เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ส.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราทำบุญกัน “บุญกุศล” บุญกุศลทำให้เราประสบความสุข

ทุกคนต้องการความสุข เกลียดความทุกข์ แต่เราไม่เข้าใจเรื่องความสุขกัน เราเข้าไปตะครุบเงา ตะครุบเงา เห็นไหม เราคิดว่าสุขเวทนาเป็นความสุข วิมุตติสุขไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สุขเวทนา-ทุกขเวทนา-อุเบกขาเวทนา เวทนาเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เข้าไม่ถึงจิต แล้วตัวจิตมันเป็นความสุข มันสุข.. มันเกิดมาอย่างใด? วิมุตติสุข.. สุขในตัวของมันเอง แต่ของเราสุขในตัวมันเองไม่ได้ เพราะตัวเราเองมันเร่าร้อน

ดูสิ โดยอำนาจเขาแสวงหากัน เขาแสวงหาอำนาจกัน ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “วิ่งเข้าไปกอดกองไฟ” แต่ทุกคนก็ปรารถนากองไฟนั้น ทุกคนอยากได้กองไฟนั้น วิ่งเข้าไปกอดกองไฟนั้นแล้วก็บ่นว่าร้อนๆๆ แต่ร้อนขนาดไหน มันเป็นเรื่องสัญชาตญาณ เรื่องของสังคม เรื่องสัตว์สังคม มนุษย์มันต้องมีการปกครองกัน อำนาจจากข้างนอกนะ

นี่ธรรมาธิปไตย อำนาจโดยธรรม

เราเกิดมาเรามีอำนาจแล้วนะ ดูอำนาจของเด็กสิ เด็กมันมีอำนาจมาก มันร้องไห้ มันต้องการแสวงหา มันเรียกร้อง พ่อแม่ต้องยอมจำนนกับมัน คนเกิดมามันมีอำนาจข้างใน อำนาจในหัวใจของเรามันมีอำนาจของมันอยู่ อำนาจของการมีชีวิตไง การเกิดมาชีวิตนี้มีอำนาจ เพราะตัวจิตตัวสำคัญมากเลย อำนาจอันนี้มันโดนปกคลุมไว้ด้วยอวิชชา พออวิชชาเห็นไหม อำนาจโดยฝ่ายดีและอำนาจฝ่ายต่ำ อำนาจฝ่ายในบุญกุศล อกุศล.. อำนาจอันนี้ไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลงที่นี่ไง

“อัตตา หิ อัตตโน นาโถ.. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

เอาอำนาจของเรา เอาจิตของเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วควบคุมสิ่งนี้ไง สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วมันนิ่งที่สุด มันมีกำลังมหาศาลได้มากมายแค่ไหน กำลังมหาศาลอย่างนี้มันเป็นพื้นฐานของการเกิดโลกุตตรปัญญา “โลกุตตรปัญญา” ควบคุมอำนาจไง อำนาจที่เขาแสวงหากันนั้นเป็นอำนาจจากข้างนอกนะ อำนาจของเรา อำนาจของจิตของเรา อำนาจของคุณธรรมของเรา สภาวธรรม สัจธรรม สัจธรรมความจริงเกิดบนหัวใจของเรา.. มันอยู่ที่ไหน?

นี่ไง ที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วคอตกเลยนะ

“จะสอนได้อย่างไร? จะสอนได้อย่างไร?”

ถ้าเป็นวัตถุน่ะชี้ได้ เงินทองนี่นะ ทุกคนอยากนับเงินทองกัน แล้วเงินทองเอาไว้ทำไม เอาไว้กดถ่วงหัวใจใช่ไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมาเราต้องบำรุงรักษามัน เราต้องแบกภาระมัน แต่เราก็แสวงหามันมา เพราะมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เป็นเรื่องของโลก

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “บริหารทิศ” ทิศเบื้องบนคือทิศของอุปัชฌาย์อาจารย์ ทิศเบื้องหน้าของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทิศเบื้องซ้ายเบื้องขวาคือเพื่อน หมู่คณะต่างๆ ทิศเบื้องล่าง.. “บริหารทิศ” เราบริหารทิศ นี่บริหารทิศคือว่าการบริหารปกครองในครอบครัว ในสังคมไง ในสังคมออกไปอย่างนั้น.. แล้วบริหารใจ บริหารอย่างไร?

“บริหารใจ” นี่ไง เวลาฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาส ธรรมของคฤหัสถ์ ธรรมของผู้ที่เขาต้องการบุญกุศลในหัวใจของเขา ธรรมของผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร จิตนี้มันปฏิสนธิจิต มันเกิดในไข่ของมารดา ปฏิสนธิจิตเวลาเกิดเกิดจากไหน? เกิดจากพ่อจากแม่ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากกรรม เกิดจากการกระทำของเราเอง “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มันเป็นแรงขับของหัวใจ แรงขับของปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณไม่ใช่วิญญาณในขันธ์ ๕ ไม่ใช่เป็นวิญญาณรับรู้ที่ว่าเราเป็นวิญญาณๆ กันอยู่นี่ มันเป็นวิญญาณความรับรู้ มันเป็นวิญญาณอายตนะ มันไม่ใช่ตัวจิต

จิต! ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เพราะมีรูปถึงเป็นความรู้สึกของเรา เพราะมันมีนาม มีความคิด มีความว่าง มันถึงหมุนไป จิตมันหมุนไป มันหมุนไปอย่างไร? มันหมุนไปอย่างไร? นี่ไง อำนาจของมัน มีของมันในตัวมันเอง แต่เราไม่เห็นอำนาจของมัน เราไม่รู้จักที่มาของอำนาจ แล้วเราไปหาอำนาจจากข้างนอกกัน เราไปหาการยอมรับของสังคม ถ้าเรายอมรับตัวเราเองไม่ได้ สังคมจะยอมรับเราไหม

หลวงตาท่านพูดประจำ “จับ-ค้นหาความผิดของตัวให้ได้ ถ้าเรายังมีความผิดของเรา คนอื่นเขาเห็นความผิดเราแน่นอน” ความผิดของเรา ความบกพร่องของเรา ความไม่ดีของเรา เราค้นหาของเราให้ได้ ถ้าเราค้นหาของเราได้เราเห็นความบกพร่องของเรา คนอื่นเห็นความบกพร่องของเราแน่นอน ถ้าเราค้นหาความบกพร่องของเรา ค้นหาความทุจริตในใจของเรามันไม่มี ใครจะค้นหาเจอ ให้มันค้นมา.. ให้มันค้นมา

เพราะว่ากรรม การกระทำของเรา การกระทำของจิต จิตมันมีการกระทำของมัน มันมาเกิดอย่างนี้ บุญกุศลพาเกิดนะ ถ้าไม่มีบุญกุศลพาเกิด เราไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นะ พบพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนาสอนอะไร นี่พระพุทธศาสนาสอน.. ตอนนี้มันเป็น “อุชุ ญาย สามีจิปฏิปันโน” ผู้ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ต่อสัจธรรม

แต่ตอนนี้มันเป็นเกจิอาจารย์ มีแต่ฤทธิ์มีแต่เดช มีแต่เพ่งสิ่งวัตถุมงคลกัน สิ่งนี้มันเป็นอะไร เห็นไหม กระเบื้องชิ้นหนึ่งซื้อขายกันเป็นล้านๆๆ แล้วหัวใจมึงอยู่ไหน ความรู้สึก ใครเป็นคนไปซื้อมัน ใครเป็นคนเอามา สิ่งนี้เราเคารพบูชา นี่รูปเคารพ ถ้ารูปเคารพ ดูสิ เราสร้างองค์สมมุติไว้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรูป เป็นตัวแทนของพุทธะ แล้วตัวแทนของพุทธะมันจะหล่อเอาขนาดไหนก็ได้ มันจะสร้างมาขนาดไหนก็ได้

แล้วพุทธะแท้ๆ มันอยู่ที่ไหน? ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันอยู่ที่ไหน?

เวลาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ถ้าอยู่ถึงฟากตะวันตกปฏิบัติตามเรา เหมือนกับอยู่ข้างเรา กอดเราไว้เลย..” นี่ไง เอาพุทธะ เอาพระพุทธรูปแขวนไว้บนคอเลย แล้วทำไมมันปล้นชิงวิ่งราวกันล่ะ นี่ไง มันพุทธะมันที่ไหน มันพุทธะข้างนอก

ถ้ามันพุทธะข้างในเราตั้งสติของเรา อำนาจเกิดเลย! อำนาจมันจะเกิด ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา อำนาจเราเกิด เห็นไหม ดูสิ เวลาเราอยู่ในป่าในเขากันน่ะ ทำความสงบของใจ พอจิตมันสงบขึ้นมาน่ะ มันมีเทวดา อินทร์ พรหม เข้ามาอุปัฏฐาก เข้ามาดูแล เพื่อจะให้จิตนี้ลงสู่ความสงบของใจ

ดูสิ พาหิยะเรือแตกออกมาจากทะเล ขึ้นมาจากทะเลมาเป็นชีเปลือยอยู่ นุ่งใบไม้อยู่ แล้วคนเขาเห็นเข้าเขานึกว่าเป็นเทวดามา เขาศรัทธา เขาเชื่อมั่นของเขา พรหมมายับยั้งกลางอากาศเลย “เธอไม่ใช่พระอรหันต์ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ให้ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหม มาเตือน

พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ ทุกข์ยากมาก เขามีนักขัตฤกษ์ เขามีงานกัน ประชาชนเขาก็ไปเที่ยวกัน เขาร้องรำทำเพลงกันน่ะ เราเดินจงกรมอยู่น่ะ มันคิดน้อยใจขึ้นมาไง “นี่ดูสิ ประชาชนเขายังมีความสุขความรื่นเริงของเขา เขาจะมีโอกาสผ่อนคลายของเขา เราเป็นสัตว์นรก เราเป็นคนเหลือเดน เราต้องมาเดินจงกรม เรามาทุกข์ยากของเราอยู่คนเดียว” มันน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นไหม

เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย “นี่ไอ้คนที่เขาไปแสวงหาความสุขกันนั่นน่ะ เขาติดในวัฏสงสารน่ะ ไอ้พวกนี้เวียนตายเวียนเกิด ไอ้พวกนี้มันสวะ” นี่วัฏฏะ.. ชีวิตเราเหมือนสวะ เหมือนเศษไม้ไง มันลอยไปในแม่น้ำไง

นี่ก็เหมือนกัน การเกิดเวียนตายในวัฏสงสาร มันเวียนไปเหมือนสวะไง ชีวิตนี้เหมือนสวะอันหนึ่ง แต่นี้ยังดีสวะมันไม่มีชีวิตนะ เรามีชีวิตเราสามารถบังคับสวะเราให้ออกทะเล ออกสู่สัจธรรมได้ นี่ไง “เขายังเวียนตายเวียนเกิด ชีวิตของเขาไม่มีคุณค่า ท่านต่างหากเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร” เราก็เกิดมาในวัฏสงสาร เราก็เป็นสวะอันหนึ่ง เราก็มีร่างกาย เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ร่างกายมนุษย์มันเหมือนกับวัตถุ เหมือนสวะอันหนึ่งลอยไปตามแม่น้ำ แล้วมีจิตวิญญาณคอยปกครองมัน คอยไปดูแลมัน “ท่านต่างหาก ท่านเป็นคนที่วิเศษ ท่านต่างหากท่านเป็นคนที่จะมีประโยชน์กับตัวท่านเอง”

เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลยนะ มาเตือนเลยนะ พระนาคิตะเดินจงกรมคืนนั้น คืนนั้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย นี่ได้การตักเตือน “โดยเห็นนะ” โดยเห็น โดยเสียง โดยการเคารพเลย

แต่ถ้าเราภาวนาในป่าในเขา ถ้าจิตเราสงบขึ้นมาเขาจะอนุโมทนากับเรา สิ่งนี้อนุโมทนากับเรา ต้องการให้จิตทำความสงบของเรา เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” พอจิตสงบเข้ามา

“พุทธะๆๆ มันอยู่ไหน?”

“อ๋อ! พุทธะมันอยู่นี่” ความสุข ความสงบ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณมันอยู่นี่

หามาแต่ไหน เอาเพชรไว้บนหน้าผาก แล้วก็วิ่งหา “เพชรๆๆๆ” หาไม่เจอ หาไม่เห็น แล้วมันอยู่บนหน้าผาก มันมองไม่เห็น

นี่ก็เหมือนกัน ค้นคว้าหาตัวเอง ค้นคว้าหาสัจธรรม ค้นคว้าหาคุณธรรม นี่จะปฏิบัติธรรม จะประพฤติปฏิบัติธรรม จะเอาคุณธรรมกัน จะเอามรรคเอาผลกัน แล้วเอาที่ไหน? เอาที่ไหน? มึงรู้จักที่เก็บของมรรคผลหรือเปล่า มึงรู้ถึงคุณสมบัติที่มรรคผลจะเกิดที่ไหน มรรคผลจะเกิดที่ไหน? เกิดที่ปากใช่ไหม เกิดที่การพร่ำบ่นหรือ เกิดที่ความนึกคิดหรือ เกิดที่การแสวงหาหรือ เกิดมาจากไหน? มรรคผลเกิดมาจากไหน? มรรคผลมันเกิดมาจากใจ เกิดมาจากปฏิสนธิวิญญาณ เกิดมาจากภพ เกิดภวาสวะ

ความคิดมันเกิดมาจากไหน? ความคิดเกิดมาจากไหน? ความคิดมันเกิดมาจากไหน?

ถ้าไม่มีจิตตัวคิดมันเกิดมาจากไหน?

ทุกอย่างมันต้องมีที่เกิดที่ดับ มันไม่ลอยมาจากฟ้า

การเกิดของเรา ในโลกเขาเกิดมาจากพ่อแม่ แต่โดยศาสนาโดยสัจธรรมนะ เกิดมาจากกรรมของเรา “กัมมะพันธุ” เห็นไหม กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยนะ

เราเกิดมาต้องมีอาหาร ชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยอาหาร เราต้องแสวงหาอาหาร พอแสวงหาเราก็ต้องการความมั่นคง มันพุ่งออกไปแล้ว ต้องมีอาหาร ต้องมีความมั่นคง ทุกอย่างต้องมั่นคงหมดเลย แล้วจิตมั่นคงไหม? แล้วเราทุกข์ร้อนอยู่ไหม?

ถ้าจิตเรามั่นคงนะ สิ่งใดทุกอย่าง คนมีปัญญาขึ้นมา.. เมื่อก่อนเราธุดงค์ไปกับพวกชาวเขา โอ้.. เขามีมีดอยู่อันเดียวนะ เขาอุปัฏฐากได้ เขาตัดไม้ไผ่มาหุงข้าว มาต้มน้ำทุกอย่าง เขามีปัญญาของเขา ขนาดเราเป็นพระเรายังทึ่งเลยนะ ไปเห็นครั้งแรกทึ่งมากเลย โอ้โฮ.. เขาดำรงชีวิตกันในป่าของเขานะ มีมีดเล่มเดียว ตัดไม้ไผ่ปั๊บ มาต้มน้ำร้อนก็ได้ หุงข้าวก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เขามีมีดเล่มเดียว เขาดำรงชีวิตในป่าของเขาสบายหมดเลย เพราะเขามีปัญญาของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการความมั่นคงในปัจจัยเครื่องอาศัย มั่นใจในอาหาร ในที่อยู่อาศัย ความมั่นคง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการสำเร็จในการกระทำแล้วมันต้องเสื่อมเป็นธรรมดา ของที่เราใช้มา เราซื้อมาสุดยอดเลย ใหม่เอี่ยมเลย แกะกล่องเลย มันมีแต่ความเสื่อมจากนี้ไป ถึงที่สุดของมันขณะนี้ แล้วมันจะเสื่อมไปธรรมดา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันเป็นอนิจจังทั้งนั้นน่ะ มันอยู่ที่บุญกุศล อยู่ที่บาปอกุศล บุญกุศล ดูสิ เด็กที่มันจบมา ขณะที่เด็กมันจบมาเศรษฐกิจขาขึ้น มีงานทำ มันสะดวกสบายหมดเลย เวลาเราจบมาเศรษฐกิจขาลง โอ้โฮ.. เราทุกข์เลย ทำไมเป็นอย่างนี้? นี่วาระของมัน มันมาถึง นี่กรรม บุญกุศล “สภาคกรรม” ดูสิ เวลารัฐบาลเขาลดค่าเงินบาท เราไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยนะ กระเทือนกันไปหมดเลย แล้วใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนทำ นี่ไง สภาคกรรม คือกรรมร่วม กรรมร่วมสมัย กรรมร่วมเกิดมาพร้อมกันในสังคมนั้น

แล้วกรรมบุคคลล่ะ มันยังมีซ้อนมาอีกนะ ในวิกฤติขนาดไหนมันก็มีคนได้ผลประโยชน์ ในวิกฤติขนาดไหน พอวิกฤตินั้นจะทำให้คนเสียหายหมด ทำไมมีคนได้ประโยชน์ล่ะ นี่ไง กรรมของบุคคลก็มีอีก เขามาตักตวงเอาผลประโยชน์ในวิกฤตินั้น

แต่ไอ้นี่เป็นเรื่องว่ากรรมพาเกิดๆ เราโต้แย้งสิ่งนี้ไม่ได้

เห็นไหม กรรมพาเกิด ถ้ากรรมพาเกิด การกระทำของเรา จังหวะและโอกาสของเรามาเป็นอย่างนี้เองว่า ธรรมะจัดสรร..

“ธรรมะจัดสรร” ทำกรรมดีกรรมชั่วมันจัดสรรมา ถ้าจัดสรรมาเราต้องตั้งสติกลับมาที่เรา กลับมาที่เรานะ สิ่งนี้เราทำของเรามา เห็นไหม อำนาจจากของเรามันรักษาเราให้ได้ ถ้าอำนาจเกิดจากเราจากภายใน อำนาจวาสนาเราไว้แล้ว อำนาจของเรามันจะมีอะไรๆ

“โลกนี้มีเพราะมีเรา” โลกนี้ย่อยสลายไปเราก็ยังอยู่นะ โลกนี้มีเพราะมีเราแล้วไปรับรู้มันเอง นี่อำนาจที่การกระทบกระเทือนจากภายนอก เขาทำมาให้เราเจ็บปวดแสบร้อน แต่ถ้ามันไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะมาบีบบี้สีไฟได้ อำนาจในตัวสิ่งที่เขาต้องการเหยียบย่ำทำลาย เรารักษาไว้แล้ว เราได้ดูแลไว้แล้ว.. นี่อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกนะ

เราปฏิเสธโลกไม่ได้ โลกเป็นโลกนะ เขาบอกว่าโลกนี้ไม่มี ทุกอย่างเป็นสมมุติๆ ..มันเป็นจริงตามสมมุตินะ มันมีจริงๆ อาบเหงื่อต่างน้ำก็ทุกข์จริงๆ ร่มเย็นเป็นสุขมันก็มีของมันจริงๆ ทุกอย่างเป็นความจริงหมด แต่มันชั่วคราว ชั่วคราวเพราะมันเป็นสมมุติ คือเป็นของชั่วคราว แต่มันมีอีกอันหนึ่งที่ว่า ถ้ามันเป็นถึงที่สุดของมันแล้วมันจะเป็นความจริงของมัน แล้วความจริงของมัน มันเป็นนามธรรม

“นามธรรม” เห็นไหม ธาตุรู้ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ธาตุรู้.. ธาตุ ๖ แล้วธาตุรู้ ธรรมธาตุ นี่สิ่งที่มันเป็นธาตุรู้ที่มันขับเคลื่อนไปปฏิสนธิจิตมันขับเคลื่อนมันไป แล้วมันเป็นธาตุรู้ มันเป็นสัจธรรมของมัน นี่ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันเวียนตายเวียนเกิด มันเคลื่อนไหวของมันไป แล้วอกุปปธรรม อฐานะที่มันจะเคลื่อนของมันไปอีกแล้ว มันเป็นสัจจะอันหนึ่ง แล้วมันเป็นสิ่งที่ธาตุที่มีชีวิต สสารสิ่งต่างๆ มันเป็นสสารที่ไม่มีชีวิต สสารธาตุรู้ที่มันมีชีวิต สันตติที่มันเกิดดับแล้วมันถึงวิมุตติสุข มันเป็นอย่างใด.. นี่อำนาจโดยธรรม

เราจะมีอำนาจมาก ถ้าเรารักษาใจของเราไว้ได้ แต่เพราะเราบกพร่องมาก เราถึงต้องอาศัยอำนาจจากข้างนอก แล้วเราพยายามวิ่งหากัน แล้วพระพุทธเจ้าบอกร้อนๆๆ ทุกคนบ่นว่าร้อน.. ในสมัยหนึ่งมีบุรุษผู้ฉลาด คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว แล้วประกาศให้พวกเราสาวก - สาวกะ ให้ประกาศทิ้งดุ้นไฟกัน

ดุ้นไฟที่ว่าร้อนๆๆ พลังงานไง พลังงานตัวจิตไง เหมือนไฟ เหมือนพลังงานอันหนึ่งมันร้อนๆๆ พลังงานอันนี้มันมีด้วยโทสะโมหะ มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ในพลังงานนั้น ถ้าเราจะทิ้งความโลภ ความโกรธ ความหลง พลังงานที่สะอาด เราได้ทิ้งดุ้นไฟนั้นแล้ว มันจะไม่มีความร้อน ดูสิ เวลาโกรธขึ้นมา เลือดมันสูบฉีดขึ้นมา ความร้อนมันร้อนไหม? นี่ธรรมะมันสอนมาที่นี่

อำนาจจากข้างนอกเราอยู่กับสังคมนะ ถ้าเรามีบุญกุศล เราสร้างมานะ “ธรรมะจัดสรร” มันเป็นไปเองนะ ทุกอย่างมันจัดให้สมดุลเลย เราจะลงจังหวะนั้นปั๊บๆๆๆ นี่คือบุญกุศลที่สร้างมา

ถ้าเราไม่มีนะ เราทำของเรามาปานกลาง เราก็สุกๆ ดิบๆ อย่างนี้ ถ้าเราทำมา เราด้อยนะ ชีวิตเราก็จะมีอุปสรรคพอสมควร แต่! แต่ต้องคิดว่าสิ่งนี้ไม่มีใครทำร้ายเรา ไม่มีใครรังแกเรา เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น เราได้ทำของเรามา เหตุใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า.. แก้ไข..

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีความเพียรชอบ ทุกอย่างเราต้องแก้ไข ขณะที่เกิดมาในปัจจุบัน มนุษย์สมบัติสำคัญมาก เพราะเกิดมาแล้ว เรามีสิทธิเลือก แล้วปัจจุบันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา เราต้องแก้ไขตรงนี้ไป.. แก้ไข..

ทำบุญร้อยหนพันหน สละทาน ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง

เราถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดสมาธิขึ้นหนหนึ่ง

มีศีล-สมาธิร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดโลกุตตรปัญญาขึ้นหนหนึ่ง

โลกุตตรปัญญามันจะแก้ไขจิตใจ แก้ไขอำนาจจากอำนาจอธรรมเป็นอำนาจธรรมะ คือในหัวใจเรา อวิชชาให้เป็นวิชชา สิ่งที่ปัญญามันเกิดขึ้น ถ้าเราทนแก้ไข นี่คือการปฏิบัติธรรม ใจของเรามันแก้ไข มันปลดเปลื้องความทุกข์ความหมักหมมในหัวใจ มันปลดเปลื้องออก สิ่งนี้มันปฏิบัติธรรม เราไม่ไปมองกันที่ตัวเลข วัตถุสิ่งของว่ามันจะมีมากมีน้อย มันมองที่ใจเราปลดเปลื้องได้ไหม อันนี้สำคัญมาก

อำนาจอันนี้ทำให้เรารู้แจ้ง รู้แจ้งในโลกทัศน์ โลกภายใน โลกนอก-โลกใน โลกทัศน์คือรู้สึก ความรู้สึก ปฏิสนธิจิตที่มันเคลื่อนไป เราเข้าใจมัน ทำลายมันหมดเลย โลกทัศน์นี่ โลกนี้ทำลายโลกแล้วมันจะมีโลกอะไรอยู่ในใจ โลกนอก-โลกใน รู้แจ้งโลกนอก รู้แจ้งโลกใน

“โลกนอก” คือในวัฏสงสาร

“โลกใน” คือโลกในหัวใจนะ

นี่อำนาจ โลกเขาแสวงหากัน เราแสวงหาอำนาจโดยธรรม เราจะทำเข้ามาให้สถิตในหัวใจของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง