เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ก.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมะทั่วไป เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธ เราทำบุญกุศลกัน เราอยากไปเกิดสุขสบาย เราอยากมีลาภสักการะ เราอยากเกิดมาเพื่อมีความสุข ความปรารถนาของเราเป็นอย่างนั้น นี่ในศาสนามันมีหลากหลาย ถ้าศาสนา เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนอนุปุพพิกถา ให้ทำทาน ให้ถือศีล ให้เกิดบนสวรรค์

สิ่งที่เป็นอนุปุพพิกถาเป็นพื้นฐานของชาวพุทธนะ คือชาวพุทธเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ให้ ผู้ให้มีความสุข ผู้รับ นี่รับของเขาเพราะอะไร? เพราะเราจนตรอกจนมุม เราต้องรับของเขา รับของเขานะ แต่ในพุทธศาสนา ภิกษุเราเป็นเนื้อนาบุญ เห็นไหม เนื้อนาบุญเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ แล้วเวลาขอทานมันโปรดสัตว์ไหม?

ขอทานมันขอเพื่อดำรงชีวิตนะ แต่นี่ออกไปโปรดสัตว์ เวลาพระพุทธเจ้าเล็งญาณ นี่เวลาโปรดสัตว์นะ เวลาธุดงค์ไป ใครไม่เคยธุดงค์จะไม่เข้าใจ.. เวลาธุดงค์ไปนะ ถ้าในครอบครัวไหนมีความร่มเย็นเป็นสุข เขามาใส่บาตรกันนะ โอ้โฮ.. เขามีความสุข ในครอบครัวรื่นเริงมาก ในครอบครัวไหนบิณฑบาตไปนะ เขามีปัญหา เขาทะเลาะเบาะแว้งกันนะ นี่เทศน์กัณฑ์ใหญ่เลย ไปโปรดสัตว์ไง

ดูสิสัตว์ในสังคม เวลาบิณฑบาตไปบางบ้านนะเขามีความร่มเย็นเป็นสุข บางบ้านทะเลาะเบาะแว้ง นี่มันสอนเราตลอดนะ ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะ บิณฑบาตไปนี่ไปโปรดสัตว์ สัตว์ผู้ข้องก็มี สัตว์ที่มีความสุข นี่โปรดสัตว์ เห็นไหม ไม่ใช่ขอทาน

นี่พูดถึงเรื่องระดับของทาน ถ้าระดับของทานเราปรารถนาความสุขกันเป็นอามิส เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกเป็นอามิส ความสุขนี่สุขที่เป็นหยาบๆ ถ้าสุขที่ละเอียดล่ะ? พอสุขที่ละเอียดมันมีเป้าหมาย เป้าหมายคือว่าจิตให้ปล่อยวางๆ คำว่าว่าง จิตว่าง ส่วนใหญ่ชาวพุทธบอกเลย นี่เราเป็นคนดีแล้วทำไมต้องไปวัด พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางก็วางหมดแล้ว นี่วางหมด วางแบบขี้ลอยน้ำไง

ความเป็นกลาง กลางอย่างนี้กลางใช้ไม่ได้ ในกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่กลางแบบเศรษฐี มหาเศรษฐี ดูสิอนาถบิณฑิกเศรษฐี ดูสิเอาเงินปูพื้น ซื้อวัดเลย วัดเชตวัน เห็นไหม นี่เขามีของเขา เพราะเขาไม่ติดของเขา.. นี่ก็เหมือนกัน เราต้องเข้าใจ คำว่าปล่อยวางนี่ปล่อยวางบนอะไร? ปล่อยวางบนอะไร? ปล่อยวางโดยความเข้าใจรู้จริงแล้วปล่อยวาง ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแล้วปล่อยวาง นี่ว่าเป็นคนว่าง เป็นคนปล่อยวางหมด มันปล่อยวางบนอะไร?

นี่ก็เหมือนกัน นี่ว่าจิตเป็นกี่ดวงๆ ไม่มี มันไม่มีหรอก.. ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิจิต จิตปฏิสนธินี่ทำไมคนมันจำอดีตชาติไม่ได้ ปัจจุบันเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เราได้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่จำเมื่อวานนี้ได้ จำต่างๆ ได้ บางทีจำตั้งแต่ในท้องได้นะ แต่จำอดีตชาติไม่ได้แล้ว จำอดีตชาติไม่ได้เลย เพราะว่ามันซ้อนกันอยู่ เห็นไหม

นี่จิต นี่ขันธ์ จิตกับขันธ์มันซ้อนกันอยู่.. ขันธ์คือสัญญา สัญญาความรับรู้ นี่อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง เห็นไหม นี่มันมีวิญญาณ วิญญาณซ้อนวิญญาณกันอยู่ ถ้าวิญญาณซ้อนวิญญาณกันอยู่ โดยปุถุชนนี่ ใช่ บอกว่าจิตหนึ่งเดียวไม่ได้ เพราะจิตหนึ่งเดียวเราถึงทุกข์นี่ไง ถ้าจิตหนึ่งเดียวไม่ได้ ถ้าปุถุชนคนหนาจิตหนึ่งเดียวไม่ได้หรอก นี่มันโดยธรรมชาติของมนุษย์จิตมันคิดตลอดเวลา จิตมันหยุดไม่ได้

เห็นไหม คำพูดของเขานี่ แหม.. อย่าให้สาวไส้เลย เพราะมันจับตรงนี้ได้ มันจับได้หมดเลย เพราะคำว่าจับได้นี่ เวลาปฏิบัติเขาบอกว่าเขาไปวัดให้กำหนดเป็นสเต็ป สเต็ปเลยนะ ต้องทำ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วพระอรหันต์เลย แล้วเขาบอกว่าพระป่าไม่มีสเต็ป เราบอกว่าพระป่าไม่มีลำดับไง ลำดับการปฏิบัติพระป่าเรานี่ไม่มี

เราบอกว่ามี! พระป่านี่มี แล้วมีชัดเจน แล้วมีแบบเป็นรูปธรรม แบบจับต้องได้ชัดเจนมากเลย ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่ไงสเต็ปของมัน

แต่เวลาเขาไปกำหนดกันนะ นี่จุดศูนย์กลาง ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วก็นิพพาน เขาเป็นสเต็ปนะ แล้วใครทำครบสูตรเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นไหม? ไม่มี นี่เขาบอกเขาเป็นสเต็ปของเขา แล้วคนก็อยากประพฤติปฏิบัติ แต่พระป่าไม่เป็นสเต็ป..

พระป่านี่เป็น แล้วเป็นตามความเป็นจริงด้วย แล้วถ้าเป็นตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างไรล่ะ? มันเป็นตามความเป็นจริง คนเป็นกับคนเป็นตรวจสอบกันได้หมดแหละ ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง เห็นไหม นี่เจ้าคุณจูม ธรรมเจดีย์ เอาหลวงตากับหลวงปู่ขาวไปคุยกัน แล้วเวลาหลวงตาอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาพระมาหาหลวงปู่มั่น นี่ไงตรวจสอบกัน

นี่ทำไมจะตรวจสอบไม่ได้ ตรวจสอบได้หมดแหละ นี่หลวงปู่มั่นถึงรับประกันเลยว่า “หมู่คณะจำหลวงปู่ขาวไว้นะ เพราะหลวงปู่ขาวได้มาคุยกับเราแล้วนะ จำหลวงปู่พรหมไว้นะ..” นี่พวกนี้ตรวจสอบหมดแล้ว มันตรวจสอบได้ คำว่าตรวจสอบได้..

นี้พูดถึงเพราะเขาบอกว่าเขาเป็นครูบาอาจารย์ใช่ไหม? แล้วเขาบอกว่า “ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ ที่ไหนมีอารมณ์ที่นั่นต้องมีจิต จิตถึงแยกจากอารมณ์ไม่ได้” คำพูดคำนี้นะ.. นี่เราพูด เห็นไหม เราพูดถึงว่าปุถุชนต้องเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ ถ้าเขาพูดคำนี้เขาก็อยู่กันตรงนี้ไง ถ้าเขาอยู่ตรงนี้เขาถึงว่าจิตหนึ่งไม่มีไง

หลวงตาพูดประจำ เวลาหลวงตามาที่นี่หลวงตาจะบอกเลยว่า “ถ้าคนไม่เคยรวมใหญ่ คนไม่รู้จักอาการรวมใหญ่เป็นอย่างไร” อาการรวมใหญ่ เห็นไหม สักแต่ว่านี่จิตหนึ่ง แม้แต่สมาธิก็ทำจิตหนึ่งได้นะ ถ้าสมาธิทำจิตหนึ่งไม่ได้ นี่ฤๅษีชีไพรเข้าสมาบัตินั้นอะไร? ที่ฤๅษีชีไพรเข้าสมาบัตินี่อะไร?

เพราะจิตเป็นจิตหนึ่ง จิตหนึ่งมีกำลัง จิตหนึ่งมันถึงเหาะเหินเดินฟ้าได้ไง ฤๅษีชีไพรเขาเหาะเหินเดินฟ้าได้ กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้นะ คำว่าอดีตชาติระลึกได้อย่างไร? อดีตชาตินี่ข้อมูล เห็นไหม อย่างที่ว่าเราระลึกอดีตชาติไม่ได้ เพราะเราเกิดมาภพชาตินี้แล้ว แต่ระลึกอดีตชาติ พอเวลาจิตมันย้อนกลับเข้าไปฐานข้อมูลเดิม พอฐานข้อมูลเดิมบุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อชาติที่แล้วเป็นพระเวสสันดร เมื่อชาติต่อๆ ไป เห็นไหม แล้วชาติต่อไป..

นี่ไงถึงบอกว่าผลของวัฏฏะ ผลของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วเวลาทำบุญกุศล เห็นไหม มันตกที่ไหน? นี่ทำดีทำชั่วไม่เป็นของคนอื่นเลย ไม่เป็นของใครเลย เป็นของจิตหนึ่ง เพราะจิตหนึ่งเป็นผู้กระทำ ทุกอย่างออกมาจากความคิด ออกมาจากความริเริ่มของใจ ผลตอบสนองกลับไปที่จิตหมด

อำนาจวาสนาบารมีของคนเกิดที่นี่ บาปอกุศลที่เกิดมาแล้วทุกข์ทนเข็ญใจเกิดที่นี่ เพราะเราเป็นคนทำ.. เราเป็นคนทำ นี่พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เชื่อเรื่องกรรม กรรมคือการกระทำของบุคคล บุคคลทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมที่ทำมาอันนี้ เห็นไหม ไม่พ้นจากใจนี้ไปได้ ไม่พ้นจากจิตหนึ่งไปได้ เพียงแต่ว่าเกิดมาเป็นปุถุชน.. ใช่ ปุถุชนนี่ทุกคนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ นี่ไง ทุกคนแพ้ความคิดตัวเอง เพราะแพ้ความคิด ความคิดยังไม่ใช่จิตนะ

ฉะนั้น บอกว่าจิตหนึ่งไม่มี.. พระพุทธเจ้าสอนนี่พระพุทธเจ้าสอนภาพใหญ่ ภาพใหญ่คือทั้งหมดในวัฏฏะ ภาพใหญ่ของสังคมของมนุษย์ทั้งหมด ฉะนั้นโดยธรรมชาติ เริ่มต้นต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ไง เริ่มต้นจากมนุษย์นี่แหละ เริ่มต้นจากจิตที่มันคลุกเคล้านี่แหละ เริ่มต้นจากความคิดที่จิตหนึ่งไม่มีนี่แหละ ไม่มีหรอก แต่ถ้าตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา..มี

ตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมากำหนดให้ดี กำหนดเข้าไป เพราะจิตหนึ่งคือสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิแล้วจิตนี้ออก นี่ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา แล้วจิตกี่ดวงๆ ไอ้คำว่ากี่ดวงมันเป็นความฟุ้งซ่าน แล้วเราอยาก.. นี่ท้าเลยนะ ไอ้คนที่เห็นตามความเป็นจริงนี่ขอพบ ขอพบว่ะ เราจะซักเอง เราจะคุยเอง ขอพบ ขอพบคนที่ยืนยัน

เวลาพระสารีบุตรถามนักบวชนอกศาสนาที่เป็นนางภิกษุณี เห็นไหม

“หนึ่งไม่มีสองคืออะไร? ในโลกนี้หนึ่งไม่มีสองคืออะไร?”

