันก็จะเผาไหม้ตัวมันเองจนหมดสิ้นไป เทียนไม่หมดเล่ม ไปดับซะกลางคันน่ะ เทียนที่เหลือทำอย่างไร ชีวิตเรายังไม่ถึงที่สุด

ถ้าถึงที่สุดแล้ว พอมันดับขันธ์ไป พระอรหันต์ “สุขหนอ สุขหนอ” สุขเพื่อรอวันเวลา ถึงเวลาแล้วนะ สละทิ้งหมดเลย สอุปาทิเสสนิพพาน ความคิด ร่างกาย เป็นเศษเหลือทิ้งตั้งแต่ใจบรรลุธรรม ใจบรรลุธรรมแล้วกิเลสตายแล้วนะ ถึงสิ้นกิเลสนิพพาน เวลาถึงเวลาตายถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธ์ ๕ ขันธ์ที่เศษส่วนจะเหลือทิ้งไป “สุขหนอ สุขหนอ” พระอรหันต์มีชีวิตอยู่ก็มีความสุขอยู่แล้ว ธาตุขันธ์มันเป็นส่วนประกอบเท่านั้น มันแค่อยู่อาศัยกันไปเท่านั้นเอง นี่เป็นภาระ เป็นเครื่องดูแล

แต่ของเราขันธมาร ความคิดก็บีบคั้น ร่างกายมันก็บีบคั้น มันเป็นมาร มันเหยียบย่ำเรา เราดูแลมัน เรารักษามัน

วันนี้วันพระ ถ้าพระ เราจะต้องเวียนเกิดเวียนตายอย่างนี้อีกไหม เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา กาฬเทวิลยังร้องไห้ ขนาดมีฌานสมาบัตินะ รื้ออดีตชาติได้ยังร้องไห้ ร้องไห้ว่าไม่มีโอกาสวาสนา เพราะเขาต้องไปเกิดเป็นพรหมแน่นอน ยังมีชีวิตอยู่ เขายังอยู่บนพรหมอยู่แล้ว ตายแล้วจะไปไหน จิตนั้นไปเกิดเป็นพรหม มันเป็นอีกสถานะหนึ่งแล้ว เป็นอีกสถานะหนึ่ง เป็นอีกชีวิตหนึ่งไปเกิดที่บนพรหม แต่จิตดวงนั้นน่ะ

แต่ของเรา เราเห็นซึ่งๆ หน้า ธรรมะกองอยู่ข้างหน้า เหมือนสำรับอาหาร จะกินหรือไม่กิน ถ้ากินเข้าไปก็อยู่ในกระเพาะของเรา จะประพฤติปฏิบัติหรือไม่ประพฤติปฏิบัติ จะทำหรือไม่ทำ ถ้าทำก็เป็นสมบัติของเรา ไม่ทำก็เป็นสำรับวางอยู่ข้างหน้านั้นน่ะ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ซึ่งๆ หน้าเรา เราจะเอาไม่เอา เราจะเอา เราจะขวนขวาย เราจะเอา เราต้องถนอมรักษา แล้วจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง