เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ส.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เวลาบอกวันพระ เราก็กราบพระ เวลาเราอยู่บ้าน เราก็บอกพ่อแม่นี่เป็นพระอรหันต์ของลูก

“พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก” เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นพระอรหันต์จริงๆ มีคุณจริงๆ แต่บุคลาธิษฐานเป็นบุคคล แต่พระประเสริฐ.. พระประเสริฐอยู่ที่ไหน? วันนี้วันพระไง คือจิตของเราพุทโธ

“พุทธศาสนา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”

เหมือนน้ำ น้ำมันอยู่ในดิน เวลาเราขุดน้ำกันเราต้องการใช้น้ำ ขุดไปในดินเจอน้ำแน่นอน แต่น้ำของใคร? ไปขุดบนเขากว่าจะผ่านทะลุเขาไปถึงพื้นดิน กว่าจะทะลุดินไปถึงน้ำล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ความเชื่อ ความเห็นของใครล่ะ? “ความเชื่อ” ขนโคกับเขาโค เขาโคมี ๒ เขา ขนโคมีเต็มเลย นี่เหมือนกัน มุมมองของสังคม คนที่จะเข้าถึงศาสนา คนที่เข้าถึงสัจจะความจริงมันมีน้อย ในเมื่อมีน้อย เราไม่ต้องเสียใจ

เราจะเป็นเขาโคหรือจะเป็นขนโค?

ถ้าเราจะเป็นเขาโค เขาโคมี ๒ เขา ขนโคมีเต็มตัวมันเลย ความเห็นของสังคมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วเราจะไปเดือดร้อนอะไรกับเขา เห็นไหม มันผลของวัฏฏะ ผลของการทำบุญกุศลของเขา เขาทำดีทำชั่วของเขามา เขามีปัญญามากปัญญาน้อยมันเป็นบุญของเขา นี่ผลของเขา เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ อยากจะช่วยเหลือมาก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว มีคฤหัสถ์เขาเดินสวนไปน่ะ

“ศึกษามาจากใคร?”

“ตรัสรู้เองโดยชอบ”

เขาส่ายหัว เขาเดินหนีเลย

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเผยแผ่ธรรมอยู่ พวกเดียรถีย์ พวกอลัชชีมันทำลายขนาดไหน มันทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มีฤทธิ์มีเดช

แล้วในปัจจุบันวิทยาศาสตร์มันเจริญ โลกเจริญ วิทยาศาสตร์เจริญ วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ๆ วิทยาศาสตร์นะมันยังมีทฤษฎีที่เราจะค้นคว้าไม่ถึง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สัจธรรมความจริงมันมีหนึ่งเดียว พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อริยสัจอันนี้ข้างหน้า อนาคตวงศ์อีก ๑๐ พระองค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๑๐ พระองค์จะมาตรัสรู้อันนี้ อันนี้มันแก้ไขเรื่องหัวใจ มันแก้ไขเรื่องการเกิดและการตาย

การเกิดและการตายแล้วปัญญาเราจะไปแก้ไขมัน ปัญญาที่แก้ไขมัน ปัญญามันต้องปัญญาเข้าไปรื้อค้นถึงปฏิสนธิจิต “ปฏิสนธิจิตนะ” “ปฏิสนธิวิญญาณ” ไม่ใช่วิญญาณรับรู้สัญชาตญาณอย่างนี้หรอก สิ่งที่เรารับรู้น่ะวิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณในอายตนะรับรู้ต่างๆ รับรู้กันไป แต่ตัวจริงมันอยู่ที่ไหน? ไม่มีใครเคยเห็นตัวจริงมัน จะบอกตัวจริงมันก็ โอ้โฮ.. สุดหล้าฟ้าเขียว นิพพานมันสุดเอื้อม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แต่ไอ้นิพพานแจกกันอย่างนี้ โอ้โฮ.. ที่ไหนก็มีนะ อย่างนี้หรือนิพพาน อย่างนี้หรือศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนามีคุณค่าอย่างนี้หรือ?

ดูสิ อยู่ในบ้านในเรือนของเรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา แล้วสิ่งที่เข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์มันอยู่ที่ไหน? นี่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เรายังกราบไหว้ได้ เรายังจับต้องได้นะ เรายังดูแลอุปัฏฐากอุปัฎฐางได้ พ่อแม่ของเราเราจุนเจือได้ เจ็บไข้ได้ป่วย เราดูแลได้

แล้วมึงจะดูแลใจมึงที่ไหน? พระอรหันต์ของเราอยู่ที่ไหน? จิตของเราอยู่ที่ไหน? แล้วจิตของเรา เราจะแก้ไขจิตของเรา เราหาที่ไหน? ถ้าเราค้นหาจิตของเราเจอ.. โอย.. จิตมันไม่มี มันเป็นธรรมชาติเกิดดับ มันว่างของมัน.. นี่เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรามีชีวิตอยู่นะ ถ้าเราตายไปจิตออกจากร่างไปนะ มึงจะไม่เห็นจิตมึงเลย

ไอ้ที่ว่าเกิดดับๆ มันไปเกิดดับใหม่อีกแล้วนะ แล้วเอ็งอยู่ที่ไหน?

มันตะครุบเงา! สิ่งที่ตะครุบเงา สิ่งที่เราเห็นกันอยู่นี่ตะครุบเงา เกิดดับๆ ให้มันเกิดขึ้นมา แล้วพิสูจน์มันว่ามันเกิดมาจากอะไร มันมีเหตุใดให้เกิด มันมีเหตุอะไรมันถึงทำให้เราต้องเกิดมา แล้วเกิดมาแสนทุกข์แสนยากอย่างนี้ แสนทุกข์แสนยากเพื่ออะไร แล้วถ้าชีวิตนี้มันมาจากไหน แล้วมันจะจบสิ้นกระบวนการของมันอย่างไร.. มันทำของมันอย่างไร?

ไอ้นี่เกิดดับ โอ้.. มันดับแล้วมันก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็จบสิ้น มันก็ว่างๆ ว่างๆ..

ในตุ่มในไหมันก็ว่าง สิ่งว่างๆ เข้ามาว่างๆ น่ะ เราพูดมันเป็นสองหมด เพราะมันมีความรู้สึก มันมีสัญญา มีข้อมูลการเกิดดับ ความรู้สึกอันนั้นน่ะ มันว่างจริงหรือเปล่า? ถ้ามันว่างทำไมมันขัดในหัวใจ ดูสิ มันหงุดหงิด มันฉุนเฉียว มันอยู่ในใจน่ะ มันอยู่ตลอดเวลา มันว่างที่ไหนล่ะ? ไอ้ว่างๆ คืออารมณ์ความรู้สึกว่าว่าง แต่ไอ้ตัวไม่พอใจ ไอ้ตัวขัดใจ.. ว่างๆ ทำไมเราไม่รู้เหมือนเขา? ยิ่งของเราออกไปนะ.. ทำไมเจ๊กบ้ามันพูดได้ลึกซึ้งอย่างนั้น ทำไมเราไม่เข้าใจเลย ท่านพูดแล้วเราเห็นไม่เข้าใจไปกับเขาเลย

ว่างๆ ทำไมมันไม่เข้าใจ?

แต่ถ้าเป็นอริยสัจ เป็นอันเดียวกันนะ มันพูดคำไหนคำนั้น มันจะพูดเหมือนกัน พูดมาจากใจเหมือนกัน “ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง” ถ้าเป็นสัจธรรมจริงนะ คำพูดน่ะไม่ต้องอธิบายเลย มันพูดถึงสถานที่นั้น มันพูดถึงจุดนั้น คนที่ไปถึงจุดนั้นแล้วเหมือนกันหมด!

