เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ พ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาฟังธรรม เห็นไหม เรามีการศึกษา เราเป็นปัญญาชน สิ่งต่างๆ ที่เราฟังธรรม ธรรมนี้มันจะเข้าถึงหัวใจของเรา นี่การศึกษาจะสร้างชาติ

คนเราอยู่ด้วยปัญญา โลกเจริญได้ด้วยวิชาการทั้งนั้นล่ะ แต่ทางวิชาการอย่างนี้ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าโลกเจริญ มันเจริญด้วยอิฐ หิน ทราย ปูน มันเจริญด้วยวัตถุก่อสร้าง แต่ถ้าศีลธรรมจริยธรรมเป็นสมบัติของมนุษย์นี่มันเจริญในหัวใจของเรา มันทำให้เรามีความสุขนะ

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.. ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสเข้าไปในหัวใจของสัตว์โลก แต่ทางวิชาการทางความเป็นอยู่ของโลก ปัจจัยเครื่องอาศัยอำนวยสะดวกให้กับชีวิต นี่มันก็มีความจำเป็น เห็นไหม ถ้าพูดถึงว่ามันไม่มีความจำเป็นเราจะย้อนยุคกลับไปอยู่สมัยหิน สมัยน้ำแข็งนู้นน่ะ

ทำไมโลกมันเจริญล่ะ เจริญมาเพราะทางวิชาการ เราขวนขวายกัน โลกนี่ทางภาคตะวันตกของเขา ฤดูกาลของเขามันบีบคั้นให้เขาต้องดิ้นรน เขาต้องใช้วิชาการของเขาเพื่อความดำรงชีวิตของเขา อาหารการกินของเขาก็ในเมืองหนาว อาหารการกินของเขาก็อีกอย่างหนึ่ง

ในทางเอเชียนี่เกิดในประเทศอันสมควร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา มาเกิดในชมพูทวีป นี่ฤดูกาลสมดุลมากนะ มี ๓ ฤดูกาล จนปัจจุบันนี้เมืองไทยมี ๓ ฤดูกาล มีสมอ มีมะขามป้อม มีทุกอย่างเหมือนพระไตรปิฎกเลย จนคนลืมไปนะคิดว่าพระพุทธเจ้าเกิดเมืองไทย

พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดเมืองไทย พระพุทธเจ้าก็เกิดชมพูทวีปนั่นล่ะ แต่ว่าเวลาศาสนามีที่ไหน มีศีลธรรมจริยธรรม จิตใจของผู้คนดีนี่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เห็นไหม ผู้มีศีลมีธรรมอยู่ที่ไหน.. นี่เราเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศอันสมควรคือประเทศความเป็นอยู่อาศัย เราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อแม่ที่มีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ที่มีสัมมาทิฏฐิจะพาเราเข้าวัดเข้าวา ปลูกฝังเรามาตั้งแต่เด็ก เด็กมันมีการปลูกฝังเข้ามาแล้ว มันจะมีความคุ้นเคยไม่เก้อเขิน

ผู้ใดมีศีลธรรมจะเข้าสังคมไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน ความเก้อเขินทำให้เราไม่กล้าเข้าในสังคมนั้น นี่แล้วสังคมเรามีแต่พึ่งจากภายนอก แต่ถ้าจิตใจของเรามีศีลธรรมเป็นสมบัติของมนุษย์ มีศีลมีธรรมขึ้นมามันไม่เก้อเขินจากหัวใจของมัน เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะมีความอบอุ่นในหัวใจ

นี่ธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ ว่าสิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์ ใช่! เวลาแสดงธรรมนี่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อความเข้าใจไง แต่วิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฎีนะ วิทยาศาสตร์ไม่มีค่าความแน่นอน ค่าพิสูจน์ของวิทยาศาสตร์ไม่มี แต่ค่าของธรรมะมันเกินความสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม เวลามรรคญาณมันเกิดมันเกิดอย่างไร

ธรรมะมันสะอาดบริสุทธิ์นะ ค่าความสะอาดบริสุทธิ์ของธรรมะนี่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มรรคญาณเวลามันเกิดขึ้นมา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมา เห็นไหม เราจับผิดคนอื่นเรามองเห็นได้หมดล่ะ แต่เราจับผิดตัวเราเองเราจะว่าตัวเองถูกหมด เราก็เข้าข้างตัวเองหมดเลย แต่เวลาจิตเป็นตัวมันเองนี่มันยิ่งลึกลับซับซ้อนกว่าความรู้สึกของเราอีกนะ ลึกลับกว่าความคิดความเห็นของเรา ความคิดความเห็นของเรา เรายังเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมชาติของมันเลย แล้วจิตที่เป็นตัวมันเอง มันจะซึมซับเข้าไปทำลายตัวมันเอง มันยังลึกลับมหัศจรรย์กว่าทางวิทยาศาสตร์มหาศาลเลย

ทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ค่าของมัน ดูสิ เราทดสอบทางวิทยาศาสตร์ ทางวิจัยของมัน มันจะย่อยสลาย มันจะเปลี่ยนค่าสารเคมีไปอีกเป็นตัวหนึ่งๆ ถ้าสสารมันได้ผสมคุณค่ากัน มรรคญาณถ้ามันเข้ามาในหัวใจที่มันมีการกระทำของมัน เห็นไหม มีการกระทำมันเป็นไปอย่างไร นี่สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติถ้าทางวิชาการปริยัตินี่ถูกต้อง ปริยัตินี่วิชาการเต็มที่เลย

ทฤษฎีทางวิชาการถูกต้อง แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นค่าทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะอะไร ไม่ได้เพราะความหยาบความหนาของคน อารมณ์ความรู้สึกคนแตกต่างกัน คือสมมุติฐานหรือคุณค่าของทางวิจัยมันแตกต่างกัน กรรมของคนมันแตกต่างกัน การกระทำของคนมันหลากหลายมาก แต่ผลที่สุดถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์มันจะเหมือนกัน

ความเหมือนกันอันนั้น เห็นไหม นี่ธรรมะเหนือโลก เหนืออย่างนี้ไง เหนือว่าขิปปาภิญญา เวลาปฏิบัติไปดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ๖ ปีนี่ค้นคว้ามาผิดหมดนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่คืนเดียว คืนเดียว

“ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ..”

เวลาเทศน์พระยสะนะ“ยสะ ที่นี่ไม่เดือดร้อน”

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อสู้กับกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปีนะกว่าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นศาสดาเอก เพราะยังไม่มีธรรมวินัยในโลกนี้.. ไม่มี! สิ่งที่ไม่มีพระพุทธเจ้าได้ค้นคว้าขึ้นมา พระยสะออกจากบ้านมาคืนเดียวเหมือนกัน เทศน์ตั้งแต่หัวค่ำเป็นโสดาบัน พ่อแม่ตามหามานี่เทศน์อีกทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ขนาดไหน แต่สาวก สาวกะมีผู้ชี้นำไง มีครูมีอาจารย์เป็นคนชักนำขึ้นมา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีนะ เห็นไหม ความหยาบ ความละเอียด ทั้งๆ ที่เป็นศาสดานะ ศาสนารื้อเอง ค้นเอง หาเอง นี่ประสบการณ์มหาศาล เวลาอนาคตังสญาณถึงได้สั่งสอนเผยแผ่ธรรมนะ พระยสะนี่ ๖๐ องค์ก็เผยแผ่ตามไป ดูสิ พระอัสสชิ ปัญจวัคคีย์ต่างๆ เผยแผ่ธรรมมาเพราะช่วยเหลือเจือจาน

