เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ เม.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาไปหาพระนะ พระเขาจะสอนว่า ให้ทำความดี ละความชั่ว

พระสอนแค่นี้เหรอ ให้ละชั่ว ทำดี ทำไมสอนง่ายๆ สอนพื้นๆ เลยน่ะ

สอนง่ายๆ นี่ทำกันไม่ได้ ละชั่ว ทำดีทั้งนั้นน่ะ ไปหาพระ สอนง่ายๆ แต่ทำไม่ได้ เพราะความดี ความดีมันขนาดไหน ความดีของเราดีโดยกิเลสนะ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราปฏิเสธไม่ได้ สมมุติมันมีอยู่กับเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมามันมีกิเลสมา คนมาเกิดไม่มีกิเลส มันเกิดไม่ได้ ถ้าคนมีกิเลสมา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาน่ะ พ่อแม่อยากปรารถนาให้เป็นจักรพรรดิ มีการศึกษาเล่าเรียนนะ ศึกษามาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ เสร็จแล้วให้มีคู่ครอง มีสามเณรราหุล ตอนที่มีครอบครัว มีกิเลสไหม มีกิเลส แต่กิเลสสิ่งที่ดีไง

สิ่งที่ดี บุญกุศล บางทีบุญกุศลนะ เราตั้งใจทำคุณงามความดี ทำความดี ทำไปแล้วมันก็ติดดี พอติดดี กุศลทำให้เกิดอกุศล เพราะติดดี พอติดดี คนมาขัดแย้ง คนมาโต้แย้ง เสียใจ เสียใจมาก ทั้งๆ ที่ตั้งใจทำดีนะ

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่ พระเทวทัต ปรารถนาจะปกครองสงฆ์ พอไม่ได้ดั่งใจจ้างคนให้ไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้นายธนู ๔ คนไปยิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วให้อีก ๔ คนนั้นไปยิงผู้ที่ยิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอีก ๔ คนน่ะ ตัดตอนมาตลอดนะ

เวลาไปถึงนะ จะไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่ ฟังธรรม มีศรัทธา มีความเชื่อ.. วางธนูนะ เข้าไปขอบวช ไปประพฤติปฏิบัติ คนที่รอฆ่าอีก ๔ คนที่ไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่มาสักที ก็ตามไปหา พอตามไปหา ไปฟังเทศน์ บวชอีกๆ.. อกุศลนะ จะไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมขึ้นมา อกุศลทำให้เกิดกุศลได้ ตั้งใจปรารถนาจะไปจับผิด จะไปทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พอไปฟังเทศน์ขึ้นมา ใจของคน มันอยู่ที่พื้นฐานใจของคน ถ้าใจของคนได้สร้างคุณงามความดีมา พันธุกรรมทางจิต ถ้าพันธุกรรมทางจิตมันมีการแก้ไข มีการดัดแปลง มีหาเหตุหาผล

ไม่ใช่เชื่อโดยเห็นว่าเขาว่านะ

ทุกที่พูดนะ ถ้าพระนี่ทำไมคนไปเยอะๆ โจรก็คนก็ไปเยอะนะ ดูสิ เวลาเราแจกของขึ้นมาน่ะ เราบอกเราจะแจกให้ทาน โอ๋ย.. มากันเต็มไปหมดเลย มาเอาๆ แต่ไม่รู้เอาไปเพื่ออะไร แต่ถ้ามาเอาธรรม มาเอาด้วยปัญญา ไปเอาของ เอามือไปรับนะ แบกหาม เอาถุงไปใส่ แบกกลับบ้าน เวลาไปวัดไปวา เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการได้อะไรกลับไป ไม่ได้อะไรกลับไปเลย ได้แต่เสียงกระทบหู เสียงที่มันเข้าไปเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเรานี่ แล้วความรู้สึกของเรามันเปลี่ยนแปลง

ความดีจากข้างนอก ความดีที่เราทำ ปัจจัยเครื่องอาศัย เราสร้างคุณงามความดีกัน เราต้องมีหน้าที่การงานเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ เพื่อเลี้ยงชีพ พอเลี้ยงชีพของเรา นั่นก็เป็นความดีอันหนึ่ง ความดีอย่างนี้มันเป็นความดีเกิดจากกุศล บาปอกุศล ถ้ามีคุณงามความดีมา เราสร้างบุญกุศลมา มันจะมีช่องทาง มันจะมีคนเกื้อกูลกัน มันจะเป็นไปตามอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีสร้างคุณงามความดีมานะ ทำมามันก็ขาดตกบกพร่อง จะขาดตกบกพร่อง มีแต่คนเกื้อกูลขนาดไหน นั่นก็คือทำมา สิ่งที่ทำมา ถ้าเราทำมาแล้ว เราไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งที่ทำมา

เวลาความดีจากภายใน ถ้าได้ฟังเทศน์ฟังธรรมขึ้นมาน่ะ ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเลย แต่ในหัวใจอบอุ่นนะ ในหัวใจมันมีความรับรู้นะ คนมีการกระทำ เราจะไปรับของสิ่งใด เราจะรับบริจาคทาน เราต้องไปใช่ไหม เราต้องมีเจตนาเราอยากได้ใช่ไหม เราถึงไปรับของเขา แต่ถ้าในหัวใจของเขาอิ่มเต็มอยู่แล้ว มันอิ่มเต็มของมัน มันมีความพอใจของมัน มันมีความสุขของมัน มันจะไปรับของๆ ใคร สิ่งที่ไม่รับของๆ ใคร เพราะอะไร เพราะมันจะเป็นความดีจากภายใน

นี่ละชั่ว ทำดี.. ดีของใคร ดีความหยาบๆ มันดีจากข้างนอก ดีหยาบๆ เกื้อกูลกัน เกื้อหนุนกัน ปลอบประโลมกัน มีความทุกข์ความร้อนก็ปรึกษาหารือกัน แต่มันเอากิเลสออกจากใจได้ไหม เอาความหมักหมมในหัวใจออกได้ไหม สิ่งที่จะเอาความหมักหมมของใจเอาสิ่งที่ขัดข้องหัวใจออกแล้ว เราต้องทำของเราเอง เราจะต้องพยายามเปิดภาชนะของเรา เปิดหัวใจของเรา

ดูสิ อยู่ข้างวัด ดูสิ สัตว์มันก็อยู่ในวัดนะ หมาเราอยู่ในวัดเต็มไปหมดเลย เทศน์ทุกวันเลย หมามันรู้อะไร หมามันจะเอาแต่อาหารมันเท่านั้นน่ะ นี่เหมือนกัน หัวใจเรา ถ้าไม่เปิด ไปอยู่ในวัดน่ะ มันก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่งนะ ดูสิ เวลาพระไปธุดงค์ๆ ในป่าน่ะ สัตว์ป่ามันอยู่ในป่าตั้งแต่เกิดจนตายน่ะ สัตว์ป่าไม่เห็นมันเป็นอะไรขึ้นมาเลยน่ะ.. เราไปดูพวกในป่า เราเป็นมนุษย์ เรามีปัญญา เราต้องการการรื้อค้นตัวเอง ไปธุดงค์ ออกธุดงค์หาอะไร ออกธุดงค์หาหัวใจของเรา หัวใจของเราที่มันสกปรก มันเปรอะเปื้อน มันไปโดนอวิชชาครอบงำ เอาหัวใจอันนี้มาทำชะล้าง ทำความสะอาด

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมขึ้นมาแล้ว มันสะเทือนหัวใจไหม

หัวใจของเราได้ยินได้ทำขึ้นมาแล้วมันสะเทือนหัวใจไหม

ชีวิตนี้คืออะไร?