ไอ้นี่มันพูดถึงจุดนั้น แต่มันอธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง คนที่เขาถึงจุดนั้น เข้าไปแล้วมันก็งงน่ะสิ.. มันเข้าใจเลยว่าคนที่พูดถึงจุดนั้นไม่เคยเห็นจุดนั้น เพราะพูดถึงจุดนั้นผิดพลาด! พูดถึงกระบวนการอย่างนั้นผิดพลาด!

“กระบวนการ” เห็นไหม นิพพานได้มาอย่างไร? สมาธิได้มาอย่างไร? ปัญญานี้ได้มาอย่างไร? อ๋อ.. ปัญญาที่ได้มา ศึกษามา จำมาอย่างนี้ นี่คือปัญญาหรือ.. สัญญาล้วนๆ เลย มันเกิดมา จากการจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูสิ เวลาครูเขาสอนให้มีศีลธรรมจริยธรรม เราทำตามนั้น นี่เป็นคนดีกตัญญูกตเวที เคารพพ่อเคารพแม่ มีผู้เสียสละ เราทำอย่างนั้น เราก็เป็นคนดี เอ้า.. คนดีก็คนดี นี่ไง จำมาไง เอ้า.. คนดีแล้วได้อะไร คนดีก็ตาย คนดีก็เกิดก็ตายเหมือนกัน แล้วอะไรที่มันเกิดมันตาย?

มันเข้าไม่ถึง! มันเข้าไม่ถึง มันเข้าไม่ได้หรอก สิ่งที่เข้าไม่ได้

“ความดี” ความดีของโลกนะ คฤหัสถ์ ธรรมะของฆราวาส ธรรมะของผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นภัยในวัฏสงสารนะ ธรรมะของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านบอกเลย มันเหมือนกับห้างสรรพสินค้า มันมีอยู่หลากหลายมาก แล้วเราเข้าไป เราผ่านเฉียดๆ ไป เราก็เห็นแค่รูปแบบ เราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมะ แต่มันไม่เข้าสะเทือนหัวใจของเราเลยนะ

แต่ถ้ามันสะเทือนหัวใจของเรานะ ธรรมะเหมือนห้างสรรพสินค้า แล้วเราทำของเราได้ไหม ถ้าเราทำของเราได้ หยิบฉวยสิ่งใดติดไม้ติดมือมา เวลาตั้งสติขึ้นมามันจะทำสติขึ้นมาอย่างไร ถ้าขาดสติ สติมันไม่สมบูรณ์ของมัน มันจะเกิดสมาธิได้อย่างไร แล้วถ้าสติไม่ดี สมาธิมันไม่มั่นคง ปัญญาที่เกิดมาบนสมาธินั้น ปัญญาที่เกิดบนฐีติจิต ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดในสมอง ปัญญาจะเกิดจากสมอง จากสถิติ จากการจำ ปัญญาเกิดจากฐีติจิต แล้วฐีติจิตมันอยู่ตรงไหน?

นี่หลวงปู่มั่นบอกเลย “อวิชชาเกิดจากฐีติจิต”

อวิชชามันเกิดมาจากไหน? อวิชชา ความไม่รู้.. อวิชชามันเกิดจากอะไร?

อวิชชา คือความไม่รู้ ..แล้ว “ไม่รู้” มันเกิดจากอะไร?

แล้ว “รู้” มันเกิดจากอะไร? นี่ “ไม่รู้” มันเกิดจากอะไร?

