เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไอ้นี่ขอโทษเนาะ เมื่อวานนี้มันมีโยมเอาไข่ต้มเป็นยางมะตูมมาหนึ่งวัน วันนี้ก็มีมาอีก ก็เลยแน่ใจว่าคงจะไม่เข้าใจ นี่เราเป็นชาวพุทธกันแท้ๆ เลย เราไม่รู้หรอกว่า “ภิกษุห้ามฉันของดิบ”

ไข่ทอดนะ ไข่ดาวเป็นยางมะตูมพระฉันไม่ได้ เพราะมันยังไม่สุก ไข่ต้มก็เหมือนกัน ฉะนั้นต้มต้องสุก ถ้าไม่สุกนี่เห็นไหม พระจะคัดออกไป แล้วก็ขึ้นบนโต๊ะเลย พอผ่านมาพระก็แยกออก ไข่ที่เป็นยางมะตูมพระฉันไม่ได้

ฉะนั้นพระฉันเนื้อสุนัขไม่ได้ เนื้องูไม่ได้ เนื้อมนุษย์ไม่ได้ นี่เห็นว่าพระเป็นเหมือนคนนี่แหละ แต่พระมีข้อยกเว้นข้อห้ามเยอะมากเลย ฉะนั้นโยมไม่เข้าใจเนาะ วันนี้เห็นซ้ำมาเลยบอกว่าไข่เป็นยางมะตูม เราพยายามแอบๆ นะ ไม่ให้เห็นกลัวเสียใจ แต่เห็นซ้ำมาแล้วต้องพูดเนาะ เพราะยังไม่เข้าใจ

ถ้าบางอย่างเวลาโยมเอามาให้พระนี่พระจะแยกไว้ๆ โยมจะไม่เข้าใจว่าพระฉันได้หรือไม่ได้ พระจะแยกเองไง แล้วมันจะบอกกันไม่ทันหรอกเพราะเวลามันจำกัด ฉะนั้นต้องศึกษานิดหนึ่ง นี่อุปัฏฐากพระนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ อ้าว.. ทีนี้ฟังธรรม

ในปัจจุบันนี้นะกระทรวงการคลัง สวัสดิการของข้าราชการ สวัสดิการของประชาชน นี่ปีหนึ่งแสนกว่าล้าน จนกระทรวงการคลังแบบว่าต้องพยายามเบรกเรื่องสวัสดิการลงเลย เราจะบอกว่าความเข้มแข็งของร่างกาย กับความเข้มแข็งของจิตใจ สุขภาพร่างกายของเราถ้าเข้มแข็ง เห็นไหม โรคภัยไข้เจ็บมันจะมีได้น้อย แล้วถ้ามีได้น้อยขนาดไหนแต่เราก็ต้องชราภาพไปเป็นธรรมดา โรคชรานี้เป็นโรคประจำ แต่เราก็ต้องดูแลร่างกายให้เข้มแข็ง ดูแลร่างกายให้แข็งแรง

ร่างกายแข็งแรง จิตใจก็แข็งแรง.. ร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็อ่อนแอ เห็นไหม จิตใจจะแข็งแรงขึ้นมาได้ด้วยศีลธรรมจริยธรรม ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นมาได้ด้วยเราออกกำลังกาย เรารักษาสุขภาพของเรา ถ้ารักษาสุขภาพของเราความเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะมีน้อย.. โรคนี่พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วโรคมีอยู่ ๓ อย่าง

อย่างที่ ๑ คือโรคทางสุขภาพร่างกาย มันเป็นโรคโดยธรรมชาติของมัน

อย่างที่ ๒ โรคอุปาทาน

อย่างที่ ๓ โรคกรรม

อุปาทานนี่ให้เราเป็นเจ็บไข้ได้ป่วยได้เลย.. โรคกรรมนี่นะเวลามันให้ผลขึ้นมา นี่มันมีเวรมีกรรมนะ เพราะคนเราสร้างเวรสร้างกรรมมา

หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง มีอาจารย์องค์หนึ่งบอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ นี่เวลากลางคืนฝันจะแม่นมาก แล้วพอถึงเวลานะคืนนั้นฝันว่า เณรที่มาบวชอยู่ด้วย เณรนิสัยดีมากเลยอายุ ๑๖ ปีแล้ว แล้วยมบาลตามมาเข้าฝันเจ้าอาวาสบอกว่า “จะขอเอาเณรนี้กลับ เณรนี้หนีมาจากนรกจะหมดเวรหมดกรรมแล้ว เหมือนกับเราปล่อยออกมาแล้วหนีมา”

นี่อุปัชฌาย์นั้นก็บอกว่า “ขอได้ไหม เณรนี้นิสัยดีมากเลย ขอเอาไว้ได้ไหม”

ท่านบอกว่า “ใครขอใครไม่ได้หรอก มันเป็นเวรเป็นกรรม มันเป็นเศษกรรม” เห็นไหม พูดถึงนี่ฝันไว้นะ นี่พระโพธิสัตว์ แต่ตอนเช้าขึ้นมาพระองค์นี้ก็บอกพระในวัดไว้บอกว่าให้สังเกตเณรองค์นี้ไว้ แข็งแรงปกตินี่แหละ

นี่จะบอกว่าโรคกรรม เห็นไหม แข็งแรงปกตินะ พอถึงเวลานี่มันถ่ายเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด แล้วไปเดี๋ยวนั้นเลยเพราะเขาเอากลับไป ถึงที่สุดแล้วไปใช้เวรใช้กรรมแล้วจะมาอีก.. นี่โรคเวรโรคกรรมก็มีอันหนึ่ง โรคอุปาทานก็อันหนึ่ง โรคเพราะเจ็บไข้ได้ป่วยก็อันหนึ่ง

แต่นี้ถ้าเราเข้มแข็ง จิตใจของเราเข้มแข็ง ถ้าจิตใจของเราอ่อนแอนะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเราทุกข์มากกว่าร่างกายเราอีก ร่างกายนี่มันเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ มันเป็นเรื่องของสารเคมีเรื่องต่างๆ เรื่องของไวรัสต่างๆ เห็นไหม แต่เรื่องของหัวใจนี่มันตกใจ เวลาตกใจมันทุกข์ใจ

นี้พูดถึงเวลาจิตใจเข้มแข็ง จิตใจอ่อนแอนะ.. ถ้าจิตใจเข้มแข็ง เห็นไหม เรามาฟังธรรมกันนี่ มาวัดมาทำไม มาวัดมาวา นี่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วได้ยินได้ฟังทุกวัน ได้ฟังแล้วตอกย้ำไป ถ้าเราใช้สมองใช้จิตใจของเราใคร่ครวญไป เวลาฟังธรรมนี่จิตใจมันปลอดโปร่ง จิตใจมันผ่องใส ผลของการฟังธรรมมันจะไปชำระความลังเลสงสัยในหัวใจของเรา

ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมา มันเข้าใจสภาวะ เข้าใจเรื่องของสังคม เข้าใจเรื่องของร่างกาย เข้าใจเรื่องของจิตใจ นี่มันจะตื่นเต้นไปกับใคร.. ถ้าจิตใจมันไม่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย เวลาร่างกายมันเจ็บไข้ได้ป่วยนี่เรารู้เท่าทัน เห็นไหม นี่โลกกับธรรม !

เวลาเราไปโรงพยาบาล ไปรักษาด้วยธรรม คำว่าธรรมนะไปโดยหน้าที่ ไปโดยสัจธรรม ร่างกายเป็นของเรา เราเกิดมามีร่างกายและจิตใจ เราก็ต้องเอาร่างกายนี้ไปรักษาให้มันหาย นี่เป็นธรรม..

แต่ถ้าเป็นโรค เราไปโรงพยาบาล เราเจ็บไข้ได้ป่วยว่าต้องหาย ต้องเป็นอย่างนั้นๆ จิตใจมันผูกพัน ทั้งกลัวจะไม่หาย กลัวจะหาย นี่เป็นโรค เห็นไหม เป็นโรคคือเจ็บ ๒ คน คือร่างกายมันเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่แล้ว จิตใจก็เจ็บไข้ได้ป่วยไปอีก

ถ้าจิตใจมันไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไปด้วย ร่างกายมันเจ็บไข้ได้ป่วยโดยธรรมชาติของมัน จิตใจเราต้องเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจเรารู้ทันนี่มันป่วยคนเดียว ป่วยเฉพาะร่างกายหัวใจมันไม่ป่วยไปด้วย.. แต่คนเจ็บไข้ได้ป่วยหัวใจมันจะป่วยไปด้วย ร่างกายก็ป่วยจิตใจก็ป่วย เพราะจิตใจอ่อนแอ ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมานะ นี่ธรรมโอสถ !

มีครูบาอาจารย์ท่านมาก เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาท่านไม่ไปหาหมอหรอก ท่านกำหนดพุทโธ พุทโธของท่านนะ หลวงปู่ฝั้นท่านมีโรคประจำตัว นี่ครูบาอาจารย์ท่านเล่ามาให้ฟังประจำ หลวงปู่มั่นเวลาท่านอยู่ที่หนองผือพระจะไปอุปัฏฐาก เพราะทุกคนอยากได้บุญกุศลจากท่าน เพื่อเวลามาประพฤติปฏิบัติมันจะได้ปลอดโปร่งบ้าง

ถ้าเรามีบุญกุศลส่งเสริมมา ทำสิ่งใดมันก็จะประสบความสำเร็จ ทุกคนก็จะไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะตื่นเช้าขึ้นมาออกจากกลด พระเรานี่จะไปถวายน้ำร้อนท่าน เช็ดล้างหน้าล้างตา ทุกคนก็จะไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นเพื่อเอาบุญกุศล

หลวงปู่ฝั้นท่านบอกท่านไปไม่ทันหมู่เลย พอไปก็มีพระมานั่งเฝ้าอยู่ก่อนแล้ว พระทุกคนก็อยากจะมาทำไง หลวงปู่ฝั้นท่านก็เสียใจว่าท่านมีโรคประจำตัว สุดท้ายท่านนั่งนะ ท่านนั่งพุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่ธรรมโอสถ !

ไปดูสิที่ภาพฝาผนังที่เจดีย์ของหลวงปู่ฝั้นที่วัดอุดมสมพร มันจะมีพระนั่งอยู่บนขอนไม้ แล้วจะมีกวางตัวหนึ่งออกไปจากร่างกายนั้น ท่านนั่งพุทโธ พุทโธ พุทโธ จนจิตมันสงบลงนะ เห็นเหมือนกรรม เวรกรรมมันเป็นเหมือนกวางวิ่งออกไปจากตัวของเราเลย ตั้งแต่นั้นมาโรคปวดท้องของท่านหายเป็นปลิดทิ้งเลย

แต่เดิมท่านเล่าให้ฟังเอง สมัยที่ท่านไปธุดงค์นะท่านมีโรคประจำตัว พอธุดงค์ไป พอมันเริ่มเป็นไข้ขึ้นมาท่านต้องเอาผ้าอาบน้ำปูในป่าแล้วนอน นอนกำหนดจนไข้มันสร่าง พอไข้มันสร่างท่านถึงจะเดินต่อไปได้ ท่านมีโรคประจำตัวของท่าน เห็นไหม นี่โรคเวรโรคกรรม

ธรรมโอสถ ! ธรรมโอสถ.. ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ธรรมโอสถนี้แก้ไขได้ แต่ ! แต่ต้องจิตใจเข้มแข็งนะ ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งนะไปหาหมอซะ ธรรมโอสถมันอยู่ไม่ไหวหรอก ต้องจิตใจเข้มแข็ง จิตใจเข้มแข็งนี่สำคัญมาก แล้วเวลาจิตใจเราเข้มแข็งนี่ขันติธรรม.. มีขันติ ความอดทน โดนแรงเสียดสีขนาดไหน ถ้ามันมีขันติของมันอยู่นี่มันอดทนได้เฉยๆ นี่ขันติธรรม

ถ้าขันติธรรม ถ้ามันมีปัญญาของมันขึ้นมา มันใคร่ครวญของมันขึ้นมา นี่จิตใจนี้จะเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าจิตใจเข้มแข็งขึ้นมามันมีการฝึกฝนนะ นี่เราฟังกันทุกวันแหละ เราฟังธรรมตลอด เราศึกษามาตลอด แต่มันไม่ได้ตรวจสอบ ไม่ได้ทดสอบในใจของเรา เราไม่เห็นผลของมัน ถ้าเราไม่เห็นผลของมันนี่มันก็ฟังลอยๆ ไปอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าจิตใจมันได้สัมผัสนะ เวลาจิตมันสงบเข้ามามันมีความสุขของมัน เวลาฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านอย่างไร เวลามันสงบ สงบกันอย่างไร

คุณค่าเห็นไหม นี่อามิส เวลาเราไปใช้ธุรกิจบริการต่างๆ เราต้องมีการเสพ มันต้องมีอามิสไง ได้สิ่งใดกระทบแล้วเราพอใจเราถึงจะมีความสุข แล้วจิตมัน พุทโธ พุทโธ จนมันสงบตัวมันเอง ความสุขที่มันสงบในตัวมันเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกไง

“สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

จิตของเรามันเป็นอิสรภาพในตัวของมันเอง มันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลยมันมีความสุขของมัน สิ่งนี้หาได้ที่ไหน หาได้ในหัวใจของเรา เห็นไหม ดูสิ เดี๋ยวนี้ทางตะวันตกเขาสนใจมากเรื่องการทำสมาธินี่ เพราะว่าเขามีวัตถุมหาศาลเลย แต่จิตใจเขาก็เร่าร้อน เขาหาความสุขไม่ได้ เขามีสิ่งตอบสนองขนาดไหน เขาต้องมีความสุขสงบจากหัวใจ

ถ้าความสุขสงบจากหัวใจนี่เราไม่มีคำบริกรรม ไม่มีคำบริกรรม.. จิตนี่มันเป็นพลังงาน ดูสิ เวลาพลังงานมันส่งออกไป แต่พลังงานนี้มันเป็นพลังงานที่แปลกประหลาด เห็นไหม พลังงานทางโลกมันเป็นสสาร มันเป็นพลังงาน แต่เวลาพลังงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พุทโธ ธาตุรู้ !

ธาตุ สสารที่มีชีวิต สสารต่างๆ มันมีชีวิต อย่างชีวภาพ อย่างพวกจิตวิญญาณมันมีชีวิตของมัน แต่นี่เขามีชีวิตของเขา นี่พุทโธ พุทโธ มันเป็นพลังงานที่สืบต่อมันออกไป พลังงานนี้มันเคลื่อนที่ไปได้ไว เราพุทโธนี่ให้มันเกาะไว้ไง มันต้องมีที่เกาะไว้ มันต้องมีที่ยึดไว้ เด็กมันจะหัดเดิน ถ้ามันไม่มีที่เกาะมันไปไม่ได้หรอก

แต่นี่เขาบอกว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลยปล่อยให้มันหายไปเองเลย” ...คำว่าหายไปมันไม่มีพลังงานอะไรตกค้างไว้ในใจเลย

แต่ถ้าขณะที่มันพุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่หายไป มันออกไป เห็นไหม มันออกไปจนไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร

ฐีติจิต ! องค์หลวงปู่มั่นบอกเลย “อวิชชาเกิดบนฐีติจิต”

อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง.. อวิชชาคือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือความไม่รู้ นี่มันมีพลังงานของมันแต่มันไม่รู้ตัว เห็นไหม ฐีติจิต อวิชชา.. แล้วฐีติจิตมันอยู่ที่ไหน จิตมันสงบ สงบอย่างไร แล้วมันมีความสุข ความสุขได้อย่างไร

นี่ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง มันมีจุดยืนของมัน มันไม่ฟังเสียงแรงเสียดสีจากสังคม มันก็ไม่ทำให้จิตนี้หวั่นไหวไปกับเขา เวลาแรงกระตุ้นจากกิเลสของเรา แรงกระตุ้นจากอวิชชา จากความไม่รู้ จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากการคาดการหมาย เป็นอย่างนี้หมดนะ จิตเป็นอย่างนี้หมด อวิชชาเป็นอย่างนี้หมด ธรรมะก็คาดเอา เดาเอา อยากได้อยากเป็นอยากไป ไม่มีความจริงในหัวใจเลย.. ไม่มีความจริงในหัวใจเลย เพราะมันไม่มีประสบการณ์จริง มันไม่ได้ปฏิบัติขึ้นมาจริง จิตมันไม่ได้สงบจริง มันไม่เห็นจริง

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนเรามาตลอดนะ เวลาหลวงปู่มั่นอยู่ในป่า เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในเมืองบอกว่า “เราค้นคว้าตู้พระไตรปิฎกทั้งวันทั้งคืนเลย เราอยู่กับตำราเรายังสงสัยเลย นี่หลวงปู่มั่นไปอยู่ในป่าจะไปศึกษามาจากใคร”

หลวงปู่มั่นบอกว่า “เกล้ากระผมฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา”

จิตใจที่มันสัมผัส นี่สิ่งที่มันสัมผัส สิ่งที่ปัญญามันเกิด ที่มันใคร่ครวญในหัวใจนี่ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม ใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา ความคิดความคำนึงในใจเรามีไหม สติสัมปชัญญะเราหยุดความรู้สึกของเรา แล้วเอาความคิดของเรา เอาสิ่งต่างๆ เอามาใคร่ครวญมีไหม

นี่ฟังธรรม เอามันมาใคร่ครวญ เอามันมาศึกษาสิ ตัวเราเองนี่ศึกษาตัวเราเอง ตัวเราเองนี่ศึกษาจิตเราเอง ตัวเราเองศึกษาสิ่งที่มันเศร้าหมองในหัวใจของเราเอง แล้วแยกแยะมัน ใคร่ครวญมัน เห็นไหม จิตใจจะเข้มแข็ง จิตใจจะมีจุดยืนขึ้นมา.. นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า !

เวลาบอกทางตะวันตกเขาอยากทำสมาธิกันมาก ทำสมาธิคือความสงบของใจ เขาทำสมาธิกัน สมาธิก็คือฤๅษีชีไพรนะ แล้วว่าเราเกิดปัญญาๆ ปัญญาที่เกิดขึ้นมานี่ปัญญาของกิเลสทั้งนั้นเลย ทางโลกเขาจดทะเบียนนะ เขาจดลิขสิทธิ์กัน เขาไม่ให้เอาของเขามาใช้ประโยชน์หรอก นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นธรรมวินัย นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปตู่มาทั้งนั้นแหละ เราไปจำของท่านมา.. ความจำไม่ใช่ความจริง !

ในตำรา เห็นไหม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ นี่ในตำรา ตำรามันเป็นชื่อ ตำรามันเป็นสิ่งบอกกล่าว แล้วผลมันอยู่ที่ไหน ! ผลความจริงมันอยู่ที่ไหน ! ผลความจริงมันเกิดจากประสบการณ์ของจิต จิตมันเป็นขึ้นมา.. ไอ้นั่นมันชื่อ ตัวจริงอยู่ในหัวใจของเรา ตัวจริงมันจะเกิดจากที่นี่ ตัวจริงมันต้องฝึกขึ้นมา อย่าเอาตำรามาชี้ ตำราศึกษาไว้เป็นแค่ทิศทาง เข็มทิศชี้ทางเดินเท่านั้น แต่ความจริงมันต้องเกิดจากประสบการณ์ของจิต

นี่ฟังธรรม ถ้าฟังธรรมแล้วได้ประโยชน์อยู่ตรงนี้นะ ถ้าใจเราเปิดกว้าง ใจเรารับรู้แล้วสิ่งนี้มันแทงใจดำนะ ธรรมะนี่มันออกมาจากใจ ออกมาจากจิตของผู้ที่ปฏิบัติแล้ว ออกมาแทงความรู้สึกของเรา แทงความรู้สึกของเรา แต่ความรู้สึกมันปกป้องตัวเราเองไว้ อ้างตำรา.. อ้างตำรา อ้างความรู้ อ้างต่างๆ เลย ไอ้ความรู้นี่คือความรู้ของกิเลส เพราะไอ้ตัวเรามันเป็นกิเลส เอาความรู้อันนั้นมาอ้างอิง แล้วทำให้เราหลักลอย

หลักลอย ! จิตไม่มีจุดยืน ! จิตไม่มีพื้นฐาน ! ความรู้ของเราไม่มีแม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย ความรู้ที่รู้มาเป็นความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ! แล้วเราจะรู้สิ่งใด..

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามานี่มันจะเกิดจากใจของเรา เกิดจากฐีติจิต ! เกิดจากประสบการณ์ของจิต ! เกิดจากจิตได้แก้ไข เกิดจากจิตได้มีการกระทำ.. จิตดวงนี้จะฟอกให้จิตนี้สะอาดได้ จิตดวงนี้มันจะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่เป็นชื่อโดยตำรา

ถ้าจิตเข้มแข็งนะ เราจะมีจุดยืนของเรา เราจะเข้าใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา.. นี่ฟังธรรม ! จิตใจเข้มแข็ง มันจะมีจุดยืนของมัน แล้วจะไม่ไปตามกระแส ร่างกายเข้มแข็ง ร่างกายแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บจะน้อยลง แต่สิ่งใดเกิดขึ้นมานี่มันเป็นจริงตามสมมุติ มันเป็นการชั่วคราว มันจริงตามที่เราทำบุญกุศลมาเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์กันนะ

เกิดเป็นมนุษย์ นี่ที่ว่าเราทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี้มีคุณค่ามาก เพราะมันเตือนสติ เตือนจิตให้ค้นคว้าเข้ามาในจิตของเรา แต่ทางวิชาชีพมันหาประสบการณ์ปัญญาเพื่อเลี้ยงชีวิตของเรา เลี้ยงชีวิตในโลกนี้ แต่จิตนี้ถ้ามันเปิดได้นะ มันเลี้ยงชีวิตไปนะ.. ดูสิ ในวัฏฏะจิตมันจะเวียนตายเวียนเกิดไปตลอด

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปัจจุบันก็เป็นประโยชน์กับสังคม เป็นศีลธรรมจริยธรรมให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าพูดถึงปฏิบัติไปแล้วมันมีความรู้สึกดีกว่านั้น มีความสุขในตัวมันเอง.. มีความสุขในตัวมันเอง มันอยู่ได้โดยตัวของมันเอง เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องอาศัยสังคม อาศัยหมู่คณะ อาศัยทุกคนเลย

จิตมันก็อยู่ไม่ได้ มันอาศัยความคิด แล้วที่มันอยู่ของมันได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยความคิด ไม่ต้องอาศัยอะไรเลยนี่มันมหัศจรรย์ขนาดไหน.. มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่กลางหัวอกของเรา เราต้องค้นคว้าเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง