เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราจะพูดถึงพระเนาะ พระก็มาจากคน ทุกคนก็ต้องปรารถนาความสะดวกสบาย แต่มันจะไม่ได้ดั่งใจนะ ชีวิตเรา เห็นไหม เวลาเกิดมานี้ไม่รู้มาจากไหน แต่เวลาไปนี่โศกเศร้าเสียใจกันมากนะ เวลามาไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่เวลาไปเหมือนนก นกเวลาลงเกาะคอนนี่มันลงนิ่มๆ นะ เวลามันจะไปมันต้องถีบตัวมันบินไป ต้นไม้สั่นไหวหมดเลย
ชีวิตเราก็เหมือนกัน เวลามาเราไม่รู้ที่มาที่ไป แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จักที่มาที่ไป กัมมะพันธุ กัมมะเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระโณ กัมมะเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมเป็นแดนเกิด การทำดีไง การทำดีกันนี่เป็นมนุษย์สมบัติ ผู้มีศีล ๕
ศีล ๕ เห็นไหม ปาณาติปาตาไม่ทำร้ายกัน ไม่ใช่ฆ่าสัตว์นะ ไม่ทำร้ายกัน ถ้าไม่ทำร้ายกันไม่เบียดเบียนกัน ชีวิตจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ของๆ เรา ของๆ เขาทุกคนก็ต้องรักต้องสงวน นี่สิ่งต่างๆ กาเมสุมิจฉาจาร ในเมื่อเรายังห้ามไม่ได้ เราก็มีคู่ครองของเรา เห็นไหม สุรา มุสา นี่ศีล ๕ เป็นมนุษย์สมบัตินะ
ถ้าเรารักษาศีล เราเสียสละทานของเราเพื่อมนุษย์สมบัติไง ได้มนุษย์สมบัติมาแล้ว นี่วันเวลานะถ้าหัวใจของคนที่มีปกติสุข ที่มีคุณงามความดีในหัวใจของเขา เผลอแป๊บเดียวชีวิตนี่หมดไปแล้ว แต่คนทุกข์คนยากวันเวลามันเชื่องช้ามากเลย เวลาจิตของเราภาวนานะ พอจิตมันสงบลงไปวันเวลามันผ่านไปเร็วมาก
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าวันเวลามันผ่านไปเร็วมาก เราเกิดมาเพื่ออะไรกัน เราเกิดมาเพื่อสร้างสมคุณงามความดี เพื่ออะไร ก็เพื่อชีวิตของเราไง ชีวิตของเราเวลาเกิดขึ้นมาแล้วเกิดให้มันสมความปรารถนาไง ทุกคนเกิดมามีมนุษย์สมบัติ คนเราไม่ได้อยู่ที่การเกิด คนเราเกิดในสถานะสูงส่งขนาดไหนแต่เขาไม่ทำคุณงามความดีของเขา เขาเกิดมาถึงว่าเสียชาติเกิดไง เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเขาไม่สืบต่อมนุษย์สมบัติของเขาไป
เวลาตายไป เวลานกจะจากจากคลอนมันสั่นไหวไปหมดนะ ชีวิตเวลาจะพลัดพรากนี่มันดีแต่คำพูดหรอก ไม่กลัวตาย ไม่กลัวสิ่งต่างๆ ทั้งนั้นแหละ แต่เวลาถึงที่สุด เหมือนเราออกจากบ้านมาโดยที่เราไม่มีสมบัติติดตัวไปนี่เราจะไปไหนของเรา ขนาดเราออกจากบ้านมาไม่มีสมบัติ ไม่มีสิ่งต่างๆ เรายังไม่แน่ใจ ไม่สบายใจตัวเองเลย นี่จิตมันต้องออกจากร่างไป คุณงามความดีของมันที่มันจะมาสะสมไป คุณงามความดีของมันที่มันจะติดตัวมันไป
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีคุณงามความดีของเรา เหมือนเราออกจากบ้านมา สัมภาระของเราเต็มไปหมดเลย เราจะไปค้างแรมที่ไหนก็ได้ เราจะทำสิ่งใดก็ได้.. นี่พูดถึงวัตถุนะ แต่บุญไม่เป็นอย่างนั้น บุญเห็นไหม เราทำบุญกุศลกัน เราอุทิศส่วนกุศลไป อุทิศส่วนกุศลเหมือนฝากกันไป อุทิศส่วนกุศลเพราะเราคิดได้ เรามีสติสัมปชัญญะตอนนี้ แต่เวลาทำบุญกุศลของเราเราไม่ต้องฝากใครไป เราเอาของเราไป เรามีสัมภาระของเราไป เรามีบุญกุศลของเราไป เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ความดี บุญกุศลทำให้เรามีโอกาส
ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ นี่สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ เพื่อนฝูงที่เราคบหากันนี่หาได้ยากนะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ.. อาหารเป็นสัปปายะนี่พอดำรงชีวิตไปเท่านั้นล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านหาที่วิเวกของท่านใช่ไหม เข้าไปอยู่ป่าอยู่เขา เห็นแค่ ๓-๔ หลังคาเรือนก็อยู่ได้แล้ว เพราะว่าบิณฑบาตไปอย่างน้อยต้องมีข้าวตกบาตร ถ้ามีข้าวตกบาตร มีข้าวลงกระเพาะชีวิตนี้ก็อยู่ได้แล้ว
พอชีวิตอยู่ได้แล้ว อาหารมันเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะนี่เพราะบุญกุศลนะ เพราะอะไร เพราะวันเวลามันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ดูฤดูกาลสิ ใครมาวัดตอนนี้เห็นไหม หน้าหนาวอากาศดีนะ โอ้โฮ.. นี่ไปคุยกันมากเลย โอ้โฮ.. ที่นี่อากาศเย็นมาก โอ้โฮ.. ที่นี่อากาศดี เพื่อนฝูงก็เชื่อใจนะ พอมาเดือนเมษา โอ๋ย.. อากาศมันร้อน แค่ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง สัปปายะไง สถานที่เป็นสัปปายะ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเคยธุดงค์มา เราเคยวิเวกมา บางที่ไปเจอนี่ แหม.. ดีมากเลย
ดูสิ เวลาผลจากฤดูฝนนี่ดอกไม้บานสะพรั่ง แล้วเวลาไปหน้าแล้งสิ โอ้โฮ.. ทำไมมันจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย นี่สถานที่เป็นสัปปายะ บุญกุศลของเรามันจะเป็นจังหวะโอกาสที่เราจะเป็นไปได้ นี้บุญกุศลมันขับส่งไปนะ บุญกุศลมันขับส่งไปแค่ไหน เกิดดีขนาดไหนก็แล้วแต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติต่อไป เราไม่ทำต่อไป บุญกุศลส่งมาแล้วแต่เราไม่เอาชนะตัวเอง ตั้งสติสัมปชัญญะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เอาความคิดเอาพลังงานทั้งหมดไว้ในอำนาจของเรา
นี่เราบอกทุกคนรังแกเรา ทุกคนไม่ปรารถนาดีต่อเรา แล้วถ้าเราปรารถนาดีกับเรา ทาน ศีล ภาวนา ทำบุญกุศลขนาดไหนมันเป็นโอกาส เป็นบุญกุศล เราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จมันอยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าอยู่ที่การกระทำของเรา เห็นไหม เราต้องยับยั้งชั่งใจให้ได้
ยับยั้งชั่งใจคือตั้งสตินะ สติคือการระลึกรู้อยู่ ถ้าระลึกรู้อยู่ คนมีสติมีความระลึกรู้อยู่ ความผิดพลาดจะมีน้อยมาก ถ้ามีสติระลึกรู้อยู่นะ แล้วเราพยายามกำหนด พุทโธ พุทโธ เพราะอะไร เพราะจิตมันเป็นนามธรรม
สิ่งที่เกิดขึ้นมา เห็นไหม เราเห็นการเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ทั้งนั้นแหละ แต่ไม่มีใครเห็นกรรมว่าปฏิสนธิจิตมันปฏิสนธิลงในไข่ เวลามันปฏิสนธิวิญญาณอันนั้นเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน ลูกเป็นกรรมพันธุ์ของพ่อแม่หมดเลย แต่ทำไมนิสัยไม่เหมือนกันล่ะ เพราะปฏิสนธิจิตอันนั้นล่ะ ปฏิสนธิจิตนี่กัมมะเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมมีเวรต่อกันเราถึงมาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่กัน เกิดเป็นญาติพี่น้องกัน
นี่พูดถึงการเกิดนะ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดกว่านั้น บอกว่า มนุษย์นี่เป็นญาติกันโดยธรรม มนุษย์เป็นญาติกันหมดเลย เพราะอะไร เพราะมนุษย์ต้องมีปากมีท้องเหมือนกัน มนุษย์ต้องมีเครื่องอาศัยเหมือนกัน ญาติกันโดยธรรมคือสิทธิเสรีภาพต้องใช้สอยเหมือนกัน ต้องกินต้องอยู่เหมือนกันไง
แล้วจิตใจเราล่ะ จิตใจคนที่เห็นแก่ตัว คนที่เบียดเบียนคนอื่น มนุษย์น่าเบื่อหน่ายมาก เห็นไหม รกป่ารกเขายังดีกว่ารกมนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์ที่ประเสริฐมากทำไมเราชอบล่ะ ดูเทวดา อินทร์ พรหมสิ เขามีผู้ปกครองดูแลของเขา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเกิดมาในสภาคกรรม กรรมที่เกิดมาเจอหมู่คณะที่ดี เจอญาติพี่น้องที่ดี หรือสังคมที่ดี เราก็มีความสุขของเรา แล้วเราจะส่งสังคมนี้ต่อให้ลูกหลานของเราไป
ดูสิ เวลาทางโลกเขาทุนนิยมเขามีการแข่งขัน ต้องมีการแข่งขัน เห็นไหม สังคมนิยมเขาว่าต้องมีการเสมอภาค.. เสมอภาค.. นี่เป็นความคิดทั้งหมดเลย แต่เวลาเป็นจริงขึ้นมานี่ในหัวใจของเราเสมอภาคไหม เวลาความคิดของเด็กเป็นคนหนึ่ง เวลาโตมาเป็นมนุษย์ผู้ใหญ่เป็นคนหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นคนหนึ่ง ความคิดของคนมันก็หลากหลายไป แล้วแต่อายุขัยประสบการณ์ของจิตมันแตกต่างกันไป
วุฒิภาวะของใจมันจะสูงส่งขึ้นมาขนาดไหน จิตใจเป็นสาธารณะสละได้มากน้อยแค่ไหน จิตใจเรามีจุดยืนได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้มันฝึกขึ้นมา เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องเข้าใจดวงจิตของเราทั้งหมดแล้ว ดวงจิตทุกดวงจิตในโลกนี้ ในจักรวาลนี้มันเป็นอย่างนี้หมดเลย ทุกดวงจิตมีแรงขับของอวิชชา
ถ้าพูดอย่างที่พอฟังกันได้เราบอกเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ยังไม่ใช่รู้ผิดนะ ความรู้ผิดมันเพราะผิดพลาดออกไป ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คือไม่รู้ พอไม่รู้ก็คืออวิชชา การกระทำของเราถึงมีความผิดพลาดมาตลอดเวลานะ
เราผิดพลาดเพราะ ดูสิ เขาบอกว่าอาหารเราต้องอาหารเป็นคำข้าว แต่ไม่มีใครเห็นว่าอาหารคืออากาศ ออกซิเจนนี่อาหารที่ละเอียดเข้าไป เห็นไหม เรามองแต่อาหารที่เป็นคำข้าวนะ เรามองแต่สิ่งที่ต้องใช้ประโยชน์ปัจจัย ๔ นะ เราไม่มองคุณค่าของน้ำใจเลย
น้ำใจถ้ามันมีคุณค่าต่อกัน มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่มีความสุขนะ เรามีความไว้วางใจกัน อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราไม่มีความไว้วางใจกันเลย เราจะอยู่ที่ดีขนาดไหนมันก็ระแวงต่อกัน เห็นไหม นี่เวลาอาหารเราก็มองว่าอาหารเป็นคำข้าว เราไม่มองถึงอากาศ มองถึงอาหารที่ละเอียด พอเราคิดถึงความรู้สึกในหัวใจ นี่ไงบุญกุศลมันเกิดที่นี่
ตั้งแต่เรื่องศีลมา เรื่องทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม ถ้าจิตใจคนประเสริฐ ให้เราประเสริฐที่ตัวของเรา ดูพระเวสสันดรสิ สละราชสมบัติ สละทุกอย่างเลย สละกัณหา ชาลี สละให้หมดเลย ทำไมคนเขาขับไล่ล่ะ นี่เราเสียสละขนาดไหน เราทำคุณงามความดีของเราก็คือความดีของเรา คนจะเห็นดีเห็นงามกับเราหรือไม่เห็นมันเรื่องของเขา วุฒิภาวะสายตาของคนเขามองเรามาด้วยมุมมองของเขา ถ้าเขาไม่มีวิชาชีพเหมือนเรา เขาไม่มีความมุมมองเหมือนเรา เขามองเราเป็นคนซื่อบื้อทั้งนั้นแหละ
ดูสิ ไปวัดไปทำไมกัน ไปวัดไปเสียสละ ไปทุกข์ทรมาน อยู่บ้านก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้วทำไมต้องไปวัดให้มันทุกข์ยากอีก อ้าว.. ไปวัดก็วัดใจของตัวเองไง มันขัดขืนดื้อดึง มันไม่ยอมทำสิ่งใดเลย เราไปวัดเพื่อวัดความรู้สึกของเราไง ว่าความรู้สึกของเรานี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ละเอียด ที่ว่าอาหารเป็นคำข้าว อาหารเป็นอากาศ อาหารเป็นลมหายใจ อาหารเป็นความรู้สึก
วิญญาณาหาร อาหารเป็นอาหารทิพย์แล้วมันยอมรับไหม อาหารที่เราไม่ต้องการ เราต้องการอาหารที่มีรสชาติ เราต้องการที่มันมีความพอใจของมัน นี่คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่ความหยาบไง สุขอย่างหยาบๆ สุขอย่างกลาง แล้วสุขอย่างละเอียด สุขอย่างละเอียด นั่งอยู่โคนไม้มันจะสุขได้อย่างไร เราอยู่ในตึกรามบ้านช่องของเรานี่ โอ้โฮ.. ทุกอย่างอำนวยความสะดวกมหาศาลเรายังทุกข์ขนาดนี้ แล้วท่านไปอยู่โคนไม้ของท่าน แล้วยังท่านไม่ยอมฉันอาหารอีก ท่านมีความสุขได้อย่างไร
พอมันมีความสุขอันละเอียด เพราะมันชนะตนเองไง ดูสิ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนากัน เวลามันปล่อยวางขึ้นมา ทำไมมันลอยตัวไปได้ล่ะ ตัวนี่เบาหมดเลยนะ โอ้โฮ.. มีความสุขมาก โอ้โฮ! โอ้โฮ! เลยนะ ทีนี้ความสุขนั้นเกิดได้อย่างไร นี่ความสุขเกิดจากกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เกิดจากจิตมันปล่อยวางของมันเอง จิตมันว่างของมันเอง มันมีอาหารในตัวของมันเอง
นี่ก็เหมือนกัน พอคนมีความสุขขนาดนั้นขึ้นมา นี่ความสุขขนาดนั้นมันแลกมาด้วยสิ่งใด แลกมาด้วยสติปัญญาของเรา แลกด้วยสติ ด้วยความจงใจของเรา ด้วยความตั้งสติของเรา ด้วยการภาวนาของเรา ถ้าการภาวนาของเรามีความสุขอย่างนั้น แล้วสิ่งใดที่มันไปขัดแย้งกับการภาวนาล่ะ
ถ้าอาหารเป็นสัปปายะ อาหารฉันแล้ว อาหารกินแล้วมานั่งภาวนามันต้องไม่โงกง่วง อาหารมันฉันเข้าไปแล้วมันดำรงชีวิตของมันเท่านั้นใช่ไหม แต่ถ้าเรามีความสุขของเรา พอใจอาหารของเราที่มันพอตามกิเลสความพอใจของเรา พอฉันอาหารเสร็จ พอกินอาหารเข้าไป กินข้าวมันก็มีความอิ่ม มันก็มีความอร่อยของมันนั่นแหละ แต่ไปสัปหงกโงกง่วง มันทรมาน เห็นไหม
ถ้าเขาตัดทอนของเขาล่ะ เพราะอะไร เพราะเห็นในสุขที่ละเอียดกว่า สุขที่มีคุณค่ามากกว่าเขาถึงสละสุขที่อย่างหยาบๆ นั้นได้ เราสละมันออกมาเพื่ออะไร เพื่อจะหาสุขที่มันละเอียดขึ้นไป เราต้องฝืนไง นี่หยาบก็จะเอา ละเอียดก็จะเอา เปลือกก็จะกิน จะกินไปหมดเลยแล้วท้องแตกนะ แต่เวลาจิตมันไม่เป็นอย่างนั้น จิตมันกินไม่มีวันอิ่ม
ทะเลยังมีขอบมีเขตของมัน ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง ความต้องการของใจมันถมไม่เต็ม อาหารใส่ท้องเข้าไปมันยังล้นคอได้ แต่ตัณหาความทะยานอยากไม่เคยพอ แล้วไม่เคยพอแล้วตามมันไป เห็นไหม เราต้องมีสติยับยั้งมัน นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้
ถ้าธรรมะเป็นอย่างนี้มันจะรู้เอง แล้วพอรู้ในหัวใจขึ้นมา คนจะมองมาหาเราขนาดไหนมันเรื่องของเขานะ โอ้โฮ.. ไปวัดไปวา เวลาเราเหลือเฟือเหรอ ทำไมไม่ทำมาหากินกัน ทำมาหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาพอแรงแล้ว จะกินอยู่อย่างนี้ไปจนสิ้นชีวิต แล้วหัวใจที่มันเร่าร้อนอยู่นี่ใครเป็นคนดูแลมัน จิตใจที่มันทุกข์อยู่นี่ใครจะเข้าใจมัน ใครจะรักษามัน นี่ธรรมะนะ พุทธศาสนาสอนที่นี่
เวลาลัทธิอื่นเขาสอนอ้อนวอนขอจากผู้ที่เป็นผู้นำของเขา จากผู้ที่เป็นศาสดาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการนะ พุทธศาสนานี้สำคัญมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร อย่าให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าพูด อย่าให้เชื่อ! อย่าให้เชื่อ!
คำว่าอย่าให้เชื่อนี้ต่อเมื่อเราปฏิบัติแล้วนะ แต่ถ้าเริ่มต้นต้องเชื่อ ศรัทธา! ศรัทธาชักนำให้เราศึกษาข้อมูล แล้วข้อมูลนั้นจริงหรือไม่จริงอยู่ที่เราแล้ว เพราะข้อมูลนั้นพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ นี่กาลามสูตรไม่ให้เชื่อว่ามันคิดแล้วมันสมดุล มันควรจะเป็นไปได้ นี่เขาทำกันมามหาศาลเลย คนปฏิบัติเยอะมากเลยอย่างนี้ต้องถูกต้อง นี่ไม่ให้เชื่อ! ไม่ให้เชื่อ!
คนโง่กับคนฉลาด ในโลกนี้คนโง่มากกว่าคนฉลาด เห็นคนเยอะๆ นั่นล่ะโง่ทั้งนั้น คนฉลาดเขาอยู่ของเขาคนเดียว เขาอยู่โคนไม้ของเขาได้ กระแสอะไรชักนำเขาไปไม่ได้ ไอ้เราว่าคนฉลาดๆ เห็นคนเยอะๆ ไหลตามเขาไปเลย โง่ทั้งนั้นล่ะ! เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่ให้เชื่อ! ไม่ให้เชื่อ! พิสูจน์หรือยัง? ได้ตรวจสอบหรือยัง? ได้พิจารณาตรวจสอบบ้างหรือยัง?
ให้ตั้งสติขึ้นมา อเสวนา จ พาลานํ จะไม่คบคนพาลจากข้างนอก เราจะไม่คบคนพาลจากหัวใจของเรา.. ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ให้คบบัณฑิต บัณฑิตจากข้างนอก เห็นไหม เราเสียสละขึ้นมา หัวใจเป็นบัณฑิตมันจะเปิดกว้าง เราคุยกันแต่เรื่องการเป็นจิตใจสาธารณะ เราไม่คุยกันเรื่องการยึดมั่นถือมั่น เรื่องการเอารัดเอาเปรียบกัน
แล้วหัวใจของเราเวลาคบความคิด นี่จิตกับความคิด เห็นไหม ความคิดมันเป็นอาการของใจกับตัวพลังงาน เวลามันคิดขึ้นมานี่เราไม่คบมัน สิ่งใดที่มันเบียดเบียนเรา สิ่งใดที่มันทำให้เราเสียหายเราไม่คบมัน ตั้งสติปัดมันทิ้งไป แล้วเราคบธรรมะ คบบัณฑิต คบสิ่งที่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ธรรมะ ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว สิ่งที่ชอบแล้วเราศึกษาแล้วเราชอบไหมล่ะ มันเป็นไปได้หรือ? ทำคุณงามความดีแล้วมันจะเป็นความสุขได้อย่างไร? อยู่เฉยๆ อยู่คนเดียวจะมีความสุขได้อย่างไร?
นี่ขนาดอยู่ในสังคมยังมีความทุกข์ขนาดนี้ เห็นไหม มันเชื่อไหมล่ะ มันไม่เชื่อ ไม่เชื่อต้องพิสูจน์แล้วทำให้ได้ ถ้าทำสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้นี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน พระพุทธเจ้าให้เชื่อตรงนี้ พระพุทธเจ้าให้เชื่อประสบการณ์ของจิต จิตมันสัมผัส
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต
จิตใครสงบผู้นั้นเห็นตถาคตโดยเงา จิตใครเข้าถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์เลย นี่พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงที่ใจแล้วมันเป็นธรรมะได้อย่างไร แล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าก็อยู่ในพระไตรปิฎก ทำไมธรรมะมันอยู่ในหัวใจของเราล่ะ เพราะการประพฤติปฏิบัติ
นี่พูดถึงชาวพุทธ พูดถึงการเกิด เกิดมาแล้วมีโอกาสนะ ชีวิตเป็นอย่างนี้ จะทุกข์จะยากนะ วิกฤติในชีวิตเราตั้งสติไว้ ปัญหามีไว้ให้แก้ไข การเกิดมาเห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ แล้วเรารักษาขึ้นมาเพื่อเรา ปฏิบัติก็เพื่อเรา แล้วโอกาสของเราถึงที่สุดเราจะประสบของเราเอง นี้เป็นประโยชน์กับเรานะ เอวัง