ตอบไม่ได้นะ ตอบพระสารีบุตรไม่ได้ หนึ่งไม่มีสอง.. คำพูดอย่างนั้น เวลาพระพุทธเจ้าสอนต้องดูก่อนว่าพระพุทธเจ้าสอนใคร? ถ้าพระพุทธเจ้าสอนเด็ก พระพุทธเจ้าสอนเด็กๆ นะ พระพุทธเจ้าจะพูดอย่างนั้น ถ้าพระพุทธเจ้าสอนนะ แล้วอย่างนั้นเป็นผลไหม? อย่างนั้นสอนมันเพื่ออะไร?

จิตหนึ่ง! คำว่าจิตหนึ่งมันเป็นคำที่ผู้ปฏิบัติ เห็นไหม ยิ่งมหายานนี่จิตหนึ่ง จิตว่าง นี่แล้วพูดถึงว่าเขาเป็นเซนลัดสั้นทำไมเขาไม่ใช้เรื่องอย่างนี้ นี่พอบอกว่าเข้าได้กับอภิธรรม เข้าได้กับมหายาน แต่เวลาตอบเข้ากันไม่ได้นะ มหายานนี่นะ มหายานนี่มันอาจริยวาท เป็นการคิดนอกกรอบ แต่เถรวาทของเรา อภิธรรมนี่คิดในกรอบ ในกรอบกับนอกกรอบไปกันไม่รอดหรอก ไปกันไม่ได้

คนหนึ่งคิดนอกกรอบ คือมีกรอบที่ไหนแหกที่นั่น มหายานนี่คิดนอกกรอบตลอด แต่อภิธรรมขยับพ้นจากกรอบไม่ได้เลย แล้วจะไปกันได้อย่างไร? แต่เขาบอกว่าลงกันได้พอดี ลงกันได้พอดีเพราะอะไร? เพราะถ้าเป็นมหายาน เห็นไหม นี่จิตหนึ่ง จิตว่าง นี่เป็นคำของมหายานนะ เป็นคำของเซนนะ เป็นของที่ว่าจิตส่งออก จิตลัดจิตสั้น นี่สิ่งนี้มีอยู่ แต่เวลาเขาอ้างว่าเซน อ้างว่าลัดสั้น แต่เวลาจะพูดนี่พูดอภิธรรมนะ

อภิธรรมคืออะไรล่ะ? อภิธรรมคือจำไง อภิธรรมก็คือท่องจำ ผู้ที่เป็นนักวิชาการเขาจะบอกว่าเถรวาทนี่ดีแต่ท่องจำ อย่างสวดปาฏิโมกข์แล้วสังคมไม่กว้างขวาง ปัญญาคนไม่กว้างขวาง เขาไม่ปล่อยอิสระ ไม่ปล่อยให้คิดนอกกรอบ การคิดนอกกรอบนะ มันคิดนอกกรอบในทางวิชาการ แต่การคิดนอกกรอบโดยหลักธรรมนี่มันคิดโดยกิเลส ไม่มีใครจะมีภูมิปัญญา ไม่มีใครมีพุทธวิสัย ไม่มีใครจะมีปัญญาเหนือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คิดขนาดไหน คิดนอกกรอบขนาดไหนนะไม่พ้นจากกรอบหรอก คิดนอกกรอบขนาดไหน เพราะพระพุทธเจ้านี่ใบไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือ มันอยู่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดแหละ เพียงแต่คนจะซื่อสัตย์ แล้วคนปฏิบัติตามความเป็นจริงนั้นหรือไม่ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่ว่าจิตหนึ่งไม่มี หรือว่าจิตเป็นกี่ดวงเนี่ย

เพราะถ้าคำพูดอย่างนี้ แสดงว่าเขาไม่เคยทำจิตสงบเลย จิตของเขาไม่เคยสงบเลย จิตของเขาไม่เคยเป็นสมาธิเลย จิตของเขามีความคิด ที่ไหนมีจิตที่นั่นต้องมีอารมณ์ ที่ไหนมีอารมณ์ที่นั่นต้องมีจิต แล้วเวลาจิตมันอยู่โดดๆ ของมัน มันอยู่ได้ไหมล่ะ? จิตมันอยู่โดดๆ ของมันได้ไหม? ถ้าไม่ได้ทำไมเราเข้าฌานสมาบัติกันได้.. ฌานสมาบัตินี้ ในพุทธศาสนาเขาบอกว่านี่เพราะพระป่าเข้าฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌานสมาบัติ

คำว่าฌานสมาบัติมันมี มันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิมอยู่แล้ว มันเป็นสากล แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าเป็นฌานสมาบัติแล้วนี่มันจะมีฤทธิ์มีเดช มันจะส่งออก พระพุทธเจ้าถึงบอกให้ทำสัมมาสมาธิ คำว่าสัมมาสมาธิไม่ใช่ฌานสมาบัติ นี่เวลาหลวงตาท่านพูด บอกว่า

“ฌาน แฌนอย่ามาพูดกับเรานะ”

ถ้าฌานมันเกิดขึ้นมาแล้วมันมีกำลังของมัน มันมีกำลังขึ้นมา แบบว่ามันสำคัญตนว่าเป็นผู้วิเศษ แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันมีสมาธิครอบงำอยู่ สมาธิคุ้มครองอยู่ ฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา พอมีศีล สมาธิ คุ้มครองอยู่ ศีลเห็นไหม เราจะไม่เบียดเบียนใคร แล้วจะไม่เบียดเบียนตนเองด้วย

ถ้าเราเกิดสมาธิขึ้นมานี่โดยที่ว่ามีฤทธิ์มีเดช เราจะไปเบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนคนอื่น พอรู้อะไรแล้วอยากอวดรู้ ถ้ามีศีลขึ้นมา ศีลมันจะควบคุมตัวมันไว้ พอศีลควบคุมตัวมันไว้นี่เราไม่ไปเบียดเบียนตัวเอง

ความสงบนี้เพื่อประโยชน์สิ่งใด? เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตัว ถ้าสร้างประโยชน์กับตัว ประโยชน์กับตัวมันคืออะไร? ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญามันเกิดอย่างไร? การฝึกหัดปัญญาจะเกิดขึ้นด้วยทางการไหน? นี่เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลงมาก่อนคนอื่น ๖ ปีพระพุทธเจ้าหลงมาเยอะมาก

พระพุทธเจ้าไปศึกษามากับคนอื่นนะ พระพุทธเจ้าไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปีนะ ใครว่าดีขนาดไหนไปศึกษากับเขา ศึกษากับเขา ไอ้อย่างพวกเรายังไม่ทำจริงอย่างพระพุทธเจ้าหรอก ทรมานตนขนาดไหน ย่างตนเอง นอนบนเข็ม ทำต่างๆ หมดเลย ทีนี้พอสิ่งที่พระพุทธเจ้าหลงมาแล้ว เห็นไหม สิ่งที่ออกฌานสมาบัติ ออกต่างๆ มันจะหลงไป พระพุทธเจ้าถึงให้กลับมาทำสัมมาสมาธิ แล้วเราปฏิเสธสัมมาสมาธิ เห็นว่าเป็นสมถะ เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ นี่มันก็เลยไม่รู้จักจิตหนึ่งไง

จิตหนึ่ง กิเลสมันอยู่ที่จิต.. เรานี่นะเวลาทุกข์ เวลาร้อน เวลาต่างๆ เราควบคุมใจเราได้พักหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมันก็คิดอีก เดี๋ยวมันก็ทุกข์อีก ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ? เห็นไหม ความคิดไม่ใช่จิต เพราะความคิดมันต้องเกิดจากพลังงาน เกิดจากจิต นี่คือตัวอวิชชา ตัวความไม่เข้าใจมันอยู่ที่จิต ฉะนั้น ความคิดของเรายังควบคุมไม่ได้ ความคิดเราเดี๋ยวดีเดี๋ยวก็สิ่งต่างๆ เราควบคุมไม่ได้ ควบคุมไม่ได้มันเป็นธรรมชาติของมัน

พอเราทำความสงบของใจนี่ มันควบคุมไม่ได้ มันควบคุมสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นมา มันสงบเข้ามา สงบก็กลับไปที่ฐาน ที่ฐานคือที่ตัวจิต แล้วตัวจิตเกิดปัญญา จิตตัวนี้มันจะซักฟอกตรงนี้ พอซักฟอกตรงนี้ พอปัญญามันเข้าไปรื้อถอนแล้ว ไอ้ความคิดเก่าๆ นั้นน่ะ เห็นไหม ความคิดมันมาจากไหน? ความคิดมันมาจากตัวจิต เพราะตัวจิตมันเป็นตัวพลังงาน แล้วพอตัวพลังงาน ตัวอวิชชาโดนมันถอดถอนไปแล้ว ความคิดที่ควบคุมไม่ได้ทำไมมันควบคุมได้ล่ะ?

หลวงตาท่านสอนอย่างนี้นะ ท่านสอนเวลาพิจารณาไปขันธ์มันขาดเป็นชั้นๆ เข้าไป จิตนี้มันเข้าไปสู่คูหา เข้าไปสู่ถ้ำ คูหาของใจ มันเข้าไปอยู่ในถ้ำของมัน เข้าไปอยู่ในหัวใจของมัน นี่ตอของจิต เห็นไหม คร่อมตอไว้ไง พระอนาคามี ว่างๆ เป็นพระอรหันต์ นี่คร่อมตอไว้ ตอคือตัวภพ คือตัวจิต แล้วเราต้องเข้าถ้ำ เข้าไปในคูหานั้น แล้วไปทำลาย ไปเอาลูกเสือ เอาลูกเสือในถ้ำเสือนั้น

ในคูหาของใจนะ แม้แต่เป็นหนึ่งแล้วมันยังมีถ้ำ มีเหลือบ มีอะไร อู้ฮู.. ยังต้องเข้าไปรื้อค้นกันอีก! แล้วบอกว่าจิตหนึ่งไม่มี.. จิตหนึ่งไม่มีก็คือว่าทำสมาธิไม่เป็น แล้วนี่เราถึงพูดบ่อยว่าตัดรากถอนโคน คือปฏิเสธสมถะ ปฏิเสธสมาธิ สมาธิไม่ต้องใช้ ใช้ปัญญาไปเลย เขาเข้าใจว่าปัญญาสมองนี่ ปัญญาวิชาการมันเป็นโลกุตตรปัญญา มันคิดว่าเป็นปัญญาที่เกิดจากจิต

ปัญญาที่เกิดจากจิต จิตพลังงานเร็วขนาดนั้นนะ พลังงานออกมา ปัญญาพร้อมกันแล้วไปทำลายมันได้ พลังงานนะ ความเร็วของแสง ความเร็วของความคิด แล้วจิตมันไปหยุดของมันได้ แล้วปัญญามันเกิดในปัจจุบันนั้น ถ้าเป็นอดีต อนาคต นี่ที่เราคิดกันปัจจุบันนี้เป็นอดีต อนาคต เรานึกเรื่องอะไร? เราจะคิดเรื่องอะไรนี่ ความคิดกว่ามันจะออกมาเป็นความคิดเรา พลังงานนี่มันออกมาไกลแล้ว มันเป็นอนาคตไปแล้ว คาดหมายไปแล้ว แต่ถ้าเรากลับไปที่ความสงบนั้น แล้วปัญญาเกิดเดี๋ยวนั้น แล้วก็ทำ นี่ปัจจุบันธรรม

นี้คำว่าปัจจุบันธรรม ถึงไม่ใช่ปัญญาที่เขาว่ากันนี่หรอก นี่พิจารณาสายตรง พิจารณาด้วยปัญญา ปัญญานี้มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาโดยสามัญสำนึก ที่ธรรมชาติที่มันแปรปรวนอยู่มันไหลออกไปจากพลังงานอันนี้ พอไหลจากพลังงานอันนี้ปั๊บมันก็ไปอยู่ที่ขันธ์ จากพลังงานไปที่ขันธ์ ขันธ์คือสัญญาข้อมูล คือสังขาร คือปรุง มันก็คิดกันไป

นี่ถ้าใครมีสติ ใครมีปัญญาจะเห็นอย่างนี้หมด แล้วทำลายได้หมด แล้วจะบอกว่าพระสารีบุตรถามนักบวชนอกศาสนาว่า “หนึ่งไม่มีสองคืออะไร?” เอโก ธัมโม จิตที่เป็นหนึ่งคืออะไร? แล้วว่าจิตหนึ่งไม่มี ถ้าจิตหนึ่งไม่มีเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรวะ (หัวเราะ) มึงสิ้นกิเลสกันเองได้ไหมวะ มันขำ.. มันขำ มันตลก นี่ไงนี่เขาบอกว่าเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระธรรมสอนอะไร? ความจริงเป็นอย่างไร?