เกิดมานี่สมมุติทั้งนั้นนะ เกิดมาตั้งแต่เป็นทารกมา จนมีร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมา จนแก่ชราคร่ำคร่าไป มันต้องตายไปข้างหน้า ทุกคนเกิดมาแล้วไม่ตายไม่มีหรอก ทุกคนเกิดขึ้นมาต้องตาย เวลาเกิดขึ้นมาแสนทุกข์แสนยาก ดำรงชีวิตมีแต่ความลำบากลำบนไปหมดเลย แล้วก็จะไปเกิดอีก จะทุกข์จะยากอย่างนี้อีก ถ้าทุกข์ยากอย่างนี้อีก ทำไมไม่ดัดแปลงแก้ไข

พันธุกรรม เห็นไหม ดูสิ พันธุ์พืช ตอนนี้เขาตัดแต่งพันธุกรรม เขาจะพัฒนาให้มันแข็งแรง ให้มันไม่มีโรคภัย ให้มันไม่มีเชื้อโรค ให้มันแข็งแรง ให้มันทนลมแดดลมฝน ทุกอย่างหมดเลย...หัวใจอ่อนแอขนาดนี้ หัวใจทำไมไม่ตั้งสติ หัวใจทำไมไม่ทำ พันธุกรรมเราต้องตัดแต่ง ต้องทำของเราสิ

บุญกุศลสร้างขึ้นมาแล้ว บุญกุศลจากภายนอก ดูสิ เราขาดตกบกพร่อง เขาจะช่วยเหลือเจือจานเราได้นะ หัวใจที่มันขาดตกบกพร่อง หัวใจที่มันมีอยู่นี่ ใครจะเจือจานเรา ถ้าเจือจานเรา เราตั้งสติสิ เราจะทำ

นี่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา

ศาสนาสอนอะไร? สอนถึง “ทาน ศีล ภาวนา”

ทาน เสียสละทานเพื่อให้หัวใจมันเปิดกว้าง พอเสียสละทานขึ้นมา หัวใจมันได้ขยับเขยื้อนออกไป เสียสละออกไป พอเสียสละออกไป ดึงกันไปเกิดในหัวใจนะ จะให้ ไม่ให้ จะดีหรือไม่ดี ทำแล้วได้บุญไม่ได้บุญ นี่มันก็ละล้าละลัง เสียสละไปๆๆ นี่เปิดกว้างออกมาๆ เสียสละทานไป ทาน ศีล ภาวนา มีศีลขึ้นมา ความปกติของใจ ถ้าใจปกติขึ้นมา ทำอะไรก็ทำได้ ถ้าใจไม่ปกติขึ้นมานี่อ่อนแอมาก จะทำอะไรก็ล้มลุกคลุกคลาน ถ้าจิตมันปกติขึ้นมา

แต่ความคิดของคน ถ้าตั้งมั่นขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา มันมีทานมาแล้ว มันเปิดหัวใจแล้ว มันมีศีลของมัน ความปกติของใจมี ความดี ละชั่ว ทำดี มันดีของใครน่ะ ดีของโลกเขาก็ดีเป็นอามิส สิ่งที่สร้างบุญกุศลมาก็เป็นอามิส ก็ขับเคลื่อนใจนี้ไปเกิดตาย มันก็ไม่มีวันที่สิ้นสุด การเกิดการตายมันก็ขับเคลื่อนมันไป แต่ถ้ามีการภาวนา มันมีการชำระล้าง ถ้าภาวนาขึ้นมา ชำระล้างขึ้นมา แล้วมันสะอาด มันสะอาดอย่างไร

สิ่งที่ขัดข้องหมองใจ ดูสิ เวลาทำสมาธิขึ้นมา จิตตั้งมั่นขึ้นมา มันก็ซุกอยู่ในหัวใจ สบายๆ ว่างๆ ว่างอย่างไร ว่างรอกิเลสมันเอามาเชือดนะ เพราะมันว่างไง เหมือนเรามีเงิน เราเป็นเศรษฐี ใช้เงินหมดเลย พอใช้หมดแล้วต่อไปจะเอาอะไรใช้จ่าย มันก็ไม่มีเงินใช่ไหม มันก็ไปทุกข์อยู่นั่นน่ะ ว่างๆ ว่างๆ น่ะ รอมันเสื่อมนะ ว่างๆ มีสติไหม ว่างๆ รู้จักค้นคว้าหาตัวเองไหม ถ้าว่างๆ ขึ้นมามีสติไหม ว่างมันคืออะไร ว่างคู่กับไม่ว่างน่ะ นี่มืดคู่กับสว่าง มันเป็นของคู่

ว่าง อะไรเป็นความว่าง ว่างมาจากไหน นี่มันต้องมีสติสัมปชัญญะ มันจะรื้อค้นของมันเข้ามา.. ใครเป็นคนว่าว่าง ว่างมันอยู่ที่ไหน นี่ภาวนา ภาวนามยปัญญา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา ชำระล้างมัน รื้อค้นมันออกมา ทำความสะอาดให้ได้ ถ้าใจมันสะอาดขึ้นมา ถ้าใจสะอาดขึ้นมา จนถึงสะอาดที่สุด หมดสิ้นกระบวนการของมัน มีอยู่ แต่ไม่เกิด นี่วิมุตติสุขมันมีของมันอยู่ ไม่ใช่มันไม่มี...มี

จิตมีอยู่ ของสิ่งที่มีอยู่ ถ้ามันสะอาดแล้วมันก็มีคงที่ของมันนั้นน่ะ ของที่มีอยู่ ปฏิเสธว่าไม่มีมันก็มี ของที่มันไม่มีอยู่ บอกว่าให้มันมี มันมีกิเลสอยู่ในหัวใจ บอกว่าไม่มีๆๆ มันก็มี กิเลสในหัวใจน่ะมีอยู่แล้ว ว่างๆ ขนาดไหน กิเลสมันก็ซุกอยู่ในความว่างนั้นน่ะ ความว่างนั้นน่ะ มันว่างของกิเลส กิเลสมันหลอกไง กิเลสเอาธรรมะมาหลอกไง เอาธรรมะมา ว่างๆ ว่างๆ เพราะอะไร เพราะมันไม่ให้กระเทือนตัวมัน มันไม่ยอมกระเทือนตัวมันเลย

นี่ละชั่ว ทำดี มันก็เป็นความละชั่วอันหนึ่ง ละชั่วคือความฟุ้งซ่าน ละชั่วคือความคับแค้นในหัวใจ พอมันว่างขึ้นมา มันก็ว่างอันหนึ่ง มันก็เป็นความละเอียดขึ้นมา ความดีอันละเอียดขึ้นมา แต่ความดีถึงที่สุดนี่มันไม่มี ถ้าความดีถึงที่สุดไม่มีน่ะ มันต้องคืนแน่นอน ในเมื่อของมีอยู่ มันต้องแสดงตัวออกมาแน่นอน ถ้ากิเลสยังมีอยู่น่ะ มันต้องออกมาทำร้ายเราแน่นอน

แล้วเวลาจิตเสื่อมมานี่มันทุกข์นะ เศรษฐีใช้จ่ายหมดแล้วจะไปหาอยู่หากินน่ะ ไม่ได้เลยนะ เคยเป็นเศรษฐีมา จะไปทำงานเล็กน้อยมันก็ไม่ได้ มันเสียหน้าเสียตา นี่เหมือนกัน เวลาปฏิบัติมา ๒๐ ปี ๓๐ ปี ฉันจะเป็นอาจารย์ใหญ่ ฉันเป็นนักปฏิบัติเลย เวลาหัวใจมันทุกข์ขึ้นมานี่นั่งตรอมใจนะ นั่งหัวปักดินเลยนะ ทำหน้าสดชื่นนะ ฉันเป็นอาจารย์ๆ มันทำไม่ลงน่ะ เพราะเวลาใจมันเสื่อมน่ะ นั่นน่ะ มันทุกข์ขนาดไหน ทำไมมันทุกข์ขนาดไหน มันก็ต้องแก้ไขสิ เราแก้ไข ทุกข์ก็ทุกข์ของเรา เรารู้สึกของเรา เราก็เป็นของเรา มันจะดีชั่วก็ใจของเราน่ะ ใจเราสำคัญมากนะ ดูใจของเรา

เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา สิ่งที่สัมผัสศาสนาได้คือความรู้สึก คือหัวใจ ดีชั่วมันรู้ สุขทุกข์มันรู้ วิชาการมันเป็นอาการของใจ เป็นเงาทั้งนั้นน่ะ คนเราไปตื่นเงา ไปตื่นแต่สิ่งเครื่องประดับ แต่ไม่ดูหัวใจของตัวเลย ถ้าดูหัวใจของตัวมา เวลาจะดูหัวใจของตัวขึ้นมา ก็ดันไปดูเงาของหัวใจ ก็เข้าใจว่าใจอีก มันเป็นเงาน่ะ ดูสิ ดูเรานั่งกันอยู่นี่ เราใส่เสื้อผ้ามา มันเป็นเราไหม แขวนไว้ในตู้ มันเป็นเราหรือเปล่า พอเอามาใส่ขึ้นมา คนนี้แต่งตัวดีๆ แล้วไอ้คนที่ดีมันไม่มองน่ะ มันไปมองแต่ไอ้เครื่องแต่งตัวนั่นน่ะ มันไปมองแต่ความคิดไง มันมองแต่สิ่งที่ประดับใจไง มันไม่มองที่ตัวมัน ถ้ามองที่ตัวมัน จะย้อนกลับเข้ามาๆ ถ้าย้อนกลับเข้ามา นี่ความดีของใคร

ละชั่ว ทำดี...ง่ายๆ นี่ล่ะ แต่มันทำกันไม่ได้ จะเอาแต่ปัจจัยเครื่องอาศัยไง เอาแต่ส่วนประกอบ เอาแต่สิ่งที่จับต้องได้ เอาแต่วัตถุ วัตถุพึ่งไม่ได้หมด ร่างกายนี้ก็พึ่งไม่ได้ แต่มันต้องมี มันต้องมีเพราะอะไร เพราะมันเกิดโดยกรรม มันจะปฏิเสธไม่ได้ ของมีอยู่มันต้องเกิด ในเมื่อใจมีกิเลสอยู่มันต้องเกิด พอเกิดแล้วมันมีร่างกายขึ้นมา แล้วจะปฏิเสธมันได้อย่างไร...ไม่ปฏิเสธมัน แต่รื้อค้นมันด้วยสติปัญญา

จิตมันติดข้อง เรามันติดข้อง เพราะเรามีหัวใจ มีกิเลสมาติดข้อง บ้านเรือนที่อาศัยเราก็อาศัย เราก็รู้ว่าบ้านเรา เรือนเรา ปัจจัยอะไร เงินของเรา ธนาคาร ทุกอย่างของเราเราก็รู้ แต่ใจของเรามันอยู่ไหน ร่างกายที่ว่าของเราๆ มันก็ต้อง..

ชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตนี้ต้องออกจากร่างนี้ไปเป็นธรรมดา อาศัยกันชั่วคราวแล้วมีโดยชั่วคราว มีโอกาสได้แก้ไข จะทำไม่ทำ ถ้าทำจะเป็นประโยชน์กับเรานะ

ทำดี ละชั่ว แล้วละชั่วอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างละเอียดสุด มันจะพัฒนาการของมันนะ นี่ความดีที่มีกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีที่ดีกว่าในหัวใจเรายังมีอยู่ เราจะขวนขวายไหม ถ้าเราจะขวนขวายนะ ชีวิตเราจะมีคุณค่า

เราเป็นคนมีสติสัมปชัญญะ เราไม่ปล่อยชีวิตเราให้หมดไปเป็นวันๆ หนึ่งนะ สร้างคุณงามความดีให้จิตใจเข้มแข็ง แล้วทำดีเพื่อดี เอวัง