เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราศึกษาธรรม เห็นไหม เราศึกษาด้วยสมมุติ ศึกษาด้วยความรู้ของเรา เราก็ว่าศึกษาธรรมนี่เราเข้าใจธรรมะหมดแล้ว นี่อย่างพวกชุดนั้นที่มาปริญญาเอกหมดเลยไง เขาบอกเมื่อไหร่คนไทยจะรวยกันหมด เพราะทำบุญแล้วมันทำบุญมาก เราบอกว่าเอ็งต้องไปทำวิจัยใหม่เลย

“บุญคืออะไร? เอ็งไปทำวิจัยใหม่เลย บุญคืออะไร? เอ็งว่าบุญคือกระดาษหรือ?”

“บุญคือแบงก์ไง”

“บุญคืออะไร?”

อย่างนั้นนี่นักวิชาการไง

“อย่างนั้นก็ต้องเป็นความสุขมวลรวม”

“ความสุขมวลรวมก็ไม่ใช่ ความสุขมวลรวม มันต้องมีความพอใจมันถึงจะมีความสุขขึ้นมา”

ความสุขมวลรวมของใคร มันก็อยู่ที่พื้นฐานของเขา พื้นฐานของคนมองศาสนาในแง่มุมใด สมความปรารถนาของเขา เขาก็ว่าเป็นความสุขของเขา ความสุขมวลรวมเป็นความสุขมวลรวมของใครเป็นที่ตั้ง เพราะอะไร? เพราะเรามองโลกแง่เดียวไง

เรามองโลก เห็นไหม ดูหลวงตาท่านสอนสิ

“นี่เป็นดอกเตอร์นะ ปริญญาเอกตาข้างเดียว ตาอีกข้างหนึ่งไม่ลืมขึ้น”

ถ้าปริญญาเอกต้องลืมสองตา ตาหนึ่งคือตาโลก คือวิทยาศาสตร์ อีกตาหนึ่งคือตาธรรม ถ้าตาโลกลืมขึ้นมา เห็นไหม นี่ทำบุญแล้วต้องได้บุญมาก ศาสนาพุทธบอกทำบุญนี่ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความสุข เนื้อนาบุญจะได้บุญมากเลย

ความเป็นบุญอย่างนี้ คือในครอบครัวของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข ในครอบครัวของเราไง ยิ้มแย้มแจ่มใส ในครอบครัวมากเลยที่เป็นครอบครัวที่มีฐานะมาก แต่ในครอบครัวอย่างกับไฟเลย เห็นไหม มันจะเป็นบุญไหม? มันเป็นบุญไหม? แล้วมรดกตกทอดขึ้นมามันก็ทำลายกัน มันเป็นบุญไหม? มรดกตกทอดที่เป็นสมบัติทั้งนั้นเลย เรามาแก่งแย่งกัน มาทำลายกันเอง อย่างนั้นเป็นบุญหรือ?

เป็นบุญนี่ เราจะมีสมบัติมากน้อยขนาดไหน แต่มันเป็นเวรเป็นกรรมน่ะ ดูสมัยพุทธกาลสิ พระอรหันต์แต่ละองค์เวลาเอหิภิกขุ เห็นไหม บริขารทิพย์ลอยมาเลย พาหิยะฟังเทศน์หนเดียวเป็นพระอรหันต์นะ จะขอบวชกับพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าว่า

“เธอไม่มีบริขาร เธอไปหาบริขารมาสิ”

พอไปหาบริขารมา ไปหาบริขารอยู่ควายขวิดตาย นี่พระอรหันต์นะ พระอรหันต์แต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกัน ดูสิพระสีวลี เห็นไหม ร่ำรวยมหาศาลเลยเพราะเขาสร้างของเขามา พระสีวลีไปอยู่ที่ไหนนี่มีลาภรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอตทัคคะ ๘๐ องค์ รองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมด เพราะ! เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แต่งตั้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ คนที่รู้ อย่างพ่อแม่รู้นิสัยของลูก นี่เราสอนลูกได้

พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา นี่เอตทัคคะทุกองค์จะมีบารมีเหนือพระพุทธเจ้าไปไม่ได้ พระสีวลีมีลาภมาก ไปไหนก็จะมีลาภมาก เพราะเขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา การทำนี่ คนเราทำบุญกุศลหลายแง่มุมนัก เห็นไหม ดูสิเวลาเราทำบุญกัน อยากมีวิมาน อยากมีสวรรค์ อยากไปหมดเลย แล้วอาหารการกินอยู่ที่ไหน? อาหารน่ะ

นี่คิดกันนะ ในโลกปัจจุบันนี้ เห็นไหม พระเขาว่ากันไง

“ไม่ต้องตักบาตรหรอก เอาเงินใส่กระปุกไว้ ถึงเวลาก็เอากระปุกนี่ถวายพระเลย”

เราก็ถามกลับว่า “แล้วมึงจะแดกกระปุกนั้นหรือ? กระปุกนั้นกินได้ไหม? กระปุกนั้นกินไม่ได้ แร่ธาตุเหรียญกินไม่ได้หรอก”

นี่เราทำบุญกุศล เห็นไหม มันมีทาน ศีล ภาวนา มันทาน แล้วระดับของทานทำอย่างไร? บุญของเราเราทำเพื่อความสุขใจ ทำเพื่อความสบายใจของเรา ความสบายใจอันนั้น พอทำสิ่งใดมันประสบความสำเร็จทั้งหมด พอทำสิ่งใดจะได้มากได้น้อยมันก็พอใจ นี่ความสุขมวลรวมๆ ความสุขมวลรวมของใคร?

ถ้าความสุขมวลรวมของเขา ดูสิทุนนิยมเข้ามา เราถึงว่าบุญคือทุนนิยมไง บุญคือลาภ บุญคือสิ่งที่ได้มาไง แต่ไม่ได้บุญเลย ดูสิเวลาลูกชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี นี่พ่อเลี้ยงมาไม่สนใจศาสนาเลย ก็จ้างให้ไปวัด จ้างไปวัดก่อน พอไปวัดเสร็จแล้วนะกลับมาให้ตังค์ กลับมาก็ให้ตังค์

อ้าว.. จะเพิ่มตังค์ให้เป็นสองเท่า ไปวัดคราวนี้ไปฟังเทศน์แล้วนะ กลับมาให้จำคำพระพุทธเจ้ามาคำนึงว่าพระพุทธเจ้าพูดเรื่องอะไร ก็ตั้งใจฟังจะเอาเงินสองเท่า พอตั้งใจฟัง เห็นไหม ธรรมะเข้ากระทบหัวใจ ธรรมะเข้ากระทบหัวใจ พอกระทบไปบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มันเป็นธรรมขึ้นมา เป็นพระโสดาบันขึ้นมา กลับบ้านไม่กล้ารับตังค์ พ่อบอกวันนี้มาเอาตังค์สิ อายมาก ไม่กล้ารับตังค์

ดูสิบุญ เห็นไหม คำว่าบุญน่ะ จิตที่เป็นธรรมแล้วกระดาษไม่มีความหมายเลย ดูสิดูพระรัฐบาลเป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐีนะ เวลาออกบวชพ่อแม่ไม่อยากให้บวช อดอาหารไม่ยอม นี่พอไม่ยอมปั๊บพ่อแม่ก็พยายามไปชักนำเพื่อนมา ให้เพื่อนมาช่วยกล่อมๆ จนเพื่อนเขารู้นิสัยเพื่อนไง เขาไปบอกพ่อแม่ บอกว่า “อยากเห็นหน้าลูกไหม? ถ้าอยากเห็นหน้าลูกต้องให้บวช ถ้าไม่อยากเห็นหน้าลูกนะลูกตายเด็ดขาด อดข้าวตายเลย”

พ่อแม่ตัดใจให้บวช พอบวชเสร็จแล้วก็ปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ นี่พระรัฐบาล ชื่อรัฐบาล ทีนี้พอเป็นพระอรหันต์กลับมาบ้าน พ่อแม่ก็ด้วยความคิดของพ่อแม่ เห็นไหม ไปขนเงินขนทองมากองเป็นภูเขาเลย แล้วถามลูก ลูกชายมีคนเดียว

“นี่เงินทองนี้จะทำอย่างไรลูก”

เอาใส่เกวียนนะ แล้วดั้มพ์ใส่แม่น้ำไปเลย เทลงคลอง นี่ไง บุญของใครล่ะ? บุญของใคร? พ่อแม่นี่ทองคำเป็นกองๆ ใครจะดูแลรักษาต่อไป แต่ลูกชายเป็นพระอรหันต์นะ ไอ้นี่มันแร่ธาตุ ไอ้นี่มันเป็นสมมุติใช่ไหม? แต่วุฒิภาวะของใจ ใจที่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมามันมีคุณค่ามากไง

จะสอนพ่อแม่ทางอ้อม บอกพ่อแม่นี่เป็นทุกข์มาก เป็นทุกข์เพราะห่วงสมบัติมาก สมบัตินี้ใครจะรักษา เห็นไหม พ่อแม่ทุกข์มาก ทุกข์มากก็ว่าอยากจะให้ลูกมาสืบทอดมรดก แล้วมรดกนี้จะให้ใคร? ลูกบอกว่า “เอาใส่เกวียนนะ แล้วดั้มพ์ใส่แม่น้ำไปเลย” คือตัดความกังวลนั้นไง

ถ้าตัดความกังวลนะ เราใช้จ่ายใช้สอยไปในชาตินี้ ชาตินี้ แก้ว แหวน เงิน ทอง เราเอามาเป็นประโยชน์ได้ ถ้าคนฉลาดนะจะเอามาทำประโยชน์มหาศาลเลย คนไม่ฉลาดนะ เห็นไหม เราเป็นขี้ข้ามันนะ เก็บถนอมรักษานะ ไปเช่าตู้เซฟ ไปเช่าตู้นิรภัย ต้องไปเก็บมัน ถึงเวลาก็มันเรียกไง เอากุญแจไปเปิดดูไง มันใช้ มันสั่งเลยนะ ไอ้นี่ก็ขาสั่นเลยนะ เอากุญแจไปเปิดดูว่าเงินกูอยู่หรือเปล่า?

นี่ให้วัตถุมันสั่ง ลูกก็จะสอนนะ สอนว่าให้พ่อแม่ทำใจ ให้พ่อแม่เข้าใจ แล้วสิ่งนั้นถ้าเป็นประโยชน์สาธารณะในชาตินี้นะ พ่อแม่จะได้บุญมาก ได้บุญไงเพราะอะไร? เพราะหยาดเหงื่อของเรานะ สิ่งที่เราได้มานี่หยาดเหงื่อแรงงานเราทั้งนั้นเลย แล้วเราเอาหยาดเหงื่อแรงงานนี้เจือจานสังคมให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เขาได้ใช้ได้สอย เขาได้ความร่มเย็นเป็นสุขจากหยาดเหงื่อแรงงานของเรา

นี่ไงบุญก็เกิด แล้วถ้าเราไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนะ พวกนี้เป็นบริษัทบริวารหมดเลย เพราะอะไร? เพราะเขาอาศัยบุญของเรา เขาได้ใช้บุญของเรา อำนาจวาสนาบารมีจะเกิดมหาศาลเลย ถ้าคนใช้เป็น.. ถ้าคนใช้ไม่เป็นนะมันก็ทำลายเรา เห็นไหม

ความสุขมวลรวมนี่ความสุขมวลรวมของใคร? แต่ถ้าเป็นพุทธศาสนานะ มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของมรรค ความสมดุลของความเป็นไป แต่เราว่าทางสายกลางคือขี้ลอยน้ำไง ทางสายกลางคือนอนเฉยๆ

ไม่ใช่! ทางสายกลางมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความดำริคือปัญญาชอบ การทำงานคืองานชอบ ความเพียรคือความวิริยะอุตสาหะชอบ ความวิริยะอุตสาหะ ความขยันหมั่นเพียรนี่ทางสายกลาง ทางสายกลางเพราะอะไร? ทางสายกลางเพราะทำแล้วมันสมดุล สมดุลเพราะอะไร? สมดุลเพราะใจนี้มันเป็นธรรม

ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เดินจงกรมอยู่ตลอดเวลา เป็นพระอรหันต์แล้วนะ เป็นศาสดาด้วย นี่เดินจงกรมอยู่ เห็นไหม หมอชีวกพาอชาตศัตรูไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ หมอชีวกไปกลางคืนนี่เสียวมาก เพราะอชาตศัตรูกลัวว่าหมอชีวกจะลวงมาฆ่า เพราะมันมีความสงัด เห็นไหม กษัตริย์กลัวจะโดนทำร้าย พอมาถึง พอเดินเข้าไป นี่ที่สงัด เอ๊ะ.. หมอชีวกจะลวงมาฆ่าไหม? ก็ถามหมอชีวก

“นี่เธอคิดร้ายกับเราหรือ?”

“จุ๊ๆๆ พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นั่น พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นั่น”

พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ เห็นไหม เรียกเข้ามา

นี่ผู้ที่ใจเป็นธรรม ใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมแล้ว ยังเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่วิหารธรรม การเดินจงกรม นั่งสมาธิ เหมือนเช้าขึ้นมารถยนต์ของเรา เครื่องจักรของเรา เราอุ่นเครื่องมัน เราดูแลรักษามัน เครื่องจะทนทานมาก เรามีเครื่องจักรอยู่เครื่องหนึ่ง แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้นะ ๑๐ ปี ๒๐ ปีไม่เคยดูแลมันเลยนะ ถึงเวลาจะใช้งานมันไม่มีประโยชน์หรอก

นี่ก็เหมือนกัน เราคิดกันผิดใช่ไหม? ว่าสิ้นกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว อู๋ย.. จะนอนตีแปลง อู๋ย.. พระอรหันต์จะนอนสบาย นอนสบายขนาดไหนธาตุขันธ์มันก็เหมือนกัน ร่างกายนี่เป็นวัตถุเหมือนกัน มันต้องการบริหารจัดการ เลือดลมมันจะได้ขับเคลื่อนของมันไป

นี่พระอรหันต์แล้วยังเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่เป็นวิหารธรรม วิหารธรรมเพราะอะไร? วิหารธรรมเพราะธาตุขันธ์มันไม่ทับจิต จิต เห็นไหม ภารา หเว ปัญจักขันธา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระ ต้องบริหารจัดการมัน พระอรหันต์ต้องบริหารจัดการมัน ให้มันร่มเย็นเป็นสุข ถ้าธาตุขันธ์มันดี บ้านเราดี เราก็อยู่ได้สุขสบาย

นี่ความสมดุล! มัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุลของมรรค มรรคญาณ นี่ความขยันหมั่นเพียรสมดุล จิตใจสมดุล เพราะจิตใจมันเป็นธรรม เห็นไหม มันทำสิ่งใดขึ้นมา มันก็มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีความเพียร เราเข้าใจว่างานนี้เป็นงานเพื่อประโยชน์ มันพอใจ อิ่มใจ เป็นสุขหมดเลย

แต่ถ้าจิตใจมันเป็นกิเลสนะ อู๋ย.. โดนเอาเปรียบ คนนั้นเอาเปรียบเรา คนนั้นไม่ทำเลย เราทำอยู่คนเดียว ไม่มีความสมดุลเลย ทางสายกลางไม่มี มันเอนไปข้างหนึ่ง อัตตกิลมถานุโยค ทำให้ลำบากเปล่า ไอ้คนที่มั่งมีศรีสุขนะ อู๋ย.. เสพสุข อยู่สุขสบาย กามสุขัลลิกานุโยค เอาแต่สุขของโลกไง สุขรอวันตายไง สุขรอเอาบาปเอากรรมไปไง มันสมดุลไหม?

นี่ไงมัชฌิมาปฏิปทา มันไม่ใช่สุขมวลรวม.. มัชฌิมาปฏิปทา มรรคสามัคคี ความสมดุลของมรรค ความสมดุลของการกระทำ ความสมดุลรวมของมรรคสามัคคี ทำลายกิเลสจากใจไปทั้งหมด แล้วใจเป็นธรรมขึ้นมา ใจเป็นธรรมขึ้นมา พุทธศาสนาสอนอย่างนี้! นี่พุทธศาสนาสอนอย่างนี้ การกระทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม

นี่เวลาเขาพูดเลย “เมื่อไหร่ชาวพุทธจะรวย? เมื่อไหร่ชาวพุทธจะมี”

ต่อไปก็รวย รวยจริงๆ ชาวพุทธจะรวยจริงๆ เพราะมันถึงกาลถึงเวลามันจะรวย รวยนี่เป็นอามิสไง เราทำคุณงามความดี บุญกุศลส่งเสริมไป บุญและบาป เห็นไหม ความดีและความชั่วส่งเสริมไปในวัฏฏะ แต่วิมุตติสุขมันซ้อนกันอยู่ สมมุติกับวิมุตติ สิ่งที่วิมุตติสุขมันพ้นจากวัฏฏะ สิ่งที่พ้นจากวัฏฏะ เอาค่าของวัฏฏะมาเทียบไม่ได้ เราถึงพูดบ่อย เห็นไหม สแกนกรรมเอย สแกนนู่น สแกนนี่ เอาเครื่องมือ เราถามว่าเครื่องมือจะทำอะไร?

นี่ก็เหมือนกัน ความสมดุล.. ความสมดุลเราเอาโลกไปเทียบ เราเอาวิทยาศาสตร์ไปจับไง ว่าคนที่มั่งมีศรีสุขคือมีแบงก์เยอะๆ แต่คนที่ทุกข์ทนเข็ญใจแต่มีความสุข เราไม่ว่าอันนั้นเป็นบุญนะ เรามองไม่เห็น นี่เราเอาโลกไปจับ เอาวิทยาศาสตร์ไปจับใช่ไหม? แต่ถ้าเอาธรรมะไปจับ เห็นไหม พระอรหันต์นะ พระอรหันต์แต่ละองค์นี่ลาภสักการะมหาศาล พระอรหันต์แต่ละองค์บางองค์ก็ปานกลาง

นี่ถ้ามองทางโลกแล้ว ดูสิเวลาหลวงปู่มั่นเนี่ย หลวงตาท่านพูดบ่อย

“ถ้าพูดถึงโลกนี่ทุกข์นะ หลวงปู่มั่นทุกข์ที่สุด ลำบากที่สุด”

อยู่ในป่าในเขาไม่เคยได้ฉันอาหารที่สมใจอยากแม้แต่อย่างเดียว ที่ไหนมีของดีหนี เราเจ็บไข้ได้ป่วยเราต้องไปโรงพยาบาล หลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งเข้าป่าลึกๆ เขาอยู่ปกติเขาฉันข้าวกัน พอหลวงปู่มั่นท่านเจ็บไข้ได้ป่วยท่านฉันข้าวต้มกับเกลือ เห็นไหม

นี่ถ้าพูดถึงความสุขทางโลก หลวงปู่มั่นทุกข์มาก แต่พูดถึงความสุขทางธรรม หลวงปู่มั่นเป็นธงชัยของกรรมฐานในปัจจุบันนี้ หลวงปู่มั่นพยายามค้นคว้าของท่านมา ท่านมีวิมุตติสุขในหัวใจท่านล้นเหลือ กลางคืนขึ้นมาท่านไม่เคยพักผ่อน เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์กับท่านมหาศาลเลย

ในเรื่องของความสุขในหัวใจ ท่านมีความสุขมากที่สุดเลย แต่ในเรื่องของร่างกาย จะว่าทุกข์นะท่านทุกข์ที่สุดเลย ท่านไม่เคยได้ใช้อะไรสมความปรารถนาเลย ท่านไม่เอา ท่านไม่เอา เห็นไหม แต่เราเอาวิทยาศาสตร์ไปจับ อู๋ย.. หลวงปู่มั่นจะทุกข์มาก

นี้เวลาพูดเทียบ เห็นไหม หัวใจของชาวพุทธ ต้องเข้าใจว่าในโลกนี้มันซ้อนกันอยู่สมมุติกับวิมุตติ ซ้อนกันอยู่ ความสุขจริงๆ คือความสุขของใจ ความสุขของใจที่มันสมดุล สมดุลคือใจวิวัฒนาการ ใจพัฒนาการขึ้นไปมันจะรู้ของมัน แต่ใจเราต่ำต้อย ใจเราโดนกิเลสทับถมไว้ เราจะไม่รู้อะไรสุข อะไรทุกข์เลย ตามืดบอดแล้วเราก็ดันกันไปเหมือนไส้เดือน

จริงๆ นะเหมือนไส้เดือน อยู่ในดินกินดินอยู่นี่ แต่ไม่รู้จักดิน.. เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา อยู่ในศาสนาพุทธ แล้วไม่รู้จักว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร เหมือนไส้เดือน เอวัง