จิตหนึ่งมี! จิตหนึ่งมี.. มีต่อเมื่อต้องมีการกระทำ ไม่ใช่มันมีโดยสถานะไง มันนึกว่ามีเหมือนที่เราเห็นๆ ไม่ใช่.. มี! คือมีต้นทุน แล้วต้องลงทุนลงแรงเข้าไปค้นคว้ามัน แล้วจะไปเห็นมัน จะไปเห็นในหัวใจนี้ ของมันมีอยู่! แต่พวกมึงเหยียบย่ำกัน แล้วไม่เคยเห็น แล้วดูถูกเหยียดหยาม!

ของมีอยู่ อยู่บนหัวใจสัตว์โลก คนเกิดนี่ปฏิสนธิจิต ของมีอยู่ทุกๆ คน อยู่ในความรู้สึกเรา อยู่ในหัวใจของเรา เห็นไหม อยู่ในหัวใจของเรานี่แหละ แล้วพุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะเข้าไปเห็น แล้วเข้าไปเจอ.. พุทโธนี่ทำได้ พุทโธนี่แหละ คำบริกรรมนี่แหละ ของง่ายๆ เส้นผมบังภูเขา แล้วพระพุทธเจ้าวางไว้เป็นพุทธานุสติ เป็นพุทธานุสตินะ เป็นพุทธพจน์ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่ตัวเองไพล่ไปเอาอย่างอื่นกันเอง

พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่ เพราะมันนึกมาจากจิต ความคิดมันไม่ใช่จิต มันเป็นความนึก แต่ความคิดมันจะคิดได้ต่อเมื่อมีพลังงาน คนตายคิดไม่ได้ คนนอนหลับคิดไม่ได้ คนไม่มีสติคิดไม่ได้ ถ้ามันคิดมาจากจิต สติมันพร้อม พุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ย เดี๋ยวมันจะเข้าไปสู่รากเหง้า เข้าไปถึงต้นขั้วของจิต แล้วจิตหนึ่งมันจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะเห็นว่าจิตหนึ่งเป็นอย่างไร ถ้าฝืนตั้งใจ ถ้าไม่เชื่อกลั้นใจลองดู พุทโธ พุทโธ ตลอดไป นี่ ๕ วัน ๗ วัน แล้วใครไม่เห็นจิตหนึ่งนะให้กระทืบ.. ให้กระทืบเลย

เพียงแต่ว่าเราทำไม่จริง จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง จิตหนึ่งคือสัมมาสมาธิ จิตหนึ่งมี แต่ที่เขาพูดถึง เขาอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้า นี่ในพระไตรปิฎกเราต้องดูว่าพระพุทธเจ้าพูดกับใคร.. พูดกับใคร? พูดเรื่องอะไร? ไม่ใช่ว่าคำพูดของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะสอนทุกคนไปนิพพานหมด ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าสอนนะ เวลาสอนนี่สอนเหมือนเต่า ถ้ามีเหตุภัยแล้วให้หดหัวเข้ามา ให้หดเข้ามาอยู่ในกระดองเต่า มันจะรักษาความปลอดภัยให้เราได้ แต่ถ้าเราไปเทศน์อีกที่หนึ่ง เห็นไหม ท่านบอกว่าถ้าหดหัวในกระดองเต่าคือมันเป็นนักหลบไม่ใช่นักรบ นักรบก็ต้องออกมาต่อสู้

มันเหมือนกับครูบาอาจารย์เรานี่ มันอยู่ที่เหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าจะสอน อ่านพระไตรปิฎกมันต้องดูด้วยว่าพระพุทธเจ้าพูดกับใคร พูดที่ไหน พูดอย่างไร แล้วพูดเพื่ออะไร เอวัง