“รู้” มันเกิดจากอะไร? แล้วทำลายๆ ตรงไหน? ทำลายอย่างไร มันถึงสิ้นกระบวนการของการไม่เกิดไม่ตาย แล้วพอมันไม่เกิดไม่ตายแล้วมันเหลืออะไร? อะไรเป็นคนรับรู้ว่าไม่เกิดและไม่ตาย สิ่งใดที่มันรับรู้แล้วไม่เกิดไม่ตาย นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พูดขนาดไหนนะ ครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดอยู่ “พูดจนชินปาก ฟังจนชินหู หัวใจมันด้าน” คนรู้น่ะพูดอยู่ทั้งวันน่ะ พูดอย่างไรมันก็ถูกอยู่ตลอดเวลา แต่คนฟังฟังไม่เข้าใจหรอก คนฟังมันฟังไม่เข้าใจ เวลาเราฟังธรรมะป่า หลวงตาท่านถามเวลามีพวกคฤหัสถ์มาฟังธรรมว่า “ฟังเทศน์เป็นไหม?” เราก็บอก “ใครจะฟังไม่เป็น ก็นี่มันเสียงเข้าหูก็ฟังเป็นทั้งนั้นน่ะ”

“ฟังเทศน์เป็น” มันจะมีความเข้าใจ

“ฟังเทศน์ไม่เป็น” ฟังเทศน์ไม่เป็น ฟังไม่รู้เรื่อง ฟังแล้วงงนะ เอ้.. ท่านพูดเรื่องอะไรนะ บอกมาสิว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน ทำบุญแล้วได้บุญมากน้อยขนาดไหน ทำบุญแล้วได้ลาภขนาดไหน.. อย่างนี้ฟังเป็น

แต่ถ้าบอกว่าให้เสียสละ ให้ถึงที่สุด สละทิ้งไป.. ฟังไม่เป็น นี่ไง “ฟังเทศน์ไม่เป็น”

“พูดจนชินปาก ฟังจนชินหู หัวใจมันด้าน”

นี่เหมือนกัน เทศน์ขนาดไหนแล้วแต่ ธรรมะออกมาจากความจริง ให้เทศน์กี่ปีกี่ชาติก็เทศน์ได้ แต่คนฟังฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าฟังเทศน์เป็นน่ะมันต้องปีนบันไดฟัง นี่ปรับพื้นฐานของใจ แล้วสิ่งที่เข้ามานะจะไม่เหมือนเลย

มีพวกคฤหัสถ์เยอะมาก เวลาฟังเทศน์ทั่วไปฟังได้หมด พอมาเจอพระป่าฟังใหม่ๆ จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอฟังไปๆ นะ อื้อฮืม.. มันมีข้อมูล มันมีเหตุมีผลของมัน กลับไปฟังเทศน์ทั่วๆ ไป ฟังไม่ได้เลย ฟังไม่ได้ เหมือนคนเอาหนังสือมาอ่านให้ฟังน่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เราก็อ่านได้ เขาก็อ่านได้ แต่เป็นประเพณีใช่ไหม เวลาฟังเทศน์แล้วได้บุญใช่ไหม เวลาพระท่านเทศน์นะ เทศน์ใบลานนะ เราก็นั่งสัปหงกงกงันกัน พอจบก็สาธุ โอ้โฮ.. บุญเต็มหัวเลย นี่ไง แต่ถ้าเทศน์เข้าใจนะ นี่ความสว่างของใจ ใจผ่องแผ้ว.. ใจผ่องแผ้ว.. นี่ฟังเทศน์เป็น ถ้าฟังเทศน์เป็น

นี้สังคมไทยไง ศาสนาพุทธศาสนาแห่งการปล่อยวาง ศาสนาแห่งความว่าง มันก็เลยกลายเป็นขี้ลอยน้ำไง ว่างกันหมดเลยนะ ไม่ทำอะไรกันเลยนะ โอ้โฮ.. พระพุทธศาสนา

นี่มันไสยศาสตร์ นี่มันสิ่งที่ไม่มีเหตุมีผล แต่พระพุทธศาสนามันต้องมีเหตุมีผล

สติเกิดจากอะไร? สติไม่ใช่จิต.. สติเกิดจากจิต แล้วสติเกิดมาจากตรงไหน? แล้วตั้งสติอย่างไร? แล้วสติมันพัฒนาขึ้นมาแล้ว สติมันสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นสติปัญญาขึ้นมาแล้ว แล้วมันพัฒนาขึ้นไปเป็นมหาสติ-มหาปัญญาอย่างใด? จากพิจารณาเป็นมหาสติ-มหาปัญญาขึ้นมา จนมันเป็นสติอัตโนมัติที่จะเข้ามาทำลายกิเลสโดยเนื้อเดียวกัน นี่มันเป็นมรรคญาณที่เข้ามาชำระกิเลสที่จิตใจ ธรรมะปัญญาที่ละเอียด ที่เป็นถึงปัญญาไม่ได้ เป็นเหมือนญาณ “มรรคญาณ” ญาณหยั่งรู้ ญาณหยั่งทราบ เข้ามาทำลายอวิชชาอย่างใด นี่มันมีกระบวนการของมันนะ

เราเป็นชาวพุทธ เราจะเป็นเขาโค ถึงมันจะมีน้อย คือคนเข้าใจถึงสัจจะความจริงมีน้อย แล้วพูดถึงผู้ใหญ่มองเด็ก วุฒิภาวะของคนที่ไม่เข้าใจเหมือนเด็กๆ เด็กๆ มีแต่จะเล่นสนุกอย่างเดียว ผู้ใหญ่ต้องทำมาหากิน ผู้ใหญ่ต้องรับผิดชอบ แล้วเราเห็นสังคมไทย ชาวพุทธเขาทำตัวกันเป็นเด็กๆ เขาเล่นกันเหมือนเด็กอนุบาล แล้วเราเป็นผู้ใหญ่ เราจะมีน้อยมีมากไม่สำคัญ สำคัญว่าเราเป็นความจริงไหม?

“กาลามสูตร” ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น

แล้วสัจจะความจริงที่มีน้อย เชื่อตัวเองไหม? ถ้าเชื่อตัวเองของเราได้ เรายืนของเราได้ ศาสนามีแก่น มีกระพี้ มีเปลือก ถ้าแก่นของมันอยู่ได้ มันมีความมั่นคง ดูต้นกล้วยสิ มันไม่มีอะไรเลย เวลามันออกเครือมา เครือมันหนักมันยังทำให้ต้นกล้วยนั้นหักเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสังคมไทยไม่มีแก่น ชาวพุทธเราไม่มีแก่น นี่ศาสนาพุทธมันก็เป็นไสยศาสตร์ เป็นพิธีกรรม เป็นไสยศาสตร์นะ ไปวัด เห็นไหม ไปขอพร ไปอ้อนวอน มันเหมือนเราไปดูหมอดูไปดูเจ้า ไปถึงก็พ่นน้ำลายใส่หัวหน่อย กลับบ้านสบายใจ.. นี่มีเท่านี้ พระพุทธศาสนาเหลือแค่นี้เอง สบายๆ ง่ายๆ.. มันจะเป็นอย่างนั้นนะ

แต่ถ้ามันมีแก่น ของพวกเรามีแก่น พอมีแก่นขึ้นมาแก่นไม้มันฟันยาก มันแข็งมาก นี่เหมือนกัน ถ้าเราจะทำของเรา เราเข้มแข็งของเรา มันจะมีแรงเสียดสีขนาดไหน เรายืนของเราได้ เราไม่ไปตามกระแส นี่ศาสนาพุทธมั่นคงตรงนี้ไง

แล้วถ้าจิตใจที่เป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับว่าหลักศิลา ๘ ศอก ฝังดินอยู่ ๔ ศอก โผล่จากดินขึ้นมา ๔ ศอก มันจะโดนลมพัดลมพายุกระหน่ำขนาดไหนมันจะไม่หวั่นไหวเลย ใจของเราที่เข้าถึงสัจธรรม ใจของเราที่เป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธ เราไม่ถือมงคลตื่นข่าว เราถือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เขาโคจะมีน้อยก็ให้เป็นเขาโค ขนโคน่ะมันเส้นเล็ก มันไม่มีคุณสมบัติ ใช้ประโยชน์ได้ไม่เท่าเขาโค นี่เหมือนกัน ใจของเราให้เข้มแข็ง ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้วนะ กระแสสังคมเป็นอย่างไรช่างหัวมัน เขาเรียกว่ามันเป็นผลของวัฏฏะ ผลของพายุ ผลของการเกิด พายุมันเกิดขึ้นมามันพัดสิ่งต่างๆ ผลของพายุ ผลของการเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ต่างๆ กันไป สังคมเป็นพันๆ ล้านขึ้นมา มันโง่มาเกิดหรือฉลาดมาเกิด

ผลของมัน “ผลของวัฏฏะ” เราห้ามไม่ได้ เราห้ามผลของวัฏฏะไม่ได้ ผลของการทำดีทำชั่วของมนุษย์ของจิตวิญญาณที่มันมาเกิด แล้วเราก็เกิดมาในสังคมนี้ เราจะมีจุดยืนของเราไหม? เราก็เป็นส่วนหนึ่งของผลของวัฏฏะ คือผลของการเกิดและการตาย เราใช้สติปัญญาของเรามาใคร่ครวญของเรา หาจุดยืนของเรา เพื่อประโยชน์ของเรา

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา.. สุดยอดมาก! แต่เขาเข้าถึงแค่ฉลากยาที่ติดที่ขวดยา เขาไม่ได้ลิ้มรสของเนื้อยานั้น เขาไม่ได้ลิ้มรสธรรมโอสถ เราว่าเราเป็นคนฉลาด เราจะเปิดขวดนั้น เราจะกินยานั้น เพื่อเข้าไปชำระกิเลสของเรา

เขาโคจะมีน้อยก็เข้มแข็ง เขาจะดูฉลากยา เขาจะกินที่ความหมายอันนั้น กับเรากินรสชาติ ธรรมโอสถ ธรรมโอสถเข้ามาชำระกิเลสของเรา เรายืนของเราเพื่อประโยชน์ของเรา เราไม่ต้องตามกระแสไป

“ผลของวัฏฏะ” จำคำนี้ไว้!

“ผลของวัฏฏะ ผลของธรรมชาติ ผลของการเกิดและการตาย ผลของพายุ”

แต่ของเราเรามีหลักมีเกณฑ์ เราจะหลบหลีกมันอย่างไร แล้วเราจะเก็บน้ำ เก็บพลังลม พลังต่างๆ เอามาเป็นประโยชน์กับเราไปอีกด้วย “ผลของวัฏฏะ” เราใช้ผลของวัฏฏะนั้นเป็นประโยชน์ ใช้การเกิดและการตาย ใช้พายุพลังงานอันนั้นมาเป็นประโยชน์กับเรา

แต่ถ้ามันเป็นทางโลก พายุนั้นจะพัดราบไปหมดเลย มีแต่คนตาย มีแต่เก็บซากปรักหักพัง เราก็รู้ของมัน นี่ผลของวัฏฏะเป็นอย่างนั้น แต่มันก็มีพลังงานของมันนะ มันก็มีประโยชน์ของมันนะ มันมีแหล่งน้ำ มันมีอะไร เพื่อประโยชน์กับการเกษตรกรรม นี่เราเอาประโยชน์ตรงนั้น

ผลของวัฏฏะก็เป็นผลของวัฏฏะ แต่ผลของวัฏฏะเราเข้าใจมัน แล้วเราจะอยู่กับวัฏฏะนี้เพื่อศึกษาธรรม เพื่อมีธรรมโอสถ เพื่อแก้ไขใจของเรา.. นี่ผู้ประเสริฐ เอวัง