เวลามันปลงธรรมสังเวชนะ เวลาเราทุกข์เรายากหัวใจมันมีกิเลสบีบคั้น มันเจ็บปวดหัวใจ มันปักหัวใจ แล้วเวลามันถอดถอนโล่งออกไป นี่ความรู้สึกของเรามันเป็นอย่างไร มันแตกต่าง เห็นไหม แตกต่างที่ว่ามีความบีบคั้น มีความกดในหัวใจ กับหัวใจที่ไม่มีสิ่งใดกดคั้น บีบคั้นเลย แล้วเรามองไปสัตว์โลกสิ สัตว์โลกทุกดวงใจมันมีความบีบคั้นอยู่นี่ เราสงสารเขาไหม เราอยากแนะนำเขาไหม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำไป “ธรรมะนี้จะสอนได้อย่างไรหนอ” แนะนำไปนี่เขาจะว่าบ้า มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก!

มันเป็นเรื่องโลกๆ มันเป็นวิทยาศาสตร์ไง วิทยาศาสตร์คือเป็นทฤษฏีที่มีการเปลี่ยนแปลงของมัน มันคงที่ไม่ได้ แต่จิตเวลามันมีกิเลสอยู่มันก็เป็นอย่างนั้น มันก็มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะเหมือนกัน อารมณ์แปรปรวนเหมือนกัน มันธรรมชาติเหมือนกัน เวลาไปเกิดมันก็เกิดเหมือนกัน เวลาธรรมะมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเปลี่ยนแปลง มันกระทำของมัน มรรคญาณมันชำระออกของมันอย่างไร

นี่ไง ความมหัศจรรย์มันเกิดตรงนี้ไง นี่ธรรมะเหนือโลกเหนือโลกอย่างนี้ เหนือโลกที่การกระทำ เหนือโลกที่สัจจะความจริง ความเป็นจริงของเรา.. นี่ฟังธรรมนะ ถ้าฟังธรรมนี่ฟังทุกวันๆ ฟังจนชินหูนะ ครูบาอาจารย์ต้องคอยช็อตอยู่ตลอดเวลา ให้เราตื่นตัวตลอดเวลานะ เพราะถ้าเราไม่ตื่นตัวตลอดเวลากิเลสมันจะครอบงำทันทีเลย มันจะเป็นอย่างนั้น คาดหมายจินตนาการทุกอย่างไม่ได้ทั้งนั้น

ที่เขาว่า “จำสภาวะๆ สภาวะเป็นสัญญาทั้งหมด”

เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! มันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมา แต่ความจริงมันจะทำของมันอย่างไร

นี่จำสภาวะ! จำสภาวะมันก็ก็อบปี้ไง วิทยานิพนธ์เขายังไม่ให้เลย ให้แค่ ๓ บรรทัดใช่ไหม แล้วต้องอ้างที่มาที่ไป นี้เวลาเราอ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อ้างบาลีก็อ้างธรรมพระพุทธเจ้า แต่ขยายความถูกไหมล่ะ แล้วมันเป็นจริงไหม วิทยานิพนธ์มันยังมีกรรมการตรวจสอบว่าจะให้หรือไม่ให้นะ แล้วนี่เราจำเอง เราให้ค่าเอง เราก็ว่าเราถูกต้องทั้งนั้นล่ะ

มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ามันเป็นความจริงนี่สันทิฏฐิโกอันนั้นสำคัญมาก แล้วสันทิฏฐิโกที่มันเป็นนะ ที่มันจริงอย่างที่ว่าจิตใจมันโดนบีบคั้นมันเป็นไป แล้วมันโดนหลอกมา นี่กิเลสมันหลอก แล้วถ้าใครสร้างสมบุญญาธิการมา เห็นไหม ถ้าสร้างมามากนี่ขิปปาภิญญามันจะง่ายขึ้น ถ้าเวไนยสัตว์เราต้องถูกต้องไถ ต้องมีประสบการณ์มาก

