เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ อุโบสถด้วย ถ้าอุโบสถ เห็นไหม เวลาพระไปอยู่ในป่า วันปกติก็ภาวนาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นวันพระวันเจ้า จะภาวนาอุทิศองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่นอนเลย ๒๔ ชั่วโมงทั้งวันทั้งคืนนะ เห็นไหม เวลาเขาเร่งความเพียรกันเพราะอะไร? เพราะสดชื่นไง ได้ความสด มีความสดชื่นอยู่ในป่าในเขา มีความสงบสงัด เราจะเร่งความเพียรของเรากัน เร่งความเพียรของเราเพื่ออะไร? เพื่อเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปนะ เวลามารดลใจเนี่ย

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะปรินิพพาน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรานะ เราเป็นชาวพุทธ เราถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเรา แต่เราเข้าใจ เรารู้จักศาสนาพุทธไหม? ไม่มีใครรู้จักเลยนะ เหมือนมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง อยู่กับมะม่วงแต่ไม่รู้รสชาติของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับศาสนา เราไม่รู้จักศาสนาเลย แล้วดูสิพวกนักปราชญ์ พวกค้นคว้าคัมภีร์ พยายามจะทำความรู้จักกับศาสนา ยิ่งค้นคว้าเท่าไหร่ยิ่งห่างจากศาสนาไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอย่างเราชาวพุทธ เห็นไหม เวลาปริยัติ ปฏิบัติ เราค้นคว้ามาแล้ว ค้นคว้านี่เราดูแต่ฉลากยา เราทำแต่วิจัย แต่เรายังไม่สามารถเข้าไปลิ้มรสของมันได้ เราไม่สามารถทำอาหารขึ้นมาได้ อาหารจะไม่ออกมาจากตำราอาหารเด็ดขาด

ตำราอาหารเป็นการบอกชี้นำในการทำอาหาร การทำอาหารเราต้องเข้าครัวของเรา เราต้องหาผักหาหญ้ามาเพื่อทำอาหารของเรา การประพฤติปฏิบัติเท่านั้น หัวใจเราได้ลิ้มรสของศาสนา แต่เราไปค้นคว้าในทางวิจัย เราอ่านตำราทั้งวันทั้งคืนเลย เอาตำราทำอาหารมากางทั้งวันทั้งคืนเลย จะไม่มีอาหารหลุดออกมาจากตำรานั้นแม้แต่เม็ดเดียว ตำราอาหารนั้นไปบอกวิธีการทำอาหารเท่านั้น แต่การทำอาหารต้องทำจากมือของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ในตำรา ในการค้นคว้าเพื่อจะเข้าใจในศาสนา เห็นไหม นี่ความจะเข้าใจในศาสนา แล้วเราเข้าใจในศาสนาไหม? มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยนะ พวกเราชาวพุทธแท้ๆ เลย เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้จักศาสนาพุทธ แล้วห่างไกลจากศาสนาพุทธมาก

ในการประพฤติปฏิบัติ ในการพยายามปฏิบัติของเราขึ้นมา ยิ่งห่างไกลศาสนาไปเรื่อยๆ ห่างไกลศาสนาไปเพราะอะไร? ห่างไกลจากศาสนาเพราะจิตมันเป็นไป มันเป็นฤๅษีชีไพร มันไปติดอยากรู้อยากเห็น อยากออกไปข้างนอก มันเป็นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นแหละ

ดูสิเจ้าเข้าทรงเขาทายนะ เขารู้ถึงพฤติกรรมของเราดีกว่าเราอีก นั่นไงนั่นเป็นศาสนาไหม? เพราะนั่นล่ะยิ่งทำยิ่งห่างไกล ดูนะเรือเวลาเขาจะเข้าท่า เห็นไหม เขาต้องรู้จักร่องน้ำ ถ้ามีร่องน้ำเขาจะชักเรือนั้น ถ้าเรือใหญ่เขาต้องมีเรือนำร่องน้ำ ให้เอาเรือนั้นเข้าสู่ท่า

นี่ก็เหมือนกัน เราจะเข้าสู่ใจของเรา ไม่ใช่เห็นชายหาดที่ไหน เห็นน้ำตื้นที่ไหน เห็นที่ไหนว่าเรือควรจะเทียบท่าได้ เอาเรือไสเข้าไปเลยนะ มันเกยตื้นหมดแหละ พอมันเกยตื้นนะ ยิ่งเกยตื้นเท่าไหร่นะยิ่งเข้าถึงศาสนาไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเราห่วงกันเอง เพราะกิเลสมันหลอก เห็นไหม กิเลสหลอกว่า นี่สิ่งใดที่มันทำเห็นชายหาดอยู่รำไรเลยนะ แล้วเราเอาเรือเข้าไปนะ เรือพลิกคว่ำทันทีเลย เพราะเข้าร่องน้ำไม่ได้ เข้าถึงท่าไม่ได้

ถ้ามันเข้าถึงท่าได้ เห็นไหม เราต้องตั้งสติ นี่รู้จักศาสนา ถ้าเราเข้าถึงศาสนา โคนำฝูง โคที่ฉลาดจะพาฝูงโคนั้นพ้นจากวังน้ำวน ถ้าโคมันโง่นะ มันพาฝูงโคนั้นลงไปวังในน้ำวนทั้งหมดเลย ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน นี่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องสมาธิ แต่ต้องอาศัยสมาธิ ต้องอาศัยสติปัญญาขึ้นไป สติ สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสติ สมาธิเกิดไม่ได้

นี่ปัญญาโลกุตตรปัญญา ร่องน้ำมันเกิดจากตรงนี้ ถ้าไม่มีร่องน้ำเราจะเอาเรือเรา เห็นไหม เรือนี่เรือภพเรือชาติ นี่เรือจิตตัวนี้มันเกิดมันตาย เราจะเอาอะไรเทียบท่าให้ได้ ถ้าเทียบท่าขึ้นไปนะ เราเทียบท่าของเราได้ เราเข้าร่องน้ำของเราได้ คนเขาเดินเรือประจำเขาจะรู้ร่องน้ำของเขา เขาจะพาเรือของเขาเข้าฝั่งด้วยความปลอดภัย

ไอ้ของเรานี่เราศึกษากัน ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้าของนะ เราเป็นเจ้าของประเทศ เราเป็นเจ้าของท่าเรือ แต่เราไม่มีเรือกับเขา เราให้แต่เรือต่างชาติเข้ามาเทียบท่าของเรา แต่เรือของเราไม่มี เรือของเราไม่มี ยิ่งเห็นของเขายิ่งอวดรู้อวดเห็น อวดรู้อวดเห็นไปว่าเรารู้เราเห็น ยิ่งศึกษาขนาดไหน ยิ่งประพฤติปฏิบัติยิ่งห่างไกลศาสนาทั้งนั้นเลย

ถ้าเราจะใกล้ศาสนานะ.. นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอนุปุพพิกถา เห็นไหม เริ่มตั้งแต่ทาน ศีล เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของเนกขัมมะ เรื่องของนรก สวรรค์ นี่ปฏิเสธทั้งหมดเลย พอจิตใจมันควรแก่การงานเราถึงเริ่มประพฤติปฏิบัติ แต่นี้จิตใจของเรา เราอยากได้อยากดีของเรา แต่เวลาทำไปด้วยจิตใจ...

นี่ผี ผีตัวแรกเรากลัว กลัวทุกๆ อย่างเลย แต่เราลืมผีตัวของเราไป เราลืมผีในหัวใจของเรานะ หัวใจเราก็ผีตัวหนึ่ง ผีตัวนี้มันมีตัณหาความทะยานอยากมาก พอมีตัณหาความทะยานอยากมาก เวลาทำอะไร เห็นไหม ดูทำทางโลกก็สุกเอาเผากิน ถึงได้ทุกข์ๆ ยากๆ กันอยู่อย่างนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติก็สุกเอาเผากินอีก พอสุกเอาเผากิน เห็นไหม เราถึงต้องตั้งสติก่อน ต้องทำความสะอาดมันก่อน ไม่สุกเอาเผากินไง

ถ้าไม่สุกเอาเผากินนะ ไอ้ผีตัวนี้ ไอ้ตัณหาความทะยานอยาก ไอ้ความอยากได้อยากดี ไอ้ตรงนี้เราต้องยับยั้งมัน ยับยั้งมันให้ได้ ยับยั้งมันด้วยความอยากได้อยากดีนั่นแหละ ความอยากได้อยากดีในการกระทำ ถ้าเราอยากจะมั่งมีศรีสุขเราต้องทำหน้าที่การงานของเรา เราอยากได้อะไรเราต้องทำมา มันไม่มีอะไรได้มาด้วยไม่มีสิ่งตอบสนองหรอก เราไม่มีการกระทำ มันจะไม่มีสิ่งใดตอบสนองมา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าสิ่งที่ตอบสนองมา เห็นไหม ตอบสนองมาในทางที่ผิด นี่ไงเจ้าของศาสนาพุทธนะ.. นี่เราเป็นชาวพุทธกันแท้ๆ เลย แต่เวลาทางยุโรปเขามาบวชกัน อู้ฮู.. ตื่นเต้นมากแค่เขาสอน เขาเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณีไหม? เขาเข้าใจถึงความเป็นจริงของหัวใจไหม? ถ้าเข้าใจถึงความเป็นจริงของหัวใจ ความเป็นจริงของหัวใจ ธรรมชาติของหัวใจมันเป็นสภาวะแบบนั้นแหละ พอมันฟุ้งซ่านขนาดไหน มันก็ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา มันต้องดับไปเป็นธรรมดา

นี่ธรรมชาติของใจมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าธรรมชาติของใจเป็นอย่างนั้น เขาพิสูจน์ด้วยธรรมชาติหัวใจของเขาอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็ตื่นเต้นไปกับเขา คำพูดเป็นปรัชญาเราเข้าใจได้ แต่คำพูดนี่เห็นไหม ดูสิร่องน้ำที่ครูบาอาจารย์ท่านจะพาเราเข้าฝั่ง พาเราเข้าเทียบท่า ร่องน้ำมีร่องเดียว ร่องน้ำร่องนั้น เรือใหญ่มันจะเข้าร่องน้ำไหน?

ถ้าเข้าร่องน้ำนั้นมันก็ต้องมีสติ มีปัญญาของเราใช่ไหม? เอาเรือเราเข้าร่องน้ำนั้นให้ได้ แล้วเข้าเทียบท่าให้ได้ ถ้าเข้าเทียบท่าได้ เห็นไหม เราเทียบท่าแล้วเราได้สินค้าหรือยัง? เรือเราเทียบท่าแล้วเราได้ขนถ่ายสินค้าไหม? เราได้มีการกระทำไหม? มีปัญญาของเราเกิดขึ้นมาไหม? มันไม่มีปัญญาเกิดขึ้นมา แล้วเราขนแต่สินค้า ดูสิเราเห็นเรือลำใหญ่มาก เราเห็นสินค้าบนเรือนั้นเราไม่กล้าขนเลย มันสุดความสามารถของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี่มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่มี สิ่งใดก็ไม่มี สิ่งใดก็ทำไม่ได้ มันเหนือความสามารถ มันหมดความสามารถ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เวลาทุกข์มันทุกข์เกิดขึ้นมาจากใจของเรานะ เวลาเกิดนี่ใครให้มาเกิด พ่อแม่ก็ด้วยบุญด้วยกรรมของพ่อแม่ ปฏิสนธิจิตมันมาเกิด ใจของเรามันมาเกิด จิตวิญญาณมาเกิดในไข่ ถ้าจิตวิญญาณนั้นไม่เกิดในไข่ ดูสิสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมาไม่ได้

นี่สิ่งใดพามาเกิด! เวลาเราทุกข์เรายาก สิ่งใดมันพาเราทุกข์เรายาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพาเราทุกข์เรายาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม มันมีอวิชชามันต้องพาตายพาเกิดเป็นธรรมชาติของมัน แล้วกิเลสตัณหามันก็มีวุฒิภาวะ มีหนักมีเบา เกิดดี เกิดชั่ว เกิดต่างๆ กันไป สิ่งนี้เป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ

สิ่งนี้เป็นทุกข์ เห็นไหม นี่ศาสนาสอนตรงที่นี่ ศาสนาสอนถึงอาหารของใจ อาหารของใจ ถ้ามันได้กินอาหาร มันได้ผ่อนคลายของมันบ้าง มันก็มีอาหารเพื่อประทังชีวิตของมันไป ประทังชีวิตนะ เวลาทุกข์เวลายากนี่โอ้โฮ.. เรากระเสือกกระสนของเรานะในหัวใจนี่ หน้าตามันสดชื่นทั้งนั้นแหละ แต่ในหัวใจมันกระเสือกกระสนของมัน แล้วกระเสือกกระสนเอาอะไรไปแก้มัน?

เวลาเราหิวกระหาย เรากินข้าวก็หาย เราเหนื่อยร้อนของเรา เราอาบน้ำก็หาย หัวใจมันทุกข์มันยากเอาอะไรไปชำระให้มันหาย ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีการแก้ไข พอมันทุกข์มันยากขึ้นมาก็หาที่พึ่ง หาผีไง ไอ้ผีตัวนี้ก็ไปหาผีตัวอื่น ไปอ้อนวอนไง นี่ทุกข์เป็นอย่างไร? ทุกข์เป็นอย่างไร? ไอ้ผีตัวนี้มันก็แก้ไม่ได้ ไปหาผีตัวใหม่ ผีตัวใหม่มันก็หลอกลวงกันไป แต่ถ้าไปหาครูบาอาจารย์มันไม่ใช่ผี ไม่ใช่ผีเพราะอะไร? ไม่ใช่ผีเพราะมันกำราบผีตัวนี้อยู่แล้วไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ “เราชนะศึกหมื่นแสนชนะสงครามคูณด้วยล้าน ก่อเวรก่อกรรมหมดเลย เราชนะตัวเราเองประเสริฐที่สุด”

ชนะความคิด ชนะความทุกข์ความยากในหัวใจของเราประเสริฐที่สุด ไอ้ผีตัวนี้มันได้กำราบแล้ว ไอ้ผีตัวนี้มันได้ทำลายตัณหาความทะยานอยากในหัวใจแล้ว ไอ้ผีตัวนี้มันเป็นผีที่ไม่มีตัณหาที่จะออกไปกว้านผลประโยชน์แล้ว เห็นไหม โคนำฝูง นี่ผีตัวนี้มันจะช่วยผีตัวอื่นได้ แต่ผีที่ในหัวใจมันมีแต่ตัณหาความทะยานอยากมันจะไปช่วยผีไหน? มันก็หลอกลวง มันก็จะกินเหยื่อมันนั่นล่ะ

นี่สิ่งนี้มันสัมผัสได้นะ มันรู้ได้โดยสัญชาตญาณของเรา ถ้ารู้ด้วยสัญชาตญาณ นี่สิ่งที่เราทำขึ้นมามันเป็นประโยชน์กับเราไหม? ขนสินค้าลงจากท่า จากเรือ เราขนสินค้านี่ความเพียรของเรา การกระทำของเรา เราต้องทำความจริงของเรา เรายกสินค้าหนักไหม? เราเอาสินค้าถ่ายลงเรือมาหนักไหม? แล้วเราถ่ายขึ้นมา เราทำผิดพลาดขึ้นมา สินค้านะตู้คอนเทนเนอร์มันทับเราตายเลยล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันดีขึ้นมานี่ไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักการกระทำ ปล่อยให้มันเหยียบย่ำเราเองนะ แล้วก็หลงละเมอเพ้อพกกันไป จิตนี้ว่างๆๆ ว่างๆ นั่นแหละ เวลาน้ำมันขึ้นนะ เรือเข้ามานี่ ระดับน้ำมันยกขึ้นมาเรือจะสูงขึ้นมานะ ระดับน้ำที่มันต่ำลงไป เรือมันจะเกยตื้นนะ มันจะขนสินค้าไม่ได้นะ ไอ้ว่างๆ นั่นน่ะมันระดับน้ำเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวก็ดันขึ้นมา เดี๋ยวก็ลงไป แล้วว่างๆ ว่างๆ มันมีประโยชน์อะไร?

ว่างๆ มันต้องมีเหตุมีผลสิ ว่างๆ ทำไมมันถึงว่าง เราตั้งสติของเราขึ้นมาใช่ไหม? เรามีคำบริกรรมของเราไหม? เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือเปล่า? ความว่างที่มันเกิดขึ้นมา ถ้าความว่างมันเกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุมีผลมันก็อวกาศไง อวกาศมันก็ว่างโดยธรรมชาติของมัน แล้วใครมีประโยชน์อะไรกับมันล่ะ? มันไม่มีประโยชน์อะไรกับใครเลย

ว่างก็ต้องมีสติ ว่างก็มีผู้รู้ว่าว่าง ว่างก็มีคนควบคุมมัน สติ เห็นไหม ว่างแล้วจะเข้าให้ว่างลึกกว่านี้ก็ได้ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ความว่างนี่สติสัมปชัญญะควบคุม ความว่างมันมากขึ้น เหมือนเงินร้อยหนึ่ง พันหนึ่ง ล้านหนึ่ง นี่เงินจำนวนมาก จำนวนน้อย มันมีแต่ตัวเลขเพิ่มแค่เลขศูนย์เข้าไปใช่ไหม?

จิตที่มันว่างขนาดไหน? มีสติสัมปชัญญะขนาดไหน? มันมีกำลังของมันขนาดไหน? มันใช้ประโยชน์ได้มากได้น้อยขนาดไหน? แล้วเงินเอามาเก็บไว้ปลวกมันกินนะ ปลวกมันกัดนะเสียหายหมดเลย เอาไปทิ้งไว้ปลวกมันกินกระดาษหมดเลย เงินนี่ สัมมาสมาธิมีกับเราแล้วเราใช้ประโยชน์ไหม? เงินนี่เราใช้ประโยชน์ทำอะไร? ใช้เป็นประโยชน์ไหม?

ถ้าใช้ในทางที่เสีย เห็นไหม นี่มิจฉาสมาธิ มนต์ดำใช้ในทางไสยเวทย์ ใช้ในทางทำลายกัน แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ เงินเราใช้ประโยชน์เพื่อร่างกายของเรา ใช้ประโยชน์เพื่อครอบครัวของเรา ใช้ประโยชน์เพื่อการรักษาเจ็บไข้ได้ป่วย ใช้ประโยชน์เพื่อการลงทุน ใช้ประโยชน์ได้หมดเลย คนที่พาใช้ประโยชน์ไง

นี่ถ้ามีสตินะ มีสติ มีปัญญา มันใช้ประโยชน์ถูก ประโยชน์เป็น ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ เอามาทำอะไร? แบงก์เอาไว้กินไม่ได้นะ แบงก์ต้องไปแลกเป็นอาหารมา แบงก์ก็ต้องไปแลกเป็นที่อยู่อาศัยมา แบงก์แลกทุกอย่างได้มา สัมมาสมาธิจิตที่เป็นธรรม จิตที่เป็นสัมมาสมาธิมันจะแลกปัญญาอะไรเกิดขึ้นมา มันจะทำอะไรเกิดขึ้นมา ไม่ใช่ได้มาแล้ว เป็นสมาธิแล้วมันจะเป็นปัญญาไปโดยอัตโนมัติ เป็นไปไม่ได้!

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้ามีสมาธิขึ้นมาแล้ว นี่โคนำฝูง ถ้าเรือเราเข้าร่องน้ำ เข้าเทียบท่า เข้าขนถ่าย เข้าทำสิ่งต่างๆ เห็นไหม เราเหนื่อยยากมาก แต่สินค้านั้นจะไปอยู่ในโกดังที่เก็บของเรา บุญกุศลที่เราสร้างมันจะตกผลึกในหัวใจของเรา สิ่งที่จิตนี่ เจตนา การกระทำ การศรัทธาเกิดจากจิตทั้งหมด ความคิดต่างๆ เกิดจากจิต บุญหรือบาปเกิดจากจิต แล้วจิตตัวนี้มันพาเรามาทำอยู่ทุกวันนี้ นี่เราทำอย่างนี้มันเป็นอามิส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ เวลาจะปรินิพพาน เห็นไหม

“อานนท์ เธอบอกเขาเถิดให้บูชาเราด้วยการปฏิบัติบูชาเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสบูชาเลย”

สิ่งนี้เป็นอามิสบูชา อามิสมันทำให้เราได้เสียสละทาน ปฏิบัติบูชา เห็นไหม ปฏิบัติโดยกาย ปฏิบัติโดยใจ.. ปฏิบัติโดยกายนี่นั่งนิ่งๆ โอ้โฮ.. นั่งสมาธิ โอ้โฮ.. กายนิ่งเลยนะ แต่ใจมันฟุ้งซ่าน นี่ปฏิบัติโดยกาย ปฏิบัติโดยใจ ใจเป็นที่ปฏิบัติ เห็นไหม จิตตภาวนา ถ้าจิตตภาวนา จิตมันสงบเข้ามาแล้วนี่โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา มรรคหยาบ มรรคละเอียด

นี่การปฏิบัติโดยใจมันมีขั้นตอน มันมีวิธีการของมันเป็นระดับชั้นของมันขึ้นไป นี่ไงเรือเข้าเทียบท่าขนถ่ายสินค้า แล้วเก็บสินค้าถนอมสินค้าอย่างไร สินค้าอันตราย สินค้าที่เป็นประโยชน์ สินค้าที่ไม่มีคุณค่า สินค้าก็มีหลากหลายไปหมดเลยนะ เราต้องมีปัญญา การประพฤติปฏิบัติของเรานี่เราเทียบเคียง ตรวจสอบ ทดสอบ การปฏิบัติเราต้องทดสอบเราตลอดเวลาว่าจริงหรือไม่จริง

นี่สันทิฏฐิโกเรารู้เฉพาะตน อาหารเราเอาใส่ปากของเรา รสชาติเข้มข้นขนาดไหน จืดจางขนาดไหน ลิ้นเราตัดสินได้หมด ใจที่มันทุกข์มันยาก ใจที่มันมีความทุกข์กดถ่วงมัน ถ้ามันปล่อยวางมันก็เหมือนกับอมน้ำไว้มันก็คิดว่าเป็นอาหารนะ ว่างๆ ว่างๆ อมน้ำไว้ไม่มีคุณค่าอะไรเลย นี่ไงจิตว่างขนาดไหน ถ้าไม่มีการกระทำเราเทียบใจเราได้ นี่เราขนถ่ายสินค้าอย่างไร มีรสชาติอย่างไร เป็นอย่างไร จิตรับรู้ได้

นี่สันทิฏฐิโก มันหลอกกันไม่ได้หรอก แต่เราเซ่อเอง ไปให้เขาหลอกเองไง นี่ผีไปหาผี ถ้าผีไปหาธรรมนี่หลอกเราไม่ได้ เรามีสติสัมปชัญญะเราเทียบเคียงได้ มันอมน้ำไว้กับอมอาหารมันคนละรส น้ำมันจืด อาหารมันมีรสชาติของมัน อาหารมีประโยชน์กับร่างกายนะ จิตตภาวนา มรรคญาณมันเกิด ปัญญามันเกิด มันชำระล้างอย่างไร มันถอนกิเลสอย่างไร มันทำลายกิเลสออกจากใจเป็นชั้นเป็นตอน มันมีเหตุมีผลของมัน เห็นไหม นี่เราถึงเข้าใจศาสนา

นี่ไงตัวศาสนาอยู่ที่นี่ ถ้าจิตเราเข้าถึงศาสนา เราเป็นชาวพุทธแท้ๆ เลยนะ แต่เราไม่รู้จักศาสนา เราเป็นมดแดงเฝ้ามะม่วง แล้วเราเป็นเจ้าของศาสนา ทำไมให้คนอื่นเขามาชักจูงเราล่ะ? ทำไมเราไม่ตั้งสติ เราไม่หาเหตุหาผลของเรา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอะไร? ปัญญาโลก ปัญญาวิทยาศาสตร์ ปัญญาธรรม เห็นไหม ระหว่างวิทยาศาสตร์กับศรัทธาเชื่อสิ่งใด?

วิทยาศาสตร์มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ศรัทธาก็พิสูจน์ได้! พิสูจน์ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ คนที่พิสูจน์ได้ เห็นไหม นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน เดินจงกรมเป็นปีหลายๆ ปี ถ้าพิสูจน์ไม่ได้เขาดำรงชีวิตของเขาอยู่ได้อย่างไร? ดำรงชีวิต ดูสิครูบาอาจารย์ท่านบวชทั้งชีวิต ท่านอยู่ของท่านทั้งชีวิต บวชชีวิตนะ

คนเรานี่ครอบครัว เห็นไหม อย่าคิดว่าคู่ครองของเราจะซื่อสัตย์กับเรานะ ถ้าแผ่นดินยังไม่กลบหน้า มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ถ้ายังมีชีวิตอยู่นะ ยังประพฤติปฏิบัติอยู่นะ ถ้ามันออกนอกลู่นอกทาง นั่นล่ะมันบอกถึงเหตุผลของใจว่าจริงหรือไม่จริงไง ถ้าใจมันจริงมันต้องจริงตลอดไป ความจริงคือความจริง ความจริงมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง ความจริงสองต้องมีอันหนึ่งโกหก อันหนึ่งไม่จริง ความจริงหนึ่งเดียว แล้วความจริงหนึ่งเดียวนั้นพิสูจน์ได้

พิสูจน์ได้ เห็นไหม นี่ระหว่างวิทยาศาสตร์กับศรัทธา ศรัทธามันเป็นศรัทธาในศาสนานะ ถ้าใจเป็นธรรมนะมันยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อีก เพราะวิทยาศาสตร์กับศรัทธามันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเป็นสัจธรรมอันหนึ่ง วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ด้วยกฎทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่หัวใจนี่มันวิทยาศาสตร์ทางจิต จิตตภาวนา มันเป็นของมันได้ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว เห็นไหม ความจริงมีหนึ่งเดียว มันตรวจสอบกันได้

ถ้าความจริงนี่วิทยาศาสตร์ๆ เวลามรรคญาณมันเกิด เขาตรวจสอบกันโดยประสบการณ์จริง นั่นล่ะความจริงมีหนึ่งเดียว ถ้าหนึ่งเดียวถูกต้อง นี่เขาเคารพบูชากันตรงนี้ คุณธรรม พระเขาเคารพกันด้วยคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม เขาไม่ได้เคารพกันด้วยภายนอกหรอก เขาเคารพกันด้วยคุณธรรมในหัวใจ

รู้จักศาสนา นี่ศาสนาพวกเรา วันนี้วันพระไง ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ปั๊บ เราเข้าใจนะชีวิตเรามันจะมีจุดยืนในหัวใจ ถ้ามีจุดยืนในหัวใจ ชีวิตเราสำคัญที่สุดนะ สำคัญที่ผีตัวนี้มันยังมีชีวิตอยู่ ผีตัวนี้ยังแก้ไขได้ ความรู้สึกของเรายังแก้ไข ดัดแปลง เพื่อให้ผีตัวนี้เป็นผีบริสุทธิ์ เป็นผีที่ดี เอวัง