เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ เม.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ เวลาทางตะวันตกเขาน่ะ เวลาเขาแสวงหานะ เดี๋ยวนี้คนจะศึกษาธรรมะต้องไปศึกษาจากทางตะวันตก เพราะฝรั่งพูดมันน่าเชื่อถือ ถ้าทางตะวันออกพูดมันไม่น่าเชื่อถือ ของไปอยู่ในทางตะวันตกแล้วมันน่าเชื่อถือไปหมดเลย เราจะไปศึกษาธรรมะจากทางยุโรป เพราะอะไร เพราะทางยุโรปเวลาเขาไปวัดไปวา เขาคุยธรรมะกันไง เขาดูด้วยระดับของปัญญา คุยธรรมะ นี่ฟังธรรมๆ

แต่เวลาทางตะวันออกเรา มันประเพณีวัฒนธรรม เวลาไปอ้อนวอนเอา ไปขอเอา ไปทำบุญแล้วอยากให้ได้บุญ ให้ได้บุญสมความปรารถนา บุญกุศลนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เวลาทางยุโรปเขา วัตถุเขาอิ่มเต็ม เขาไม่ปรารถนา พอไม่ปรารถนาเขาแสวงหาทางออก เวลาเขามาในวัดจะพูดเรื่องสมาธิ เรื่องความสงบของใจ ทุกคนหาที่พึ่ง หาความสงบของใจ แต่ของเราเพราะเราคุ้นเคย

ในวัฒนธรรมของเรา ความเป็นอยู่นะ เราเกื้อกูลกันได้ สิ่งที่เป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัย เราเกื้อกูลได้ ปัจจัย ๔ แต่ทางยุโรปเขาไม่มีนะ เขาต้องเป็นรัฐสวัสดิการ ถ้ารัฐสวัสดิการของเขาไม่ดีนะ คนของเขาจะตายมหาศาลเลย เพราะอาหารการกินของเขา เวลาเข้าฤดูหนาวของเขา เขาไม่มีอาหารกินเลยนะ อาหารของเขาไม่ได้ แต่เราเกิดในประเทศอันสมควร เราอยู่ในอู่ข้าวอู่น้ำ จนเราคุ้นชินกับมัน สุดท้ายแล้วเวลาจะได้อะไรน่ะ ไม่ทำอะไรเลย อ้อนวอน อยากได้ ขอเอาๆ ให้มันลอยมาจากฟ้าไง สิ่งที่มันลอยมาจากฟ้า

วัฒนธรรมของเรามันมีนะ ในพระไตรปิฎก พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เอหิภิกขุ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วขอบวช จะมีบริขารทิพย์ บริขาร ๘ ลอยมาเป็นทิพย์เลย มาเองเลย นั่นเพราะเป็นของเขา

พาหิยะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ขอบวช พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธอไม่มีบริขาร บวชได้อย่างไร” พระอรหันต์นะ ออกไปแสวงหาบริขาร ๘ จีวร บาตร ไตรจีวรกับบาตร พวกบริขาร ๘ ที่จะมาเป็นเครื่องบวช หาไม่ได้ จนควายขวิดตายเลย นี่เรื่องของบุญกุศล เรื่องการทำมา มันทำของมันมา เราจะอ้อนวอนเอาขนาดไหน อ้อนวอนเอา ถ้าพูดถึงเราไม่ประพฤติปฏิบัติ มันไม่มีหรอก ทีนี้อ้อนวอนกันว่าอ้อนวอน หรือเราทำบุญกุศลแล้วได้สมความปรารถนา คือเราทำกรรมดีของเรามาไง ทำความดีความชั่วมา มันพิสูจน์ได้ด้วยจริตนิสัย จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน หลากหลายแตกต่างกันเพราะการทำมา

เราภาวนา เวลานั่งภาวนา เราเจ็บหลัง ปวดเอว เรานั่งภาวนา มันเกิดจากอะไรน่ะ เราเกิดจากควบคุมความรู้สึก ควบคุมจิต พอควบคุมจิต จิตได้การพัฒนาการขึ้นมาแล้ว การจะเกิดปัญญา เกิดจากการภาวนา

ระดับของทาน มันจะได้เรื่องวัตถุ ได้เป็นทิพย์ ได้วัตถุสิ่งของมา ได้วิมาน ได้ต่างๆ ได้ปัจจัยเครื่องอาศัย ระดับของศีลทำให้จิตเป็นปกติขึ้นมา คนมีอำนาจวาสนา คนที่แบบว่ามีวุฒิภาวะ แต่ถ้าเรื่องของปัญญา เราภาวนา เพราะการภาวนาเราทรมานตนนะ การทรมาน ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีสติสัมปชัญญะ เราจะเอาความคิดเราไว้ในอำนาจของเราได้ไหม ถ้าเราเอาความคิดของเราไว้ในอำนาจของเราได้ ปัญญามันเกิดตรงนี้ไง ถ้าปัญญามันเกิดตรงนี้ พันธุกรรมทางจิตมันได้พัฒนาการของมันมา พอมีปัญญาขึ้นมามันมองสิ่งใดไปน่ะ มันจะมีปัญญาใคร่ครวญนะ

ดูสิ เรามองเหตุการณ์ๆ หนึ่งเกิดในสังคมหลากหลายมาก มุมมองของคนแตกต่างกันมหาศาลเลย มันแตกต่างกันเพราะอะไรล่ะ มันแตกต่างกันจากพันธุกรรมเบื้องหลัง มุมมองของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกัน ถ้ามุมมองของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความสุขล่ะ ความถูกต้องดีงามอยู่ที่ไหน ธรรมะนี้เป็นสากลนะ ใครพูดธรรมะ ถ้าถูกต้องนี่ถูกหมด จะเป็นทางยุโรป

มนุษย์ เวลาแสดงธรรมขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา แสดงธรรมถูกต้องทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันผิดนะ ถ้ามันไม่เข้าใจนะ แสดงออกมามันก็ผิดหมดน่ะ นี่ผู้ที่จะฟังธรรมจากใครก็แล้วแต่ ถ้าให้มันรู้จริง เรานี่เป็นชาวเกษตรกรรมนะ เราเป็นลูกชาวนากัน แต่เราทำนาไม่เป็นนะ พ่อแม่ทำมาหากินมา แล้วทำนามาให้พวกเรา แต่เรานี่ทำนากันไม่เป็น นี่เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธๆ เราอ้อนวอนเอา เราขอเอา แต่เราไม่ปฏิบัติ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ เวลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน คนมาสักการะบูชากันมหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อานนท์.. เธอบอกเขานะ นี่เป็นอามิสบูชา อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย บูชาด้วยการปฏิบัติบูชาเถิด” การปฏิบัติบูชามันจะทำให้วุฒิภาวะของจิตมันพัฒนาขึ้นมา ถ้ามันอามิสบูชาน่ะ เราก็เอาอามิสบูชา มันก็เหมือนเราอ้อนวอนขอ อ้อนวอนขอ อยากให้เป็นไป เป็นทิพย์ๆ อยากให้เป็นทิพย์ มันจะเป็นทิพย์ได้ต่อเมื่อเราทำมา ดูสิ เราทำมาหากินมา เราฝากไว้ในธนาคาร เรามีโอกาสกดได้นะ เราไปขอสินเชื่อไว้ เราก็เบิกได้แค่นั้นน่ะ นี่เหมือนกัน สิ่งที่ทำกรรมดีกรรมชั่วมา สิ่งนี้มันเหมือนกับเราทำมา มันฝากไว้ในอริยสัจ ฝากไว้ในสัจธรรม นี่ทำดีทำชั่ว อริยสัจ สัจจะความจริงไง สัจจะความจริง

เวลาทำบุญกับพระๆ กดเอาจากพระเหรอ พระนี่เป็นผู้ทรงศีล พระนี่เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สละมา สละสิทธิทางโลกออกมาเป็นนักบวช ประเพณีวัฒนธรรม นักบวชมันมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นที่บังคับ ต้องทำตามธรรมวินัย แต่วัฒนธรรมประเพณีเรารู้กัน เราเข้าใจกัน มันแบ่งแยกด้วยประเพณีเลย ด้วยวัฒนธรรม นี่เราเข้าใจ เราออกมา เราเสียสละมา ไม่มีอาชีพ ไม่ประกอบอาชีพทางโลก แล้วพูดถึงถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นเนื้อนาบุญของโลก จิตใจเป็นธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกโปรดสัตว์ เพราะว่าชีวิตนี้จะอยู่หรือจะตายมีคุณค่าเท่ากัน จะมีกินไม่มีกิน จะใช้ประโยชน์ นี่ไม่สนใจเลยนะ เพราะมันเป็นเครื่องอาศัย เพราะใจที่ไม่วอกแวกวอแว ใจที่มั่นคง เหมือนเสา ๘ ศอก ปักดิน ๔ ศอก อยู่บนอากาศ ๔ ศอก ลมพัดขนาดไหนไม่ไหว นี่ไงออกโปรดสัตว์ โปรดสัตว์เพราะตัวเองโปรดตัวเองได้แล้ว

แต่เราเป็นลูกชาวนา เราเป็นภิกษุบวชในพระพุทธศาสนา เราออกไปบิณฑบาตเพื่ออาหารดำรงชีวิตของเราน่ะ.. ไม่ใช่สัตว์โปรดไง ถ้าให้สัตว์โปรด สังคมเขาถึงมีอำนาจ เขาถึงต่อรอง แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเรานะ เราเป็นผู้นำสังคมนะ

ผู้นำสังคม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์น่ะ ร้องไห้แล้วร้องไห้อีกนะ “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ดวงตาของโลก ผู้นำไง

เวลาอชาตศัตรูจะออกรบ ในแว่นแคว้นเขามีสงครามกัน จะรบทีไรก็ต้องมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าพิมพิสารมีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง รู้แจ้งโลกนอกโลกใน รู้ถึงความเป็นไปของโลก เห็นไหม ผู้นำสังคม ถ้าผู้นำที่ดีจะชักนำเราไปในสิ่งที่ดี นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นชาวนา เราทำไร่ทำนาของเราขึ้นมา เรามีข้าวปลาอาหารของเราเหลือเฟือเลย เราจะเจือจานกันก็ได้ ใจของเราถ้าเป็นธรรมขึ้นมา เราจะเจือจานใครก็ได้ ถ้าเป็นชาวนาจริง ทำนาจริง มันทำนาได้ มันจะมีข้าวปลาอาหารมา

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจริง ธรรมะในหัวใจเป็นธรรมะจริงขึ้นมา ธรรมะจริงนะ ธรรมะจริงมันมีวิวัฒนาการของมันน่ะ ต้องศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีการควบคุมใจ มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร ไม่มีสมาธิเลย ปัญญาที่เป็นโลกุตตรปัญญาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าโลกุตตรปัญญาเกิดขึ้นมาน่ะ โลกุตตรปัญญาที่พ้นจากโลก ปัญญาที่ออกจากโลก วัฏฏะ โลกทัศน์ ความติด เวลาข้องใจของใจมันเป็นโลก

นี่เราไปมองกันว่าวัฏวน กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏวน จิตมันหมุนไปในโลกนี้ แต่เราไม่มองไอ้ตัวที่ประสานกับเขาเลย ไอ้โลกทัศน์ ไอ้ตัวที่ไปเกิดในวัฏฏะมันเป็นใคร ถ้าลบล้างตรงนี้ออก ลบล้างโลกทัศน์ ลบล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจออกไปแล้ว วัฏฏะมันก็เป็นวัฏฏะอยู่อย่างนั้นน่ะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันก็เป็นโดยธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้หมุนไปกับมันไง วิวัฏฏะไง เอาใจเราออกมาได้ไง นี่ชาวนา ชาวนาทำไร่ทำนาขึ้นมา มันเกิดผลิตผลขึ้นมาในไร่นานั้น

ผู้เป็นหัวหน้า ผู้ที่เป็นผู้นำ เป็นชาวนา เข้าใจกระบวนการทั้งหมด แต่เราเป็นลูกชาวนา เราเป็นลูกชาวนานะ เราจะเอาแต่ข้าว เราบอกเลย เราจะเรียกร้องเอาจากพ่อแม่ เราจะเอาข้าว เราจะเอาอาหาร แต่เราไม่สนใจในที่นา เราไม่สนใจในพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราไม่สนใจเรื่องน้ำ เราไม่สนใจวัชพืชเลย

ในปัจจุบัน ชุบมือเปิบ ขณะที่เราเป็นสาวก สาวกะ ชุบมือเปิบอยู่แล้วนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าพระพุทธเจ้าจะรื้อค้นมา ต้องบำเพ็ญบารมีมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เพื่อพันธุกรรมทางจิต เพื่อจิตมั่นคง เพื่อจิตมีหลักมีเกณฑ์ เพื่อจิตไม่วอกแวกวอแว เพื่อจิตมีฐาน เพื่อจิตจะค้นคว้าให้จิตออกมาจากกิเลสได้

“เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมา” ฟองไข่คืออวิชชา คือมารที่มันครอบงำใจทุกดวงใจ ดวงใจเหมือนลูกไก่ แล้วมารมันครอบงำอยู่ ไม่มีใครสามารถชำแรกออกมาจากมารได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองไข่ออกมา”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเป็นศาสดา อายุยังน้อยอยู่ เวลาไปเผยแผ่ธรรมขึ้นมา พวกพราหมณ์เขาถืออาวุโส เขาไม่ยอมรับนะ เขาว่าทำไมพระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์เหมือนกัน ทำไมไม่เคารพผู้ใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยน่ะ “ในจักรวาลนี้ เราไม่เห็นใครเลยที่เราควรจะเคารพบูชา” ไม่มี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา จะเคารพบูชาใครไม่ได้เลย

“เป็นไก่ฟองแรกที่เจาะไข่ออกมา” สิ่งที่เจาะไข่ออกมา สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาเป็นเจ้าของนา เป็นเจ้าของศาสนา เราเป็นสาวก สาวกะ เราได้ยินได้ฟังขึ้นมาแล้วเราก็จะชุบมือเปิบ ขณะที่เป็นสาวก สาวกะ ชุบมือเปิบอยู่แล้ว อาหารน่ะมาตั้งไว้ตรงหน้าเลย ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าวางไว้ที่ตรงหน้าเราเลย ทำไมเราไม่ปฏิบัติ ทำไมเราไม่เอาเข้าใส่ปากของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไมไม่รื้อค้นขึ้นมา ศีล สมาธิ ทำไมไม่ขวนขวายมา แต่ไปรีดนาทาเร้นนะ เหมือนลูกใจแตก ลูกเอาแต่ใจตัวเอง ไปเรียกร้องเอาแต่สมบัติจากพ่อแม่

นี่ก็เหมือนกัน พุทธพจน์ๆ จะเรียกร้องเอาธรรมวินัยจากพระไตรปิฎก แล้วใครพูดจากพระไตรปิฎกก็ไม่ได้นะ ผิดๆๆ.. พระไตรปิฎกมันก็สมมุติน่ะ พระไตรปิฎกมันก็เป็นเครื่องมือทำนาน่ะ มันเป็นจอบ เป็นไถ เอาไว้ทำนาน่ะ แล้วถ้าไม่ทำขึ้นมา มันจะมีข้าวกินไหม จะเอาข้าวสักเมล็ดหนึ่งออกมาจากพระไตรปิฎกได้ไหม พระไตรปิฎก ไปเอาข้าวสักเมล็ดหนึ่งออกจากพระไตรปิฎกเลย บอกไปเอาข้าวออกมา มันจะเป็นไปได้ไหม...มันเป็นไปไม่ได้หรอก ข้าวมันต้องลงไปทำที่นา ธรรมวินัยหรือธรรมจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลก หัวใจของเรา ผู้ทุกข์ผู้ยากอยู่นี่ ถ้าทำนาที่นี่มันจะได้เมล็ดข้าวออกมา การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา การกระทำของเราขึ้นมา มันจะดึงเมล็ดข้าวออกมา ธรรมมันเกิดที่นี่

พระไตรปิฎกเป็นทฤษฎี เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเทคโนโลยีที่ให้เราศึกษาค้นคว้า ทำนาแล้ว เวลาทำนาลงไป เกิดเพลี้ย เกิดวัชพืช เกิดต่างๆ เราไม่รู้เรื่องก็จะมาเปิดพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเขาว่าอย่างไร กำจัดวัชพืชนี่เขาทำอย่างไร เวลาน้ำท่วมขึ้นมา น้ำมันขังอยู่ ข้าวจะเน่าอยู่แล้ว ทำอย่างไร ต้องเอาน้ำออกอย่างไร นี่พระไตรปิฎกสอนอย่างนี้ สอนวิธีทำนา สอนวิธีชักน้ำเข้านา สอนวิธีการน้ำมากเกินไปจะเปิดน้ำออกไป ให้น้ำพอดีกับข้าวเบา ข้าวหนัก ข้าวหนักต้องใช้น้ำมาก ข้าวเบาต้องใช้น้ำน้อย จิตของคนน่ะ โทสจริต โมหจริต จิตมันหนัก จิตมันหมักหมมกันในกิเลสน่ะ ต้องทรมาน ต้องอดนอนผ่อนอาหาร..

ไอ้พวกปัญญาชนบอกไม่ได้ อัตตกิลมถานุโยค ทำตนให้ลำบากเปล่า ทำอะไรก็ไม่ได้เลย ผิดไปหมดเลยน่ะ.. ก็ข้าวมันข้าวเบา แล้วน้ำมันท่วมอยู่ แล้วถ้าไม่เปิดน้ำออก ข้าวมันก็เน่า แล้วข้าวมันเน่า มันจะปฏิบัติอะไรได้ล่ะ