เหมือนกับเราทำการค้า เราต้องปากกัดตีนถีบ โอ้โฮ.. เราจะมีประสบการณ์มากเลย แต่บางคนนี่โอกาสเขาดีมาก จังหวะเขาดีมาก เขาทำของเขาไป เขาประสบความสำเร็จไป นี่ประสบการณ์เขาน้อยกว่านะ แต่นี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่การนั่งพุทโธ พุทโธ พุทโธนะ เพราะอำนาจวาสนาเกิดจากปฏิภาณไหวพริบ

การนั่งพุทโธนี่เวลาเกิดนะ ดูสิ เวลาจิตมันเริ่มวาง มันปล่อยวาง.. มือนี่กำสิ่งของอยู่ จิตมันกำความคิดอยู่ มันมีความคิดอย่างอื่นแทรกเข้ามาไม่ได้ เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธ มือมันเริ่มคลาย สิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่นอยู่นี่ เดี๋ยวดูปัญญามันเกิด ดูความเป็นไปที่มันเกิดขึ้นมาสิ มันไม่เป็นอย่างที่เราเป็นหรอก เพราะสิ่งที่เราเป็นมันเป็นสัญชาตญาณ.. มันเป็นธรรมชาตินะ มันเป็นโลกียปัญญา ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้

แต่ถ้าสัจธรรมมันไม่ใช่ธรรมชาติ ถ้าเป็นธรรมชาติมันต้องเกิดกับทุกๆ คนสิ มันต้องเกิดเวลามันเป็นสิ แต่นี้เวลาเราภาวนาเกือบเป็นเกือบตายมันจะเกิดอย่างไรล่ะ เวลามือมันวางของแล้ว พอมือมันว่างขึ้นมามือไปหยิบสิ่งของ โชคดีก็กำเพชรกำพลอย โชคไม่ดีกำขี้กำของเหม็นมันก็เหม็นนะ.. เวลาสิ่งต่างๆ โชคไม่ดีหมายถึงว่าอำนาจวาสนาของคนมันควบคุมอย่างไร มันจะแปรปรวนอย่างไร ไม่ใช่มือวางแล้วมันจะจับได้หมด มันไม่ได้หมดหรอก มันเป็นการกระทำ

นี่มรรคญาณเป็นอย่างนี้ไง เวลามรรครวมตัว หลวงตาถึงบอก “มันหมุนติ้ว หมุนติ้ว” ปัญญามันเกิดอย่างไร ความมีประสบการณ์อย่างไร มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเกิดขึ้นมาอย่างไร สิ่งนี้ถ้าคนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันพูดไม่ได้ มันรู้ไม่ได้ ถ้าคนที่รู้คนเห็นก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ครูบาอาจารย์ของเราไง แล้วเวลามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม อันนี้มันเป็นจริงขึ้นมา

“ศีลธรรมเป็นสมบัติของมนุษย์โดยแท้จริง”

ศีลธรรม เห็นไหม ศีลธรรมโดยอามิส โดยการฝึกหัด กับปัญญาญาณที่มันเกิดขึ้นจากภาวนามยปัญญามันจะเป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ จะเห็นความเห็นแตกต่างมาก

โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่มันชำระกิเลส ปัญญาที่มันถอดมันถอน ปัญญาที่มันคลี่มันคลาย มันคลายความยึดความมั่น เวลาโลกียปัญญานี่ศึกษาธรรมะ เห็นไหม เวลาศึกษาธรรมะ มือนี่มันกำสิ่งของใดๆ อยู่ พอวางสิ่งของก็ เออ! สบาย.. สบาย..

นี่ก็เหมือนกัน เวลาศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้ามันก็เข้าใจซึ้งใจ นี่มันโลกียปัญญา มือมันวางสิ่งของแต่มือมันยังไม่ได้กำสิ่งใดเลย มือยังไม่ได้หยิบเพชรหยิบพลอยเลย สบาย.. สบาย.. สบายๆ เดี๋ยวมันก็ไปกำอีก กำความเร่าร้อนนั่นล่ะ มันสบายๆ อย่างไร มันสบายไม่ได้

มันสบายๆ คือเผอเรอ คือคนประมาทเลินเล่อ คือคนไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีขันติธรรม ไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีความเพียรชอบ ไม่มีการกระทำที่ดีงาม พอมันวางแล้วนะเราต้องฝึกหัด เพราะครูบาอาจารย์ท่านจะพูดบ่อยว่า

“การรื้อค้นหามันเป็นงานอย่างหนึ่ง”

การชำระล้างด้วยปัญญาอย่างหนึ่งนะ นี่เราไม่มีจำเลย ไม่มีคู่ความเราจะไปไต่สวนกับใคร.. การค้นหาที่มันเป็นอยู่นี้มันเป็นเพราะว่ากรรม เพราะว่ากายกับใจมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว มันก็ว่าเราเห็น เรารู้ ถ้าไปรู้โดยสัจธรรมนะ โอ้โฮ.. มันสะเทือนหัวใจมากเลย

นี่กำเพชรกำพลอย! เพชรพลอยกินไม่ได้นะ เพชรพลอยเอาไว้ประดับได้เวลาเราใช้ประโยชน์หรือเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นสินค้ามา เราหามันเจอแล้ว ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญมันนะเดี๋ยวมันก็หลุดมือไป เพชรพลอยยังไม่ได้เจียระไนก็ไม่มีค่าอีกล่ะ ถ้ามันเจียระไนก็มีค่าขึ้นมา เห็นไหม

เราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะมีปัญญาของมัน มันจะใคร่ครวญของมัน ดูซิโลกุตตรปัญญามันเป็นอย่างไร ปัญญาที่มันจะชำระถอดถอนหัวใจมันจะเป็นอย่างไร แล้วมันรู้มันเป็นขึ้นมามันจะสบายๆ สบายๆ มันไม่ใช่! สบายๆ ไอ้เบิร์ดมันร้องอยู่ทุกวัน ไอ้เบิร์ดมันก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

มันไม่เป็นหรอก มันต้องเป็นความจริง! เราทำหน้าที่การงาน เราต้องลงทุนลงแรงเราถึงจะมีผลประโยชน์ตอบแทนนะ เราไม่ทำหน้าที่การงานโดยความเป็นจริง ใครจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนเรามา เราคิดเอาเอง เพ้อเจ้อเอาเอง ฝันเอาเองมันเป็นไปได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน รู้เป็นจริงขึ้นมา

ศาสนานี่มันเป็นความจริงนะ เราเกิดเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนามีคุณค่ามาก แล้วมันต้องมีคุณค่าตามข้อเท็จจริงนั้น อย่าเพิ่งเพ้อเจ้อ อย่าเพิ่งให้มันเป็นทางโลกๆ กันไป แล้วเราจะไม่ได้ประโยชน์ตามความเป็นจริงนั้นนะ เราทำบุญกุศลเราก็ทำของเรา บุญกุศลเสียสละแล้วจิตใจให้มันชุ่มเย็นของมัน แล้วพอชุ่มเย็นแล้วเราออกทำได้ นั่งสมาธิในห้องพระเรา

เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี่เตือนสติรื้อฟื้นความรู้สึกของเรา ให้มันมีสำนึกในตัวของมันเอง พอมีสำนึก มีสติสัมปชัญญะ หน้าที่การงานมันก็ผิดน้อยขึ้น แล้วจะมาปฏิบัติก็ให้มันเป็นตามความเป็นจริง อย่าไปสบายๆ อยู่ สบายๆ อยู่มันประมาทเลินเล่อ..

วันคืนล่วงไปๆ แล้วเราก็ต้องตายทุกคน เกิดมาแล้วจะมีสมบัติสิ่งใดติดหัวใจนี้ไปบ้าง อันนี้เตือนตัวเองไว้นะ เอวัง