เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระนะ ครูบาอาจารย์บอกวันพระนี่เราต้องหัด.. วันพระ พระผู้ประเสริฐ เราต้องหาที่พึ่งของเรา ในพุทธศาสนา เห็นไหม วันพระ วันโกน สมัยก่อนนะเขาหยุดงานกัน แต่เพราะโลกไง โลกเจริญเราต้องไปตามโลก ตอนนี้ลังกาเขากำลังประชุมกันอยู่นะ เพราะลังกาเขาหยุดวันพระอยู่ เขาบอกว่าจะหยุดวันเสาร์ อาทิตย์ไหม? ถ้าหยุดเสาร์ อาทิตย์ เพราะเวลาการเงิน การโอนเงินต่างๆ

โลกเจริญ เห็นไหม เราบอกว่าโลกเจริญ แต่ถ้าพูดถึงธรรมะเจริญนะ ถ้าธรรมะเจริญเราจะมีที่พึ่ง เพราะคำว่าโลกเจริญ ในการศึกษาทางวิชาการมันเจริญมาก ในการประพฤติปฏิบัติ ในศาสนาเราเลยไม่มีหลักกันเลย เราไม่มีหลักเพราะอะไร? เพราะต้องการความทันสมัย ความทันสมัยมันเป็นความมักง่าย

แต่โบราณของเรา เห็นไหม ดูสิในปัจจุบันนี้ถ้าใครหุงข้าวเช็ดน้ำเป็นนะ คนนั้นยังมีความรู้ดั้งเดิมอยู่ เดี๋ยวนี้ทำกันไม่เป็นนะ ทำกันไม่เป็นเพราะโลกมันเจริญไง โลกเจริญ ถ้าเกิดวิกฤติขึ้นมานี่เอาตัวรอดกันไม่ได้ แต่เราบอกมันไม่มีความจำเป็น วิชาความรู้ไม่ใช่แบกหามนะ วิชาความรู้มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของชีวิตเรา เราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรา

ถ้าโลกเจริญ เราอาศัยแต่เทคโนโลยีทั้งหมด ถ้าเกิดไฟไม่มี ต่างๆ มันจะเสียหายไปหมดเลย การดำรงชีวิตก็เหมือนกัน นี่เราต้องอยู่กับโลก ใช่! คำว่าโลกเจริญเราต้องทันโลก คำว่าทันโลก เห็นไหม ดูนักปกครองสิ ผู้นำสิต้องมีปัญญา แต่ศีลธรรมจริยธรรม ความถูกต้อง..

นี่ผู้นำ ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว ถ้าเอาคนดีเป็นผู้นำ เขาจะทำสังคมนั้นให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าเอาคนชั่วเป็นผู้นำ นี่มันใส่หน้ากากสองชั้นสามชั้นนะ แล้วทำให้โลกเร่าร้อนมาก เพราะมันเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่ถ้าศีลธรรมมันเจริญ คำว่าศีลธรรมเจริญ เราต้องย้อนกลับมาที่เราก่อน

“แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง”

ถ้าแผ่นดินธรรมมันจะเจือจานกัน มันจะช่วยกัน มันจะเสียสละกัน มันจะดูแลต่อกัน แผ่นดินทองมีแต่การแย่งชิงกัน แต่โลกมันเป็นอย่างนั้น.. โลก เห็นไหม ถ้าทำธุรกิจ ถ้าเราไม่ทันเขา ข้อมูลเราไม่ดีกว่าเขา ธุรกิจถ้าเราทำอยู่กับที่ มันมีแต่ถดถอย เขาต้องพัฒนาการตลอดเวลา

อันนั้นมันเรื่องของโลก เห็นไหม โลกหยุดไม่ได้ แต่โลก ทางเศรษฐศาสตร์เขาต้องมีวงจรของมัน มีขึ้นมีลงเป็นธรรมชาติของมัน นี่ในหลักศาสนามันมีอยู่แล้วนะ ในหลักศาสนาเราไม่มีสิ่งใดคงที่ มันเป็นอนิจจังทั้งหมด แต่ความเป็นอนิจจังของเรา เราอยู่กับโลกใช่ไหม? เราก็ต้องรับรู้ เราก็ต้องมีความเตรียมพร้อมของเรา ถ้าเราเตรียมใจของเราได้ ใจของเรามีหลักเกณฑ์ของเรา เราอยู่กับโลกนะ อยู่กับโลกอาศัยเขาอยู่ แต่เราก็รักษาตัวของเราได้

ในการประพฤติปฏิบัติ ว่าโลกเจริญๆ ปัจจุบันนี้โลกเจริญใช้ปัญญากันไปเลย ปัญญากันไปเลย นี่มันตัดรากเหง้า คนเราเกิดมา เห็นไหม ดูสิดูความเจริญของโลก ดูสิสมัยอู่ทอง สมัยสุพรรณบุรี สมัยอยุธยาต่างๆ นี่มันทับซ้อนกันอยู่นะ ดูในอินเดีย ระหว่างฮินดูกับมุสลิม ที่สร้างศาสนสถานที่เดียวกัน ที่เดียวกันเลย แต่ใครมีอำนาจเขาก็ล้มล้างของเขาแล้วก็สร้างใหม่ แล้วเขาก็จะล้มล้างกันตลอดไป

นี่ไง มันทับซ้อนกันอยู่ เห็นไหม ในชีวิตการเกิดและการตาย นี่เราเกิดเราตายมา วัตถุมันถึงคราวยุคสมัยแล้วมันหมดของมันไปนะ มันมีแต่พวกประวัติศาสตร์ สิ่งต่างๆ ที่เขาพิสูจน์ได้เรื่องทางธรณีวิทยา แต่ชีวิตของเราใครจะพิสูจน์ได้? แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์ นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไป มันพิสูจน์ได้นะ แต่การพิสูจน์ได้มันก็เป็นข้อมูลใช่ไหม? มันเป็นข้อมูล มันเป็นประวัติศาสตร์ใช่ไหม? แล้วนี่จุตูปปาตญาณ มันยังเกิดไปข้างหน้านะ

นี่ทางวิทยาศาสตร์ อนาคตจินตนาการกันอย่างไร? อนาคตเขามีโครงการของเขา เขาอันนั้นของเขา ทางวิทยาศาสตร์ของเขา นั่นทางวิทยาศาสตร์ของเขานะ แล้วนี่ปัจจุบันก็เร่าร้อนกันอยู่ อดีตชาติ อดีตมาของตั้งแต่เป็นประวัติศาสตร์มา เราก็ไม่เข้าใจ เราก็ยังมีความลังเลสงสัย ในปัจจุบันนี้เราก็ไม่เข้าใจตัวเราเองเลย ในอนาคตเราก็ไม่รู้จะไปไหนกัน เห็นไหม

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ใช้ความสงสัยนี้ ตรรกะอันนี้เข้าไปพิจารณาในธรรมะ พอพิจารณาในธรรมะแล้วมันถอนรากถอนโคน ถอนรากถอนโคนคือว่ามันไม่เข้าถึงจิตไง มันไม่สามารถชำระกิเลสของเราได้ มันไม่สามารถเข้ามาถึงใจของเราได้ ถ้าเราเข้าถึงใจของเราได้ ต้องคนเป็น เห็นไหม ดูสิเขาทำนาเกี่ยวข้าวกัน เขาได้ความเหนื่อยยากของเขานะ เขาได้ข้าวของเขามาเป็นประโยชน์กับเขา นั้นมันเป็นข้อเท็จจริงใช่ไหม?

แต่ในปัจจุบันนี้เราก็ว่าเราทำๆ เรามีข้าวกินทั้งนั้นแหละ แต่เราซื้อเอาๆ เราไม่ต้องทำแบบเขา ไม่มีอะไรเลย นี่ข้าวก็มี ชาวนาเขาทุกข์ยากของเขานะ เขาทุกข์ยากของเขา เขาทำของเขาขึ้นมาถึงได้ข้าวปลาอาหารของเขา เราเข้าไปในร้านค้า เราซื้อออกมานี่อาหารสำเร็จรูปหมดเลย ทุกอย่างสำเร็จรูปหมด ได้หมดเลย แต่ความเข้าใจจริง เห็นไหม เหมือนกับหุงข้าวนี่แหละ ข้าวเช็ดน้ำกับข้าวหม้อไฟฟ้า นี่อะไรมันดีกว่ากัน?

สิ่งที่ดีกว่ากัน คำว่าดีกว่ากันมันเป็นเรื่องความสะดวกสบาย.. ใช่ หม้อหุงไฟฟ้ามันต้องสุกไวกว่าเป็นธรรมดา แต่ถ้าพูดถึงต้นทุนที่มาไง ถ้ามันไม่มีพลังงานล่ะ? ไม่มีเทคโนโลยีล่ะ? นี่เราอยู่ของเราได้ เราหุงข้าวเช็ดน้ำได้ ชาวนาเขามีกินของเขา หลักประกันชีวิตของเขาจะมั่นคงกว่าเรานะ

อาหารเป็นของจริง เงินทองเป็นของปลอม นี่สิ่งต่างๆ เป็นของปลอม แต่ตอนนี้เราเห่อกันไง เราเห่อกัน เห็นไหม โลกสมมุติ เวลาเงินนี่มันด้อยค่าเข้าไป หมดค่าไป เราก็ทุกข์ยากของเราไป นี่ใครมีอำนาจมากกว่าคนนั้นเป็นคนกำหนดค่า ใครมีอำนาจมากกว่าคนนั้นกำหนดกติกา แล้วก็เป็นเรื่องของโลก เราก็อยู่กับเขา

จะพูดว่าไม่ได้ปฏิเสธนะ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องโลก เราเกิดมานี่มีชีวิต การมีชีวิตมันต้องมีปัจจัย มีอาหาร มีการดำรงอยู่ อันนี้เราอยู่กับเขามันเป็นสมมุติ มันเป็นของปลอม แต่ของจริงคือชีวิตเราไง ความสุข ความทุกข์ในชีวิตเราไง เห็นไหม

หลวงตาท่านบอกเลย “ลืมตา ๒ ข้าง ข้างหนึ่งคือโลก เราต้องยืนให้ได้นะ”

เราคนซื่อบื้อ เราจะยืนกับโลกนี้ไปไม่ได้ เราต้องคนฉลาด เราต้องมีหลักเกณฑ์ของเรา แต่สิ่งนี้มันมีที่หนุนมา มันมีบุญกุศลหนุนมา คนที่มีจังหวะและโอกาสของเขา เราคิดถึงสิ่งต่างๆ ได้ เราคิดถึงธุรกิจของเราได้ แต่เราคิดก่อนที่ตลาดมันจะมี เราคิดได้แต่ไม่มีตลาดรองรับ แต่คนที่เขาคิดได้พอดีของเขา เห็นไหม จังหวะและโอกาส สิ่งที่แม้แต่คิดได้มันยังต้องมีอำนาจวาสนาเลย

จังหวะและโอกาสของเขา โอกาสของเขามาพอดีของเขา คนที่มีบุญกุศล เห็นไหม ทำอะไรจะประสบความสำเร็จไปทั้งนั้นๆ เลย บางคนทำไปแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จเราก็บอกว่าเรามีบาป มีอกุศล แล้วบาปกรรมอันนี้มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากชีวิตนะ เรามีชีวิต ชีวิตนี้มีคุณค่ามากที่สุด เรายืนอยู่บนอะไรกันตอนนี้ เรายืนบนแผ่นดินใช่ไหม? เรายืนบนแผ่นดินอยู่ ถ้าไม่มีแผ่นดินอยู่เราจะไปยืนอยู่ที่ไหน?