ถ้าจิตมันหนักหน่วงขึ้นมา มันนั่งแล้วโงกง่วง นั่งแล้วง่วงเหงาหาวนอน มันก็ต้องผ่อนอาหารสิ กินเข้าไปเต็มกระเพาะ มันก็อร่อยดีนั่นน่ะ มันก็กินแล้วมันก็มีความสุขขณะกินนั่นน่ะ แล้วเวลาไปนั่งแล้วมันก็สัปหงกโงกง่วง เราจะเอาความสุขจากการกินนั้นหรือจะเอาความสุขจากธรรมวินัย เราจะเอาความสุขจากวิมุตติสุข เราจะเอาความสุขจากธรรมที่เกิดขึ้นมาจากใจ เราจะเอาความสุขอะไร สุขในสมมุติกับสุขวิมุตติจะสุขอะไร

พอเรารู้จักแยกแยะ รู้จักมีสติสัมปชัญญะ เราก็เข้มแข็งขึ้นมา พอเข้มแข็งขึ้นมา เราก็หักห้ามได้ใช่ไหม ความสุขอย่างละเอียดนี้เรามองข้ามไป เรางดเว้นมัน แล้วเราจะไปเอาความสุขที่ละเอียดขึ้นมา ความสุขที่ดีขึ้นมา เราจะไปเอาความสุขอย่างนั้น เราขวนขวาย เราจงใจ เรามีการกระทำขึ้นมา นี่ข้าวมันก็ขึ้นมาได้ มันก็มีข้าวขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเกิดจากการกระทำของเราขึ้นมา

สิ่งที่เกิดขึ้นมา ไปฟังธรรมจากใคร เวลาฟังธรรมขึ้นมา หลวงปู่มั่นบอกฟังธรรมตลอดเวลาเลย เราฟังธรรมของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราฟังธรรมตลอดเวลา พอธรรมมันเกิด เวลาปฏิบัติขึ้นมา ข้างในมันเกิดขึ้นมา มันเป็นไปของมันขึ้นมา นี่เราจะไปฟังธรรม เราจะไปฟังแต่คนอื่น คนอื่นสอนนะ ครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้แนะ เราถือนิสัย ขอนิสัยครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ คอยบอกเรา เพราะอะไร เหมือนเด็กอ่อน เด็กมันยังเดินไม่เป็น มันต้องอาศัยพี่เลี้ยง แต่เมื่อไรเด็กมันเดินเป็นได้ มันรำคาญพี่เลี้ยงมหาศาลเลย เด็กมันไม่อยากให้เข้าใกล้มันเลย มันจะวิ่งเล่นตามประสามัน

จิตคนเราภาวนาเป็นนะ มันมีทางออกของมัน มันเดินไปได้นะ มันรำคาญพี่เลี้ยงมันนะ มันไม่อยากให้พี่เลี้ยงเข้ามาใกล้ แต่ถ้ามันยังเดินไม่ได้ มันไม่มีจะกินนะ มันจะขอกินจากพี่เลี้ยงมัน นี่ก็เหมือนกัน เรามีครูมีอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นแค่ที่พึ่งที่อาศัย ไม่ใช่ความจริง กาลามสูตรบอก อย่าให้เชื่อแม้แต่อาจารย์เรา อย่าให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้สัมผัส สันทิฏฐิโก ใจสัมผัสความจริงอันนี้ อันนี้เป็นสมบัติของเรานะ อย่าเชื่อ เราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา แล้วจะเข้าใจสัจธรรม

สมมุติบัญญัติเป็นสมมุติทั้งหมด บัญญัติของพระพุทธเจ้าก็เป็นสมมุติ แต่ถึงที่สุดแล้วนะ เป็นความจริงของเรา ความจริงของเราก็ยังเป็นสมมุติอยู่ เพราะมันเป็นอนิจจัง มันยังเกิดดับๆ มันยังไม่มั่นคงของมัน ถ้ามั่นคงของมันนะ อกุปปธรรม มั่นคงของมันขึ้นมา มั่นคง อกุปปธรรม ไม่มีแปรสภาพอีกแล้ว แล้วถึงที่สุด ทำลายทั้งหมด สิ่งที่ไม่แปรสภาพก็ต้องทำลาย ทำลายแล้ววิมุตติสุขหลุดพ้นจากการสมมุติบัญญัติ คือพ้นจากการพูดถึงกล่าวถึงได้ นิพพานคือพ้นจากการพูดถึงและกล่าวถึงได้ แต่มีอยู่ มีความสัมผัสของใจได้จริง อันนี้มันอยู่ที่ไหน

นี่ธรรมของเรา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมที่นี่

“โอปนยิโก.. เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม”

ดูธรรมในหัวใจที่มันเป็นธรรมขึ้นมาจากการขวนขวาย จากการกระทำของเรา เอวัง