เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอาราธนาเข้าพรรษา วันอธิษฐานเข้าพรรษา พอเข้าพรรษานี่พระจะถือธุดงค์ เห็นไหม ธุดงควัตรมันเป็นเพื่อขัดเกลา ขัดเกลานะเพราะมันไม่ใช่ได้ตามใจหมาย นี่เราธุดงควัตรต่อเมื่อศาสนามั่นคง ต่อเมื่อบริษัท ๔ เขามั่นคงในศรัทธาของเขา เขาก็มีบุญกุศลของเขา เขาอยากทำบุญกุศลของเขา

ไปอยู่ในป่าในเขานะมันไม่มีหรอก ชาวป่าชาวเขา เห็นไหม หลวงปู่มั่นไปบิณฑบาตกับชาวเขาทีแรก เขาว่า

“ตุ๊เอาอะไร?”

“ตุ๊เอาข้าว”

“เอาข้าวสารหรือเอาข้าวสุก”

“เอาข้าวสุก”

ข้าวสารพระก็หุงไม่ได้ ถ้าเขาไม่รู้นี่ไม่มีหรอก

นี่ก็เหมือนกัน เราไปในตลาดสิ ไปเดินบิณฑบาตสิ เขาไม่รู้หรอก พระเหมือนพระ แล้วเราบิณฑบาตไปเราจะเขียนบนหน้าผากไหม?

“ฉันพระธุดงค์ต้องใส่ฉัน”

ไม่ใช่หรอก แล้วแต่เขาจะให้หรือไม่ให้ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน เห็นไหม คนถือธุดงค์เพื่อมันตามมีตามได้ มันไม่มีการใครจะมาอุปัฏฐากใคร ใครมีศรัทธา มีความเชื่อ.. ศรัทธา ความเชื่ออันนั้นเกิดจากอะไร? เกิดจากพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเขาถึงเชื่อถือของเขา การตรวจสอบศาสนา ศาสนาตรวจสอบกัน

นี่ธุดงควัตรมันเป็นอย่างนั้น เวลามันจริงจังของพระ พระต้องมีความจริงจังขึ้นมา เราก็เหมือนกัน เวลาคฤหัสถ์ เวลาเป็นฆราวาส เวลาเข้าพรรษา เมื่อก่อนโบราณเรานะ เวลาเข้าพรรษาเขาก็อธิษฐานของเขา นี่คนกินเหล้าก็หยุดกินได้ คนไม่สูบบุหรี่ หยุดได้หมดเลย เล่นกันหยุดได้หมดเลย พอออกพรรษาก็เอาอีก เห็นไหม

นี่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมจากภายนอก มันไม่เกิดจากหัวใจของเรา ถ้ามันเกิดจากหัวใจของเรานะ เรารู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เราต้องทำสิ่งที่ดี มันต้องเอาความจริงเข้าไปจับความจริง ถ้าไม่เอาความจริงเข้าไปจับความจริง เอาความปลอม ชีวิตนี้เป็นความปลอมนะ เกิดมานี่เป็นความปลอม ความปลอมของมันชั่วคราวไง

อารมณ์ความรู้สึกเราก็เป็นความคิด ความคิดมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เอาความคิดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้ไปจับหาความจริง มันจะเจอความจริงไหม? มันไม่เจอความจริงใช่ไหม? แต่เวลาจิตมันสงบมันเปลี่ยนแปลงไหม? มันเปลี่ยนแปลงอยู่ ความสงบก็เสื่อมได้ แต่ความสงบนั้นมันดีกว่าความคิดปกติไง มันดีกว่าความคิดเราธรรมดานี้นะ ความคิดธรรมดา นี่มันจริงโดยสมมุติใช่ไหม? มันไม่จริงแท้ มันจริงปลอม

ความคิดไม่มีหรือ? มี.. อารมณ์ความรู้สึกมีไหม? มี ทุกอย่างมี.. ความจริง จริง! จริงตามสมมุติ เป็นความจริงปลอม มันไม่ใช่ความจริงแท้ ความจริงแท้จะเกิดขึ้นมาต่อเมื่อเราค้นหา นี่จากความจริง เห็นไหม ดูสิพระปกติก็อยู่ได้ พระถือธุดงค์อีก พระต้องถือธุดงค์อีก ความจริงอันนี้เพื่อสัจจะ เวลาอธิษฐาน พระนะอธิษฐานไม่นอน ในพรรษา ๓ เดือนไม่นอนเลย อธิษฐานต่างๆ จะเอาความจริง เอาความจริงที่เข้มข้นขึ้นไป ไปจับหาความจริงข้างในนั้น ทีนี้ถ้าความจริงอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา มันก็ยังเป็นความจริงปลอมอยู่ เห็นไหม

“มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด”

ความคิดของเรามันหลากหลายมาก ความคิดที่มันเจริญขึ้นมานี่ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด เราว่าจริงๆ ความคิดนี้ละเอียดมาก ความคิดนี้มันอู้ฮู.. สุดยอดมากนะ กิเลสมันลึกกว่านั้น มรรคมันจะไล่เข้าไป ไล่เข้าไป ไล่เข้าไป พอไล่เข้าไป เห็นไหม พอเราไปเห็นครูบาอาจารย์ของเรา อู้ฮู.. ทำไมท่านเข้มแข็งขนาดนั้น มองด้วยสายตาเราว่ามันเกินกว่าเหตุ แต่เกินกว่าเหตุนะ เวลาสิ่งที่ละเอียดเหมือนเราทำงาน งานใกล้จบ งานใกล้จะถึงสรุป เรายิ่งถนอม เรายิ่งเต็มที่ของเรานะ

นี่ก็เหมือนกัน การกระทำของเรา เราจะชินชาไม่ได้ พระเรา เห็นไหม มีหนัก มีเบา มีการกระทำ ภาวนาก็เหมือนกัน ในการทำความสงบของใจ ในปัญญามันเกิดขึ้น มันมีความจริงละเอียดๆ เข้าไป มันมีหนัก มีเบา มีเวลาโหมลงแรงเต็มที่ มันต้องลงแรงเต็มที่เลย ขณะที่มันละเอียดอ่อนจะโหมลงแรงไม่ได้

ความโหมลงแรงมันงานรากฐาน งานตกแต่ง งานภายในนี่งานเขาต้องละเอียดอ่อน จิตของเรามันจะพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วละเอียดอ่อนขนาดไหนมันต้องมีสติของมัน มันมีพัฒนาการของมัน มันทำของมันนะ.. นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเคยผ่านวิกฤติของจิตนี้มา ท่านเคยกระทำของท่านมา ท่านถึงวางธรรมวินัยนี้ให้เราก้าวเดิน

สิ่งที่ทำนี้อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่มีใครอุตริขึ้นมาทำ ของมันมีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่! แต่พวกเรามองข้ามกัน พวกเราไม่สนใจมันเอง ไม่สนใจนะ แล้วไปสนใจอะไร? สนใจความจริงปลอมๆ นี่ไง นู่นก็สุข นี่ก็สบาย เห็นไหม ความจริงปลอม ทุกคนจะพูดในสังคมโลก นี่ว่าเราก็เป็นคนดีอยู่แล้วไปวัดทำไม? ความดีอย่างนั้นความดีหยาบๆ

ดูสิความดีเราอยู่บ้านดูแลพ่อแม่ต่างๆ เราดูแลหมด เรารักษาหมด นี้เป็นความดีไหม? เป็นความดี.. นี่ในทศชาติของพระพุทธเจ้า เห็นไหม หาบพ่อหาบแม่ไว้บ่าซ้ายบ่าขวา ให้พ่อแม่ขี้ถ่ายมาบนไหล่นี้ เราดูแลอุปัฏฐากอยู่ นี่ไงบารมีของพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าเราเปิดตาพ่อแม่นะ พ่อแม่อยู่ที่บ้านใช่ไหม? ถ้าพ่อแม่ทำบุญกุศลใช่ไหม ให้พ่อแม่หัดพุทโธ พุทโธ พุทโธนะ ถ้าจิตของพ่อแม่เราสงบลง จิตของพ่อแม่เราได้สัมผัสธรรมนะ โอ้โฮ.. พ่อแม่จะลูก.. ลูก.. จะคิดอย่างนั้นเลย

เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเวลาทำบุญกุศล อุทิศส่วนกุศล เราต้องอุทิศส่วนกุศลไป แต่เวลาจิตมันสัมผัสไม่ต้องอุทิศ ฉันเป็นเอง ฉันจะไปของฉันเอง ฉันรู้ของฉันเอง ฉันสุขเอง ฉันทุกข์เอง ฉันเอาของฉันไปเอง เห็นไหม เขาเรียกว่าเปิดตาใจ เปิดตาใจนะ พ่อแม่เราตายไป นี่เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วพ่อแม่เราปฏิบัติไป เหมือนครูบาอาจารย์ท่านว่า แม่มีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจแล้ว ลูกไม่ต้องห่วงแม่ แม่เอาตัวรอดได้

นี้เอาตัวรอดได้ไหม? เราเอาตัวรอดกันไม่ได้ เห็นไหม ความจริงของเรานี่ความจริงปลอม.. ชีวิตนี้จริงนะ เกิดจริงๆ ทุกข์จริงๆ ร้องไห้จริงๆ เสียใจจริงๆ จริงทั้งนั้นแหละ แต่มันปลอม มันปลอมเพราะอะไร? เพราะมันชั่วคราว แต่ความจริงที่มันดีกว่านี้ยังมี

ศาสนาเรานี่ละเอียดลึกซึ้งมาก ในศาสนาเรานะ อามิส ทานโดยอามิส เห็นไหม การทำบุญกุศล บุญกุศลมันเป็นเครื่องแสดงออกของคุณงามความดี การเสียสละ จิตใจเป็นสาธารณะ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข แล้วถ้าหัวใจเราเป็นสาธารณะล่ะ? หัวใจเป็นสาธารณะนี่นะ ใครมันจะขึ้นมาเหยียบย่ำก็ได้ จิตใจนี่เหมือนแผ่นดิน แผ่นดินเขาจะขุดก็ได้ เขาจะทำอะไรก็ได้ ทำดีได้หมดเลย เขาปลูกสิ่งก่อสร้างดีๆ บนแผ่นดินได้หมดเลย

ภพ! หัวใจ! ความคิดมันเกิดมาจากจิต ความคิดที่ดีมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม หน่อแห่งพุทธะ ถ้าหน่อแห่งพุทธะเกิดขึ้นมานะมันแสวงหาของมัน มันทำของมัน นี่สัปปายะ เวลาพระปฏิบัติต้องการสถานที่เป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะนะ บุญกุศลเป็นสัปปายะ เป็นเครื่องประกอบ เป็นสิ่งที่ภายนอก ถึงจริงๆ แล้วนะมันต้องมาสู่ภายใน

สิ่งที่เป็นสัปปายะ เห็นไหม กายวิเวก จิตวิเวก.. ถ้าจิตมันวิเวกนะ นี่มันเป็นภพ มันเป็นสถานที่แล้ว แล้วเข้ามาถึงข้างใน จะไปทำความสะอาดกันจากภายใน ความดีละเอียดไปเรื่อยๆ

ฉะนั้น เราสงสารโยมมากนะ บางคนคิดนี่ปรารถนาดีทั้งนั้นแหละ มาเห็นพระแล้วสงสารนะ อู๋ย.. ทำไมพระลำบากอย่างนั้น? พระลำบากอย่างนี้.. พระเขามีความสุขของเขานะ พระเขาไม่ต้องการให้โยมมาสงสาร เพราะโยมสงสารปั๊บ โยมก็จะเอาภาระมาให้ ภาระนั้นก็เป็นเรื่องเดือดร้อนแล้ว นี่ว่าสงสารอยากช่วย ภาระทั้งนั้นเลย แบกหามกันบ่าเอียงเลย แล้วก็บอกว่าสงสาร

นี่สงสารตัวเรา คิด! ทำไมท่านทำอย่างนั้น? ท่านทำอย่างนั้นเพราะเหตุใด? ท่านมีเหตุผลอย่างไรท่านถึงมาทรมานตน.. นี่ทรมานกิเลส ทรมานหัวใจของตัว เอาชนะตนให้ได้

“แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”

ท่านชนะตัวท่านเอง ท่านชนะ เห็นไหม แพ้เป็นพระ ไม่ออกมาสังคมโลก เรามันชนะตลอด เราได้จากข้างนอกมาตลอด เราเป็นมาร เป็นมารเราแสวงหาไม่มีวันที่สิ้นสุด เรามีแต่ความจริงปลอม ได้สิ่งใดมานี่อนิจจังทั้งหมด

สิ่งที่แสวงหามาเป็นสมบัติสาธารณะ สิ่งที่เป็นสมบัติจริงของเราคือความมั่นคงของใจ คือใจที่มันมีที่พึ่ง ใจที่มันมีเหตุมีผลของมัน ถ้าใจมีเหตุมีผล ข้างนอกนี่เป็นเครื่องอาศัยทั้งหมด เห็นไหม เราอยู่กับมันนะ เราแปลกใจ.. เหรียญมี ๒ ด้าน เราก็ว่าเรามีความสุข ทุกคนมีความทุกข์มาก แล้วทุกคนอยากจะหาทางออกมาก แล้วจะออกอย่างไร? หาไม่เป็นไง มันอยู่คนละด้านกัน

เหรียญมันมี ๒ ด้าน อีกด้านหนึ่งเป็นโลก ด้านหนึ่งเป็นธรรม ความคิดเหมือนกัน ตัวสมาธิเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างความคิดเหรียญอีกด้านหนึ่ง นี่มันถึงเป็นกลาง มันจะออกเหรียญอีกด้านหนึ่ง เหรียญอีกด้านหนึ่งจะแก้ไขได้ จะทำได้ เห็นไหม นี่เราเลยไม่เข้าใจไง เวลาเราทุกข์ขึ้นมา ตีอกชกตัว หาทางออกไม่ได้เลย แล้วพอเขาบอกว่าเหรียญด้านนี้ขัดให้มันสะอาดๆ หน่อย พอมันเบาๆ หน่อยก็ว่า “นี่เออ.. ใช่ เมื่อก่อนทุกข์มาก เดี๋ยวนี้หายทุกข์เลย” หายจริงหรือ? หายจริงหรือ?

มันชั่วคราว เห็นไหม มันเป็นความจริงปลอม ถ้าความจริงแท้ เราต้องเอาความจริง ศีล สมาธิ ปัญญา เอาความจริงในอริยสัจ สมมุติบัญญัติ.. สมมุติคือความคิดของเรา บัญญัติ สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง แต่สมมุตินี่มันเป็นสากล เหมือนภาษาที่เป็นสากล ความรู้สึกเป็นสากล ภาษาของใจเป็นสากล

เวลาเทศนาว่าการเทวดา อินทร์ พรหม นี่ภาษานึก ภาษานึกคือความรู้สึก นี่ภาษาสากล.. ภาษาพูด ภาษาพูดเป็นภาษาสมมุติต่างๆ เห็นไหม พอจิตมันสงบเข้ามามันเป็นสากล มันเป็นสิ่งต่างๆ ที่มันจะแก้ไขของมันได้ ต้องเอาความจริงอันนี้ สมมุติบัญญัติ!

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง แต่ความคิดของเรา สมมุติอันนี้ยิ่งสมมุติโดยเราเลย โดยกิเลสสมมุติเลย แต่พอเอาเข้ามามันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น? ทำไมทำแล้วไม่ได้สมความปรารถนา? มันเป็นอย่างนั้นไปก่อน เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะยังมีเราเข้าไปความคิดร่วม..

เราจินตนาการธรรมะกันทุกคนนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอก พอถึงจุดของธรรมะนะ อื้อฮือ! อื้อฮือ! มันคิดไม่ได้ คิดไม่ออก มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก มันไม่เป็นอย่างที่คิดกันหรอก แต่นี้เอามาสื่อกัน โอ้โหย.. ธรรมะเป็นอย่างนั้น คิดกันได้หมดเลย เห็นไหม มันเป็นความจริงปลอม ความจริงปลอมมันคิดกันได้ แต่ความจริงแท้ ถึงจริงๆ แล้วนะพูดไม่ออกเลย พูดไม่ออกเลย เห็นไหม แล้วมันเอาอะไรเข้าไปจับมัน เอาความเห็นอะไรเข้าไปจับมัน

สิ่งที่เข้าไปจับมัน เราถึงต้องเอาความจริงอย่างที่พระทำ เห็นไหม นี่ถือธุดงควัตร อย่างเราก็เหมือนกัน ในพรรษาแล้วมันต้องมีหนักมีเบานะ ถึงเวลา ๓ เดือนแล้วเราจะตั้งใจทำคุณงามความดีสิ่งใดบ้าง ทำให้เป็นสิ่งที่ดีๆ กับเรา แล้วฝึกฝนจนมันเป็นได้ มันพัฒนาการได้ พอพัฒนาการได้นี่เรารู้ของเราเองนะ เราแสวงหาเอง

เหมือนคนที่เขามีศรัทธา มีความเชื่อของเขา เขาแสวงหาของเขาเองนะ ไอ้ของเรานี่สิ เอาแต่ใกล้ๆ เอาแต่สะดวก เห็นไหม สะดวกก็กิเลสไง.. มักง่ายคนนั้นจะทุกข์ยาก คนขยันหมั่นเพียร คนมองว่าทุกข์ยาก คนนั้นจะสุขสบาย สุขสบายเพราะเขาทำของเขา แล้วเขาจะสิ้นกระบวนการของเขา เขาจบของเขา เขามีความสุขจริงๆ นะ

นี่วันเข้าพรรษา วันนี้วันเข้าพรรษานะ นี่ธุดงค์ถึงออกพรรษา ธุดงค์ไปเพราะมันเป็นเวลาฝน พระออกธุดงค์ไม่ได้ อยู่ประจำที่ พออยู่ประจำที่แล้วก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเอง เราเป็นคฤหัสถ์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา เราก็ต้องเข้มแข็งของเรา เราหาจุดยืนของเรา

หาจุดยืนนะ สมบัติภายในมันสัมผัสได้โดยใจของเรา ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมได้เลย ไม่มี มีแต่ความรู้สึกของเรานี่มันสัมผัส ถ้าสัมผัสอันนี้มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก แล้วเวลาสื่อนี่เหมือนกัน ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง การพูดสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง

ถ้าสนทนาธรรมนะ ธรรมมีเหตุมีผลแล้วลงกัน ของเรานี่ละเอียดลึกซึ้งไม่ถึงของท่าน ของท่านต้องสูงกว่า เห็นไหม ละเอียดลึกซึ้งไง เวลาพูดไปนี่รู้ได้หมดเลย แต่ถ้าเราจะเอาทิฐิเข้ามาคะคานกัน ไร้ประโยชน์เลย ไร้ประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น มันมีแต่ความกระทบกระเทือนไปตลอด แต่ทำไมเราต้องพูดให้กระทบกระเทือนล่ะ?

เราไม่ได้พูดให้กระทบกระเทือนใคร เราพูดสัจจะความจริง เห็นไหม เหรียญมี ๒ ด้าน ข้อมูลข่าวสารของเขาด้านหนึ่ง เราเสนอสัจจะความจริงด้านหนึ่ง ใครจะเชื่อใครจะฟังมันเรื่องของเขา เรื่องของเขานะมันกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์เราพูดสิ่งดีๆ ไป ถ้าเขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้หรอก ดีขนาดไหนเขาก็ว่าไม่ดี แต่ถ้าคนมันถึงนะมันฟังออก

นี่เราปรารถนาตรงนี้ไง คนที่เขาต้องการเขาต้องปรารถนา เขาจะมีที่หมายของเขา เขาจะมีสิ่งที่เขาพอจะเหนี่ยวรั้งได้ จะเป็นประโยชน์ของเขา.. นี่เหตุที่เราพูด แต่ถ้าพูดแล้วไม่มีประโยชน์ไม่ต้องพูดหรอก แล้วเราพูดแล้วมันก็เป็นในวงของเรานี่แหละ แต่มันออกไปมันก็กระเทือนกัน อย่างหลวงตาท่านพูด เห็นไหม เขาบอกมีคนติเตียนท่านมากเลย ท่านพูดกับลูกศิษย์นะ

“พวกลูกศิษย์อยู่เฉยๆ นะ เขาติเตียนเรา เขาไม่ได้ติเตียนลูกศิษย์”

คือท่านไม่หวั่นไหว ท่านไม่รับรู้อะไรเลย ท่านเข้าใจโลกไง เข้าใจถึงโลกธรรม ๘ มันเป็นอย่างนี้เอง คนที่ไม่เข้าใจเขาก็ติเตียน คนที่เข้าใจเขาก็เคารพนบนอบ เขาไม่เข้าใจของเขาเอง เราผิดหรือถูกเขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ ถ้าวันไหนเขาเข้าใจนะ เขาจะถึงวันนั้น

พัฒนาการของจิตเป็นอย่างนั้น หน้าที่เป็นอย่างนั้น.. เวลาบอกว่าอย่าโต้เถียงกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เวลาเราพูดทำไมมันอัดเขาทุกทีเลยล่ะ? ก็เราพูดความจริง ความจริงเป็นอย่างนี้ เราจะพูดความจริง ถ้าเราพูดเอาใจเขา มันก็พูดความจริงปลอมน่ะสิ

ความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าใครหักล้างความจริงอันนี้ได้เราจะสาธุ! ถ้าใครหักล้างความจริงอันนี้ได้ เราจะเปลี่ยนแปลงเรา ถ้าใครหักล้างความจริงอันนี้ได้ เพราะแสดงว่าเขามีความจริงที่ดีกว่า แต่ถ้าเขาไม่มีความจริงที่ดีกว่า เราจะพูดอย่างนี้ตลอดไป เอวัง