ความคิดของเรามันอยู่บนภพ อยู่บนความรู้สึกของเรา บุญกุศลมันอยู่บนจิตของเรา จิตของเราสร้างมามันถึงมีบุญกุศล มีบาปอกุศลสิ่งนั้นมา เราต้องยับยั้งสิ่งนี้ คือว่ามันจะเป็นอำนาจวาสนาจะมากน้อยขนาดไหน แต่เรามีภพ เรามีชีวิต เรามีความเป็นมนุษย์ เรามีศักยภาพ มันมีสิทธิเหมือนกันทั้งหมดใช่ไหม? สิ่งนี้มันมีอยู่

ชีวิตนี้เราเกิดมาเป็นคนมีคุณค่ามาก ทีนี้มีคุณค่ามากแล้วนี่ วุฒิภาวะ เราจะเชื่อเขาง่ายๆ ไหม? จะให้เขาชักจูงไปตามความเห็นของเขาไหม? แต่เวลาในกาลามสูตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่ง เป็นผู้ที่เปิดตาเรา ถ้าเรายังโง่เง่าเต่าตุ่นอยู่ เห็นไหม

ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านมีปัญญากว่าเรา ท่านก็ชี้แนะเรา ก็ได้เท่านั้น แล้วครูบาอาจารย์ชี้แนะเราแล้ว สิ่งที่ชี้แนะมันยังมีไปได้อีก ครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม ทำไมหลวงปู่มั่นไปแก้หลวงปู่เสาร์ล่ะ? หลวงปู่เสาร์ไปเอาหลวงปู่มั่นออกมาบวชนะ หลวงปู่เสาร์เป็นคนชักนำหลวงปู่มั่น เป็นคนฝึกสอนหลวงปู่มั่นนะ ทำไมหลวงปู่มั่นกลับมาสอนหลวงปู่เสาร์ล่ะ?

นี่อำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน ทีนี้ว่าครูบาอาจารย์ของเราท่านชักนำเรา ท่านเปิดตาของเรานะ กตัญญูกตเวที เรามีพ่อแม่นะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่นี่เป็นพระอรหันต์ของลูก ให้ชีวิตกับเรานะ แต่พ่อแม่ที่ดีกับเรา จะชักนำเราไปในทางที่ดีเลย

พ่อแม่ชักนำไปในทางที่ผิดก็มี ในทางที่ผิดนั่นก็คือพ่อแม่ใช่ไหม? ผิดหรือถูกก็คือพ่อแม่ คือท่านมีบุญคุณกับเรา ความประพฤติของพ่อแม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่บุญคุณในการกระทำ ในการเกิดจากพ่อแม่นี้อีกเรื่องหนึ่ง นี่มันคนละเรื่องเดียวกัน เห็นไหม แต่เราแยกกันไม่ออก

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเรานี่เปิดตาเรา ชักนำเรา อันนั้นก็มีบุญคุณอยู่ ชักนำให้เราเข้ามาในพุทธศาสนา แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติแล้วนี่เราเชื่อได้ไหม? เราเชื่อใครได้บ้าง? เราเชื่อใครได้บ้าง? นี่สันทิฏฐิโก ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เชื่อสัจธรรมความจริง สัจจะมันเกิดกับเรานะ นี่เขาบอกว่างๆ ว่างๆ เห็นไหม อัพยากฤตๆ อัพยากฤตมันบังไว้

“ทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา อัพยากฤต”

อัพยากฤต เห็นไหม เรารับรู้! เรารับรู้ แต่ตัวสมาธิเรารู้ เรารับรู้ มันมีอันหนึ่งรับรู้ไง มันมีสิ่งที่รับรู้มันมาขวางกั้นไว้

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาของเราที่เรารับรู้ แต่ตัวจิตมันไม่รู้ เราพิจารณาของเราอยู่ เราเข้าใจของเราอยู่ ธรรมะอู๋ย.. รู้ไปหมดเลย เรารับรู้ไง เรารับรู้มันเลยปิดกั้นตัวเองไว้ ไม่เห็นตัวเองไง ตัวตนไม่มีเลย โอ๋ย.. ว่างหมดเลย โอ๋ย.. รู้ไปหมดเลย รู้แล้วเราทำอะไรได้ล่ะ? มันตัดรากเหง้า

ในทางโลก ความทับซ้อนของสังคม ในการเกิดและการตาย ความทับซ้อนของจิต การทับซ้อนอันนี้มันเป็นจริตนิสัย ความทับซ้อนอันนี้ไม่มีใครรู้เห็นมัน นี่แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นไหม เหมือนกับนักประวัติศาสตร์ รื้อค้นได้ พิสูจน์ได้ทางธรณีวิทยา รื้อค้นได้ รับรู้ได้ แต่รู้แล้วได้อะไร?

นี่ก็เหมือนกัน บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปแล้วได้อะไร? จุตูปปาตญาณ อนาคตนี่ได้หมดเลย ดูสิธรรมชาติวิทยาศาสตร์บอกแล้วว่าน้ำมันจะหมดไป ฟอสซิลน้ำมันหมดแน่นอน เราจะใช้อะไรกันต่อไป ใช้ออกซิเจนใช้ไฮโดรเจนต่างๆ เขาคิดกันแล้ว นักวิทยาศาสตร์เขาคิดกันแล้ว นี่อนาคตมันต้องมีไปแน่นอน แล้วเอ็งจะทำอะไรต่อไป แล้วเอ็งจะต้องมาเกิดอีกไหม? เราจะส่งสังคมนี้ให้กับลูกหลานเราอย่างไร? เรารับสิ่งแวดล้อมสิ่งนี้มา นี่ใครทำมา? สิ่งนี้มันคิดได้หมด แล้วมึงอยู่ไหนล่ะ? ไอ้คนทุกข์ยากมันอยู่ไหนล่ะ?

นี่ไง มันไปตัดรากตัดโคนเพราะอะไร? เพราะความเข้าใจของเรา เราปฏิเสธเอง เราทำไม่เป็น วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ให้ธรรมเป็นทาน คือให้ทางวิชาการเป็นทาน นี่ให้ทางวิชาการเป็นทาน แล้วตัวเองได้อะไรล่ะ? เพราะตัวเองมันเข้าไม่ถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติไว้ไง นี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาแต่ละขั้นแต่ละตอน คนเป็นเท่านั้นนะ คนเป็นเคยรู้เคยเห็นมันซึ้งใจมาก ไอ้คนไม่เป็น คนไม่รู้ แล้วก็ดันว่ารับรู้ๆ ไง

อัพยากฤต! เวทนาคือเวทนาไม่ใช่จิต ขันธ์คือขันธ์ อัพยากฤตก็คืออัพยากฤต มันเป็นขันธ์อันหนึ่ง มันไม่ใช่ตัวจิต แล้วถ้าตัวจิต ตัวสมาธิเป็นอย่างไร? ตัวความรู้สึกเป็นอย่างไร? ตัวสมาธิ ความเห็น ความรู้ แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาจะไม่พูดอย่างนี้นะ คนถ้าเป็นสังคมที่เป็นบัณฑิตด้วยกัน มันจะไม่มีความขัดแย้งกันเลย เพราะมันจะเข้าไปสู่จุดเดียวกัน แต่ถ้ามันมีพาล..

อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา มันมีทั้งพาลมีทั้งบัณฑิตในสังคม มันมีทั้งพาลทั้งบัณฑิตในหัวใจของเรา ธรรมชาติของจิตเลย ธรรมชาติของกิเลสเลย มันเป็นอย่างนั้น! ทีนี้การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะศึกษาอย่างไร? วุฒิภาวะเราจะมีความเข้มแข็งขนาดไหน?

แล้วเราจะไม่ถอนรากถอนโคนในความดีงามของเรานะ ตัดรากถอนรากถอนโคนความดีงามไง ตัดรากถอนโคนถึงมรรค ผล ที่จะได้ไง แล้วก็ไปเอามรรค ผล ของครูบาอาจารย์ เอามรรค ผล ของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปากเปียกปากแฉะไง แต่ตัดรากตัดโคนของตัวนะ ถอนรากถอนโคนความรู้จริงในหัวใจออกหมดเลย

แต่ถ้าเราทำตามครูบาอาจารย์ไป เห็นไหม นี่ว่าไม่ให้เชื่อ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อ แต่เราพิสูจน์สิ พิสูจน์ว่าศีล สมาธิ ปัญญา นี่สมาธิต้องควรทำอย่างไร? สติทำอย่างไร? พอสมาธิเกิดขึ้นมาแล้ว ปัญญาจะเกิดอย่างไร แล้วสมาธิมันเกิดได้ยาก ก็ยากสิ! เงินยังหายากเลย เงินจะหามาใช้สอยในชีวิตมันยังลำบากเลย แล้วสิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิ เห็นไหม ในมรรคญาณ มรรค ๘ มีสัมมาสมาธิ สัมมาสติ ทุกอย่างมันมีอยู่ในมรรคหมด

มันมีอยู่ในมรรค มันมีอยู่ในสัจจะความจริง มันมีรากเหง้าอยู่ในจิตของเรา มันมีอยู่ในรากเหง้า เพราะจิตของเรามันสัมผัสได้ด้วยจิต สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกอันนี้ แต่มันไม่ได้สัมผัสกันด้วยความรับรู้จากภายนอก ความรู้สึกอันนี้มันสัมผัสอย่างไร? ทำอย่างไร จะเข้าไปถึงตัวมันอย่างไร? มันสัมผัสได้ มันรับรู้ได้ แล้วถากถางมันอย่างไร? จะทำอย่างไรให้เป็นคุณประโยชน์กับเรา

นี่ประเสริฐอย่างนี้นะ จะบอกว่าเราชาวพุทธแล้วก็ให้เป็นพุทธะ เป็นชาวพุทธโดยปัญญาของเรา เป็นชาวพุทธโดยความจริง ไม่ใช่เป็นชาวพุทธโดยกิเลส ให้กิเลสมันครอบงำ แล้วก็หมุนตามมันไป โดยที่เราเกิดมาในพุทธศาสนา นี่แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วเราจะได้มรรค ได้ผล ได้คุณงามความดีขนาดไหน มันจะทุกข์มันจะยาก รากเหง้าไง หลวงตาท่านบอกว่า

“ขุดดินลงไปมันต้องเจอน้ำแน่นอน”

แต่ดินของใคร ภูมิภาคของใคร ไปขุดบนภูเขานะ กว่าจะทะลุภูเขาลงไปนี่แสนทุกข์แสนยาก เขาอยู่ในที่ลุ่มนะ อยู่ในที่ๆ มีน้ำ เขาขุดเข้าไป เขาเจอของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในใจของเรา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะทุกข์ มันจะยาก มันจะอย่างไร มันก็เรื่องของเรา มันเป็นบุญกุศล เป็นการกระทำของเรา นี่อำนาจวาสนาไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง เวลาประพฤติปฏิบัติได้ดีมันก็ได้ดี เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติแล้วมันทุกข์ยาก มันเหมือนการประกอบอาชีพ บางคนจังหวะโอกาสเขาดีมาก บางคนทำแล้วถูๆ ไถๆ ไป ปฏิบัติก็เหมือนกัน มันอยู่ที่จิตของเรา อยู่ที่อำนาจวาสนาของเรา เราทำแล้วจะได้ผลมากผลน้อย มันก็คือน้ำพักน้ำแรง คือผลประโยชน์ของเรา

เราจะปฏิเสธตรงนี้แล้วจะไปเอาตามกระแส เอากันง่ายๆ เอาแบบแชร์ลูกโซ่ เอาแบบผลประโยชน์อย่างนั้น มันไร้ประโยชน์นะ มันตัดรากถอนโคนบุญกุศล จิต หรือมรรค ผล ของเราเลยล่ะ นี่แล้วเราจะได้อะไรขึ้นมา.. ตั้งสติให้ดี คิดให้ดี แล้วเตือนตัวเอง แล้วทำของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง