เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเรามาทำบุญกัน เห็นไหม เราหาที่พึ่ง การหาที่พึ่งนี่เราก็พยายามหาที่พึ่ง เหมือนเด็กอ่อน เด็กมันอ้อนแม่มันนะ มันพยายามเรียกร้องให้แม่มันช่วยเหลือ เรียกร้องตลอดเวลา แต่เด็กมันก็ต้องโตมาเป็นธรรมชาติของมัน เด็กมันไร้เดียงสา เราเกิดมาแล้ว เราก็เป็นเด็กมาแล้ว เราก็เป็นผู้ใหญ่มาแล้ว แล้วเราก็พยายามจะหาทางออกกัน ถ้าจะหาทางออกกัน นี่เราจะไปอ้อนเอาที่ใคร?
เรามีสิทธิเสมอภาคนะ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือชีวิตของเรานะ คือความรู้สึก คือหัวใจนี่มีคุณค่าที่สุดเลย เวลามันเกิดมาแล้วเราไม่เห็นค่าของมัน เราไม่ได้ไปช่วยเหลือมัน เราไปเห็นค่าของความเป็นอยู่ของสังคม ของสิ่งที่เราจับต้องได้ แต่เราไม่เคยเห็นคุณค่าของหัวใจ
เพราะคุณค่าของหัวใจ นี่ปฏิสนธิจิตมันมีความรู้สึกเฉยๆ แต่ความคิดมันมีสัญญาอารมณ์ นี่มันหยาบเกินไปนะ ความคิดความอ่านของเรานี่หยาบมาก ความหยาบอย่างนี้มันเข้าไม่ถึงจิตหรอก แต่มันเป็นอาการของจิต มันส่งออกมาจากจิต พอมันส่งออกมาจากจิตเราก็แสวงหากันอย่างนี้ แล้วก็เดือดร้อน ทุกข์ยากกันไปทั้งนั้นแหละ
เวลาพูดธรรมะนี่ง่ายมากเลยนะ หยุดคิดมันก็หายทุกข์ แล้วมันหยุดอย่างไรล่ะ? มันหยุดไม่ได้ นี่หยุดไม่ได้ พอหยุดไม่ได้มันก็ดิ้นรนไป พอดิ้นรนไป หนามยอกเอาหนามบ่ง พยายามจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หรือบังคับมันให้มีคำบริกรรม เขาบอกอย่างนี้เป็นความทุกข์อีก แต่เวลาตะกอนในน้ำถ้ามันนอนก้น เห็นไหม อยู่กันเฉยๆ อยู่เฉยๆ
เฉยๆ อย่างนั้นมันเป็นการหลอกอีกอย่างหนึ่งนะ ใจมันสร้างสัญญาอารมณ์ขึ้นมาหลอกเราว่าหยุดคิด คำว่าหยุดคิด พอหยุดคิดแล้วมันก็หาย แต่มันหายชั่วคราวไง มันหายไม่จริงไง ถ้ามันหายจริงนะ มันต้องมีการกระทำของมัน มันต้องมีปัญญาของมัน มันมีการกระทำของมันอย่างนั้น เห็นไหม แล้วการกระทำอย่างนี้มันมาจากไหนล่ะ?
มันมาเพราะว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย เกิดที่สวนลุมพินี เห็นไหม บอกว่า เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
เพิ่งเกิดนะ! เกิดมาจากแม่นี่เดิน ๗ ก้าว บอกว่า เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย นั่นเป็นอะไรล่ะ ยังไม่ได้ออกประพฤติปฏิบัตินะ เพิ่งเกิดนะ นี่เพิ่งเกิดมา ก็มีความรู้สึกความนึกคิดว่าเราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ เกิดที่สวนลุมพินีนี่ยังไม่ได้ปฏิบัติ แต่เปล่งวาจา เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
สุดท้ายแล้วยังต้องดำรงชีวิตทางโลก แต่ก็มีบุญญาธิการได้ออกประพฤติปฏิบัติ ได้ออกบวช ออกค้นคว้า พอออกค้นคว้าขึ้นมา เห็นไหม นี่สิ่งที่ว่าเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายนั่นล่ะ มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีที่สร้างมามาก ขณะสร้างมามากนี่มันมีปฏิภาณ มันมีความคิด มันมีความแสวงหาที่จะหาทางออก
แต่นี้เราถึงเกิดมาในปัจจุบันนี้ เรามีศาสนาอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้แล้ว แล้วเรานี่เราก็ทุกข์ เราก็ยาก เราก็จะแสวงหาทางออกกัน ถ้าแสวงหาทางออกกันนะ สิ่งที่เราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดในโลก อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก เราต้องอยู่กับเขา นี่เวลาพระธุดงค์นะ เข้าป่าเข้าเขาก็ไปอาศัยชาวบ้านเขาอยู่ อาศัยชาวบ้านเขาที่ว่า ๕ หลังคาเรือน ๑๐ หลังคาเรือน อาศัยพอเลี้ยงชีวิตเท่านั้น
เราก็ต้องอาศัยโลก เกิดมากับโลกนะ แม้แต่ออกประพฤติปฏิบัติก็ยังต้องอาศัยเขา การอาศัยโลกนะ แล้วเราเกิดเป็นคน เราอยู่กับโลกเราจะไม่อาศัยโลกได้อย่างไร เราก็ต้องอาศัยโลก แต่ถ้าเรารักษาหัวใจของเรา เห็นไหม เราจะไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไป
ชาติปิ ทุกขา ทุกข์คืออะไร? คือการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ในเมื่อชาติปิ ทุกขา ความทุกข์มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็นสายบุญสายกรรม มันเป็นเรื่องที่ว่าเราห้ามไม่ได้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ในเมื่อมีบุญมีกรรม มันต้องขับเคลื่อนไปเป็นธรรมดา ในเมื่อเกิดมาแล้ว สิ่งนี้มันจะเวียนไปอีกไหม? แล้วเกิดมานี่ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง
ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพุทธกาล ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเสียเอง แล้วกึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แล้วดูสังคมสิ สังคมว่ามันร่มเย็นเป็นสุขพอสมควร พอสมควรนะ แต่ในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ก็ต้องมีการเอารัดเอาเปรียบกันเป็นธรรมดา แล้วถ้าไม่มีธรรมะที่มาหล่อเลี้ยง มาชโลมหัวใจ เราจะเอาอะไรเป็นที่อาศัยกัน
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เห็นไหม อาหารวางอยู่นี่ ถ้าเราไม่กินอาหารก็อยู่อย่างนั้นแหละ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามาเจอกันแล้วนะ ดูสิ เราดูชาวพุทธกัน ว่าพุทธศาสนานี่เขาทำพิธีกรรมต่างๆ เขาเป็นพุทธศาสนา ไอ้เรานี่เราจะเอาความจริงกัน เห็นไหม เอาความจริงขึ้นมา เรามาปฏิบัติก็ปฏิบัติเป็นพิธีกรรมอีก ก็เอาร่างกายมาปฏิบัติ
เอาใจมาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติก็ต้องแสวงหาใจของเรา แล้วเวลาจะปฏิบัติเราก็เอานามธรรมๆ ก็เอาความคิดเป็นใจ ความรู้สึกเป็นใจ ความคิดความรู้สึกนี่มันส่งออกมาจากใจ ถ้ามันเข้าไปถึงหัวใจ ใจมันจะเป็นอย่างไร?
นี่ปฏิสนธิจิต คนเห็นการเกิดการตายของจิต จิตมันเกิดตายของมันได้อย่างไร ปฏิสนธิวิญญาณนี่มันทำอย่างไร ขนาดความคิดเกิดดับเราก็ว่าทึ่งแล้วนะ เห็นความคิดมันเกิดดับ เราก็ทึ่งแล้ว อู้ฮู.. อู้ฮูเลย แต่ถ้าไปเห็นปฏิสนธิจิตล่ะ ไอ้ตัวที่มันไปเกิด ดูสิเขาทํากิฟท์กัน เห็นไหม ดูสิเขาต้องเอานิวเคลียสต่างๆ ให้มันปฏิสนธิอย่างไร
แล้วจิตตัวนี้ ถ้าจิตมันสงบเข้าไปถึงที่นั่น นี่ฐีติจิต อวิชชาเกิดจากฐีติจิต เกิดจากจิตเดิมแท้ อวิชชามันเกิดจากที่นี่ ถ้าเกิดจากที่นี่ อวิชชามันเกิดที่นั่น มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอจะเกิดไม่ได้อีกแล้ว เธอจะเกิดกับใจเราไม่ได้อีกเลย แต่เราไปตะครุบเงากัน
นี่พูดถึงตะครุบเงา แล้วพูดถึงชีวิตเรามีความสำคัญมาก ในเมื่อต้นทุนเรามีชีวิตแล้ว เรามีความรู้สึกอันนี้แล้ว ความทุกข์ความยากมันเป็นเรื่องธรรมดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีหมอชีวกเป็นคนบดยารักษา เอายารักษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ แต่ก็ต้องแบกธาตุขันธ์ แบกร่างกายนี้ไป เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนเรานี่แหละ
ในเมื่อเราเกิดมามีชีวิตแล้ว ร่างกาย ความเป็นอยู่ เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไปวิตกวิจารกับมัน นี่ไปเครียดกับมัน ถ้าไปเครียดกับมันนะ สิ่งนี้มันก็เหยียบย่ำหัวใจของเรา มันจะสุข มันจะทุกข์ มันก็เท่านี้แหละ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราไป ทำหน้าที่ของเราไปแล้วเราแสวงหาอีกอันหนึ่ง เห็นไหม ถ้าใจมันหล่อเลี้ยงด้วยธรรม
ถ้าหล่อเลี้ยงด้วยธรรม แล้วเวลาเราไม่ศึกษา เราไม่ประพฤติปฏิบัติของเรานะ เวลาตายไปมันก็ไปเกิดอีก เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย ในเมื่อกรรมมันมีอยู่กับหัวใจนี้มันสุดวิสัย มันต้องเวียนตายเวียนเกิดไปเป็นธรรมชาติของมัน มันจะไปของมันอีก แล้วไปของมันอีกนี่ เราไปเจอสังคมสิ่งแวดล้อมก็อีกอย่างหนึ่ง ยิ่งสังคมกระแส เห็นไหม กระแสบอกต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็เชื่อเขา เพราะเราไม่สามารถยืนบนหัวใจของเราได้ เราไม่สามารถมีจุดยืนของเราได้
เจ้าชายสิทธัตถะนี่ไม่เชื่อเขา ถ้ามีคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม มันต้องมีคนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี่ความคิดตรงข้าม ความคิดตรงข้ามออกแสวงหา แต่นี้เวลากระแสมันเป็นไปอย่างนั้น เรากล้าคิดตรงข้ามไหม? ถ้ากล้าคิดตรงข้ามนี่เราอยู่กับเขาไม่ได้ เรามีความคิดเห็นแตกต่างกับเขา นี่สังคมจะบีบคั้นเรา
แต่ถ้าเราคิดตรงข้ามนะ ในสมัยพุทธกาลเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงพระ เวลาพระออกธุดงค์ไป แล้วพระบางกลุ่มออกไปแล้วไปแสวงหาผลประโยชน์กัน นี่เวลามาหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก
ถ้าเราเห็นสิ่งนั้นมันเป็นกรรม มันเป็นการกระทำที่เป็นกรรม เป็นสายบุญสายกรรมกัน ถ้าเราไม่เห็นด้วย ให้เราค้านไว้ในใจ
ในหัวใจนี่เราค้านไว้ ในเมื่อเราแสดงออกไม่ได้ให้เราค้านไว้ในใจ สิ่งที่เป็นกรรมที่เป็นการกระทำอย่างนั้น เราจะไม่ไปตามกระแสกับเขา
คำว่า สายบุญสายกรรมนะ กระแสมันแรง เราก็เชื่อตามเขาไปหมด นี่สายบุญสายกรรม เราเป็นไปกับเขา กระแสมันลากเราไป แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เราทวนกระแสนั้น เราต่อต้านกระแสนั้น เราไม่เชื่อตามกระแสนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ไม่ให้เชื่อ! กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อต่างๆ ไม่ให้เชื่ออะไรเลย ให้เชื่อประสบการณ์จริงของเรา
แล้วประสบการณ์จริงของเรา นี่วุฒิภาวะเราอ่อน เห็นไหม เวลาทำจิตใจของเราเข้าไป พอจิตใจมันว่างๆ ว่างๆ
กิเลส อุปกิเลส.. กิเลสอย่างหยาบ การแสดงออกด้วยกิริยามารยาทนี่กิเลสอย่างหยาบๆ อุปกิเลสมันไม่แสดงออกหรอก มารยาทเรียบร้อยมาก แต่ความคิดในหัวใจมันก็หมักหมมอยู่ เห็นไหม อุปกิเลส
กิเลสคือมโนกรรม ความคิด ความตรึกในใจมันก็เป็นกิเลสอันหนึ่งที่ไม่แสดงออกมา พอไม่แสดงออกมามันเป็นกิเลสอย่างหยาบๆ กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างละเอียด มันหนุนในหัวใจมหาศาลเลย
แล้วถ้ามีการกระทำ พุทธศาสนานี่ เราทำแล้วมันต้องได้ผลตามความจริง อย่าให้กระแสมันชักนำเราไป ฉะนั้น สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องสภาวะแวดล้อม ทีนี้ย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาที่การเกิดของเรา ย้อนกลับสิ่งที่มีคุณค่าคือความรู้สึกของเรา นี่ความรู้สึกของเรานะมันอาศัยสิ่งแวดล้อม อาศัยต่างๆ อยู่ แม้แต่หัวใจมันก็อาศัยร่างกายนี้ดำรงชีวิตของมันไป
มีชีวิตอยู่นะ ร่างกายกับจิตใจ สิ่งที่อาศัย ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะของเรา เรายืนอยู่ของเรา ความขาดตกบกพร่องเป็นเรื่องธรรมดา มันจะมีของมันเป็นธรรมดา ถ้าเราไม่ตื่นเต้นไปกับมัน เรามีจุดยืนของเรา สิ่งใดวิกฤติในชีวิตเราก็แก้ไขของเราได้ สิ่งต่างๆ นี่เราแก้ไขได้หมดแหละ แต่ถ้าเราไปตื่นเต้นกับมันนะ เราทุกข์ร้อน ทุกข์ยากหลายซับหลายซ้อน แล้วมันจะทุกข์ยากของมันไป
ถึงบอกว่าถ้าต้นทุนอันนี้มี ชีวิตเรายังมีอยู่ สิ่งอื่นๆ จากภายนอกมันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นบุญเป็นกรรมของแต่ละบุคคล เป็นอามิสไง.. สิ่งที่ได้สร้างมา พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล พระสีวลีนี่มีลาภมาก สิ่งต่างๆ นี้มีลาภเพราะอะไร มีลาภเพราะเขาทำของเขามา
ในปัจจุบันนี้เรามีสติสัมปชัญญะ เราก็ทำของเรา นี่ให้ทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดสมาธิขึ้นหนหนึ่ง มีสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับปัญญาเกิดหนหนึ่ง
เราจะมีมากมีน้อย เรามีต้นทุนที่เสมอกันด้วยหัวใจ เรากำหนดพุทโธของเรา เราตั้งสติของเรา เรารักษาหัวใจของเรา เรารวบยอดในการภาวนา ในการบำเพ็ญตบะธรรม สิ่งนี้มันให้คุณค่ามาก มันให้ปัญญากับเรา มันให้สติสัมปชัญญะกับเรา มันให้จุดยืนกับเรา ถ้าจุดยืนกับเรา เห็นไหม ถ้าเราคิดดี เราควบคุมใจเราได้ เราจะบริหารชีวิตของเราได้ เราจะมองทางโลก เราจะเข้าใจโลก เราไม่ให้กระแสดึงเราไป เราพอยืนของเราได้ เราดำรงชีวิตของเราได้จากจุดยืนของเรา
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนรักษาตนเองไว้ได้แล้ว ตนก็อยู่ในสังคมด้วยความปลอดโปร่ง อยู่กับโลกเขาแต่เราก็มีจุดยืนของเรา ไม่ใช่อยู่กับโลกเขาแล้วไปตามกระแสโลก
คนเกิดมาเหมือนกัน มีชีวิตเหมือนกัน แต่ทำไมเขาเชื่อกันอย่างนั้น ทำไมเขาตามกระแสไปอย่างนั้น เราก็เกิดมากับโลกเหมือนกัน เราไม่เชื่อไปตามเขา แต่กระแสมันแรง เราไม่มีอำนาจวาสนาพอที่จะแก้ไขสิ่งนั้นได้ เราก็แก้ไขเราก่อน เห็นไหม
ไม้หลักนะ ต้นไม้นี่มันจะมีนกกามาอาศัย เราทำใจเราให้ได้ ถ้าเราทำใจของเราได้นี่ประสบการณ์ของจิต ถ้าประสบการณ์ของจิตมันแก้ไขได้หมดแหละ มันรู้กระบวนการของมันหมด แต่ถ้าประสบการณ์ของจิตเราไม่มี ไร้จุดยืน ไร้สิ่งต่างๆ ตามแต่กระแสลมจะพัดไป เห็นไหม เราต้องแก้เราให้ได้ก่อน เราต้องรักษาเราให้ได้ก่อน แล้วประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับหมู่คณะ
มันเป็นที่พึ่งจากข้างนอก จากข้างใน ต้นทุนที่นี่สำคัญมากนะ เรามองแต่ข้างนอกกัน ไม่มองที่หัวใจ.. แก้ที่นี่ สุข ทุกข์เกิดที่นี่ เครื่องอาศัยเท่านั้น แล้วเวียนตายเวียนเกิดนี่ของเก่าๆ เกิดตายๆ อย่างนี้มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติก็ยังต้องมาเกิดมาตายอีก เห็นไหม เราต้องรักษาที่นี่ เกิดมาพบพุทธศาสนาแล้วเราใช้ประโยชน์ให้ได้ แล้วเอาตัวรอดให้ได้ เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อต้นทุนของชีวิตนี้
ต้นทุนอันนี้! นี่เวลาทุกข์เวลายากอันนี้ทุกข์ เวลามันพ้นทุกข์ก็อันนี้มันพ้นทุกข์ เรานี่แก้ไขเอง เรานี้ทำได้เอง ต้นทุนเสมอกัน แต่คนที่เขาไม่เห็นกับความสำคัญตรงนี้ เขาก็วิ่งไปตามกระแสโลก
เราก็อยู่กับโลก ไม่ใช่ปฏิเสธตายตัวว่าไม่เอาเลย เราก็อยู่กับโลก เราไม่มีสิ่งปัจจัยดำรงชีวิตไม่ได้ เราก็ต้องดำรงชีวิต แต่เราก็มีต้นทุนเสมอกัน เสมอเขานั่นแหละ แต่เราจะได้ประโยชน์มากกว่า ได้ประโยชน์ ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งคือโลกปัจจุบันนี้ กับอีกชั้นหนึ่งคือว่าจิตใจเป็นปัจจุบันจากภายใน แล้วมันจะเป็นปัจจุบันตลอดไป มันจะไม่เคลื่อนไปกับโลก
ดูที่นี่ แล้วไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจกับใครทั้งสิ้น การเกิดของสัตว์โลกมันก็มีลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ อย่างนี้แหละ แต่ละภพแต่ละชาติมันเวียนไป เราเกิดมาชาติปัจจุบันนี้ เห็นไหม ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ปัจจุบันมา ต่อไปอนาคต มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งนั้นแหละ แต่หัวใจถ้ามันปกติของมัน มันจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปกับเขาไหม มันมีจุดยืนของมัน.. นี่ต้นทุนเท่านี้ รักษาต้นทุนเท่านี้ รักษาหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ เอวัง