เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นไหมฝนตก เวลาฝนตกนะ พระเราไม่มีประสบการณ์ อยู่ในป่าฝนตกจะดำรงชีพอย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในป่า เวลาฝนตกน่ะ ท่านเอาจีวรใส่ไว้ในบาตร ทีนี้เวลาพระไปด้วยกันน่ะ เอ้า.. เวลาเช้าขึ้นมา ทำไมเราอยู่ในป่าผ้าเราเปียกหมดเลย ทำไมผ้าครูบาอาจารย์บางองค์ไม่เปียก นี่ประสบการณ์การธุดงค์

ธรรมะของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประสบการณ์มาก่อน มรรคญาณเกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้วางธรรมวินัยให้เราเป็นเครื่องหมาย เพื่อเราจะดำเนินชีวิตของเราให้เป็นประสบการณ์จริงของเรา แต่เราไปศึกษาธรรมวินัยกันเป็นทฤษฎี เหมือนพ่อแม่เรา พ่อแม่เราทุกข์ยากนะ หาอยู่หากินมาน่ะเพื่อลูก ส่งลูกเรียนหนังสือ ส่งลูกทำมาหากิน แล้วลูกพอทำมาหากินมันมีหน้าที่การงาน มันก็ว่าพ่อแม่มันโง่

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทฤษฎีมีไหม ทฤษฎีต่างๆ นี่ไม่มีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง รื้อค้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ไม่ใช่รื้อค้นมาในตำรา ตำรามันเป็นทางวิชาการเท่านั้น เป็นวิชาการให้เรารื้อค้น เรารื้อค้นแล้วมันเป็นเครื่องหมายการดำเนิน แต่ประสบการณ์จริงอันนั้นในหัวใจมันต้องมีขึ้นมา

ถ้าประสบการณ์จริงในหัวใจไม่มีขึ้นมา มันอวดรู้ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นอึ่งอ่าง อึ่งอ่างน่ะตัวมันพอง แล้วมันก็ทุกข์ในหัวใจเต็มหัวใจเลย แต่ทิฏฐิมานะนะ เวลาทุกข์ ทุกข์อยู่ข้างนอก เวลาความรู้รู้อยู่ข้างนอก ทุกข์อยู่ในใจ ทุกข์นี่หมักหมมอยู่ในหัวใจ แต่อวดรู้ รู้แต่ข้างนอก รู้แล้วแก้ไขตัวเองไม่ได้ แต่คนมีประสบการณ์จริงนะ เขาจะรู้จริงของเขาก่อน เขารู้จริงเพราะการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขารู้จริงขึ้นมา เขาถึงสั่งสอนมา

เหมือนพ่อแม่เรา เมื่อก่อนนะ พ่อแม่เรานะ เสื่อผืนหมอนใบมากันน่ะ มาทำมาหากินนะ มาทำจนตั้งตัวขึ้นมาได้ แต่เวลาเรามีการศึกษาขึ้นมาน่ะ ดูถูกเลยนะ พ่อแม่ไม่มีการศึกษา พ่อแม่ไม่มีความรู้ ไม่มีความรู้เลี้ยงมึงมาได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่โคนไม้ อยู่ในป่าน่ะ มันมาจากไหน มันมาจากการรื้อค้นมาจากใจนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาต พวกพราหมณ์เขาดูถูก “สมณะทำไมไม่ทำนาเอง สมณะทำไมไม่หากินเอง” เราบอกว่าเราทำอยู่ตลอดเวลานะ ปัญญาเป็นแอกและไถ สติเป็นผาลและปฏัก เราไถอยู่ตลอดเวลา ไถหัวใจของเรา เราไถของเรา แต่นี่เราไปไถเรื่องของคนอื่นไง ไปไถนาของคนอื่นไง ไปศึกษาเล่าเรียนวิชาการของคนอื่นมาไง แล้วก็มาสุมหัวไว้นะ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เอาตัวไม่รอดเพราะมันทุกข์ไง เอาตัวไม่รอดเพราะมันแก้หัวใจมันไม่ได้ไง ถ้ามันแก้หัวใจมันไม่ได้ มันจะมีคติที่ไหนเป็นที่ไป มันมีคติที่ไหน เพราะมันไม่รู้ทางไป ทางไป.. มรรคโค ทางอันเอก เราก็มองถนนหนทาง มองเครื่องดำเนิน ถนนหนทาง ดูสิ เขาจะสร้างบ้านสร้างเรือน เขาต้องมีนั่งร้านขึ้นไป นี่คือทาง

นี่ก็ว่ากันไปนะ เวลาพระเทศน์ มรรคเป็นอย่างนั้นๆ.. มันไม่เคยเห็น ถ้าไม่เคยเห็น นี่ทาง มรรคโค สัมมาอาชีวะ เราเลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงข้าวปลาอาหาร แต่เป็นมรรคญาณน่ะ ความคิดเป็นอาหารของใจ ความคิดน่ะ เลี้ยงชีพชอบ ความคิดผิดคิดถูกน่ะ ถ้ามันคิดถูกขึ้นมามันจะแก้ไขเข้ามาในหัวใจนี้ ถ้ามันคิดผิด เป้ามันส่งออกแล้ว มันไปตามกระแส แต่ธรรมะมันจะทวนกระแสเข้ามา ทวนกระแสเข้าไปที่ใจ ทวนกระแสเข้ามา แล้วประสบการณ์อย่างนี้ เวลาพูดกันมา มันพูดเหมือนกัน กิน รับประทาน เสวย เหมือนกัน คำพูดเหมือนกัน แต่สถานะของคนมันต่างกัน สถานะของคนต่างกัน

ใจก็เหมือนกัน ใจ สถานะของคน ปุถุชนไม่รู้เรื่องอะไรเลย สมาธิก็เขียนเลย สมาธิเป็นอย่างนั้น พอคนเขานั่งสมาธิเข้ามาได้.. อันนั้นไม่ใช่ เพราะมันผิดจากตำรา ตำราเขียนไว้ ส.เสือ ม.ม้า สระอา ธ.ธง สระอิ.. สมาธิต้องเป็นอย่างนี้ แล้วสมาธินี้มันเป็นขึ้นมาในใจเป็นอย่างไรล่ะ? ไม่ใช่ เป็นสมาธิต้องเป็น ส.เสือ นี่ เห็นไหม เพราะมันเรียนเข้าแล้วมันยึดไง นี่ไง ความรู้มันส่งออก พอมันส่งออกขึ้นมา มันไปยึดทฤษฎี แต่ความจริงมันเป็นขึ้นในหัวใจไหม

แต่คนที่ทำสมาธิขึ้นมาได้ในหัวใจน่ะ เขารู้เข้ามาในหัวใจของเขา หัวใจของเขารู้จริงเห็นจริงของเขาขึ้นมา ตัวชื่อสมาธิไม่เกี่ยว เรากินอาหารเข้าไปแล้ว อยู่ในกระเพาะของเรา อาหารที่เป็นสำรับนั้นมันหายไปไหน มันไปอยู่ในกระเพาะของเรา สารอาหารนั้นมันอยู่ในร่างกายของเรา มันให้ผลกับร่างกายของเรา นี่ร่างกายมันยังขับถ่ายทิ้งไปเลย แล้วหัวใจที่มันรู้ขึ้นมา มันรู้ขึ้นมา มันมีอะไรตกผลึกในหัวใจนั้น นี่ประสบการณ์ตรง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนะ “เราจะเผยแผ่ได้อย่างไร เราจะสอนใครได้อย่างไร” เพราะสุตมยปัญญา คือทางวิชาการที่ศึกษากัน จินตมยปัญญา ทำการวิจัย จินตมยปัญญา ทางวิทยาศาสตร์ จินตมยปัญญา จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ จินตนาการ ถ้ามีจินตนาการด้วย มีความรู้หนุนเข้าไปด้วย จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ จินตมยปัญญา จินตนาการในธรรม จินตนาการกันเวิ้งว้างว่างเปล่าไปหมดเลย ว่างจนไม่มีหลักมีเกณฑ์ ภาวนามยปัญญายังไม่เกิดเลยนะ

ภาวนามยปัญญาไม่เกิดเพราะอะไร เพราะมันไม่มีฐานข้อมูล ไม่มีผู้ที่ออกจากข้อมูลนั้นมา จิตมันสงบเข้ามา มันถึงฐานข้อมูลนั้น แล้วฐานข้อมูลนั้น ภาวนามยปัญญามันเกิดเฉพาะใจที่มันเป็น ใจที่มันเป็นนะ ปัญญาจากสมอง ปัญญาจากจิต ปัญญาจากสมองนี่รู้กันทั้งนั้นน่ะ ปัญญาจากสมองทบทวนได้ ตรวจสอบกันได้ ตรวจสอบกันในทางวิชาการกันได้ แต่ภาวนามยปัญญา ตรวจสอบได้ ตรวจสอบได้แต่ผู้รู้จริงกับผู้รู้จริง เขาตรวจสอบกัน ผู้รู้จริงพูดออกมา ความจริง คนที่ไปเห็นสมบัติอันเดียวกันมา ทำไมจะพูดสมบัติอันนั้นถูกไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันเป็นจริตนิสัยของคน จริตนิสัยของคน ให้ค่าไง ความชอบของคนแตกต่างกัน ความคาดหลากหลาย ความหลากหลายนี่มันเกิดมาจากไหน มันก็เกิดมาจากสิ่งที่เราได้สร้างบุญกุศล ได้สร้างซับสมกันมาเป็นข้อมูลเดิม ข้อมูลจากอดีต มาปัจจุบัน จากอนาคต

ถ้าปัจจุบันนี้ยังแก้ไขไม่ได้ มันจะยังมีอนาคตอยู่แน่นอน ถ้ามันมีปัจจุบันนี้ มันทำลายที่ปัจจุบันนี้น่ะ เราอยู่กับปัจจุบันนี้ แต่เราอยู่กับปัจจุบันนี้ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันวิตกกังวล มันไม่มีความเชื่อมั่นในตัวมันเอง ไม่มีความเชื่อมั่นเลย เพราะข้อมูลภายในรู้ไปหมด แต่ตัวเองไม่รู้ ตัวเองไม่รู้ตัวเองก็หวั่นไหว ตัวเองก็ไม่มีจุดยืนของตัวเอง ตัวเองไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เลย

แต่ถ้ามันทำลายถึงจุดปฏิสนธิจิต มันจะไปไหน เราคุมข้อมูลทั้งหมด เราคุมปัจจุบันนี้ทั้งหมด สรรพสิ่ง เราคุมทรัพยากร คุมทุกอย่างหมดเลย แล้วมันจะไปไหนได้.. มันไปไหนไม่ได้เลย มันไปไหนไม่ได้เพราะมันอยู่ในอำนาจของเรา สิ่งที่อำนาจของเรา มันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากการกระทำนะ ประสบการณ์ของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนะ ทรมานตนอยู่ ๖ ปี ทั้งๆ ที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วในพระไตรปิฎก พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ได้ง่าย ทุกคนก็ปรารถนาจะไปเกิดพร้อมกับพระศรีอริยเมตไตรย เราปรารถนา แต่เราได้ทำไหม เรามีเหตุมีผลไหม เราอยากร่ำอยากรวย แต่เราไม่ทำงาน มันจะเป็นไปได้ไหม ในปัจจุบันนี้คิดแต่ความสะดวกสบายกัน

ถ้าเวลาปฏิบัติก็เป็นอุตสาหกรรม ต้องทำเหมือนกันเลย เป็นอุตสาหกรรมเหมือนกันหมดเลย ดูสิ เดี๋ยวนี้ ดูทางพืช เขาก็ต้องมีโดมปลูกกันแมลง นี่มันเป็นอุตสาหกรรม ถ้าเป็นอุตสาหกรรม มันเป็นเรื่องโลกๆ น่ะ มันเข้าถึงธรรมะไม่ได้ แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ดูสิ เราจะปลูกพืช ปลูกธัญญาหารต่างๆ มันอยู่ที่สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมของคนมันก็หลากหลาย ดูอาหารสิ อาหารเหมือนกันนะ อาหารเหมือนกันแต่คนละภูมิภาคน่ะ เรียกชื่อต่างกัน ส่วนผสมต่างกัน เพราะพื้นที่เขามีทรัพยากรของเขาอย่างนั้น เขาต้องใช้ของเขาอย่างนั้น แล้วเราก็บอกว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆๆ...มันเป็นไปไม่ได้หรอก จิตของคนก็เหมือนกัน จิตของคนมันหลากหลาย มันมาหลากหลาย แต่! แต่เป้าหมายอันเดียวกัน สัจจะมีอันเดียว อริยสัจจะมีอันเดียว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์.. เหตุให้เกิดทุกข์

ทุกข์ดับ.. วิธีการดับทุกข์

วิธีการดับทุกข์ ดับอย่างไร วิธีการดับทุกข์นะ ถ้าดับทุกข์ เราดับทุกข์ของเรา ในเมื่อบอกว่าเราเป็นชาวพุทธกัน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา เราไม่ได้หวังมรรค ผล นิพพาน เรามาทำบุญกุศลเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงมรรค ผล นิพพานหรอก...ใช่ เรามาทำบุญกุศลเท่านั้น แต่ถ้าใจมันพัฒนาขึ้นไปนะ เราปฏิบัติเพื่ออะไร ก็เราปฏิบัติเพื่อมีความสบายใจ เพื่อชีวิตนี้มีความเข้าใจทางชีวิตนี้

ที่มันทุกข์กันอยู่นี่นะ เพราะมันไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจปั๊บ เราก็ดิ้นรนแสวงหา สิ่งที่ดิ้นรนแสวงหา มันดิ้นรน มันขัดข้องหมองใจ มันเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะขาดอันนี้ แล้วทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ไปทำงานก็ทุกข์ อาบเหงื่อต่างน้ำก็ทุกข์ แล้วไอ้หัวใจเรามันก็ยังขัดข้อง หัวใจมันยังดิ้นรน แต่ถ้าเราศึกษาธรรมะแล้วเราปฏิบัติ นี่ไง ความขัดข้อง ความหมองใจ มันจะเบาจากใจเรา ถ้าเรารู้ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงคือเรื่องอะไร คือเรื่องกรรม เรื่องสัจธรรม เราเกิดมาแล้ว ทุกคนปรารถนาดีทั้งนั้นน่ะ แต่มันมีอยู่ต้นทุนเดิมที่เราสร้างสมมามันเป็นอย่างนี้ พันธุกรรมทางจิตมันเป็นอย่างนี้ พอมันเป็นอย่างนี้ กรรมมันเป็นอย่างนี้ เราก็ขวนขวายเต็มที่ในปัจจุบันนี้

ปัจจุบันนี้เราทำให้ดีที่สุด ปัจจุบันนี้ทำให้ดีที่สุดเพราะอะไร เพราะคนไข้คนป่วย ถ้ามียารักษา มีหมอรักษา คนไข้นั้นจะมีโอกาส เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ธรรมโอสถแก้ไขเรื่องของทุกข์ ธรรมโอสถนี่ดับทุกข์ ธรรมโอสถ สิ่งที่ดับทุกข์ มันประเสริฐที่สุด โรคภัยไข้เจ็บ พวกยา พวกสารเคมี เขาก็รักษาแค่เฉพาะร่างกายเท่านั้น เขารักษาใจไม่ได้หรอก รักษาใจไม่ได้นะ เพราะการรักษา หมอรักษาด้วยร่างกาย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารักษาทางร่างกายด้วย รักษาทางจิตใจ เพราะอะไร รักษาร่างกายด้วย ถ้าจิตใจมันดีแล้วร่างกายมันจะดีตามไป ถ้าจิตใจไม่ดี ร่างกายจะดีขนาดไหน ดูสิ คนร่างกายแข็งแรงมากเลย แต่มีความทุกข์ มีความเศร้าหมอง มีความเศร้าซึม ร่างกายที่แข็งแรงมีประโยชน์อะไร แต่ถ้าจิตใจมันดีนะ ร่างกายจะแข็งแรง ร่างกายจะขาดตกบกพร่อง ขาดตกบกพร่องคือว่ามันเป็นโรคภัยไข้เจ็บ

แต่ถ้าหัวใจมันเข้มแข็ง ธรรมโอสถรักษาได้นะ ธรรมโอสถ แต่ต้องจิตใจเข้มแข็ง ธรรมโอสถ เวลานั่งภาวนาโรคภัยไข้เจ็บหายได้ หายได้ต่อเมื่อจิตใจเข้มแข็ง จิตใจเข้มแข็ง สมาธิสมาบัติ ในกำลังมันมีกำลังมาก แต่เวลาแก่เฒ่าขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์.. เธอไปตักน้ำมาให้เราฉัน เรากระหายเหลือเกิน” ร่างกายเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือสภาพมันชราภาพไป มันเสื่อมไปเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์.. ร่างกายเราเปรียบเหมือนเกวียนที่มันชำรุดคร่ำคร่า มันจะต้องผุพังไปเป็นธรรมดา” ร่างกายของคนมันต้องผุพังเป็นธรรมดา แม้แต่ร่างกายของพระอรหันต์ก็ต้องทิ้งไปเป็นธรรมดา มันเป็นเศษทิ้งจากจิตที่มันตรัสรู้ธรรม จิตที่มันบรรลุธรรมแล้ว จิตที่มันบรรลุธรรมมันไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ไม่มีความขัดข้องหมองใจในหัวใจ ความขัดข้องในหัวใจมันทำให้ติดพัน ไม่ยึดสิ่งใดเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายของเรามันก็ต้องย่อยสลายไปเป็นธรรมดา

จิตมันทิ้งตั้งแต่มันตรัสรู้ธรรมแล้ว ถ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว สิ่งที่เราอาศัยมันไป มันต้องชราคร่ำคร่าไปเป็นธรรมดา จิตมันไม่ไปยึดมั่น มันไม่ไปทุกข์ไปร้อน มันไม่ไปกังวลน่ะ มันไม่กังวลตั้งแต่สมบัติข้างนอก แล้วสมบัติในกายของเราที่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นสมบัติของเรามากับเราอยู่แล้ว มันยังไม่วิตกมันยังไม่กังวลเลย มันจะเอาทุกข์มาจากไหน ในเมื่อร่างกายนี้ก็ไม่ติดมัน ร่างกายนี้มันก็ไม่ทุกข์ของมัน ในหัวใจที่รับรู้มันก็ไม่ทุกข์กับมัน มันปล่อยหมด ด้วยการกระทำของเรา ด้วยประสบการณ์ตรงของเรา ด้วยประสบการณ์ของจิต ประสบการณ์ของจิตนะ จิตวิวัฒนาการ

เวลาพระปฏิบัติเขาคุย เขาถามปัญหากัน เขาถามปัญญากันอย่างนี้ “สมาธิทำอย่างไร จิตสงบแล้วออกวิปัสสนาอย่างไร แล้วมันละกาย ทิ้งจิต ทิ้งอย่างไร ทำลายอย่างไร” มันไม่เห็นมันพูดไม่ได้หรอก พูดตามตำรานะ เอ้า.. สมาธิก็ ส.เสือ ม.ม้า สระอา สิ ถ้าเป็นสมาธิในที่ปฏิบัติมา นั้นเอ็งไม่มีความรู้ เอ็งทำไม่เป็น เอ็งไม่รู้เรื่อง นี่ไง สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนในหัวใจ แต่ตามทฤษฎีมันต้องเอาชื่อมันมาอ้างอิงกัน แล้วก็จะเถียงกัน แล้วปฏิบัติแล้วพอมีทฤษฎีแล้วนะ ทำโครงสร้าง ทำโครงการ เป็นอุตสาหกรรมไง อุตสาหกรรมนิพพาน อุตสาหกรรมปฏิบัติ เป็นวรรคเป็นตอน...เป็นไปไม่ได้หรอก

ทำกันเพื่อหัวใจ เพื่อมีที่พักที่อาศัยเท่านั้นนะ นี่ที่พักที่อาศัย เราปฏิบัติกันน่ะ ให้มีที่พักที่อาศัย ใครได้ความสงบของใจคนนั้นมีบ้านมีเรือน ที่หลบภัย ถ้าคนไม่มีสมาธินะ ไม่มีบ้าน คนไร้บ้าน เร่ร่อน จิตไม่มีหลักมีเกณฑ์ เร่ร่อน จิตมีหลักมีเกณฑ์ มีที่พึ่งอาศัย ที่พึ่งอาศัยนะ เวลาเจอมาจริงแล้ว ที่พึ่งอาศัยต้องทำลายให้หมด เพราะที่พึ่งอาศัยนั้นกิเลสมันก็อาศัยด้วย เราอาศัยอยู่ กิเลสก็อาศัย ต้องทำลาย การทำลายด้วยมรรคญาณทำลายอย่างไร ศาสนาพุทธนี้ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาเป็นอย่างนี้ ปัญญาประเสริฐอย่างนี้ เพื่อผลประโยชน์กับเรา

เราเป็นชาวพุทธนะ ทุกคนบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธมีคุณค่ามาก เห่อเหิมกัน แต่ไม่รู้จักคุณค่าของศาสนาเลย ไม่รู้จักเลย อยู่กับศาสนาเหมือนมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง ไต่ไป.. ศาสนาพุทธ ศาสนาประเสริฐ.. มดแดงไม่เคยกินมะม่วงเลย แล้วมะม่วงมันอยู่ที่ไหน มะม่วงก็คือความขัดข้องหมองใจ หัวใจเราคือมะม่วง นี่พุทธะอยู่ที่นี่ ความรู้สึกอยู่ที่นี่ ของอยู่กับเรา เราต้องรื้อค้น เราต้องปฏิบัติ เราต้องทำให้มันสะเทือนใจ สะเทือนกิเลส แล้วเราจะมุ่งมั่นชีวิตเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง