เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราเกิดมาเราพบพุทธศาสนา เราต้องการสัจจะที่เป็นความจริง สัจจะทางโลกนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นี่อริยสัจจะ.. อริยสัจ สัจจะที่เป็นความจริง ความจริงมีหนึ่งเดียว มีสองไม่ได้ ความจริงไม่มีสอง มีหนึ่งเดียวนะ สัจจะอันนี้สำคัญมากเลย สัจจะ อริยสัจจะ ทีนี้สัจจะความจริง นี่ความจริงของใคร?

ถ้าความจริงเราปรารถนาอยู่แล้วนะ เราปรารถนาความจริง ความจริงนี่ถ้าเราพิสูจน์แล้วเป็นความจริง ความจริงถ้ามันไม่จริงนะ อยู่กับเรานี่ดูสิมันคลอนแคลน

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา”

เราก็เห็นกัน ทุกคนนี่พอเห็นธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ความจริงที่เป็นหนึ่งเดียว ความจริงในใจของครูบาอาจารย์เรา เรารู้จริงนะ อย่างครูบาอาจารย์เรา ดูหลวงปู่มั่นสิท่านเป็นพระอรหันต์นะ เวลาท่านเผยแผ่ธรรมขึ้นมา เห็นไหม หลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำว่า หลวงปู่มั่นท่านเก็บเล็กผสมน้อย เพราะเป็นพระอรหันต์แล้วมันเป็นปาปมุต ความผิดมันไม่มี แล้วมันพ้นจากสมมุติทุกๆ อย่าง แต่เก็บเล็กผสมน้อยนะ อย่างใดที่เป็นคติแบบอย่าง ท่านจะทรงข้อวัตร ท่านจะทำเป็นแบบอย่าง ท่านทำเป็นตัวอย่าง

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม นี่คนนะอายุ ๘๐ เป็นวัณโรค เวลาฉันอาหารฉันไม่ได้หรอก หลวงตาท่านพยายามจะเอาน้ำเฉยๆ น้ำมะพร้าวไปให้ท่านฉันตอนในเพล ท่านบอกฉันไม่ได้ ฉันไม่ได้ หลวงตานี่ด้วยความเคารพ ด้วยความรัก คนที่เป็นสัจจะอันเดียวกัน มันจะเคารพนบนอบ มันจะมีกตัญญูกตเวที มันจะซึ้งบุญซึ้งคุณนะ

เราจะซึ้งบุญซึ้งคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาได้ ๔ อสงไขย แสนมหากัป แล้วปรารถนานะ ดูสิเวลาสร้างเป็น ๑๐ ชาติสุดท้าย เห็นไหม เป็นเตมีย์ใบ้นี่ขันติธรรม ขันติธรรมเขาไม่เชื่อหรอก เขาตัดจมูก ตัดหู ตัดทุกอย่างเลยจะให้พูดออกมา นี่ท่านสร้างมาขนาดนั้นเวลาท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาท่านเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านยังต่อสู้ ยังพิสูจน์ ตรวจสอบ ค้นคว้าออกมาอยู่ ๖ ปี

นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเผยแผ่ธรรม เห็นไหม ได้ปัญจวัคคีย์ก่อน ได้บริวารยสะอีก ๕๔ ทั้งยสะเป็น ๕๕ ทั้งปัญจวัคคีย์อีก ๕ รวมพระพุทธเจ้าเป็น ๖๑ องค์ เวลาท่านพูดนะ ท่านจะเผยแผ่ธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนักต้องการธรรมะ เธออย่าไปซ้อนทางกัน”

โลกนี้เร่าร้อนนัก แยกกันไปเพราะอะไร? เพราะเป็นความจริงกันหมดไง เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ แต่เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม หลวงปู่มั่นเป็นที่เคารพบูชา ลูกศิษย์ลูกหาจะเคารพบูชามาก เคารพบูชามากก็ปรารถนาให้ท่านได้ผ่อนคลาย ให้ได้ดื่มน้ำเพราะท่านฉันอาหารไม่ได้ ท่านบอกว่า

“ฉันไม่ได้”

“ฉันไม่ได้เพราะเหตุใด?”

“ฉันไม่ได้เพราะว่าตาดำๆ มันมองอยู่” เห็นไหม

ตาดำๆ หมายถึงลูกศิษย์ลูกหา ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ที่เป็นเส้นตรงให้เราเดินตาม เป็นบรรทัดฐานให้เราใช้ชีวิตตาม เป็นบรรทัดฐาน ชีวิตแบบนั้นเพื่อเข้าสู่.. ใช้ชีวิตนะ ใช้ความดำรง ข้อวัตรปฏิบัตินี่มันเป็นกรอบ แต่หัวใจ! หัวใจที่มันดิ้น หัวใจที่มันเป็นไปนี่มันเป็นจริงไหม? ถ้าหัวใจที่มันดิ้น นี่มันดิ้นออกจากกรอบ มันพยายามจะดิ้นออกจากกรอบ เพราะกรอบนั้นมันเป็นธรรมะ มันจะครอบงำกิเลส พอกิเลสมันโดนจำกัดมันจะดิ้นๆ

นี่ธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ กิเลสมันจะดิ้นออก มันไม่ยอมอยู่หรอก เห็นไหม แต่นี้มันจะดิ้น ถ้าตัวอย่างมันผ่อนคลาย นี่ก็กลัวลูกศิษย์ลูกหาจะมีปัญหามาก ท่านบอก

“ไม่ได้หรอกตาดำๆ มันมองอยู่”

ตาดำๆ มันมองอยู่ คือว่าลูกศิษย์ลูกหาในวัดนั้นน่ะ พระในวัดนั้นมันมองอยู่ มันดูอยู่ไง พูดถึงถ้าฉันเพื่ออะไร? เพื่อบรรเทาธาตุขันธ์ แต่กิเลสมันไม่รู้ กิเลสไม่รู้มันก็อ่อนแอ มันไม่ยอมรับฟัง เห็นไหม ท่านบอกฉันไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะตาดำๆ หลวงตาท่านเคารพบูชา ท่านบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกนั้นเป็นเทวทัต เพราะอะไร? เพราะให้ผ่อนคลายไง”

คนอายุ ๘๐ เป็นวัณโรค แล้วท่านฉันอาหารไม่ได้ เห็นไหม นี่เก็บเล็กผสมน้อย เป็นครูบาอาจารย์ เก็บเล็กผสมน้อย นี่เป็นแค่กรอบเฉยๆ แต่ถ้าในหัวใจล่ะ? ในหัวใจที่เป็นจริง จริงมันมีหนึ่งเดียว สิ่งที่มีหนึ่งเดียวนะ ดูเวลาทำสมาธิสิ เวลาจิตนะ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะพวกเรานี่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไม่ถึง พอเข้าไม่ถึงนะบอกว่า “ไม่มีความจำเป็น สมถะไม่มีความจำเป็นเลย ให้พิจารณาปัญญาสายตรงเลย พิจารณาวิปัสสนาสายตรงเลย”

มันจะตรงเข้าสู่กิเลสเลยไง ไม่ต้องเข้าสู่ธรรมนะ! มันจะตรงเข้าสู่กิเลส เข้าสู่กิเลสเพราะอะไร? เข้าสู่กิเลสเพราะจิตใจเราเป็นกิเลส อวิชชาพาให้เราเกิดมา ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณมันมีอวิชชาครอบงำ อวิชชาครอบงำ นี่มันเนื่องกันมามันเป็นอันเดียวกัน พอเนื่องมาเป็นอันเดียวกันนะ เวลาเราเกิดเป็นสถานะไหนแล้วเราจะมีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕

นี่ตัวจิตเป็นตัวอันหนึ่ง ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสิ่งที่รับรู้ นี่มันเป็นเรื่องเปลือก เรื่องจากภายนอก เรื่องสถานะ แต่เรื่องจริงๆ คือปฏิสนธิจิต คือจิตเดิมแท้ ตัวจิตเดิมแท้มันมีอวิชชาครอบงำอยู่ ทีนี้อวิชชาครอบงำอยู่ สิ่งนี้เอามาศึกษาธรรม พอศึกษาธรรมนี่อวิชชาตัวความไม่รู้ จิตที่มันไม่รู้สึกตัวมันเอง แต่ไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นสัจธรรม

มันด้วยความไม่รู้ เห็นไหม บอกว่าว่างๆ ว่างๆ นะ อู๋ย.. มันจะสร้างภาพของมันขึ้นมานะ แล้วว่าเป็นธรรมๆ นี่ไงความจริงปลอม! ความจริงแท้คือความจริงอริสัจ ความจริงหนึ่งเดียวของจิตนั้น แต่เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า เราศึกษาเราว่าเรารู้ แล้วจิตมันเป็นอวิชชา จิตมันไม่รู้ตัวมันเอง พอไปศึกษาขึ้นมานั่นน่ะมันเป็นความจริงปลอม พอความจริงปลอม เห็นไหม บอกว่าสมถะก็ไม่มีความจำเป็น สมาธิก็ไม่มีความจำเป็น แล้วปัจจุบันนี้..

นี่ปัจจุบันเวลาเผยแผ่ธรรมกันไป ครูบาอาจารย์ท่านพูดถูกต้องของท่าน นี่ผู้รู้จริงไง พ่อแม่ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์มา แนะนำสิ่งใดถูกต้องหมดแหละ แต่เด็กมันพูดคำเดียวกับพ่อแม่เลยนะ ยิ่งเด็กไร้เดียงสามันจะพูดแจ้วๆๆ เลย มันไร้เดียงสาทั้งหมด มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่มันพูดดีกว่าผู้ใหญ่อีก มันจำคำพูดนั้นได้

นี่จิตที่มันบอกเป็นสมาธิๆ มันไม่รู้เรื่องอะไรของมันเลย แต่มันพูดของมัน เห็นไหม นี่ถึงเวลาพุทโธ พุทโธแล้วปล่อย ถ้าพุทโธแล้วมันจะหยาบ.. เป็นไปไม่ได้! พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธจนมันพุทโธไม่ได้ แต่เพราะอะไร? เพราะหนึ่ง เรามีความมักง่าย เรามีความขี้เกียจ เรามีความไม่ต้องการ เรามีความคับแค้นใจ

คับแค้นใจนะ อวิชชามันขับดันอยู่ในหัวใจ มันพุทโธ พุทโธ พุทโธไป เพราะการทำงานนะ งานทางโลกมันต้องลงทุนลงแรงมหาศาลเลย แล้วงานทางธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีตัวสมาธิ ความคิดทั้งหมดเป็นโลกียปัญญา โลกียะคือโลก โลกทัศน์ คือตัวจิต คือตัวภพ ความคิดทั้งหมด ความคิดที่ศึกษาธรรมมันเกิดจากอวิชชาทั้งหมด มันเกิดจากอวิชชาทั้งหมดเลย มันเกิดจากจิตทั้งหมดเลย มันไม่เกิดจากความจริงเลย

ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้ามันก็เป็นโลก เป็นโลกเพราะอะไร? เพราะใจมันเป็นโลก ใจมันเป็นอวิชชา พอใจเป็นโลก สิ่งที่ออกมาเป็นโลกียปัญญา นี่ถ้าพุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าจิตมันสงบเข้าไป นี่โลกียะ โลก โลกทัศน์ ความรู้ความเห็นของตัวของมันสงบตัวลง มันปล่อยวางตัวมันเองลง พอปล่อยวางตัวเองนี่แล้วมันชั่วคราว ของชั่วคราวเพราะอะไร? เพราะมันเป็นหินทับหญ้า

คำว่าหินทับหญ้านะมันไม่มีประโยชน์ หินทับหญ้าขอให้มันทับเถอะ ถ้ามันหินทับหญ้า หญ้ามันไม่เกิดให้รกหูรกตานี่มันประเสริฐแค่ไหน? เพราะหินทับหญ้าก็มีประโยชน์อีก หินทับหญ้านี่มันทับหญ้าชั่วคราว พอมันทับไว้ กดหญ้าไว้ มันจะดูสะอาด จะดูเรียบร้อย จะดูพอใจ แต่ถ้าหญ้ามันรกครึ้ม มันจะมีอสรพิษ มีสัตว์ร้าย มีพวกแมงป่อง มีต่างๆ สัตว์ร้ายมันจะคอยขบกัดเราอยู่ในดงหญ้านั้น

โดยปกตินะ โลกียปัญญา ความคิดของเรา เห็นไหม มันมีอวิชชา มันมีเสือร้าย มันมีทุกอย่างคิดหมด แล้วก็คิดธรรมะ ตรึกธรรมะไง ว่างๆ ว่างๆ นี่ทำสมาธิไปแล้วจนพุทโธไม่ได้ แล้วจิตมันก็ว่าง แล้วทำอย่างไรต่อไป? นี่วังวนอยู่นั่นไง เรือไม่มีหางเสือ ไปไหนไม่รอด อยู่อย่างนั้นแหละ นี่ธรรมะเดี๋ยวนี้มันเป็นโลกๆ ไง ธรรมะกับโลก แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ พุทโธ จนมันพุทโธไม่ได้มันจะรู้นะ

นี่ความจริงหนึ่งเดียว สมาธิก็มีหนึ่งเดียว ทั้งๆ ที่สมาธินี่ขอบเขตของมันเป็นฌาน ฌานเป็นอจินไตย อจินไตยหมายถึงว่าขอบเขตมันกว้างขวางจนกำหนดไม่ได้ กำหนดไม่ได้เพราะอะไร? กำหนดไม่ได้เพราะอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน กำหนดไม่ได้เพราะจริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน กำหนดไม่ได้เพราะในปัจจุบันทำมากทำน้อยมันต่างกัน มันกำหนดไม่ได้เพราะมันมีเหตุมีผลที่กำหนดไม่ได้

แต่เราก็จะว่า นี่ขณะที่เป็นสมาธิ เห็นไหม น้ำล้นฝั่ง น้ำล้นแก้วถ้ามันเต็ม สมาธิก็คือแก้วน้ำนั้นแหละ น้ำล้นตุ่ม น้ำล้นไห ถ้าเราเอาน้ำใส่ไปในตุ่ม ใส่ไปในไหนั้นมันจะล้น ล้นอย่างนั้นล่ะ.. คือผลของมัน คือผลของความสงบมันมีเท่านั้น แต่ถ้าทำมากทำน้อยขนาดไหน มันก็ทำได้มากแต่มันเป็นผลที่เป็นโลกียะ คืออริยสัจ คือสัจจะความจริง ผลมันไม่เป็นธรรมไง ฉะนั้น พอผลไม่เป็นธรรม เขาก็เลยรังเกียจกันว่าสมาธิมันไม่มีประโยชน์ สมาธิไม่มีประโยชน์

ตัวสมาธิ ถ้าไม่มีตัวสมาธิมาให้กิเลสมันสงบตัวชั่วคราว เพื่อให้ปัญญามันออกก้าวเดิน ปัญญาที่ออกก้าวเดินนี้เป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่พระพุทธเจ้าต้องการ พระพุทธเจ้าปรารถนา เพราะปัญญาในพุทธศาสนานี้ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร แต่ปัญญาของโลก ปัญญาสังขารออกไปรอบรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องวิชาชีพ แต่ถ้าปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร คือปัญญารอบรู้ในความคิดไง

สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ความรู้สึกในหัวใจของเรานี่แหละ แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา มันรอบรู้เท่าทันตัวเอง รอบรู้เท่าทันความคิด รอบรู้เท่าทันกิเลส รอบรู้เท่าทันอวิชชา รอบรู้เท่าทันกับความเอาชนะตนเอง เห็นไหม เรื่องของโลก สงครามเกิดขึ้นมานี่ได้ประโยชน์มากมายมหาศาล สิ่งต่างๆ ที่เขารบทัพจับศึกนี่เขาว่าเขาได้ประโยชน์ขึ้นมา ชนะศึกคูณด้วยล้านคือก่อเวรก่อกรรม

“การชนะที่ประเสริฐที่สุดคือการชนะตนเอง”

เอาชนะเราให้ได้นี่แหละ การชนะเรานี้ประเสริฐที่สุด แล้วกว่าจะเอาชนะเรานี่เอาชนะอย่างไร? ถ้าเอาชนะอย่างไร? นี่ไงปัญญารอบรู้ในกองสังขาร โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เหนือโลก เอาเราออกจากโลก โลกทัศน์คือความติดข้องของใจ ถ้าความติดข้องของใจนี้มันหลุดพ้นออกไปจากอวิชชา นี่พ้นจากโลก พ้นจากการเกิดและการตาย พ้นจากมันทั้งหมด

นี่ปัญญาอย่างนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นนะ แล้วพอจะรู้จะเห็นขึ้นมา เห็นไหม นี่มันเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเข้าถึงสัจธรรมนะไม่มีสอง พระอรหันต์ไม่เถียงกันเรื่องอริยสัจ แต่พระอรหันต์เถียงกันด้วยความชำนาญ ดูสิในสมัยพุทธกาล เอตทัคคะนี่ความชำนาญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่อริยสัจอันเดียวกัน จะไม่มีการเถียงกันเรื่องอริยสัจเด็ดขาดเลย แต่เรื่องความชำนาญมีบ้าง มีบ้าง

ทีนี้ถ้าเป็นความจริงหนึ่งเดียวมันจะเหมือนกัน นี่มันจะขัดแย้งกันไปที่ไหน? มันขัดแย้งกันไปไม่ได้ ถ้ามีความขัดแย้งมันต้องมีผิดอยู่คนหนึ่งแน่นอน ถ้าใครผิดนั้นมันเป็นเรื่องของ.. นี่เห็นไหม ความจริงที่เป็นหนึ่งเดียว ถ้าพูดความจริงแล้วจะไม่มีความขัดแย้งเลย พูดความจริง ความจริงหนึ่งเดียว แต่ถ้าพูดความจริงเทียม ความจริงของอวิชชา ความจริงจากความรู้ของตัวมันเป็นความจริงปลอม พอความจริงปลอมมันมีกิเลสซ้อนมา มันมีการลบล้าง

มันมีการลบล้างนะความจริงปลอมนี่ เพราะความจริงปลอมมันมีกิเลส มันอยากขึ้นใหญ่ มันอยากมีอำนาจ มันอยากจะครอบงำคนอื่น เห็นไหม แต่ถ้าเป็นความจริงแท้นะ ไม่ติดในเราและในเขา ในเรายังไม่ติดเลย มันจะไปติดคนอื่นได้อย่างไร?

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมันต้องดับเป็นธรรมดา”

รู้เท่าทันหมดแหละ เห็นโลก เห็นความเป็นไปของโลกนะ มันเข้าใจความเป็นไปของโลก ความเป็นไปของโลก โลกเป็นอย่างนี้เอง เข้าใจเอง เห็นไหม แม้แต่ชีวิตเราก็ต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ ต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ต่อไป เพื่อจะให้สั่งสอนพระอานนท์

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ? สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องละสังขารภายในคืนนี้”

เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว นี่ละกิเลสมาตั้งแต่วันตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แต่สิ่งนี้เวลาจะดับขันธ์ต้องละขันธ์ นี่ขันธนิพพาน

กิเลสนิพพาน ขันธนิพพาน.. พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นี่กิเลสนิพพาน กิเลสสิ้นไปแต่ยังมีชีวิตอยู่ กิเลสไม่มีในธาตุในขันธ์เลย แต่มันก็ยังแบกธาตุแบกขันธ์ต่อไป ถึงที่สุดแล้วขันธนิพพาน สละทิ้งขันธ์ จิตนี้เป็นจิตล้วนๆ ไม่มีสิ่งใดเลย แต่ถ้ายังมีธาตุ มีขันธ์อยู่ ธาตุขันธ์มันเป็นภาระต้องแบกรับไป เห็นไหม ความจริงหนึ่งเดียว มันจริงเหมือนกัน ไม่มีต่างกันหรอก แม้แต่ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลสำคัญมาก ศีลสำคัญเพราะอะไร? ถ้าไม่มีศีลสำคัญ ไม่มีกรอบกติกาขึ้นมา กิเลสมันจะพาเราแถไปเรื่อยแหละ นี่มีความเห็นใดถูกต้อง มีความเห็นดีงามบอกถูกหมดแหละ แต่ถ้ามันมีอะไรขัดแย้งกับกิเลสมันว่าผิดหมดแหละ พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติศีลไง ศีลที่เป็นกลาง ศีลที่เป็นข้อบังคับว่าเราต้องทำให้มันผิดถูกตามนั้น แต่ตัวจริงๆ แล้วมันเป็นข้อบังคับ มันไม่ใช่ตัวศีล ตัวศีลจริงๆ คือตัวปกติของใจ ถ้าใจมันไม่ทำผิด มันไม่แถออกไป นั่นล่ะคือศีลสมบูรณ์

นี้เราไปติดกันที่ข้อบังคับว่าสิ่งนั้นจะผิด จะผิด เกร็งไปหมดเลยไง มันเลยถือศีลปลอมๆ ไง ถ้าถือศีลจริงๆ นี่ตั้งสติไว้ ความปกติของใจ ศีลตัวเดียวคือรักษาจิตไว้ ไม่ผิดอะไรเลย รักษาความปกติไว้มันจะผิดอะไร? ไม่มีอะไรผิดเลย นี่พอมันไม่ผิดปั๊บมันก็ไม่ทำความผิดข้างนอกใช่ไหม? เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันมีรากฐานขึ้นมา เพราะอะไร? เพราะมันไม่เบียดเบียนใครมันก็เป็นสัมมาสมาธิ

แต่ถ้ามันไม่มีศีลขึ้นมา พอจิตมันมีความสงบขึ้นมา ดูสิขณะที่จิตไม่สงบนี่มันอยากใหญ่ อยากโต อยากจะทำลายคนอื่น ยิ่งจิตสงบขึ้นมา ดูเทวทัตสิ เวลาจิตสงบขึ้นมานี่ฌานโลกีย์ เป็นงูไปพันหัวอชาตศัตรู นี่ทำได้หมดแหละ แต่ถ้ามันมีศีลของมัน เห็นไหม มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นจิตปกติ ถ้าศีล สมาธิมันเกิดมรรคญาณ เกิดปัญญาที่ถูกต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดถูกต้องมันเข้าไปชำระกิเลส

นี่สิ่งนี้มันมีหนึ่งเดียว ความจริงมีหนึ่งเดียว ความจริงไม่มีสอง ศีล สมาธิ ปัญญา หนึ่งเดียว เราเข้าถึงสัจธรรมความจริง นี่เป็นประโยชน์กับเรานะ แล้วครูบาอาจารย์ท่านต้องการตรงนี้ ต้องการให้ศาสนานี้มั่นคง ต้องการให้ศาสนานี้ให้เป็นที่พึ่งของสังคม เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกนะ

เมื่อก่อนหน้านั้นไม่มีหลวงปู่มั่น ก็ต่างคนต่างกระเสือกกระสนกันไปเพื่อจะเอาตัวรอด แล้วหลวงปู่มั่นท่านมีศักยภาพ ท่านมีศักยภาพมาก เพราะว่าท่านสร้างบุญญาธิการมา ท่านถึงเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแจกแจง มาแนะนำพวกเรา ถ้ามีคนที่ปฏิบัติได้..

นี่เราได้ทำได้จริงนะ แต่เราจะแจกแจง จำแนกมันออกมาให้เขาได้รู้ได้ยาก แล้วหลวงปู่มั่นท่านทำของท่านได้ แล้วท่านจำแนก แจกแจงธรรมะให้พวกเราก้าวเดินตาม นี่มันถึงเจริญขึ้นมา พอเจริญขึ้นมา เราต้องทำจริงทำจังขึ้นมา กดกิเลสเรา กดไอ้ตัวความเป็นไปที่มันอยากแสดงออกอันนั้นให้มันเป็นสัจจะความจริงข้างใน

โอปนยิโก ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูหัวใจของเรานี่ มาดูความสุขของเรานี่ มาดูความเป็นไปของเรานี่ เห็นไหม นี่เยาะเย้ยมัน เยาะเย้ยมาร เยาะเย้ยทุกๆ อย่าง ถ้ามันชนะขึ้นมาแล้วถึงที่สุด นี่ความจริงหนึ่งเดียวที่เป็นความจริงแท้ เอวัง